ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    *stocks sale* {END} [Seventeen] Hybrid doll [MinWon JunHao ft.seveteen]

    ลำดับตอนที่ #15 : Hybrid :: The tenth "Why?" ( 100% ! )

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 957
      19
      2 ก.พ. 60





    Chapter X






    และสถานที่ที่อีกฝ่ายพามาก็คือพระราชวังคยองบก คนตัวเล็กเลิกคิ้วมองโบราณสถานตรงหน้าอย่างงง ๆ ว่าอีกฝ่ายพาเขามาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร

    เสียงของนักท่องเที่ยวในบริเวณใกล้เคียงคลอด้วยเสียงของฝนที่ซาเม็ดตกลงบนร่มสีเทาดังเปาะแปะในมือขอร่างสูง ด้วยความที่ร่มมีอยู่คันเดียวในรถทำให้ต้องยืนเบียดกันจนชิด ตอนนี้ระหว่างชายหนึ่งคนกับตุ๊กตาหนึ่งตัวถูกขั้นด้วยกระจกแห่งความเงียบมาเกือบสิบนาที และไม่มีวี่แววว่าใครจะมาทุบมันแตกเสียที เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ยังคงทำให้ทั้งสองเข้าหน้ากันไม่ติด เวลาร่างเล็กจะเงยหน้าคุยกับอีกฝ่าย ภาพจุมพิตอันวาบหวิวบนรถก็ปรากฏขึ้นในความคิด ส่วนเวลาที่ร่างสูงจะหันไปคุย สายตาก็ต้องวนเวียนอยู่บริเวณริมฝีปากเล็กที่บวมเจ่อจนรู้สึกผิดทำให้ต้องไปมองทางอื่นเหมือนเดิมอยู่ร่ำไป

    อึดอัด

    จากความเงียบ แปรไปเป็นความอึดอัด ภาพของพระราชวังโบราณไม่ช่วยให้ใจทั้งสองสงบลงหรือหายจากอาการเก้อเขิน พวกเขาเดินชมเขตโบราณสถานชื่อดังไปอย่างเงียบ ๆ ไม่มีการพูดคุย หรืออะไรทั้งนั้นระหว่างสองฝ่าย

    พระราชวังอันเก่าแก่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าทั้งคู่ แต่ก็ไม่ช่วยให้บรรยากาศของความกระอักกระอ่วนลดลงแม้แต่น้อย สายลมเอื่อย ๆ ที่พัดมาปะทะร่างเล็กรวมกับน้ำฝนทำให้รู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อยด้วยอยู่ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม อุณหภูมิลดลงเพื่อเริ่มฤดูใบไม้ร่วง

    “หนาวเหรอ” จุนฮุยถามโดยที่ไม่มองใบหน้าอีกฝ่าย

    “ก็นิดหน่อยครับ” หมิงฮ่าวก้มหน้างุด มองพื้นหินสีเทาเก่าขรุขระ

    “งั้นใส่นี่ก่อนแล้วกัน” เขาส่งร่มให้คนข้างตัวถือแล้วคลายผ้าพันคอไหมพรมสีดำพันที่ลำคอระหงไว้หลวม ๆ ร่างเล็กผงะไปเล็กน้อยจนฝนโดนตัวร่างสูงเล็กน้อย

    “คุ… เฮียไม่หนาวเหรอครับ” ตุ๊กตาตัวเล็กถามเสียงอ้อมแอ้ม

    “ก็นิดหน่อย แต่ทนได้อยู่ เอาใส่เถอะ” ประธานเหวินคลี่ยิ้มบาง ก่อนจะดึงร่มกลับมาถือไว้ดังเดิม

    นั่นก็ไม่ช่วยให้ความน่าอึดอัดหายไปเลย...

    ความเงียบกลับเข้ามามีอิทธิพลระหว่างตุ๊กตาและเจ้าของอีกครั้ง มือเล็กทั้งสองยกกุมกันไว้คลายความหนาว เสว็ตเตอร์แขนยาวทำให้คลายหนาวไปได้นิดหน่อยบวกกับผ้าพันคอของอีกฝ่ายแทบจะไม่โดนลม ผิดกับร่างสูงที่สวมเพียงเสื้อเชิ้ตบาง ๆ กับกางเกงขายาวเท่านั้น

    “ไม่หนาวจริง ๆ เหรอครับ” หมิงฮ่าวถามแล้วแตะที่หลังมืออีกคน “มือเย็นมากเลย”

    ร่างสูงผงะไปเล็กน้อยแล้วส่ายหน้า

    “ไม่หนาวหรอก แต่เรากลับบ้านกันดีกว่า คงไม่มีอะไรดูแล้วแหละ ตอนแรกกะพามาดูเขาผลัดเวรยาม เสียเวลาตอนรถติดไปเยอะเลยอด” จุนฮุยเอ่ยโดยที่ไม่มองใบหน้าอักฝ่ายแล้วเดินพาอีกฝ่ายกลับไปที่รถยนต์ด้านนอก

    “แล้วก็” ชายหนุ่มพูดเสียงเบา

    “จูบเมื่อกี้… ขอโทษนะ”

    ร่างเล็กก้มหน้าพลางเม้มปากแน่น แก้มเนียนสีชมพูขึ้นสีเรื่อด้วยว่าอากาศเย็นลงหรือความเขินอายก็ไม่ทราบได้

    “เฮีย… แค่เผลอไป”

    “...”

    “ขอโทษนะ”

    “ไม่เป็นไรครับ” หมิงฮ่าวตอบพลางยักไหล่ ใบหน้ากลับกลายไปเป็นเรียบเฉยเหมือนตุ๊กตา

    “มันก็แค่จูบ”

    จุนฮุยพยักหน้าแล้วเปิดประตูรถก่อนจะเข้าไปด้านใน มือหนาปัดเปิดที่ปัดน้ำฝนที่เริ่มหนักเม็ดขึ้นมาอีกครั้ง ร่างเล็กที่เข้ามาด้านในแล้วมองหยดน้ำที่ร่วงหล่นกระทบกระจกหน้าดังเปาะแปะ

    อากาศวันนี้มันเหมือนเขาเสียเหลือเกิน ก่อนหน้านี้ฟ้าก็ใสเสียจนแดดเปรี้ยง แต่ตอนนี้กลับ เมฆครึ้มและฝนตกพรำเหมือนความรู้สึกหน่วง ๆ ภายในความคิด จูบแรกของเขาเกิดขึ้นเพราะอีกฝ่ายเผลอก็เท่านั้น

    ก็แค่ความผิดพลาด

    ตุ๊กตาตัวเล็กเม้มปาก ใบหน้าน่ารักก้มลงมองตักอย่างไม่ต้องการรับรู้อะไรในตอนนี้ ส่วนร่างสูงก็เป็นใจให้บรรยากาศอึกอัดนี้ดำเนินต่อไปเสียเหลือเกินเพราะก็กำลังสับสนไม่ต่างกัน

    รสสัมผัสหวานละมุนและริมฝีปากนุ่ม ๆ ของตุ๊กตาข้างตัวยังคงติดอยู่ในความคิดไม่หายไปไหน มือหนาเท้าข้อศอกกับประตูรถ สายตาจดจ่ออยู่กับถนนตรงหน้า แต่สมองกลับพยายามปัดภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ออกไปเพื่อให้สามารถใช้ความคิดในการสัณนิษฐานเรื่องที่กำลังคาราคาซังอยู่ ณ ขณะนี้

    ผู้ต้องสงสัยยังคงมีจำนวนเท่าเดิมและอาจจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็น อีจุนโฮ อ๊คแทคยอน เหวินตงฝู และที่เพิ่มเข้ามาคือ คิมจุนมยอน ซึ่งรายสุดท้ายก็เหมือนรายที่สองตรงที่มีเงินปริศนาจำนวนมากเข้าไปอยู่ในบัญชีทุกเดือนนับตั้งแต่สามปีก่อน ถึงคดีจะเริ่มต้นเมื่อประมาณสิบปีก่อนนับตั้งแต่พ่อของเขายังครองเก้าอี้ประธานบริษัทอยู่ก็เถอะ แต่เขาก็รู้มาว่าพ่อของจุนมยอนก็เคยทำงานที่นี่จนเกษียณอายุไปก่อนหน้าลูกชายจะเข้ามาทำงาน

    งานนี้ชักจะไม่ธรรมดาเสียแล้วสิ

    ตอนนี้ก็คงถึงเวลาที่เขาต้องคุยกับเหวินตงฝูเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจังเสียทีหลังจากที่รอให้สบโอกาสตั้งแต่อีกฝ่ายย้ายมาอยู่ที่นี่

    การที่ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวใหญ่ ทำให้ต่างฝ่ายค่อนข้างมีความลับต่อกันอยู่มากในแต่ละครอบครัวพ่อแม่ลูก ไม่ว่าจะเป็นบ้านกงสีที่จีนหรือที่นี่ก็ตาม การตลบแตลงด้านธุรกิจของคนในที่มีเล่ห์เหลี่ยมเสียยิ่งกว่าคนนอกทำให้บ้านเริ่มไม่เป็นบ้านจนพ่อของเขาต้องย้ายครอบครัวของตนมาอยู่ที่เกาหลีใต้ แต่ก็ยังโชคดีที่ชุนฮวางกับน้องชายแทบจะไม่เคยมีความลับต่อกันและเป็นพี่น้องที่รักใครกลมเกลียวกันดี

    แต่ความสัมพันธ์ในอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับตรงนี้แล้วล่ะ




    “พี่จินอินคะ พี่ฮวางพาพี่ย้ายมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตอนไหนเหรอคะ” หลินหลิวถามขึ้นมาในระหว่างมื้ออาหารที่เงียบกว่าปรกตทุกครั้ง

    “ประมาณยี่สิบกว่าปีก่อนมั้ง เพราะตอนนั้นอาจวิ้นยังไม่เข้าอนุบาลเลย” เธอตอบพลางปรายตามองลูกชายคนเดียวที่กำลังนั่งจัดการอาหารในจานไม่พูดไม่จากับใครแต่สายตากลับแอบเหลือบมองตุ๊กตาตัวเล็กที่นั่งเขี่ยอาหารในจานเหมือนไม่อยากทานอะไรอย่างปรกติ

    แปลก…

    “ถ้าอย่างนั้นพี่กับพี่ฮวางก็ใช้ภาษาเกาหลีคล่องเลยสิคะ”

    “ตาจวิ้นใช้คล่องกว่าอีก” จินอินตอบเสียงเรียบ

    เธอไม่ค่อยชอบน้องสะไภ้เท่าไหร่นักด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบได้ ไม่ใช่เรื่องที่ว่าอีกฝ่ายเป็นแม่ม่ายลูกติด หรือฐานะไม่ดีอย่างไร แต่เพราะไม่น่าไว้ใจต่างหาก เธอคิดว่าการที่หลินหลิวแต่งงานกับตงฝูต้องมีจุดประสงค์อะไรสักอย่างที่ไม่น่าไว้ใจอย่างแน่นอน จะว่ามองโลกในแง่ร้ายก็ไม่เชิง หรือบางทีอาจจะเป็นเธอที่ระแวงไปเอง

    “อาเฉิงเรียนภาษาเกาหลีไปถึงไหนแล้วล่ะ” ชุนฮวางถามหลานชายที่นั่งอยู่ข้างน้องสะไภ้

    “ก็พอคุยรู้เรื่องแล้วครับแปะ แต่ยังฟังที่เขาพูดเร็ว ๆ ไม่ค่อยได้” ซือเฉิงตอบแล้วตักข้าวเข้าปาก

    “เจ็กครับ” จุนฮุยที่นั่งเงียบมานานพูดขึ้น “เดี๋ยวกินข้าวเสร็จผมขอคุยด้วยสักครู่จะรบกวนมั้ยครับ”

    ตงฝูเหลือบตามองหลานชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากแล้วพยักหน้าสองสามที

    “ได้สิ ไม่รบกวนหรอก”

    “อาจวิ้น” จินอินหันไปกระซิบถาม “ลูกจะคุยอะไรกับเจ็กเขาเหรอ”

    “มีอยู่เรื่องเดียวแหละครับ” ร่างสูงกระซิบตอบก่อนจะเอื้อมไปใช้ช้อนกลางตักซุปเยื่อไผ่มาใส่ไว้ในจาน

    “เออ จะว่าไป พอเฮนรี่กลับไปแล้วนี่ บ้านเงียบเลยเนอะ” ชุนฮวางหัวเราะเบา ๆ

    “จริงค่ะเฮีย ไม่มีตัวป่วนมาคอยเจี๊ยวจ๊าว ฉันล่ะเหง๊า เหงา” คุณนายของบ้านยกมือปิดปากหัวเราะอย่างมีมารยาท

    “เฮนรี่นี่ใครเหรอครับ” ซือเฉิงถาม

    “ลูกชายพี่สาวอึ๊มเอง เหมือนจะเป็นพี่เราประมาณสี่-ห้าปีได้มั้ง ก่อนหน้านี้เขามาอยู่ที่นี่สักพักน่ะ”

    “เขามาเที่ยวเหรอครับ” ชายหนุ่มถามต่อ

    “หนีแฟนมา งอนกันนิดหน่อยแหละ” เจ้าของบ้านหัวเราะ “ถ้าอาเฉิงรู้จักไว้ได้ก็คงดี”

    “คงงั้นมั้งครับ” คนเป็นหลานตอบก่อนจะหันไปหาคนที่นั่งอยู่ข้างญาติผู้พี่ “หมิงฮ่าวอิ่มแล้วเหรอ”

    เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมามองคนที่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะแล้วพยักหน้าพร้อมส่งยิ้มบาง ๆ ให้

    “ครับ ผมอิ่มแล้ว” มือเรียวจัดการรวบช้อนวางไว้ข้างกองข้าวที่ถูกโกยรวมกันไว้อย่างเป็นระเบียบ เขาประสานมือวางไว้บนตักอย่างเกร็ง ๆ

    “กินน้อยจัง แล้วไม่หิวเหรอ”

    “คุณซือเฉิงครับ ผมเป็นตุ๊กตานะ” ร่างเล็กพูดกลั้วหัวเราะอย่างรู้สถานะของตนเองดี “แค่ข้าวครึ่งจานก็ทำให้ผมมีพลังงานใช้ไปตั้งวันนึงแล้ว”

    “คือแปลงพลังงานในอาหารให้กลายเป็นไฟฟ้าไปใช้ในการทำงานของระบบอย่างงั้นเหรอ” ซือเฉิงมองร่างโปร่งด้วยแววตาเป็นประกาย ตัวเขาชอบเรื่องเครื่องยนต์กลไกมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ด้วยผู้เป็นแม่เห็นว่าสมควรเรียนด้านบริหารมากกว่าด้านวิศกรรมเพราะธุรกิจของครอบครัว ทำให้ต้องเข้าคณะบริหารไปอย่างไม่มีทางเลือก และจบมาด้วยคะแนนปานกลาง ถึงกระนั้นก็ยังไม่เลิกสนใจเรื่องเครื่องจักร ทำใก้ตอนนี้เขาสามารถซ่อมของเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้บ้าง

    “ผมก็ไม่รู้สิ” หมิงฮ่าวตอบพลางยิ้มแห้ง “แต่ผมว่าด็อกเตอร์คงตอบคุณได้”

    “ด็อกเตอร์… เขาคือใครเหรอ” ซือเฉิงถาม

    “คนที่ดูแลผมกับตุ๊กตาตัวอื่น ๆ ที่ร้านก่อนจะมาอยู่ที่นี่”

    “เขาต้องเก่งมากแน่เลย จะเป็นอะไรไหมถ้าจะแนะนำเขาให้ฉันรู้จัก” ชายหนุ่มมองใบหน้าน่ารักอย่างมีความหวัง

    “ได้สิครับ ด็อกเตอร์ใจดีออก” ร่างเล็กส่งยิ้มสดใสให้ แต่กลับทำให้คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ รู้สึกอารมณ์ขุ่นมัวอย่างบอกไม่ถูก

    จุนฮุยกำช้อนในมือแน่นจนสังเกตได้ ใบหน้าที่เรียบเฉยแต่ความไม่พอใจแสดงออกมาผ่านแววตาอย่างชัดเจน เขาไม่เคยได้รับรอยยิ้มแบบนั้นหรือน้ำเสียงที่ดูสดใสร่าเริงของตุ๊กตาตัวเล็กอย่างญาติผู้น้องมาก่อนเลยสักครั้ง ทีตอนคุยกับเขาล่ะ น้ำเสียงรึก็เรียบราวกับพื้นหินอ่อนขัดมัน ใบหน้าน่ารักเรียบเฉยเสียส่วนใหญ่

    ไม่ชอบเลย… ไม่ชอบเลยที่หมิงฮ่าวทำกับเขาแบบนี้

    ถ้าถามว่ารู้สึกอย่างไรกับอีกฝ่าย เขาขอบอกเลยว่าไม่รู้ รู้แต่ว่าไม่ชอบที่อีกฝ่ายทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุและเฉยชาต่อทุกอย่างที่เป็นเขา และบวกกับจูบเมื่อตอนเย็นไปด้วยแล้ว ความเหินห่างยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

    “ผมอิ่มแล้วครับ”

    มือหนาวางช้อนลงกับโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนด้วยอากัปกิริยาที่นิ่งเฉยเหมือนผิวน้ำที่นิ่งสนิทแต่มีกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวอยู่ด้านใต้ ชุนฮวางพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้กลับห้องได้ก่อนจะก้มลงไปให้ความสนใจกับเต้าหู้ผัดซอสที่ภรรยาเป็นคนทำต่อ

    “ผมรออาเจ็กที่ห้องผมนะครับ” จุนฮุยเอ่ยแล้วเดินตรงไปที่บันไดตรงขึ้นไปชั้นสอง

    “เฮียว่ามันดูแปลกไปนะ อาจวิ้นเป็นอะไรหรือเปล่า” เจ้าของบ้านเอ่ยถามอย่างสงสัย โดยปรกติแล้วลูกชายของเขาออกจะพูดมากเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้กลับดูเงียบเรียบร้อยผิดวิสัย จนอดปากถามขึ้นมาไม่ได้

    “นั่นสิเฮีย ผมว่าอาจวิ้นดูอารมณ์ไม่ค่อยดีด้วย” ตงฝูแสดงความคิดเห็น “จินอินพอรู้หรือเปล่า ว่าหลานเป็นอะไร”

    “ฉันก็ไม่รู้ค่ะ” หญิงวัยกลางคนส่ายหน้า “ช่วงนี้ตาจวิ้นก็ผีเข้าผีออก เดี๋ยวอารมณ์ดี เดี๋ยวอารมณ์เสีย ลูกฉันนี่เข้าใจยากกว่าผู้หญิงเสียอีก… แต่เอ ตอนเย็นหมิงฮ่าวอยู่กับอาจวิ้นไม่ใช่หรือ พอจะรู้ไหมว่า อาจวิ้นเขาเป็นอะไร”

    ร่างบางส่ายด้มหน้าสะบัดศีรษะรัวทันทีที่อีกฝ่ายถามเสร็จ

    “ผมไม่ทราบครับ”

    “ถ้าหมิงฮ่าวยังไม่รู้เฮียก็ไม่รู้จะถามใครแล้ว” ชุนฮวางถอนหายใจดังเฮือกแล้วตักอาหารเข้าปากต่อ




    ร่างสูงนั่งตรวจบัญชีที่ถูกปลอมแปลงของสิบปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันรอเวลาที่ผู้เป็นอาจะมาหา ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โรงพยาบาลที่สั่งซื้อสินค้าจากบริษัทของเขามาโดยตลอดก็คือโรงพยาบาลเคเจดีและเอโอยู ส่วนที่เหลือก็เป็นร้านขายยาปลีกย่อยที่ไม่ใช้ลูกค้าประจำ จากตัวเลขแสดงให้เห็นว่าเขาและพ่อได้เสียรู้ให้หนอนบ่อนไส้มานานปี

    จุนฮุยพิงหลังลงบนพนักเก้าอี้พลางถอนหายใจดังเฮือก พอดีกับเสียงเคาะประตูที่ดีงขึ้น ตงฝูคงมาแล้ว ดังนั้นจึงเก็บกระดาษปึกนั้นใส่กระเป๋าแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู้เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทแก่ผู้ใหญ่

    ด้านหน้าประตู ร่างสมส่วนของชายวัยกลางคนที่มีผมสีดอกเลาขึ้นแซมมาเล็กน้อยประปรายแต่ก็ไม่ทำให้ใบหน้าคมสันอันหล่อเหลาในอดีตที่ถูกเวลาแต่งเติมริ้วรอยให้ลดความมีสเน่ห์ลงไปได้ ดวงตาอันพร่ามัวใต้กรอบแว่นมองหลานชายตัวสูงที่ยืนทำหน้านิ่งเป็นรูปปั้นกำลังเชิญให้เขาเข้าไปในห้อง ขายาวก้าวข้ามวงกบประตูเดินตามเจ้าของห้องตรงไปที่โต๊ะทำงาน คนแก่กว่านั่งตรงเก้าอี้ตรงข้ามผู้อ่อนวัยกว่าแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงปรกติ

    “มีจะคุยเรื่องอะไรกับเจ็กเหรอ อาจวิ้น”

    จุนฮุยพยักหน้าแล้วดันซองเอกสารสีน้ำตาลให้อีกฝ่าย

    “เจ็กลองตรวจดูหน่อยสิครับ”

    ตงฝูเลิกคิ้ว แต่ก็ไม่พูดอะไรก่อนจะหยิบซองนั้นขึ้นมานำของข้างในออกม่อ่าน

    เขาไล่สายตาไปยังตัวอักษรพิมพ์ดูเป็นระเบียบบนหน้ากระดาษทุกบรรทัดอย่างถี่ถ้วนแล้วทำตาโต มือที่เริ่มเสื่อมสภาพหยิบกนะดาษแผ่นต่อไปขึ้นมาอ่านต่ออย่างรวดเร็ว จุนฮุยมองการกระทำนั้นอย่างจับพิรุธ

    “นี่มันผิดปรกติ” ชายวัยกลางคนพึมพำ

    “ตรงไหนเหรอครับ” ชายหนุ่มถามหน้าซื่อเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร

    “ราคามันไม่ตรงกับกำไรที่ได้รับ” ตงฝูเม้มปากแน่น เส้นเลือดบริเวณหน้าผากปูดโปนขึ้นมาเล็กน้อย “ต้องมีคนเล่นตุกติกแน่”

    “ผมก็ว่าอย่างนั้น” จุนฮุยมองลึกเข้าไปในดวงตาที่พร่ามัวของอีกฝ่าย แววตาของอาชายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้น เหมือนเปลวไฟที่สุมไว้ด้วยฟืนกองใหญ่

    อาของเขาไม่ได้ทำ…

    จิตใต้สำนึกของเขาบอกมาแบบนั้น แต่ก็ยังคงวางใจไม่ได้อยู่ดี

    “เจ็กไม่รู้มาก่อนเลยเลยว่ามีคนทำอะไรแบบนี้กับบัญชีแล้วก็บิลที่ส่งให้ลูกค้า” ชายวัยกลางคนกำกระดาษในมือเสียแน่นจนเกิดรอยยับ

    “ผมก็เพิ่งมารู้เอาตอนสี่ห้าเดือนก่อน” คนเป็นหลานเอ่ยเสียงเรียบพร้อมเปิดโหมดจริงจังโดยยกหน้ากากธุรกิจขึ้นมาสวม

    “มันกล้าทำตอนฉันยังทำงานอยู่ด้วยงั้นเหรอ… กล้ามาก” ตงฝูพิงหลังกับพนักเก้าอี้ ทำท่าดูเหมือนใจเย็นลง แต่เปล่า ตอนนี้อารมณ์โกรธของอดีตหัวหน้ากรรมการฝ่ายบัญชีกำลังพุ่งถึงขีดสุดใกล้ปลายปรอทแตกเต็มทน มีคนเคยเปรียบเทียบน้องชายประธานรุ่นที่สองว่าเหมือนพญาเสือโคร่ง ด้วยความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี รวมถึงความเด็ดขาดที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากยิ้มแย้ม ผิดกับคนพี่ที่นิ่งและใจเย็น แต่เหมือนมังกรที่พร้อมจะทะยานและแผ่อำนาจอยู่ตลอดเวลา

    “ตอนเจ็กยังทำงานอยู่ มีใครเป็นผู้ช่วยเหรอครับ แบบรองหัวหน้าแผนกอะไรแบบนี้” ร่างสูงถาม

    “ผู้ช่วยเหมือนจะเป็นแทคยอน ส่วนอีกคนก็คิมจุนโซ” น้องชายเจ้าของบ้านตอบ “แทคยอนถึงจะดูเงียบ ไม่สู้คน แต่ทำงานเก่งมาก ส่วนจุนโซ รายนี้รู้จักคิด ตลบแตลง ทำงานเก่งเหมือนกัน”

    “ครับ” จุนฮุยพยักหน้า

    “ถ้าเป็นเจ็ก คนที่เจ็กจะสงสัยก็คือสองคนนี้ แต่จุนโซตอนนี้คงเกษียณไปแล้ว” ตงฝูเก็บกระดาษแผ่นบางใส่กระเป๋า

    “ครับ ขอบคุณเจ็กมากเลยครับ”

    “ไม่เป็นไร ๆ” พ่อของซือเฉิงปัดมือเบา ๆ “บริษัทของบ้านทั้งที ถ้าให้เสียไปตอนรุ่นแกก็คงไม่ค่อยดี… เจ็กกลับห้องล่ะ เราจะได้พักผ่อน”

    “ครับ ราตรีสวัสดิ์” ตงฝูพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากห้องของผู้เป็นหลาน

    หลังอาออกจากห้องไปคนตัวสูงก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างเหนื่อยล้า หน้ากากอันเย็นชาถูกถอดออกเหลือเพียงชายหนุ่มธรรมดาที่กำลังเหนื่อยทั้งกาย ใจ และสมอง เขามีเรื่องให้คิดเสียมากมายจนสับสน

    จุนฮุยลุกขึ้นแล้วเดินสโลสเลตรงไปที่เตียงนอนหลังใหญ่ ทิ้งตัวนอนคว่ำหน้าลงบนฟูกหนานุ่ม กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มช่วยให้ผ่อนคลายได้บ้างเล็กน้อย ดวงตาของเขาค่อย ๆ ปรือปิดด้วยความเหนื่อยล้าก่อนจะหลับไปในเวลาไม่นาน


    ร่างเล็กนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นพรมโดยมีแมวสีขาวนอนอยู่บนตัก มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ไว้แนบหู ส่วนอีกข้างหนึ่งเกาหหลังคอของหมิงเหลียนไปพลาง ๆ

    ซือเฉิงมองดวงตาสีฟ้าของเจ้าแมวสีขาวอย่างไม่ไว้ใจ เขาเม้มปากน้อย ๆ ด้วยความที่ไม่ชอบสัตว์มาตั้งแต่เด็ก นับตั้งแต่โดนสุนัขที่ญาติเลี้ยงไว้กัดเอาเสียจมเขี้ยว เขายังจำวันนั้นได้ดี ในขณะที่กำลังเล่นอยู่กับเจ้าโอลีฟหมาพันธุ์ไซบีเรียนฮักส์กี้ของพี่อี้เอินญาติห่าง ๆ เจ้าโอลีฟก็กัดเขาเข้าที่แขนเลือดอาบ ต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลเสียหลายวัน ตอนนั้นเขาเพิ่งจะเข้าอนุบาลเท่านั้น ทำให้ฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้

    โดยเฉพาะตาสีฟ้าที่ดูดุร้ายของหมาปีศาจตัวนั้น

    ชายหนุ่มเม้มปากพลางกำขากางเกงขาสั้นประมาณเข่าสีขาวแน่น เมื่อหมิงเหลียนมองมาทางเขา

    แมวตัวอ้วนมองซือเฉิงอย่างสนใจแล้วกระโดดลงมาจากตักของหมิงฮ่าวตรงตรงไปหาคนที่ทำหน้าเหมือกลัวมันเสียเต็มประดา

    แต่มันก็จริง…

    ซือเฉิงค่อย ๆ กระเถิบหนี แต่แมวสีขาวยังคงเดินเข้าไปหาแบบไม่ลดละ ร่างเล็กที่กำลังรอสายอยู่หัวเราะคิกเมื่อเห็นผู้ชายตัวโตทำหน้าราวกับว่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้าเป็นสิงโตที่น่ากลัว

    (สวัสดีครับ) เสียงทุ้มอันคุ้นเคยของด็อกเตอร์ควอนซูนยองดังขึ้นจากปลายสาย

    “ด็อกเตอร์ครับ นี่ผมเองนะ หมิงฮ่าว”

    (อ้าว หมิงฮ่าวเองเหรอ เป็นอย่างไรบ้างล่ะ) ช่างซ่อมบำรุงและนักวิจัยประจำศูนย์ใหญ่ของเกาหลีใต้ถามตุ๊กตาที่เคยอยู่ในความดูแลอย่างเป็นห่วง

    “ก็สบายดีครับ” ร่างเล็กตอบเสียงเรียบ “ผมมีเรื่องอยากจะถามด็อกเตอร์หน่อย”

    (ว่ามาสิ) อีกฝ่ายตอบพร้อมแอบมีเสียงกุกกักดังเข้ามา ถ้าให้เดาอีกฝ่ายคงหยิบปากกาขึ้นมา ถ้าให้เดา ซูนยองคงหยิบปากกาขึ้นมาเขียนพวกบันทึกอาการของไฮบริดตัวอื่นอยู่เป็นแน่

    “วันนี้ผมรู้สึกแปลก ๆ” หมิงฮ่าวเม้มปาก “ฮาโทรี่มันทำงานเร็วมาก”

    ฮาโทรี่ที่ว่าก็คือส่วนที่ใช้สูบฉีดน้ำเลือดและพลังงานไปใช้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ และทำงานตลอดเวลาเหมือนหัวใจของมนุษย์

    (อาฮะ)

    “แล้วน้ำเลือดก็ไหลเวียนเร็วมาก เลนส์ตาผมก็เบลอ ๆ ด้วย แถมตัวก็ร้อน”

    (อืม… วันนี้นายไปทำอะไรมาเนี่ย) ปลายสายถามอย่างสงสัย

    “ก็แค่เที่ยว แล้วก็เล่นกับหมา” เขาตอบโดยไม่ลังเลที่จะเลี่ยงเล่าเรื่องในรถตอนติดไฟแดงบริเวณสี่แยกไป เรื่องแบบนั้นใครจะกล้าบอกกัน แต่ถ้าอยู่กันสองคนก็อาจจะบอกไปก็ได้

    ก็ควอนซูนยองน่ะ เหมือนพ่อเขาเลยนี่นา

    (งั้นเหรอ ฉันนึกว่านายจะไปเจอพวกเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นมาเสียอีก สงสัยคงไปสะดุดที่ทางเดินหน้าพระราชวังล่ะสิ)

    “อ่า… ครับ” ร่างโปร่งตอบพลางหัวเราะเสียงแห้ง

    (ก็ตามนั้นแหละ แค่มีเรื่องอะไรตื่นเต้นนิดหน่ย เลยทำให้ส่วนกลางไปกระตุ้นการทำงานของฮาโทรี่… อ่า โอเค ๆ เดี๋ยวผมตามไปที่ห้องพักนะ)

    “มีอะไรเหรอครับ” หมิงฮ่าวถามอย่างสงสัยเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนลอดเข้ามาในสาย

    (มีเรื่องนิดหน่อย แต่เดี๋ยวอีกแป๊บนึงก็ต้องวางแล้วล่ะ) ซูนยองตอบ

    “ถ้าอย่างนั้นผมวางเลยก็ได้ครับ ขอบคุณมากครับด็อกเตอร์” ตุ๊กตาตัวเล็กเอ่ยลาก่อนจะกดปุ่มวางสายแล้วหันไปมองซือเฉิงที่ตอนนี้นั่งตัวแข็งเป็นรูปปั้นเพราะถูกสิ่งมีชีวิตขนปุยเข้ามาคลอเคลียและยังไม่กล้าแม้จะขยับตัว

    “คุณซือเฉิงครับ ด็อกเตอร์เขาติดธุระเลยคุยด้วยไม่ได้” หมิงฮ่าวเดินเข้าไปอุ้มหมิงเหลียนออกมาจากพื้นข้างเท้าของชายหนุ่มแล้วใช้มือเกาที่ศีรษะเล็กเบา ๆ

    “อ้าว โธ่เอ๋ย น่าเสียดายชะมัดเลย” ซือเฉิงพูดอย่างนึกเสียดาย ก่อนจะลุกขึ้นปัดขนแมวที่ติดอยู่บนถุงเท้าออก “ถ้าอย่างนั้นฉันกลับห้องแล้วดีกว่า ราตรีสวัสดิ์”

    “ครับ ราตรีสวัสดิ์”

    ร่างบางส่งยิ้มบางให้ ร่างสูงยิ้มตอบแต่ก็ไม่วายที่จะมองเจ้าแมวตัวกลมในอ้อมแขนของอีกฝ่ายอย่างหวาด ๆ ไม่ได้ ขายาวรีบก้าวออกจากห้องให้พ้นหน้าพ้นตาไอ้แมวปีศาจสีขาวขนปุย

    หลังจากสิ้นเสียงประตูงับปิดและแน่ใจว่าญาติผู้น้องของเจ้าของตนเดินออกไปไกลพอ หมิงฮ่าวก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาลั่นจนหมิงเหลียนสะดุ้งแล้วตวัดตาดุ ๆ ใส่ ร่างเล็กยกมือเกาคางของเจ้าแมวเอาแต่ใจทั้ง ๆ ที่ยังหัวเราะอยู่พลางเดินตรงไปปิดไฟแล้วตรงไปที่เตียงก่อนจะทิ้งตัวลงนอน เอาคุณผู้หญิงตัวกลมวางนอนไว้ข้างลำตัวแล้วคิดถึงการกระทำของจุนฮุยเมื่อตอนเย็น

    ก็แหม ถ้าจะให้ลืมไปง่าย ๆ ก็กระไรอยู่

    มือบางยกขึ้นแตะที่ริมฝีปากพร้อมกับหวนคิดไปถึงเหตุการณ์ในมื้ออาหาร สิ่งแรกที่รู้สึกได้จากอีกฝ่ายคือความเฉยชา มันควรจะเป็นเขาไม่ใช่เหรอไงที่ทำแบบนั้นกับร่างสูง

    หมิงฮ่าวถอนหายใจดังเฮือกแล้วพลิกตัวไปนอนตะแคงมองหน้าต่างด้านนอก กลางคืนวันนี้มืดสนิทไม่มีดาวสักดวงและเป็นคืนแรม พระจันทร์ที่เคยนวลผ่องบนท้องนภถูกเงาของโลกบดบังทำให้มองไม่เห็น

    ร่างเล็กหลับตาลงช้า ๆ ฟังเสียงเครื่องปรับอากาศและเสียงลมหายใจของแมวขนฟูที่ตอนนี้ใช้ดวงตาสีเหลืองสว่างด้วยความมืดมองมาทางเขาตาไม่กระพริบ

    แขนเรียวเอื้อมไปคว้าตัวหมิงเหลียนเข้ามากอดไว้แนบอก ปล่อยให้ความง่วงเข้าครอบงำตัวตาและหลับไป




    พรุ่งนี้เราจะกลับโซลกันตอนแปดโมงซึงชอลเอ่ยขึ้นในห้องพักแขกของบ้านตนเอง ร่างสูงยืนพิงกับวงกบกระตูห้องมองลูกน้องทั้งสองด้วยสายตาผ่อนคลาย

    เราไม่ได้กลับพร้อมคนอื่นเหรอครับคนหน้าแมวถาม

    ต้องเลื่อนนิดหน่อยน่ะ พอดีท่านประธานมีธุระเจ้าบ้านตอบ

    ธุระอะไรเหรอครับลูกน้องตัวขาวเลิกคิ้ว การที่คนเอาจริงเอาจังอย่างนิชคุณเลื้อนงานให้เสร็จเร็วกว่าเดิมได้แสดงว่าต้องเป็นธุระที่สำคัญมากแน่นอน

    ได้ยินว่าจะไปขอสาวแต่งงานซึงชอลหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ

    โอเคครับ ราตรีสวัสดิ์ครับคุณซึงชอลวอนอูอ้าปากหาวหวอด แล้วทิ้งตัวลงนอนกับฟูกหนาแต่ก็ยังไม่วายหยิบโทรศัทพ์ขึ้นมาเล่นเมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากแอพลิเคชั่นสีเหลือง

    ประธานกรรมการพยักหน้าแล้วหันไปมองคนผมยาวแล้วเลิกคิ้วขวาน้อย ๆ เป็นเชิงทวง จองฮันถอนหายใจพลางกลอกตาอย่างเนือย ๆ

    ราตรีสวัสดิ์ร่างโปร่งเอ่ยแล้วยกผ้าห่มคลุมโปงตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอก แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้ร่างสูงพอใจและยิ้มบาง ๆ ออกมาได้

    ราตรีสวัสดิ์นะทั้งสองคนซึงชอลพูดพลางดึงประตูปิดแล้วกลับไปที่ห้องของตน

    วอนอูกดเข้าไปในแอพลิเคชั่นสื่อสาร ซึ่งคนที่ส่งมาก็คือแจบอม เขาขมวดคิ้วเพราะร้อยวันพันปีตั้งแต่รู้จักมาอีกฝ่ายไม่เคยส่งข้อความให้เขาผ่านแอพลิเคชั่นนี้สัดครั้ง วันนี้นึกคึกอะไรมาส่งข้อความให้กัน

     

    DEF JAEBUM

    วันนี้มินกยูมีแข่งนะ ทำไมนายไม่มาดูล่ะ

    9.16 PM Read.

     

    ร่างโปร่งขมวดคิ้วอย่างสงสัยก่อนจะพิมพ์ข้อความตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว

     

    DEF JAEBUM

    แข่งอะไรเหรอครับพี่ มินกยูไม่ได้บอกผมเลย

    Read. 9.17 PM

    จริงเหรอ?

    9.18 PM Read.

    เจ้าเด็กนั่นไม่บอกนายเลยเหรอ ว่าวันนี้มีแข่งรอบชิงน่ะ

    9.18 PM Read.

     

    เอาอีกแล้ว

    คนหน้าแมวถอนหายใจดังเฮือกแล้วพิมพ์ข้อความกลับไป เมื่อไหร่จะแก้นิสัยขี้เกรงใจของเจ้าเด็กคนนี้ได้เสียทีนะ เรื่องอย่างนี้พอเขาบอกว่ามีธุระก็ปิดปากเงียบเสียจนเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลย

     

    DEF JAEBUM

    ไม่ได้บอกอะไรเลยครับ

    Read. 9.19 PM

    จริงอะ

    9.19 PM Read.

    จริงครับ

    Read. 9.19 PM

    แล้วผลเป็นยังไงเหรอครับ

    Read. 9.19 PM

    ชนะ มินกยูเลย์อัพได้แต้มในลูกสุดท้าย

    9.19 PM Read.

    เกือบแพ้แล้ว ก่อนหน้านั้นห่างกับอีกฝั่งแค่คะแนนเดียว

    9.20 PM Read.

    แล้วทำไมมินกยูถึงไม่บอกนายล่ะ

    9.20 PM Read.

    สงสัยคงเกรงใจเหมือนเดิมแหละครับ

    Read. 9.20 PM

    เห เด็กดีจังเลยนะ

    9.20 PM Read.

    ดูแค่ด้านนอกไม่คิดว่าจะเป็นเด็กแบบนี้

    9.20 PM Read.

    คงดูเหมือนซนสินะครับ 555

    Read. 9.20 PM

    เขาก็เป็นแบบนี้แหละครับพี่ ดูเป็นแบบนั้นแต่เอาจริง

    คือแบ๊วมาก ติดตุ๊กตาหมีด้วย

    Read. 9.20 PM

    รายนี้ก็ไม่ต่างกัน

    9.21 PM Read.

    ติดตุ๊กตาเน่าอยู่เลย ถึงตอนนี้โตจะแย่แล้วก็เถอะ

    9.21 PM Read.

    เอ้อ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ส่งคลิปไปให้ พอดีแบมมันไปขอดูดไฟล์จาก

    ครูที่ปรึกษาได้

    9.21 PM Read.

    ไม่กวนแล้วดีกว่า ราตรีสวัสดิ์นะ ????????

    9.22 PM Read.

    เหมือนกันพี่ ราตรีสวัสดิ์

    9.22 PM Read.

     

    มือเรียวกดปิดโทรศัพท์มือถือแล้วเลื่อนไปเปิดหน้าแชทอันโล่งโจ้งระหว่างเขากับมินกยูแล้วพิมพ์ข้อความลงไปในนั้นอย่างรวดเร็ว

     

    Mingyu (my naughty)

    มีอะไรที่ต้องบอกฉันไหม?

    9.26 PM

     

    วอนอูรออยู่สักพักและเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคงยังไม่เปิดข้อความอ่านในตอนนี้อย่างแน่นอนจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วปิดเครื่องก่อนจะวางลงที่ข้างฟูกบริเวณหมอน

    มีเรื่องอะไรอีกละสิท่าจองฮันพูดพลางพลิกตัวตะแคงข้างหันมาหามินกยูก่อเรื่องอีกหรือไง

    อย่างมินกยูเนี่ยนะจะก่อเรื่องร่างโปร่งหัวเราะหึในลำคอก็แค่เกรงใจไม่เข้าท่าเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนักหนา

    งั้นเหรอ คราวนี้เรื่องไหนอีกล่ะ ไม่กล้าหยิบของในตู้เย็นมาทำกับข้าวหรือไงคนผมยาวถามเสียงกลั้วหัวเราะ

    มีแข่งบาสรอบชิงแต่ไม่ยอมบอกกันสักคำวอนอูเบ้ปากอย่างน้อยใจที่เข้าเด็กตัวโตที่บ้านทำราวกับว่าเขาเป็นคนนอกถึงจะบอกจนปากเปียกปากแฉะว่าเป็นครอบครัว แต่ก็ไม่ช่วยให้ตุ๊กตาตัวโตหายจากนิสัยนี้สักที อาจจะเป็นเพราะด้วยตัวโปรแกรมที่ถูกเซ็ตมาแล้วทำให้เป็นนิสัยที่เหมือนตัวตนแบบโดยสมบูรณ์

    แล้วเป็นไง ชนะไหม?”

    เห็นว่าชนะร่างบางพูดพลางพยักหน้าแต่เสียดายที่ไม่ได้โทรไปให้กำลังใจเลย

    เอาเถอะน่า เดี๋ยวค่อยไปแสดงความยินดีกันตอนเจอหน้ากันก็ได้

    หรือว่าโทรไปถามเลยดีไหมวอนอูขอความเห็น

    ก็แล้วแต่ แต่ถ้าโทรเสร็จแล้วปิดไฟด้วยนะ นอนล่ะ หลังพูดจบ คนที่ถูกเจ้านายตามวอแวก็คว้าผ้าห่มดึงมาถึงที่ไหล่ นอนหันหลังให้เพื่อนร่วมงานและหลับไปในที่สุด

    ร่างโปร่งมองคนข้าง ๆ แล้วหยิบหนังสือนิยายเล่มหนาขึ้นมาอ่านอยู่อีกสักพักจนเวลาผ่านไปล่วงเลยไปถึงเกือบเที่ยงคืน เขาเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะนำที่คั่นหนังสือที่เป็นกระดาษสีน้ำตาลไม้ขึ้นมาคั่นหน้าที่อ่านค้างไว้ ถอดแว่นสายตาออก นำทั้งสองเก็บใส่กระเป๋าตามเดิมแล้วลุกขึ้นยืนเดินไปปิดไฟจนด้านในห้องมืดไปหมด มีเพียงแสงราง ๆ ที่ลอดเข้ามาในห้องนั้น

    เขากลับมานั่งลงบนฟูกอีกครั้ง นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยท่ามกลางความมืดและเสียงลมหายใจเบา ๆ ของจองฮัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องมินกยู

    วอนอูกลัว กลัวว่าอีกฝ่ายจะจากไปเมื่อไหร่ก็ได้ กลัวว่าอีกฝ่ายจะลืมเขาถ้าจากไป กลัวว่าอีกฝ่ายอาจจะหายไปจากชีวิตของเขา และเขาหายไปจากชีวิตของอีกฝ่ายในคืนนี้ แม้กระทั่งกลัวความรู้สึกของเขาเอง กลัวว่าเขาจะรักมินกยู

    พักหลังเขาเริ่มคิดน้อยใจอีกฝ่ายในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่มินกยูเกรงใจอะไรไม่เข้าท่า หรือเรื่องในวันนี้ อย่างนี้มันเหมือนกับว่าตุ๊กตาร่างสูงไม่เคยเห็นความสำคัญของเขาเลยใช่ไหม?

    ไม่ชอบ

    คุณเลขาฝีมือดีเม้มปากน้อย ๆ พลางชันขาขึ้นมาเป็นนั่งชันเข่าอยู่บนฟูก มือสองข้างพนมกันอยู่ตรงบริเวณปากอย่างใช้ความคิด คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความไม่เข้าใจตนเอง เสียงลมที่พัดลอดหน้าต่างมาไม่ทำให้เขาเย็นใจลงได้เลยแม้แต่น้อย

    เปลือกตาสีน้ำนมปรือลงด้วยความเหนื่อยล้ามาทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นเดินหาห้องประชุมสัมนาและการนั่งรถมาตลอดสามชั่วโมง ศีรษะมนซบลงระหว่างหัวเข่าทั้งสองข้างอยู่สักพักก่อนจะเอนหลังวางศีรษะลงบนหมอน ยืดขาออกแล้วคว้าผ้าห่มที่กองอยู่ข้าง ๆ มาคลุมตัวไว้ทั้ง ๆ ที่ตายังปิดอยู่ ความง่วงเริ่มครอบงำสติ ก่อนจะหลับไปด้วยความไม่สบายใจ

     

    ตัดภาพมาที่คอนโดมีเนียมของวอนอู ร่างสูงของมินกยูกำลังขมักเขม่นอยู่กับการทำความสะอาดห้องทำงานของอีกฝ่ายอย่างขมักขเม่น มือหนาวางไม้กวาดพิงกับโต๊ะทำงานแล้วรวบเครื่องเขียนบนโต๊ะใส่แก้วใส่ที่เป็นแก้วกาแฟทรงสูงซึ่งเจ้าของห้องทำตกจนหูแก้วหักไปเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนและจะมาใช้กระดาษทราบขัด ๆ ถู ๆ ให้เรียบ ทาสีเสียใหม่แล้วนำมาป็นที่ใส่ดินสอให้อีกคน

    เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ที่ดังขึ้นเบา ๆ ไม่ได้ทำให้เขาสนใจเลยแม้แต่น้อยและยังคงตั้งหน้านั่งตาเกบของบนโต๊ะต่อไป เรียงเอกสารที่วางอยู่ระเกะระกะให้เป็นระเบียบ เหตุผลที่ทำน่ะเหรอ เขาก็ไม่รู้

    แต่เขาชอบเวลาเห็นร่างโปร่งยิ้มอย่างมีความสุข ชอบเวลาอีกฝ่ายทำหน้าบึ้งใส่เวลาเขาแกล้งหรือทำอะไร ไม่สบายใจที่วอนอูอารมณ์ไม่ดีหรือปวดหัวเพราะงานที่ทำอยู่ อยากปลอบ อยากกอด อยากอยู่ใกล้ ๆ อยากทำอะไรก็ได้เพื่อให้ร่างโปร่งมีความสุข

    เรียกรักหรือเปล่า

    ระหว่างที่กำลังสงสัยพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นสมุดปกสีเขียวแก่กรอบสีทองบนโต๊ะซ้อนอยู่ใต้สมุดไดอารี่ของวอนอู ที่มีชื่อของเขาเขียนอยู่บนปกจึงนำมาเปิดดูด้วยความสงสัย

     

    หน้าที่ 1

    ประวัติ

    ชื่อ                                 :           มินกยู

    นามสกุล                        :           คิม

    ประเภท                          :           แทนตัว อ่านความหมายต่อหน้า 14

    อายุ(ตัวจริง)                    :           24 ปี

    วัน / เดือน / ปี เกิด            :               06 /04/ 1996

    วัน / เดือน / ปี สร้าง          :               12 / 04/ 20xx

    นิสัย                              :               ขี้เกรงใจ เจ้าระเบียบ รักความสะอาด

    งานอดิเรก                       :               ชอบทำอาหาร ทำความสะอาด

     

    เขารีบพลิกหน้ากระดาษไปที่หน้าสิบสี่ พลางทิ้งตัวนั่งลงกับเก้าอี้ทำงานของเจ้าของห้องเพื่อให้อ่านข้อความในกระดาษได้อย่างสะดวก

     

    ไฮบริดใช้เก็บความทรงจำแทนตัว ใช้เก็บความทรงจำแทนเจ้าของ ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ป่วยนอนอยู่ที่โรงพยาบาล เป็นเจ้าชายนิทราเสียส่วนใหญ่ จะหมดอายุขัยเมื่อตัวจริงรู้สึกตัว สามารถพูดคุยกับผู้อื่นได้ อาการเตือนระยะแรกจะเป็นการที่ขาเริ่มหมดเรี่ยวแรงขยับไม่ได้ ลามไปที่แขนและปิดการใช้งานด้วยตัวเอง

     

    เพียงเท่านั้นเขาก็ปิดสมุดเล่มบางแล้ววางกลับที่เดิม ดวงตาคู่คมมีนำตาเอ่อคลอออกมาเล็กน้อย มินกยูกระพริบตาสองสามทีพลางเม้มปากแน่น ขายาวก้าวออกจากห้องไปโดนไม่ลืมนำไม้กวาดและที่โกยผงไปด้วย ก่อนจะนำมันไปเก็บที่หน้าห้องครัวตามเดิมแล้วกลับไปนั่งซึมอยู่ที่โซฟา

    ทำไมต้องโกหกกันด้วย

    มินกยูปล่อยให้ศีรษะพิงลงกับส่วนบนสุดของพนักเก้าอี้ จมูกของเขาแสบขึ้นมาเล็กน้อย ขอบตาร้อนผ่าวเหมือนไม่เคยเป็นมาก่อน มือหนากำลงช้า ๆ ชิ้นส่วนทุกอย่างในร่างกายชาวาบ เขาสูดลมหายใจเข้าปอดไปเฮือกใหญ่ก่อนจะปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างไม่นึกอาย ใครกันที่บอกเขาว่า เขาไม่ใช่ตัวแทนของใคร ใครกันที่บอกว่าเขาเป็นครอบครัว ที่เขาเป็นครอบครัวเพราะเป็นตัวแทนของใครคนนั้นไม่ใช่หรืออย่างไร ยินดีให้เขาอยู่ร่วมหลังคาเพราะว่าเหมือนใครบางคน แค่นั้นหรือ แค่นั้นจริง ๆ หรือ

    แค่นั้นจริง ๆ เหรอลุงสรรพนามเดิมที่เกือบจะถูกลืมเลือนหลุดออกจากปากของเขาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เขายกหลังมือขึ้นปิดตา จมูกขึ้นสีแดงก่ำ เป็นการร้องไห้ครั้งแรกและครั้งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บได้ขนาดนี้

    ใครคิดว่าตุ๊กตาเจ็บไม่เป็นกัน

    ไม่เอาน่ามินกยู ถ้านายฟื้นนายก็ยังมีโอกาสมาเจอเขาอีกไม่ใช่เหรอไงร่างสูงพยายามเอ่ยปลอบใจตนเองเพราะถ้าสองรายแรกเป็นญาติของเขา วอนอูที่อยู่ดี ๆ ก็เข้ามาอุ้มเขาออกจากร้านมาอาจจะไม่ใช่ญาติ อาจจะเป็นคนที่สนใจเขา และไม่รู้ว่าเขาเป็นใครอย่างไรมาก่อน

    แต่ถ้าเป็นญาติหรือพี่น้องของเขาล่ะ สิ่งที่เขาคิดอยู่มันจะไม่ผิดไปหน่อยหรือ

    มินกยูเริ่มคิดหนักจนศีรษะปวดตุบ แต่ตอนนี้เขามีเรื่องมากมายให้คิดเกินกว่าที่จะมาสนใจอาการปวดหัวเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือการกำมือแน่นจนเล็กจิกเข้าไปในมือ

    ใจเย็นก่อนน่ามินกยูถ้าอย่างนั้นอย่างน้อยก็ได้อยู่ด้วยกันไม่ใช่หรือไง ถ้าเก็บเอาไว้ในใจก็ไม่มีใครรู้หรอก

    แต่ถ้าไม่ฟื้นล่ะ

     

    ยังไงฉันก็เป็นได้แค่ตัวแทนของลูกชายพวกเขา พอตัวจริงตาย ฉันก็ตาย เพราะความทรงจำที่ฉันเก็บไป ถ้าตัวจริงตายไปก็ไม่มีประโยชน์

     

    พลันคำพูดของมาร์คก็แล่นเข้ามาในห้วงความคิด นั่นสิ ถ้าตัวจริงของเขาตาย นั่นก็หมายความว่าเขาก็ตายเหมือนกันไม่ใช่หรือ

    ความหวังที่คิดว่ามีอยู่ริบหรี่ก็กลับกลายเป็นถูกน้ำมาสาดเสียจนเหลือแต่ตอตะโก อารมณ์ของเขาตอนนี้กำลังสับสนรวนเร จะโกรธที่วอนอูโกหกเขาหรือจะเสียใจที่จะจากวอนอูไปตอนไหนก็ได้ดี สับสนเหลือเกิน จะทำอย่างไรดี จะทำอย่างไร เขาไม่อยากจาก แต่อีกฝ่ายคงไม่อยากให้เขาอยู่เพราะอยากให้ญาติตัวเองฟื้นเสียมากกว่า

    จะทำอย่างไรดี...

    V

    V

    V

    V

    (100%)



    จะตายกับข้อสอบแล้วค่ะ เอื้อ o]---[

    ------------------

    ที่รักคะ เรามีเรื่องจะสารภาพ...

    เราใช้คำว่าเจ็กกับแปะผิดล่ะตัว ._.

    คือแปะ=ลุงฝ่ายพ่อ

    แล้วเจ็ก=อาค่ะ

    ตงฝูเป็นน้องชุนฮวางค่ะ ง่ายๆคือเป็นเจ็กของพี่จวิ้น

    จีนมีชื่อเรียกเครือญาติเยอะมากค่ะ ง๊งTT

    เดี๋ยวในเล่มเราจะแก้ให้ให้หมดเลยค่ะ เด๋อแแลงมาก วี้ด 

    ------------------

    อือค่ะ ควรให้สองคนนี้เคลียร์กันได้แล้วเนอะ เพราะจุนฮ่าวก็ใกล้แล้วแหละ

    ไม่น่าจะเกิน16ตอน คร่าวๆค่ะ แค่เกือบสองร้อยหน้าไม่รวมสเปนะจ๊ธเบ่เบ๋

    ไม่เคยแต่งฉากเศร้าเลยค่ะบรรยายไม่ดียังไงก็ติมาได้เลยค่ะ /ล้อง

    เต็มร้อยในสองอาทิตย์ แกทำได้แล้วเว้ยบี แกทำได้! TT



    ♡ด้วยรักและแหนมเนือง♡


    #ฟิคไฮบริดมินวอน


    @yinde119

      CR.SHL
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×