ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    *stocks sale* {END} [Seventeen] Hybrid doll [MinWon JunHao ft.seveteen]

    ลำดับตอนที่ #7 : Hybrid :: The fifth "When grow up" ( 100% ! )

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ค. 59


    CR.SHL






    Chapter V

    When grow up


        เจ้าของดวงตาคู่คมนั่งเท้าคางกับตักมองเพื่อนร่วมห้องอีกสามคนที่กำลังก้มหน้าก้มนาทำความสะอาดห้องอยู่อย่างขมักเขม่น


        “เสร็จยังวะพวกมึง? เดี๋ยวกูก็โดนบ่นหรอก” มินกยูถามด้วยความเบื่อหน่าย ไอ้พวกนี้นี่โดนทำโทษเพราะขี้เกียจทำงานส่งครูตั้งแต่ ป.4 ยัน ม.ปลายปีหนึ่ง สรุปคือไอ้สามสี่เดือนที่ผ่านมาไม่ช่วยให้พวกมึงมีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นเลยใช่ไหมเนี่ย?


        “บ่นไปเถอะปากน่ะ อยากกลับเร็วๆก็มาช่วยพวกกูทำสิ” ฮันบินบ่นกลับบ้างแล้นไม้ถูพื้นลงพื้นอย่างหงุดหงิด


        “กูเตือนให้พวกมึงทำงานแล้วนะ” คนตัวสูงที่สุดในกลุ่มพูดอย่างเอือมๆ นี่ขนาดเขาโทรจิกไปบอกพวกมันให้รีบทำๆตั้งแต่หนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้ายังโยนลงไห เพราะฉะนั้นเขาจะนั่งสมน้ำหน้าอยู่เฉยๆนี่แหละ


        “กูทำส่วนของกูเสร็จแล้ว ไปแล้วนะมึง” แจฮยอนเดินไปเก็บไม้กวาดที่หลังห้องก่อนจะสะพายกระเป๋าบนโต๊ะครูแล้วเดินออกไป


        “แล้วมึงไม่กลับบ้างเหรอ? ไหนใครบอกว่าเดี๋ยวโดนบ่นอย่างโน้นอย่างนี้ นั่นผู้ปกครองหรือเมียมิทราบ?” แบมแบมละจากงานเช็ดกระจกหันมากระแนะกระแหนเพื่อนสนิท


        “หุบปากไปเลยมึงอ่ะ ไม่งั้นกูจะไม่ให้มึงเนียนเข้าห้องเปลี่ยนชุดไปแอบถ่ายเฮียต้วน” มินกยูชี้หน้าเพื่อนตัวบางที่ยืนอยู่หน้ากระจก


        มาร์คต้วนหรือเฮียต้วน เป็นประธานชมรมบาสเกตบอลของโรงเรียน  แล้วก็เขาอยู่ชมรมนี้ไง แถมไอ้แบมก็ภ่ายรูปเก่ง มันเลยเนียนเข้าไปถ่ายรูปประธานหน้าหล่อตอนเปลี่ยนชุดไปขายต่อนักเรียนหญิงได้เงินเป็นกอบเป็นกำ


        เมื่อได้ยินอย่างนั้นแบมแบมจึงรีบหุบปากฉับ ก็แหม นั่นมันสิทธิพิเศษสุดเอ็กคลูซีฟที่นักเรียนหญิงมัธยมทุกคนต้องการเลยนะ ใครมันจะยอมล่ะ รูปแต่ละรูปก็ได้หลายพันวอน บางรูปหวิวๆหน่อยก็ตั้งเหยียบหมื่น แล้วไม่ใช่แค่มาร์คคนเดียวหรอกนะในชมรมที่ดังน่ะ ยังมียุกซองแจ ชเวมินโฮ รวมถึงเพื่อนของเขาที่นั่งอยู่ในห้องด้วยถึงแค่เป็นตัวสำรองก็เถอะ


        “เออจริง บ่นมากก็กลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวไอ้แบมกูไปส่งให้” ฮันบินพูดพลางเอาไม้ม็อพจุ่มน้ำแล้วบิดหน้านิ่วคิ้วขมวด


        “กูไม่ให้สองเตี้ยอรชรกลับเองหรอก เดี๋ยวพ่อปมของไอ้แบมมาด่ากู” มินกยูพูดพลางเปลี่ยนท่ามานั่งขัดสมาธิบนโต๊ะ ก็หลังจากที่เรียนไปเรื่อยๆวอนอูกับอิมแจบอม ผู้ปกครองที่แบมแบมสถาปนาให้เป็นพ่อก็มารับเขาสองคนพอดี เลยรู้จักกัน แถมบ้านยังอยู่คอนโดเดียวกันอีก  เมื่อทั้งสองขึ้นชั้นมัธยมความซวยจึงมาตกอยู่มินกยูที่จะต้องคอยกลับบ้านพร้อมกับเพื่อนแก้มป่อง ส่วนพ่อปมของมันนี่ก็ตัวดี หวงแบมแบมอย่างกับเป็นลูกสาว


        “น้าวอนอูหรือเปล่าเถอะที่จะด่ามึงอ่ะ” เด็กหนุ่มแก้มป่องเถียง มินกยูจึงนำไม้บรรทัดเหล็กชี้สั่งทันควัน


        “เช็ดไปเลยมึงอ่ะเหลืออีกนิดเดียว แล้วนั่นมึงถูกเหี้ยอะไรวนอยู่ที่เดิมวะ ถูเหมือนระบายสีสิสัส” สายตาก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาข้อมือขอตัวเองบอกเวลาสี่โมงเย็นกว่าๆ พลันคำพูดขอประธานชมรมก็ดังขึ้นในสมอง


        ‘นัดซ้อมเย็นนี้สี่โมง ใครไม่มาโดน’


        ชิบหายแล้วไง


        “เชี่ยแบม เช็ดเสร็จแล้วไปหากูที่สนามบาสนะมึง”


        “ทำไมกูต้องไปวะ?” แบมแบมถามพลางฉกน้ำยาสีฟ้าลงบนผ้าขี้ริ้ว


        “ไม่อยากได้รูปเฮียต้วนก็ได้นะ” มินกยูพูดพลางสะพายกระเป๋าเดินออกจากห้องไปโดยมีเสียงของของเพื่อนแก้มกลมลอยตามหลังมา


        “ทำไมไม่บอกกูวะ!!!!”


        ร่างสูงหัวเราะคิก ถ้าให้เดาตอนนี้แบมแบมคงจะลนลานรีบเช็ดกระจกโดยมีฮันบินบ่นอยู่ด้วยแน่ๆ ขายาวก้าวไปตามระเบียงทางเดิน ลงบันไดไปที่สนามบาสขนาดมาตรฐานกลางแจ้งของโรงเรียน เข้าไปในห้องล็อกเกอร์ วางกระเป๋าตรงม้านั่งที่มีกระเป๋าของคนอื่นในชมรมวางอยู่


        “สายนะมึง” มินโฮที่เหงื่อซกเต็มตัวในชุดกีฬาเดินเข้ามาพร้อมน้ำหนึ่งขวดมีผ้าขนหนูพาดบ่าเดินมาจากด้านนอกพลางพยักพเยิดไปทางที่ตนเองเพิ่งเดินมา “เฮียแกแม่งโมโหใหญ่เลย แนะนำให้มึงรีบเปลี่ยนชุดแล้วไปซ้อมดีกว่า”


        “เฮียแกโมโหใหญ่เลยเหรอพี่!?” มินกยูทำหน้าตื่น


        “ก็เล่นมีคนออกไปด้วยนี่หว่า รีบไปเปลี่ยนชุดเถอะ” รุ่นพี่พูดแล้ววิ่งออกไปเมื่อโดนเรียก พร้อมๆกับที่มินกยูรีบถอดเสื้อยืดออกแล้วสวนเสื้อกีฬาทับก่อนจะวื่งออกไปสมทบกับคนอื่นด้านนอก


        ทันทีเริ่มเข้าใกล้คนในทีมก็รับรู้ถึงความตึงเครียดจากคนผมทองที่นั่งหน้านิ่งดื่มน้ำอยู่บนสเตน ความเวียบครอบคลุมเข้ามาทั้งสนามจนมินกยูที่เพิ่งเข้ามาต้องกลืนน้ำลาย บรรยากาศย็นยะเยือกยิ่งกว่าขั้วโลกใต้ทำเอาลืมความร้อนไปจนหมด สายตาคมกริบตวัดขึ้นมองรุ่นน้องที่เพิ่งเดินเข้ามาก่อนจะปิดฝาขวดน้ำเปล่า


        “มากันครบแล้วก็ประชุมกันก่อนแล้วค่อยซ้อม” มาร์คพูดเสียงเรียบ “ตอนนี้ก็อย่างที่รู้กันนะ มีคนลาออกไปตำแหน่งโกลชู้ตเลยว่าง แถมตอนนี้ใกล้แข่งระดับจังหวัด มีใครจะเสนอตัวบ้างไหม” เพราะไม่ได้มีแค่โรงเรียนไฮบริดแค่ที่โซล แต่มีีกสามโรงเรียนในจังหวัดใหญ่ๆในแต่ละภาค จึงมาการจัดการแข่งขันกีฬากระชับมิตรกันสี่เดือนครั้ง ที่ต้องจัดกันบ่อยๆเพราะไฮบริดเลื่อนชั้นเร็วประมาณหนึ่งชั้นต่อหนึ่งเดือน


       ทั้งสนามเงียบกริบขนาดยังได้ยินเสียงลมพัด ประธานชมรมมองเพื่อนร่วมทีมหน้านิ่ง “ไม่มีใครพกปากมากันหรือไง?”


       จุก…


       จากที่หนาวเหมือนขั้วโลกใต้ คิมมินกยูขอย้ายโลเคชั่นไปที่ดาวพลูโต อุณภูมิติดลบยิ่งกว่าที่ไหนในโลกหล้า!


       “สรุปคือเป็นใบ้กันทั้งชมรม?”


       “ก็เฮียเล่นนิ่งขนาดนี้ใครจะกล้าตอบวะ” มินกยูบ่นเสียงเบาหวิว มาร์คนี่ก็ไม่รู้ว่าหูจะดีไปไหน หันขวับไปมองอย่างรวดเร็วจนกลัวว่าคอจะเคล็ด


       “ก็พูดกันได้นี่” ประธานชมรมพูดก่อนจะหยิบลูกบาสข้างตัวโยนใส่คนที่พูดประโยคเมื่อครู่ “ไหนคนกล้า ลองชู้ตให้ดูหน่อยสิ” ริมฝีปากได้รูปกระตุกยิ้มที่มุมปากแล้วเปลี่ยนท่ามานั่งขัดสมาธิแทน “ถ้าชู้ตลงฉันจะไม่เอาเรื่องที่ปากดีเมื่อกี้”


       มินกยูรับบอลมาถือไว้งงๆก่อนจะพยักสองสามทีแล้ววิ่งเดาะบอลลงไปที่กลางสนาม แต่คิดเหรอว่าประธานชมรมของโรงเรียนจะยอมง่ายๆ “มินโฮ ซานฮา ไปกันเขาหน่อยสิ เอาแบบเหมือนตอนแข่งเลยนะ”


       เข้าของชื่อทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างงงๆก่อนจะกดยิ้มที่มุมปากพลางยักไหล่แล้ววิ่งลงไปในสนามตามที่ประธานสั่ง


       เป็นการคัดเลือกเข้าทีมที่โคตรจะฉุกละหุก


       คนอื่นในชมรมชินกับกรเล่นละครตบตาที่แนบเนียนของประธานชมรม เวลามีคนออกไปทีไรก็ชอบแกล้งทำบรรยากาศตึงเครียดจนมีตัวสำรองหรือเด็กใหม่คนไหนทนไม่ไหวปากดีโพล่งขึ้นมานั่นแหละ ส่นใหญ่ก็ไม่ค่อยเตี๊ยมกันก่อนเท่าไหร่หรอก พอไปถามก็ได้คำตอบกลับมาว่า


       ‘ก็แค่อยากให้สมบทบาท’


       ถ้าอยากสมบทบาทมากนักก็สมัครชมรมละครเวทีไป๊!!!


    ---------------------------------------

         "มุกนี้ตลอดเลยนะมึง” เซฮุนมองเพื่อนร่วมชั้นอย่างเอือมๆ


        "จะมาเป็นลูกทีมกูได้ต้องใจกล้า” มาร์คพูดด้วยนํ้าเสียงสบายๆพลางมองอีกสามคนที่ชิงลูกบาสกันอยู่ในสนาม “ไอ้ดำนั่นก็ฝีมือดีนี่หว่า”


        ลูกบอลสีส้มลอยหวือลงห่วงไปก่อนที่มินกยูจะทิ้งตัวนั่งลงบนสนามเหงื่อซก ปกติเขาจะซ้อมแค่นิดหน่อยแล้วได้ไปพัก แต่คราวนี้เพิ่งได้เล่นกับตัวจริงครั้งแรก แถมเป็น 2:1 ทำเอาเหนื่อยอยู่เหมือนกัน


        “เก่งนี่” ซานฮาเดินเข้าไปหาแล้วยื่นมือเข้าไปฉุดร่างสูงของเพื่อนร่วมชั้นขึ้นยืน


        มาร์คมองลูกบอลที่กลิ้งออกไปแล้วลุกขึ้นยืนพลางปรบมือช้าๆ "ถือเสียว่าฉันไม่เอาเรื่อง เริ่มซ้อมได้ อ้อใช่ ไอ้ดำนั่นน่ะซ้อมเสร็จแล้วอยู่คุยกับฉันหน่อย”



        วอนอูเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาแล้วถอนหายใจ ตอนนี้ก็ใกล้หกโมงเย็นแล้ว ทำไมมินกยูไม่ยอมกลับมาเสียที ปกติต้องถึงบ้านตั้งแต่ห้าโมงครึ่งแล้ว ถึงจะแสบไปบ้างแต่ไม่ออกนอกลู่นอกทางให้ปวดหัว โอกาสมีน้อยมากที่เขาจะไปแถลไถลที่ไหน


        มือเรียวคลายปมเนคไทออกแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออก เท้าสลิปเปอร์สีขาวเคาะลงกับพื้นอย่างเคยชิน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหญิงสาวปริศนาที่ทำให้เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ร่างเพรียวลุกขึ้นยืนคว้ากุญแจรถเดินออกไปนอกห้อง ตรงไปที่ห้องริมสุดติดแม่น้ำฮั่น มือบางยกขึ้นเพื่อจะเคาะประตูแต่ก็ต้องลดมือลงเมื่อเห็นเจ้าของห้องเปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าร้อนใจ


        “แบมแบมกลับหรือยังครับ?/มินกยูถึงห้องหรือยัง?” ทั้งสองเอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกันก่อนจะส่ายหน้า


        “ยังไม่กลับสินะครับ” วอนอูเอ่ยเสียงเครียด


        “ไปไหนของเขานะ” แจบอมพึมพำพลางยกมือขึ้นคลึงหว่างคิ้ว


        “ลองไปตามที่โรงเรียนดูไหมครับ?” คนอายุน้อยกว่าเอ่ยถามความเห็น ร่างสูงพยักหน้าแล้วทำท่าจะเดินกลับเข้าไปในห้องแต่ก็ถูกคว้าข้อมือไว้แล้วลากไปที่หน้าลิฟต์


        “ผมจะไปเอากุญแจรถ” แจบอมหันไปมองคนข้างตัวอย่างงงๆ


        “ไปรถผมก็ได้” วอนอูมองไฟสีแดงที่ขึ้นเป็นตัวเลขชั้นพลางกัดริมฝีปาก


       ถ้ารู้ว่าไปนอกลู่นอกทางที่ไหนนายโดนดีแน่!



        เสียงแฟลชกล้องถ่ายต่อเนื่อง เลนส์กล้องระยะซูมจับใบหน้าคมของประธานชมรมที่ส่งลูกให้คนในทีม ก่อนจะเบนกล้องไปตามลูกบอลสีส้ม


        “ไงมึง ได้กี่รูป?” มินกยูเดินเข้ามานั่งข้างๆแล้วยกน้ำขึ้นดื่ม


        “เพียบ” แบมแบมตอบโดยไม่ละสายตาจากเลนส์


        “ถ้างั้นก็ให้กูเลิกเลี้ยงข้าวเสียที” ร่างสูงพูดเสียงเรียบแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือเปิดเช็ค


        Wonwoo


        08x-xxx-xxxx


        21 miss call


         เขาขมวดคิ้วก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนจะทำตาโต “เชี่ยแบม! หกโมงแล้ว”


        “หา!” คนตัวเล็กทำหน้าตื่นแล้วชะโงกหน้าดูนาฬิกาข้อมือคนข้างตัว “จริงด้วย โดนป๊าว่าแน่ ทำไงดีวะ ทำไงดี!” แบมแบมพูดพึมพำไปมาอย่างเสียงสติ


       ก็เวลาป๊าดุน่ากลัวจะตายไป


        “รีบกลับเหอะ” มินกยูลุกขึ้นก่อนจะตะโกนลงไปในสนาม “เฮีย! ผมกลับก่อนนะ”


        “เออๆ จะเลิกอยู่เลย พรุ่งนี้อย่าสายอีกนะเว้ย!” ประธานชมรมโบกมือลาโดยไม่ลืมย้ำเรื่องความตรงต่อเวลาแล้วกลับไปบอกให้ทุกคนแยกย้าย เมื่อได้ยินดังนั้น มินกยูจึงรีบลากเพื่อนสนิทออกจากโรงเรียนทั้งๆที่ยังไม่ได้เปลี่ยนกลับเป็นชุดธรรมดาพากระโดดขึ้นจักรยานปั่นออกไป สวนทางกับรถยนต์สีบลอนด์เทาที่แล่นมาจอดหน้าประตูพอดิบพอดี


        ผู้ปกครองทั้งสองลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในโรงเรียน สอดส่ายสายตาหาตุ๊กตาทั้งสองอย่างร้อนใจ


        “เดี๋ยวผมจะไปถามครู คุณเดินถามเด็กแถวๆนี้แล้วกัน” แจบอมพูดแล้ววิ่งตรงไปที่ห้องพักครู ส่วนวอนอูก็เดินหาไปเรื่อยๆจนถึงสนามบาส เห็นนักเรียนหลาายคนยังนั่งเล่นอยู่ในสนามจึงเข้าไปถาม


        “ขอโทษนะ รู้จักมินกยูไหม?” เขาถามตุ๊กตาผมบลอนด์ที่นั่งดื่มน้ำอยู่บนแสตน ร่างสูงหันไปพยักหน้าให้มนุษย์ที่ไม่รู้จักพลางวางขวดพลาสติกที่หมดเกลี้ยงลงข้างตัว


        "ถ้ามาหามัน มันเพิ่งวิ่งออกไปตุ๊กตาแก้ป่องๆเมื่อกี้เองครับ” มาร์คชี้ไปทางที่วอนอูเพิ่งเดินมา ร่างเพรียวพยักหน้าแล้วเอ่ยขอบคุณก่อนจะเดินไปหาแจบอมบอกว่าทั้งตัวนั้นกลับไปแล้ว ผู้ปกครองของแบมแบมจึงถอนหายใจอย่าโล่งอกแล้วยอมกลับไปโดยดี


        กลับบ้านไปโดนดีแน่คิมมินกยู!



        “ฮัดชิ่ว!” ตุ๊กตาร่างสูงจามออกมาเสียงดังจนเพื่อนสนิทข้างตัวต้องทำหน้าตารังเกียจมองแบบยี้ๆ


        “ห่า ไม่ปิดปาก สกปรกนะสัส!” แบมแบมบ่นอุบ แต่คือขอโทษ ร่างกายแกไม่เหมือนมนุษย์หรือเปล่าเหอะวะ แอนตี้บอดี้ไม่มี เม็ดเลือดแดงไม่มี เม็ดเลือดขาวไม่มี แต่พวกมีความร้อนสะสมเชื้อโรคโดนก็ตายหมดแหละ ห่วงทำไม


        มินกยูเบ้ปากกับความขี้บ่นของคนตัวเล็กข้างตัวพลางยกมือขึ้นเช็ดจมูก สงสัยเพราะฝุ่นเข้าไปละมั้งถึงจาม ร่างสูงลากแขนเพื่อนแก้มป่องเข้าไปในลิฟต์ กดเลขชั้นของตน ปกติวอนอูจะกลับบ้านเวลานี้ ตอนนี้คงนั่งกอดอกทำหน้าเป็นยักษ์อยู่บนโซฟารอด่าเขาอยู่แน่ๆ ส่วนแจบอมไม่มีเวลาแน่นอน มินกยูจึงเลือกที่จะแบมแบมอยู่ที่ห้องของเขาจนกว่าแจบอมจะมารับดีกว่าที่จะให้อยู่คนเดียว ก็เล่นซุ่มซ่ามเสียขนาดเขายังหนักใจเลยนี่นา ในกลุ่มก็ไอ้นี่แหละที่น่าเป็นห่วงที่สุด


        “เดี๋ยวอยู่ห้องกูก่อน จะได้สอนการบ้านไปเลย เพราะพรุ่งนี้กูขี้เกียจให้พวกมึงสามตัวเวียนสมุดกูไปลอก ลอกไม่ทันโดนลงโทษ กูยังไม่อยากลงไปช้าฟังเฮียต้วนด่า เค๊? เค” มินกยูพูดเองเออเองเสร็จสรรพพอดีกับที่ลิฟต์ดังขึ้น จึงลากร่างเล็กไปที่หน้าประตูห้องเสียบคีย์การ์ดกดรหัสเปิดเข้าไปกวาดสายตาทั่วห้องพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีร่างของวอนอูในชุดทำงานนั่งคอยอยู่อย่างปกติ คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองตู้รองเท้าที่หน้าประตู


        ตามคาด ไม่มีรองเท้าผ้าใบที่วอนอูมักใส่เป็นประจำเวลาอยู่บ้านบนชั้น แต่กระเป๋าเงินยังอยู่บนโต๊ะนี่นา


        แล้ววอนอูไปไหน?


        “มึงไปนั่งรอบนโซฟาก่อน ขอกูทำอะไรแปปนึง” แบมแบมพยักหน้าแล้วเดินไปนั่งรออย่างว่าง่าย มือหนาหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรออก หลังจากรออยู่สักครู่อีกฝ่ายก็รับสาย


        “วอนอู คือผม…”


        (ไอ้เด็กบ้า! ไปอยู่ที่ไหนมาหา!) มินกยูหลับตาปี๋แล้วดึงโทรศัพท์ให้ไกลหู ยี่ขนาดยังไม่เห็นหน้ายังโมโหขนาดนี้ เจอกันนี่คงไม่แคล้วโดนฟาดด้วยก้านมะยม


        “พอดีผมมีซ้อมบาส…”


        (แล้วทำไมไม่โทรมาบอก?) ปลายสายเอ่ยถามเสียงเบาลง คาดว่าน่าจะสงบสติอารมณ์ตัวเองได้แล้ว


        “คือ…”


        (ตอนนี้ขับรถอยู่ กลับถึงบ้านเมื่อไหร่เรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อยนะคิมมินกยู) วอนอูกดตัดสายทันทีเมื่อพูดจบประโยค มินกยูเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกง


        
    เชี่ยมิง มึงตายแน่


        หลังจากแจบอมพาแบมแบมกลับห้องไป บรรยากาศในห้องสี่เหลี่ยมก็ดูอึมครึมขึ้นมาทันที ยิ่งกว่าตอนโดนมาร์คแกล้งกดดันเล่นๆในสนามบาสเสียอีก


        “นั่งคุกเข่าวอนอูเอ่ยเสียงเรียบพลางถอดคอนแทกเลนส์ออกแล้วใส่แว่นเข้าไปแทน คนทำผิดนั่งลงอย่างว่าง่ายแล้วก้มหน้างุดมองพื้น


        “ทำอะไรผิด รู้ตัวไหม?” ร่างเพรียวถาม มินกยูพยักหน้าเบาๆ


        “ให้โอกาสแก้ตัวคนแก่กว่ายกมือขึ้นกอดอกมองคนที่คุกเข่าอยู่ตาเขม่ง


        “ผมนึกขึ้นได้ว่ามีซ้อมบาสตอนเย็น พอดีรีบมากเลย…” มินกยูตอบเสียงอ่อย


        “ไม่ได้โทรมาบอก?” วอนอูต่อให้ด้วยใบหน้าเรียบเฉยเพราะอะไรถึงไม่โทรมาบอก โดนริบโทรศัพท์หรืองไง?”


        “ก็ประธานเขาดุตุ๊กตาตัวโตเหลือบตาขึ้นมามองร่างเพรียวบนโซฟาอย่างกล้าๆกลัวๆ


        “กลัวประธานแต่ไม่กลัวฉันใช่ไหม? ฉันคงเป็นหัวหลักหัวตอสินะร่างเพรียวพูดพลางขยับแว่น


        “ไม่ใช่ แต่คือ…”


        “กับข้าวอยู่ในตู้เย็น ฉันกินแล้ว อุ่นเอาเองวอนอูลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปที่โต๊ะทำงานข้างประตูระเบียง เปิดโน้ตบุ๊คขึ้นรัวมือลงกับแป้นพิมพ์ กันตัวเองออกจากสิ่งรบกวน      มินกยูเม้มปากแล้วเดินเข้าไปในครัว เท้าแขนกับเคาท์เตอร์ครุ่นคิด


        “คราวนี้โกรธยาวแหงๆร่างสูงพึมพำ มือหนาล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ต่อสายหาคนที่น่าจะพึ่งพาได้ที่สุดในตอนนี้


        อาจุน

        08x-xxx-xxxx


        (โหล มีอะไรไม่ทราบ) จุนฮุยถามเสียงเครียด ถ้าให้ทายตอนนี้น่าจะกำลังนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่บนเก้าอี้อย่างอารมณ์เสียเพราะงานเหลืออีกกองเบ้อเริ่มแหงๆ


        “เวลาคนใกล้ตัวอาโกรธ อาง้อเขายังไงเหรอ?” ตุ๊กตาตัวสูงเอ่ยแล้วเม้มปากแน่น เขาเคยพบจุนตอนวอนอูพาไปทานข้าวด้วย ตอนแรกที่เห็นยอมรับว่าหมั่นไส้เพื่อนสนิทตัวสูงของวอนอูมาก (เอาจริงๆตอนนี้ก็หมั่นไส้อยู่) แต่ไปๆมาๆดันคุยกันสนุกเสียอย่างนั้น ส่วนที่เรียกต้องเรียกอาก็เพราะโดนบังคับให้เรียก


        (ทำอะไรที่เขาชอบละมั้ง ฉันไม่ค่อยง้อใครเสียด้วยสิ) ปลายสายตอบ (แล้วนี่ไปทำใครโกรธมา เพื่อน? หรือว่าวอนอู?)


        “อาอย่ารู้เลย ผมวางนะคนเด็กกว่าพูดพลางตัดสายวางโทรศัพท์ลงกับเคาท์เตอร์แล้วถอนหายใจ


        วอนอูชอบอะไรเขายังไม่รู้เลย

     


        ร่างหนาขมวดคิ้วมองโทรศัพท์อย่างสงสัย ก็อยู่ดีๆตัดสายไปใครจะเข้าใจล่ะ?


        จุนฮุยยักไหล่น้อยๆแบบไม่สนใจแล้วหันไปสนใจญาติที่นั่งเล่นเกมบนพื้นหน้าโต๊ะ


        คืองอนเฮียโจวมี่เขานานไปหน่อยไหม?


        “หายงอนเฮียเขายังเนี่ย?” จุนฮุยเอ่ยถามพลางพิงพนักกับเก้าอี้


        “ยังเฮนรี่ตอบกลับมาสั้นๆโดยยังไม่ละสายตาจากหน้าจอ คนน้องเบ้หน้าแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปแล้วหันซ้ายหันขวาก่อนจะต่อสายถึงใครบางคน


        “ครับ...เฮียอยู่ที่บ้านผมครับ...รีบมาเลยครับร่างสูงป้องปากพูดเหมือนกลัวว่าใครจะได้ยินก่อนจะวางสาย นี่งอนหรือโกรธกันมาแต่ชาติปางก่อน ก็แค่รอยลิปสติก อาจจะติดมาตอนนอยู่ในลิฟต์ก็ได้ กินเหล้าดื่มสังสรรค์มันก็ต้องมีบ้างตามประสาธุรกิจ บางทีเฮียเขาก็งอแงงี่เง่าเกินไป แล้วก็


        งอนกันนานไปแล้วเว้ย!


        อยู่ให้เขาโดนม๊ากับป๊าเปรียบเทียบเล่นมาหลายเดือนแล้ว จุนจะไม่ทน!!!


        ร่างสูงฮัมเพลงพลางเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง เงยหน้ามองนาฬิกาบนฝาพนังบอกเวลาเกือบหนึ่งทุ่มพร้อมเสียงท้องที่ร้องประท้วง ทำให้จุนฮุยต้องเบ้หน้า วันนี้เขาบอกเซนิว่าไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อเพราะกะจะออกไปหาอะไรทานข้างนอกแต่ดันมีงานด่วนเข้ามาแทรกพอดี แถมตอนนี้น่าจะเก็บโต๊ะไปแล้วด้วย


        “นั่นเสียงท้องร้องหรือฟ้าผ่า เฮนรี่เงยหน้าขึ้นถาม


        “พอดียังไม่ได้กินข้าวอ่ะเฮีย หิวมาก” จุนฮุยเบ้ปากพลางยกมือลูบท้องวนไปมา


        “เรียกลงไปกินข้าวก็ไม่ไปเองนี่นา สมน้ำหน้า” ร่างเล็กลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ คนน้องทำหน้ามุ่ยเมื่อโดนพี่ชายซ้ำเติม


        ก็อยู่ดีๆงานก็เข้ามานี่หว่า


         เฮนรี่เดินจากห้องไปทำให้ในห้องเหลือเพียงความเงียบ ร่างสูงหันไปมองแฟ้มกองพะเนินที่ฮันโซลเพิ่งนำมาให้เมื่อตอนบ่ายแล้วถอนหายใจ


        เทศกาลปั่นงานยันเที่ยงคืนอิสคัมมิ่ง

     


        “ไม่ไหวแล้วเว้ยยยย” จุนฮุยทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วยกมือนวดกระบอกตาอย่างเหนื่อยล้า โยนปากกาหมึกซึมโยนลงพื้นพรมอย่างไม่เกรงใจราคาแล้วดิ้นไปมาเหมือนบนเก้าอี้เหมือนเด็กถูกขัดใจ  ริมฝีปากได้รูปเบ้ออกอย่างเบื่อหน่าย


        “ม๊าขอเข้าไปนะ” เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมร่างเพรียวของหญิงวัยกางคนในเสื้อยืดกางเกงนอนเดินเข้ามาพร้อมจานขนมและกาแฟร้อนๆ รอยยิ้มอารีปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนกว่าวัย ชายหนุ่มยิ้มตอบก่อนจะลุกขึ้นนั่งตามปกติ แม่ของเขาเป็นคนอย่างนี้แหละ ใจดี ง่ายๆสบายๆ ไม่ติดหรู นั่นแหละเหตุผลที่ทำให้อดีตประธานเหวินผู้เก่งกาจยังแพ้เธอ ถ้าพ่อเขาเป็นไฟ หลินจินอินแม่ของเขาคงจะเป็นน้ำเย็นๆที่ให้ไฟดับลงได้ และความที่เป็นคนง่ายๆสบายๆนี่แหละยิ่งทำให้ชุนฮวางรักเธอ


        ผู้หญิงคนที่เขารักที่สุดคือแม่ คนรักรองลงมา แต่ถ้าทำให้เขารักได้เท่าผู้หญิงตรงหน้า ก็มากพอแล้วที่จะฝากใจ


        “ผมรบกวนม๊าหรือเปล่าครับ” ผู้เป็นลูกเอ่ยถามพลางสูดกลิ่นกาแฟหอมๆที่ลอยเข้ามาแตะจมูก


        จินอินส่ายหน้าแล้วเอื้อมมือไปหยิกแก้มลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเบาๆอย่างรักใคร่ “ไม่หรอก ถ้าเหนื่อยก็พักบ้าง อย่าหักโหมนะลูก เดี๋ยวจะไม่สบายเอา” หล่อนพูดแล้ววางจานของว่างยามดึกลงบนโต๊ะ


        “ก็งานมันเร่งนี่ครับม๊า” ชายหนุ่มกอดเอวบางของผู้เป็นแม่หลวมๆ ถึงจะอายุเข้าใกล้เลขสามแล้วเขาก็ยังติดนิสัยอ้อนแม่ แถมแก้ไม่หายเสียด้วย คราวที่แล้วแม่ไม่อยู่ตั้งหลายเดือน มันคิดถึงอ่ะ


        ป๊านะป๊า ยึดม๊าไว้คนเดียวเลยตั้งสามเดือน


        “นี่ ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะตัวน่ะ” มือบางตีเผียะที่ต้นแขนเบาๆ “แล้วนี่อาบน้ำหรือยังฮึ?” จินอินมองก้มลงมองลูกชายตัวโตพลางหัวเราะเบาๆ


        จุนฮุยพยักหน้าแล้วคลายอ้อมแขนออกเงยหน้ามองหญิงวัยกลางคนด้วยรอยยิ้มบาง ผู้เป็นแม่ยิ้มตอบแล้วขยี้ผมจุนฮุยเบาๆก่อนทำท่าจะเดินออกจากห้องไป


        “งั้นม๊าไม่กวนแล้ว ทำงานของลูกไปเถอะ” ก่อนที่จะปิดประตูเสียงทุ้มของคนในห้องก็เอ่ยขึ้นเรียกรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง


        “รักม๊านะครับ”


        “ม๊าก็รักอาตี๋ของม๊าเหมือนกัน” จินอินตอบแล้วงับประตูอย่างแผ่วเบา


        ชายหนุ่มเดินไปหยิบปากกาบนพื้นมาเช็ดหมึกที่ทะลักออกมาด้วยกระดาษทิชชูบนโต๊ะเพื่อเตรียมตะลุยงานต่อ


        สู้ตาย!

     


        จนกาแฟกับขนมหมดเกลี้ยงงานก็ยังไม่เสร็จ


        จุนฮุยเหลือบตามองคราบสีน้ำตาลในแก้วแล้วถอนหายใจ ไม่รู้ว่ามันแบ่งตัวได้หรือไง ทำยังไงๆก็ไม่หมดเสียทีไอ้งานเนี่ย รายะเอียดจะเยอะแยะไปไหน ทำไมกรรมการต้องเรื่องมาก ทำไมต้องเสนออะไรมามากมายขนาดนี้!!!


       ปัดไปทำพรุ่งนี้ดีไหม?


        ชายหนุ่มสะบัดศีรษะ ไม่ได้ๆ ถ้าขี้เกียจแล้วจะไปเอาอะไรกินล่ะ มือหนาตบแก้มเบาๆรวบรวมสติแล้วก้มลงไปสนใจงานบนโต๊ะต่อ


        ตั้งแต่เด็กพ่อเขาสอนให้ขยันมาตลอด ห้ามนอนตื่นสาย ห้ามค้างงานที่โรงเรียน อ่านหนังสือเป็นเวลา แถมเคยโดนส่งไปช่วยงานที่โรงสีของบ้านที่จีน นอกจากทางบ้านจะทำบริษัทเวชภัณฑ์ยังมีโรงสีที่เป็นธุรกิจของฝั่งแม่ นั่งทำไปเถอะบัญชีน่ะ ทำจนได้ท็อปเลขของชั้น บางวันก็ไปนั่งนับกระสอบ กลับมาเกาหลีก็รู้สึกอาป๊ากลัวว่าลูกจะลืมคำสอน ให้คัดอักษรจีนไปอีกหลายหน้ากระดาษจนจำขึ้นใจ เขียนแต่ประโยคนี่แหละ


        อย่านอนตื่นสาย อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่านอนคอยวาสนา


        โอ้โห เหวินจุนฮุยนี่รู้ซึ้งเลยครับ


        เขียนวนไป เขียนจนกว่าจะจำและทำได้ เขียนวนไปค่ะ!!!


        ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา ตอนนี้มันบอกเวลาใกล้เที่ยงคืนเต็มทน เข็มสั้นและเข็มยาวค่อยๆเข้าหากันเหมือนเปลือกตาของเขาที่จะรักอะไรกันนักหนาไม่รู้ กาแฟไม่ช่วยให้เขาหายง่วงเลยสักนิดเดียว


        สักงีบคงไม่เป็นไรมั้ง?


        จุนฮุยคิดในใจก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ปล่อยเปลือกตาเคลื่อนที่เข้าหากันแล้วหลับไปท่ามกลางเอกสารกองโต


        สักพักเสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมร่างบางของใครบางคนเดินเข้ามาพร้อมน้ำเก๊กฮวยอุ่นๆในแก้วใสที่เขาไปขอให้เซนิสอนทำเมื่อตอนบ่าย ดวงตากลมโตมองหาร่างหนาของลูกชายเจ้าของบ้านก่อนจะหยุดอยู่ที่โต๊ะทำงาน ริมฝีปากอิ่มยู่น้อยๆเมื่อเห็นอีกฝ่ายหลับไปแล้ว ขาเรียวค่อยๆย่องเข้าไปหาเพราะกลัวร่างสูงจะตื่น วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา แล้วเดินไปที่เตียงใหญ่ หยิบผ้าห่มตรงปลายเตียงขึ้นมาคลุมไหล่ให้ร่างสูง


        หมิงฮ่าวยืนเอามือเท้ากับโต๊ะมองคนที่หลับไม่รู้เรื่องอยู่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนทำท่าจะเดินออกไป แต่คนที่หลับอยู่ก็รวบคว้าเอวบางเข้ามากอด ร่างเล็กทำหน้าเหวอแล้วหันหลังไปมองประธานหนุ่ม แทนที่จะเห็นคนกำลังหลับฝันดีกลับกลายเป็นใบหน้าเปื้อนยิ้มเจ้าเล่ห์แทน


        “คุณจุน!” ร่างบางแหวเสียงดัง


        “ทำไมไม่เคาะประตู” ร่างสูงแกล้งเอ่ยเสียงเข้ม ความจริงเขารู้สึกตัวตั้งแต่ได้ยินเปิดประตูแล้วนั่นแหละเพราะเป็นคนนอนไว ได้ยินเสียงอะไรรบกวนเบาๆก็ตื่นแล้ว


        “คุณไม่ได้หลับเหรอ?” หมิงฮ่าวทำหน้าเหรอหราแล้วพยายามดันตัวออกจากอ้อมกอดแต่ก็ไม่สำเร็จ


        “พอดีได้ยินเสียงแมวย่องเข้ามาก็เลยตื่น” มือหนายกขึ้นบิดจมูกรั้นเบาๆพลางหัวเราะอย่างหมั่นเขี้ยว


        “งั้นผมขอตัว ตอนนี้ง่วงมาก” ตุ๊กตาตัวบางเอ่ขอตัว แต่คิดเหรอว่าเจ้าของห้องจะปล่อยไปง่ายๆ?


        “นอนด้วยกันเลยสิ”


        หมิงฮ่าวทำหน้าเหวอก่อนจะส่ายหน้าจนผมฟู “ผมจะกลับไปนอนที่ห้อง ไม่อยากให้หมิงเหลียนอยู่ตัวเดียว”


       “นี่ คิดเหรอว่าฉันจะปล่อยนายง่ายๆน่ะ? ช่างหมิงเหลียนเถอะน่า บางที่ยุ่งกับมันบ่อยๆก็รำคาญนะ” ร่างสูงพูดพลางกระตุกยิ้มก่อนจะช้อนตัวร่างเล็กลอยหวือขึ้นจากพื้น แขนเรียวรีบเกาะคอเจ้าของห้องไว้อย่างรวดเร็วเพราะกลัวตก


       “เล่นอะไรของคุณเนี่ย” ร่างเล็กถามเสียงสั่น


       “เปล่าเล่น ก็จะไปนอนอ่ะ” จุนฮุยตอบหน้าตาย ขายาวก้าวตรงไปที่เตียงนอนวางร่างเล็กลงบนฟูกแล้วลงไปนอนกอดเอวตุ๊กตาตัวเล็กไว้


       “คุณจุน!” หมิงฮ่าวทำหน้ายุ่งพลางผลักแผ่นอกกว้างออก แค่แรงมันคนละชั้นกัน แขนยาวกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นจนคนตัวเล็กแทบจะจมลงไปในอก ถึงประธานหนุ่มจะไม่เห็นใบหน้าน่ารักชัดๆแต่ก็เห็นว่าใบหูเล็กขึ้นสีจางๆ ริมฝีปากได้รูปอมยิ้มขำ มือหนายกขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มเบาๆ


       ตอนเขินก็น่ารักดีนี่นา


       “ราตรีสวัสดิ์” ร่างหนาเอ่ยแล้วแกล้งปิดเปลือกตาลง คนในอ้อมกอดมุ่ยหน้าอย่างขัดใจเมื่อเจ้าของห้องไม่ยอมปล่อยตนกลับห้อง ก่อนจะยอมหลับไปแต่โดยดี


       เวลาล่วงไปเที่ยงคืน จุนฮุยลุกขึ้นนั่งแล้วยืนขึ้นช้าๆ ขายาวก้าวตรงไปที่โต๊ะทำงาน เลือกที่จะเปิดโคมไฟบนโต๊ะแทนที่จะใช้ไฟห้องเพราะเกรงว่าร่างบางจะตื่น ร่างหนานั่งลงบนเก้าอี้ตัวโปรดแล้วเปิดแฟ้มเอกสารเพื่อทำงานต่อ สำหรับคนอื่นการนอนแค่วันล่ะสองหรือสามชั่วโมงอาจจะดูน้อยแต่กับเขาคือเป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่อังกฤษแล้วมั้งเพราะงานเยอะความจริงก็มีเที่ยวบ้างแหละ ยอมรับว่าไปที่นั่นไกลหูไกลตาพ่อแล้วเสเพล แต่ก็ไม่ได้ทำจนเป็นนิสัยเสียหน่อย


       หลังจากเคลียร์งานทั้งหมดใกล้เสร็จเขาก็เงยหน้าขึ้นถอนหายใจแล้วลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ มือหนาเปิดลิ้นชักหยิบซองบุหรี่แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อไม่เห็นยี่ห้อโปรดอย่างแบล็คดิวิลเลยต้องจำใจหยิบบุหรี่ลัคกี้ที่อยู่ด้านในสุดมาแทน ไม่ใช่ว่าเขาเรื่องมาก แต่แค่ชอบบุหรี่แรงๆอย่างแบล็คดิวิลไม่ก็แบล็คสโตนมากกว่า โดยเฉพาะตอนเครียดๆถ้าได้บุหรี่แรงๆเผ็ดๆมาสักตัวสองตัวก็ช่วยคลายเครียดได้สำหรับเขา ส่วนไอ้ยี่ห้อที่ชอบสูบกันเกลื่อนอย่างมัลโบโร่น่ะมันค่อนข้างเบาไปหน่อย ก็รู้อยู่หรอกว่ามันทำลายปอด แต่ทำอย่างไรได้ล่ะ ก็คนมันเครียดนี่นา นานๆทีสูบครั้งคงไม่เป็นไรมั้ง?


       มือหนาปิดไฟแล้วนำซองบุหรี่และไฟแช็คถือลงไปที่ด้านล่างในสวน เดินเลี่ยงไปที่แถวสวนด้านหลังคนละฟากกับบ้านสุนัขของโปโป นั่งลงที่ม้านั่งตัวยาวก่อนจะหยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งมวนคาบใส่ปากจุดสูบ ขบคิดเรื่องต่างๆนาๆไปเรื่อยจนกระทั่งได้ยินเสียงเท้าเหยียบหญ้าดังใกล้เข้ามาจึงรีบดับบุหรี่โยนใส่ถังขยะใกล้ๆ หันไปก็เห็นร่างของชุนฮวางผู้เป็นบิดายืนทำตาขวางให้ ชายหนุ่มยิ้มแหยๆ อีกเหตุผลที่เขาไม่ค่อยสูบบุหรี่ก็คือพ่อของเขาไม่ชอบที่เห็นเขาสูบ เพราะคุณปู่ของเขาก็เคยสูบจัดจนเกือบเป็นมะเร็งปอดเสียชีวิต ไม่ใช่ว่าพ่อเขาไม่สูบ แต่แค่ไม่อยากให้เขาติดใจรสชาติของปีศาจที่เรียกว่า 'บุหรี่' ก็เท่านั้นเอง


       "ป๊ายังไม่นอนเหรอครับ" จุนฮุยถามพลางรีบซ่อนไฟแช็กไว้ด้านหลัง ชายวัยกลางคนส่ายหน้าแล้วเดินไปนั่งที่ม้านั่งข้างๆลูกชาย


       "ยัง" ชุนฮวางเหลือบตามองซองบุหรี่ที่รีบร้อนจนลืมซ่อนในมือของคนข้างๆ "ปรกติแกไม่ได้สูบยี่ห้อนี้นี่?"


       "พอดีมันหายน่ะครับ" ชายหนุ่มก้มหน้ามองหญ้าสีเขียวใต้ฝ่าเท้า


       "ไม่แปลก" ผู้เป็นพ่อยักไหล่ "ก็ป๊าให้แม่บ้านเอาไปทิ้งเอง"


       "ป๊าอ่ะ" จุนฮุยเบ้หน้าอย่างขัดใจ


       "ไม่ต้องมาป๊าอง-ป๊าอ่ะเลย ที่ทำเพราะเป็นห่วงแกล้วนๆ" ชุนฮวางเอ่ยแล้วเอื้อมมือไปขยี้ผมลูกชายคนเดียวอย่างหมัั่นไส้ "ถ้าจับได้ว่าไปซื้อไอ้ยี่ห้องแบล็คๆอะไรอีกจะให้เป็นเป็นยาเส้น นี่ยังปราณีแล้วนะ เอาลัคกี้มาให้น่ะ"


       "โหยป๊า" ชายหนุ่มเบ้ปากอย่างขัดใจ


       "แล้วนี่เครียดอะไร?" ผู้เป็นพ่อถาม


       "ก็เรื่องเดิมแหละครับ" จุนฮุยตอบแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดสนิท หายากสำหรับโซลที่จะเป็นดาวเพราะแสงไฟในเมืองและเมฆบดบังหมด ที่เห็นชัดคงมีแต่ดวงจันทร์ที่ลอยส่องแสงสว่างสีเหลืองนวลมาบนพื้นโลก


       ชุนฮวางพยักหน้าช้าๆ "ค่อยๆคิด และป๊าก็คิดว่าอาแปะไม่ใช่คนอย่างนั้น" ชายวัยกลางคนพยักบางๆที่มุมปาก


       "ผมก็คิดอย่างนั้น" ผู้เป็นลูกพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะเขาก็เชื่อว่าผู้เป็นอาอย่างเหวินตงฝูไม่มีทางทำแบบนั้น แต่หลักฐานต่างๆไม่ว่าจะเป็นบัญชีธนาคารหรือรายจ่าย ทุกอย่างพุ่งเป้าไปทางอาของเขาทั้งหมด


       "เดี๋ยวอาฝูก็กลับมาแล้วนี่นะ" ชุนฮวางเอ่ยเบาๆ "เห็นว่าเดี๋ยวรอบนี้จะหอบเมียมันมาด้วย"


       "อาอึ้มเหรอครับ?" จุนฮุยเอ่ยถาม เคยรู้อยู่เหมือนกันว่าตอนกลับไปจีนเมื่อสิบปีก่อนตงฝูได้แต่งงานกับแม่หม้ายลูกติดชื่อ ตงหลินหลิว ซึ่งไปพบรักกันตอนสมัยเรียนปริญญาโท ตอนนั้นเขายังอายุสิบห้าอยู่เลย เขาก็ไปร่วมงานแต่งที่จีนเหมือนกัน พอจำหน้าลูกพี่ลูกน้องต่างสายเลือดได้คร่าวๆ แต่กลับจำชื่อไม่ได้เสียอย่างนั้น ต่อมาไม่นานเขาก็ประสบอุบัติเหตุและเหมือนอะไรบางอย่างหายไป อะไรบางอย่างที่เขาก็ไม่รู้   "ใช่" ชายวัยกลางคนพยักหน้า "จำน้องเขาได้ใช่ไหม?"


       "จำหน้าได้ แต่จำชื่อไม่ได้" ร่างสูงตอบพลางยิ้มแหยๆ


       "น้องเขาชื่อซือเฉิง" ชุนฮวางตอบพลางถอนหายใจดังพรืด "ไอ้นี่ก็ลืมชื่อน้อง"


       "ก็ไม่เคยเจอกันนี่นา" จุนฮุยบ่นเบาๆ


       "ป๊าไปนอนดีกว่า เหม็นบุหรี่" ชายวัยกลางคนลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินออกไปทิ้งให้ลูกชายนั่งอยู่คนเดียวในสวน ร่างหนามองแผ่นหลังของผู้เป็นพ่อไปแล้วหันไปนั่งคิดเรื่องอื่นต่อ


       ร่างสูงลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปทางบ้านของสุนัขตัวโปรด มองดูลูกหมาเริ่มโตที่นอนทับกันไปมาอย่างเอ็นดู สงสัยคงต้องซื้อเพิ่มอีกสีกสองสามหลัง เพราะแค่สองหลังไม่น่าจะพอแล้วสำหรับลูกสุนัขพันธุ์โกลเดนรีทีพเวอร์อายุสามเดือนกว่าสี่ตัวกับแม่สุนัขตัวโตอีกหนึ่งตัว


       “อย่าไปทับพี่เขาอย่างนั้นสิอาไห่” จุนฮุยอุ้มลูกหมาตัวเล็กกว่าพี่น้องออกจากตัวที่โตกว่า ตอนนี้ที่บ้านเขามีสัตว์เลี้ยงรวมทั้งหมดแล้วก็หกตัว แมวหนึ่ง สุนัขห้า


       โอโห นี่บ้านหรือสวนสัตว์เลี้ยง


       บางทีก็คิดนะว่าน่าจะเปิดคาเฟ่สุนัข


       ร่างสูงวางอาไห่ลงข้างๆโปโปแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อทำงานที่คั่งข้างให้เสร็จ


    (100%)
    v
    v
    v
    v
    #ความเฮียต้วน
    -------------
    มาเลท ข้าน้อยขออภัย //กราบ
    -------------
    ในขณะที่มินวอนทะเลาะกัน จุนฮ่าวก็ไปไหนแล้วก็บ่ฮู้
    -------------
    พ่อแม่มาแล้วค่ะ ไหนใครจะเป็นลูกสะไภ้มาฝากตัวเร้ววววว

    *แบล็คดิวิล= เป็นบุหรี่ที่มีรสจัด แสบคอ ไม่เหมาะต่อผู้หัดสูบ ตัวมวนมีสีดำคาดทองพิมพ์ชื่อแบรนด์
    *แบล็คสโตน= รสชาติค่อนข้างแรง มีตัวมวนสีดำคล้ายแบล็คดิวิล
    *ลัคกี้= รสชาติคล้ายบุหรี่LMแต่เป็นของยุโรป
    *มัลโบโร่= มีรสชาติหลายแบบ อาทิเช่น หอมเย็นคล้ายเมนทอล

    **หมายเหตุ ข้อมูลบุหรี่ทั้งหมดนำมาจากอินเตอร์เนต ไม่ใช่ไรท์สูบเองแต่อย่างใดนะจย๊ะ**

    เล่นเกมกันเถอะจิ้ม

    #ฟิคไฮบริดมินวอน


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×