ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    *stocks sale* {END} [Seventeen] Hybrid doll [MinWon JunHao ft.seveteen]

    ลำดับตอนที่ #6 : Hybrid :: The forth "A one gear" ( 100% ! )

    • อัปเดตล่าสุด 24 เม.ย. 59





    Chapter VI



    "A one gear"





     เข็มยาวเดินไปเรื่อยๆจนมาครบที่เลขหกอีกครั้ง อีริคหาหวอดด้วยความอ่อนเพลีย ตอนนี้ทั้งห้องเหลือแค่เขา ฮียอน และมินกยูส่วนคยูฮยอนกลับไปตั้งแต่หกโมงเย็น เอาจริงๆแล้ว ทั้งโรงเรียนเหลือแค่พวกเขากับยามที่ป้อมอีกสองคนเท่านั้นเอง มือหนาถอดแว่นตาออกแล้วขยี้ตา เพิ่งหกโมงครึ่งแท้ๆ แต่คราวนี้รู้สึกง่วงพิกล อีริคหันไปมองเด็กชายข้างตัวที่เอียงหลับพิงกับที่เท้าแขนแล้วยิ้มบาง มือหนาถอดกระเป๋าเป้ออกจากหลังไปวางที่พื้นแทน


     “รุ่นพี่เพลียมากแล้วนะคะ” หญิงสาวคนเดียวในห้องเอ่ยอย่างเป็นห่วง “วันนี้ก็เข้าประชุม ตรวจงานนักเรียนอีกตั้งกี่ชั้น”


     เขาปัดมือเป็นเชิงปฏิเสธ “ไม่ๆ ผมยังไหว เพราะอากาศชื้นด้วยแหละ แล้วเธอล่ะ?”


     “อีกห้าแผ่นก็เสร็จแล้วค่ะ” ฮียอนตอบแล้วมองมินกยูด้วยรอยยิ้ม “ลูกศิษย์รุ่นพี่นี่น่ารักจัง”


     “ตอนแรกฉันก็คิดว่าเขาจะแสบนะ แต่เอาจริงก็ตั้งใจเรียน หัวก็ไวอีกต่างหาก”


     “เรียนวันแรกไว้ใจไม่ได้หรอกนะคะ” หญิงสาวอมยิ้ม “เดี๋ยวไปนานๆก็สำแดงเดช”


     “อย่างแจ็คสันน่ะเรอะ?” อีริคถามกลับ ฮียอนดีดนิ้วแล้วชี้ไปที่ทางรุ่นพี่อย่างถูกใจ


     “ใช่เลยค่ะ! หวังแจ็คสันคือไฮบริดที่แสบมาก แสบเข็ดฟัน ดื้อที่สุดในสามโลก” เธอพูดพลางทำหน้าเบื่อโลก ก็อย่างที่ได้ยิน หวังแจ็คสันคือไฮบริดสัญชาติฮ่องกง เป็นนักเรียนประจำ ชอบไปป่วนครูคนนู้นคนนี้ตั้งแต่เข้ามาใหม่ๆ ไอ้ตอนแรกฮียอนคิดว่าจะเป็นเด็กน่ารักใสๆ ที่ไหนได้ ไสยศาสตร์!


     อีริคหลุดหัวเราะออกมาเบาๆแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้ฝนซาลงไปมากแล้ว จนขณะนี้ผู้ปกครองของลูกศิษย์ยังไม่มารับ ชายหนุ่มถอนหายใจ ทันใดนั้นเอง รถยนต์สีบลอนด์เทาก็วิ่งมาจอดตรงหน้า ร่างเพรียวของใครบางคนกระวีกระวาดลงมาจากรถพร้อมร่มสีดำตรงเข้ามาในโรงเรียน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในที่รอผู้ปกครองจึงเดินไปถามที่ป้อมยามอย่างร้อนรน ครูหนุ่มขมวดคิ้วแล้วหยิบร่มในกระบอกหน้าห้องเดินออกไปหาคนที่ป้อมยาม


     “อะไรนะครับ!? ไม่รู้? คุณเป็นยามนะ คุณจะไม่รู้ได้ยังไง? โรงเรียนเขาจ้างคุณให้มานั่งเล่นหรือยังไง?” เสียงตวาดอย่างร้อนรนดังแทรกขึ้นมาในเสียงฝน อีริคสาวเท้าไปใกล้ก่อนจะสะกิดคนที่ใจร้อนเบาๆ


    “ขอโทษนะครับ คุณเป็นผู้ปกครองของคิมมินกยูหรือเปล่าครับ?” คนในชุดสูททำงานเปื้อนฝุ่นเจ้าของใบหน้าสะบักสะบอมพยักหน้ารัว


     “ใช่ครับ”


     “คือผมเป็นครูประจำชั้นเขา…”


     “มินกยูอยู่ที่ไหนครับ?”


     มือบางกลัดกระดุมพลาสติกเม็ดสุดท้ายบนเสื้อนอนลายทางก่อนจะเลื่อนไปลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มแล้วอุ้มมินกยูขึ้น ขาเรียวก้าวเข้าไปในห้องนอนที่เปิดไว้ แขนเรียววางร่างป้อมลงบนโซฟาอย่างแผ่วเบาพลางถอนหายใจ ระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุขวางการจราจร และผู้เสียหายทั้งสองคนดันทะเลาะชกต่อยกันเองกลางฝนจนเขาต้องลงไปห้ามทำให้เสียเวลาหลายชั่วโมง แถมยังได้แผลมาอีก วอนอูเดินไปปิดไฟก่อนจะกลับออกไปด้านนอก หยิบชุดปฐมพยาบาลกับกระจกมาตั้งบนโต๊ะแล้วนำสำลีพันก้านใส่เบตาดีนวางแปะที่มุมปากอย่างเก้ๆกังๆ


      “โอ้ย!” วอนอูอุทานเสียงเบาก่อนจะวางสำลีก้านลงบนโต๊ะ ก็เขาไม่เคยทำแผลให้ใครมาก่อนนี่นา สมัยก่อนก็ไม่ค่อยชอบไปมีเรื่องกับใครเท่าไหร่เลยทำแผลไม่เป็น ชกต่อยนี่แทบไม่เคยยุ่งจนไปเรียนที่อังกฤษนั่นแหละ คนเริ่มก็เป็นไอ้เพื่อนตัวดีอย่างจุนฮุยที่ลากไปต่อยพวกที่ด่าเขาว่าลิงเหลือง คนชวนน่ะไม่เท่าไหร่ แต่คนโดนลากไปสินึกว่าไปช่วยยูจีชินรบแล้วเหยียบระเบิดที่อูรุค ขั้นเกือบต้องไปนอนเป็นผักหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาล


    มือเรียวหยิบโทรศัพท์โทรหาเพื่อนสนิทพลางนำสำลีกดที่ปากแผลเบาๆ


      (มี’ไรวะ โทรมาเสียดึกดื่น)


      “มีเรื่องให้ช่วยวะ”


      (อะไร?) ปลายสายถามพลางหาวหวอด


      “แผลนี่ทำยังไงวะ?”


      (หา? ทำแผล?)


      “เออ”


      (ไอ้ห่า โตเป็นควายแล้วยังเสือกทำแผลไม่เป็นอีก) แทนที่จะได้รับคำตอบกลับกลายว่าไปคำด่าแทน คนโทร.ถอนหายใจดังพรูด


      “นี่คือกูผิด? กูไม่ได้ชอบต่อยกับชาวบ้านเหมือนมึงนี่หว่า คนอะไรวะต่อยฝรั่งตัวโตเสียกระเด็น”


      (เออๆ ก็แค่เอาแอลกอฮอล์ไม่ก็น้ำเกลือล้างแผลก่อนอ่ะ แล้วก็ใช้เบตาดีนทา แปะพลาสเตอร์ แค่นี้แหละ วางแล้วนะ กูง่วง กูจะนอน บาย) จุนฮุยรัวใส่แล้วกดตัดสายทันที โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรก่อนทั้งสิ้น


      มือบางนำสำลีก้านใหม่ขึ้นมาใส่น้ำเกลือวางแปะที่แผลเบาๆ เลือดสีแดงซึมเข้าในสำลีสีขาวเล็กน้อย วอนอูสูดปากด้วยความเจ็บก่อนจะหยอดเบตาดีนลงสำลีอีกก้านวางแปะที่แผลอีกครั้ง


      “ซีด…” สำลีก้านลอยหวือออกไปอยู่ที่พื้นทันที ชายหนุ่มเบ้ปากอย่างขัดใจ คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อยแล้วเพิ่งจะนึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้อาบน้ำ


     ก็ต้องทำแผลใหม่…


     วอนอูพ่นลมออกทางจมูก เปียกฝนเสียขนาดนี้ไม่อาบก็ไม่ได้ เดี๋ยวก็ต้องกินยากันเป็นหวัดไว้ก่อนอีก


     รู้อย่างนี้ออกไปรับตั้งแต่บ่ายสองก็ดี


     มือบางยกขึ้นขยี้ตาหาวหวอดแต่ก็ยังคงนอนอยู่บนเตียง ดวงตาสีนิลมองเพดานสีดำจากความมืดของห้อง วันนี้เป็นอะไรไม่รู้อยู่ดีๆก็ตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วยกยิ้มที่มุมปาก


     โชคดีที่ไม่เป็นหวัด


      เสียงไอค่อกแค่กดังขึ้นที่ข้างหู วอนอูหันไปมองเห็นมินกยูนอนทำหน้านิ่วอยู่ มือเรียวยกขึ้นอังหน้าผากก่อนจะชักออก เพราะความร้อน ไม่ต้องวัดให้เสียเวลาก็รู้ว่าอุณหภูมิต้องสูงมากแน่นอน


     “หยา เป็นหวัดจนได้สิน่า” วอนอูพึมพำเสียงเบา “สามเก้าขึ้นได้เลยมั้งเนี่ย” เขาลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้องแล้วกลับมาพร้อมปรอทวัดไข้


     “โห! สี่สิบ” ร่างบางอุทานก่อนจะรีบแบกมินกยูขึ้นหลังวิ่งไปที่หน้าลิฟต์ ใช้มือขวากดปุ่มอย่างร้อนรน เหงื่อเม็ดโตจากตัวคนด้านหลังทำให้เขาร้สึกเหนอะหนะ เสียงลิฟต์ดังขึ้น ขายาวก้าวเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว ฟันขาวขบริมปากล่างพลางเหลือบมองด้านหลังอย่างเป็นห่วง ขอให้ลิฟต์ลงถึงชั้นล่างสุดโดยเร็ว


     “อย่าเป็นอะไรไปนะ”

    -----------------------------

       “เฟืองส่วนประมวลผลตัวนึงมันหลุดจากที่น่ะครับเสียงบอกอาการจากซูนยองในชุดกาวน์ ในมือถือแพลตพลาสติกสีดำต้องแก้ไขอะไรนิดหน่อย ไม่นานหรอกครับ สองสามชั่วโมงก็เสร็จด็อกเตอร์หนุ่มเอ่ยแล้ววางเอกสารแผ่นบางลงบนโต๊ะ


       “เขาจะมีอาการแทรกซ้อนอะไรหรือเปล่าครับ?” วอนอูถามเสียงรน


       “ไม่หรอกครับ จัดเฟืองกลับที่ พักสักครู่ก็หายคุณหมอหรือที่ควรจะเรียกว่าช่างซ่อมเอ่ย


       “แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไงครับ?” ร่างบางเม้มปากแน่นจนกลายเป็นเส้นตรง


       “เมื่ออยู่ในสภาวะกังวลครับ โดยเฉพาะไฮบริดแบบเขาจะมีอาการอย่างนี้ง่ายกว่าแบบอื่นค่อนข้างมาก อาใช่ซูนยองหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะส่งฟิล์มเอกซ์เรย์ให้คนตรงหน้า แล้วนำปากกาไปชี้ตรงที่มีสีแดงจุดไว้เฟืองตัวนี้แหละครับที่หลุดไป แต่แค่ใส่อะไหล่กลับเข้าไปก็ได้แล้วครับ ผมลืมบอกไป อาจจะต้องแอดมิดนะครับ เพื่อสังเกตอาการว่าไม่มีอะไรแทรกซ้อน แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยเจอหรอกครับ

     

      "แล้วอาการแทรกซ้อน...


       "ก็พวกข้อฝืด นํ้าเลือดตํ่า แค่นั้นแหละครับ ไม่ร้ายแรงวอนอูถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะขอตัวไปนั่งที่เกาอี้ข้างเตียงเข็น มองใบหน้าที่ยังคงขึ้นสีแดงกํ่าอยู่ มือเรียวลูบแก้มนิ่มของตุ๊กตาเบาๆพลางอมยิ้ม


       "ทำฉันใจหายหมดเลยนะเจ้าเด็กบ้า แล้วนี้คิดมากอะไรเนี่ย หืม?” มือบางเปลี่ยนก่อนมาเป็นบิดเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยวเมื่อวานโทษนะที่ไปรับช้าเสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ


       "คิมมินกยูใช่ไหมคะ?” หญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มที่คล่องตัวของบริษัทเดินเข้ามาถามด็อกเตอร์ให้เขาห้องซ่อมบำรุงได้เลยค่ะ...ขออนุญาตนะคะเธอพูดก่อนจะเป็นเตียงออกไป วอนอูมองตามแผ่นหลังบางของเจ้าหน้าที่ไปก่อนจะลุกขึ้นเพื่อจะกลับไปที่คอนโดเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะเขามั่นใจคำพูดของด็อกเตอร์ควอนอะไรนั่นหรอกนะ ถึงกลับไปน่ะ คิดว่าเขาจะทิ้งมินกยูล่ะสิ


       ใครจะไปบ้าทิ้งเด็กนั่นกันล่ะ

     


       โอเค แอร์ก็เปิดอยู่แต่ทำไม่เหงื่อมันออกได้ล่ะวะ?


       จุนฮุยตั้งคำถามในใจพลางหลบสายตาหญิงสาวหุ่นนางแบบตรงหน้า ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มเกร็งๆ


       "จุนคะ ไม่สบายหรือเปล่าคะ ดูสิเหงื่อเต็มเลย เดี๋ยวมิกะเช็ดให้นะเจ้าหล่อนพูดพลางจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับให้ ชายหนุ่มยกมือห้าม


       “พอดีผมเหงื่อออกง่ายน่ะครับมิกะเสียงทุ้มเอ่ยพลางหันไปขอกระดาษเช็ดหน้าจากเลขาที่ยืนขำอยู่ด้านหลัง "ผมว่าเรามาคุยเรื่องนั้นกันเลยดีกว่าจุนฮุยลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะทำงานของตน หยิบแฟ้มสีดำที่เลขานำมาวางให้หญิงสาว


       มิกะทำท่าทางไม่พอใจแต่ก็ยอมอ่านสัญญาบนโต๊ะแต่โดยดี


       ประธานหนุ่มลอบถอนหายใจ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเป็นลูกสาวของประธานบริษัทที่ถือหุ้นของเขาในกำมือหลายสิบเปอร์เซ็นต์หรอกนะ ถึงไม่ไล่ตะเพิดเธอออกจากห้อง ทั้งๆที่ในใจอยากสั่งให้ฮันโซลพาตัวแม่นี่ออกจากห้องไปใจแทบขาด


       เหตุผลเหรอ? เธอน่าตาน่าเกลียด? ไม่ใช่หรอก โอซาเนะ มิกะเป็นคนที่สวยมาก สามารถไปเป็นดาราหรือนางแบบได้สบายๆ ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตของเธอมีสเน่ห์ที่ทำให้ผู้ชายหลายคนชอบได้


       แต่ไม่ใช่กับเหวินจุนฮุย


       ก็ใช่ที่เธอตรงสเป็คเขาอยู่เหมือนกัน แต่คะแนนดันมาติดลบตรงที่เธอน่ารำคาญเกินไป ตามเขาทุกครั้งที่มาเกาหลีแทบจะสิงเขาให้ได้อยู่แล้ว


       “จุนคะ มิกะไม่เข้าใจตรงนี้ค่ะหญิงสาวช้อนตาขึ้นมองพลางชี้ไปที่หน้ากระดาษ


       “ไหนครับเขาก้มลงไปดูตรงที่เธอสงสัยก็อัตราส่วนสารเคมีในเวชภัณฑ์ที่ทางเราใช้ไงครับจุนฮุยตอบแล้วหันไปทางคนถาม ประจวบเหมาะที่มิกะกำลังหันมาทางเขาพอดี


       จมูกโด่งชนกับแก้มใสที่ประโคมทั้งรองพื้นและบรัชออนจนหนาเตอะ


       “มิกะขอโทษค่ะมิกะหันหน้าออกทำท่าเขินอาย ส่วนเจ้าของห้องก็วางแฟ้มลงแล้วกลอกตามองเพดานไม่ต่างจากฮันโซลที่ยืนอยู่


       สะพานไหม้แล้วมั้งคู้นนนน


       เลขาฝีมือดีเบ้ปากก่อนจะเดินไปรับแฟ้มคืนจากหญิงสาว


       “เดี๋ยวผมจะส่งให้พ่อคุณมิกะพิจารณาอีกทีนะครับ แล้วก็...ฮันโซล หุ้น


       เจ้าของชื่อพยักหน้าแล้วส่งแฟ้มอีกเล่มให้ หญิงสาวรับมาเปิดดูราคาหุ้นที่ขึ้นลงอย่างสมดุลย์


       “ราคาหุ้นของบริษัทเราขึ้นมาสามดอล เป็นสี่สิบห้าดอล ลูกค้าเราก็มีเพิ่มมากขึ้นทั้งโรงพยาบาลเอกชนและของรัฐ รวมถึงคลินิกทั้งในจีน เกาหลี ฮ่องกง และไต้หวัน


       มิกะพยักหน้าก่อนจะปิดแฟ้มแล้วลุกขึ้นไปกอดแขนร่างสูงจุนคะ มิกะหิวจัง เราไปหาอะไรทานกันดีไหมคะ?”


       “แต่นี่ยังไม่เที่ยง…”


       “นะคะจุน สั่งขึ้นมากินก็ได้


       “มิกะครับจุนฮุยถอนหายใจที่นี่บริษัท เป็นที่ทำงานนะครับ ไม่ใช่โรงแรมที่จะมีบริการรูมเซอร์วิส


       “ก็ให้เลขาคุณไปซื้อสิคะหญิงสาวทำหน้าไม่พอใจอีกครั้งแล้วส่งสายตาเหยียดๆให้ฮันโซลที่ยืนอยู่เห็นยืนอยู่ตั้งนานแล้ว คงจะไม่มีงานทำ


       เลขาหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงจะมีบ้างที่เจ้านายของเขาวานลงไปซื้ออาหารกลางวันเพราะงานยุ่ง แต่ปกติประธานเหวินจะชอบลงไปหาอะไรทานเองเสียมากกว่า และเหวินจุนฮุยไม่เคยสั่งให้เขาทำเรื่องอะไรที่ไม่จำเป็นจนกระทบถึงงานของเขาเอง แล้วเธอคนนี้ไปใครถึงมาชี้นิ้วสั่งได้ แถมใช้สายตาเหยียดหยามมองเขาเหมือนเขาไม่ใช่คนอีก


       ฮันโซลไม่ชอบมิกะ เหมือนที่มิกะไม่ชอบฮันโซล


       “มิกะครับ ฮันโซลเขาก็มีงานของเขา เราลงไปหาอะไรทานก็ได้ครับจุนฮุยเอ่ยพลางแกะมือที่เหนียวเป็นปลาหมึกของหญิงสาวออกแต่ก็ไม่เป็นผล


       มิกะทำหน้ายุ่งแล้วถอนหายใจแรงๆอย่างปั้นปึ่งก็ได้ค่ะ เห็นแก่จุนหรอกนะแขนเรียวกระชับอ้อมกอดให้แน่นกว่าเดิมอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ


       ชายหนุ่มยิ้มแห้งแล้วเดินพาหญิงสาวออกจากห้องไป โดยมีฮันโซลมองตามหลังของแขกไปอย่างหมั่นไส้


    --------------------------

       “คุณหมิงฮ่าวคะ ให้ป้าทำเองเถอะค่ะ” คนใช้หญิงวัยกลางคนเดินตามตุ๊กตาตัวบางที่ถือชามต้มมะระตรงไปที่โต๊ะอาหารอย่างเก้ๆกังๆ


       “ให้ผมช่วยเถอะครับป้าเซนิ อยู่เฉยๆอย่างเดียวมันน่าเบื่อนะครับ” หมิงฮ่าววางชามลงบนแผ่นรองไม้บนโต๊ะทานข้าวแล้วหันไปยิ้มแฉ่งให้


       “แต่ถ้าคุณจุนรู้ พวกป้าจะโดนหนักเลยนะคะ” เซนิเอ่ยเสียงสั่น ถึงจะเห็นคุณจุนของเธอใจดีอย่างนั้น เวลาโกรธน่ะน่ากลัวจะตายไป ไม่มีใครกล้าหือกับคุณเขาหรอก


       “ก็อย่าให้รู้สิครับ” ร่างบางยิ้ม “ป้าจะให้ผมช่วยทำอะไรครับ หั่นผัก สับหมู อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละครับ”


       “ช่วยอยู่เฉยๆเถอะค่ะ”


       “โหย ขอนะครับป้า ผมไม่บอกคุณจุนหรอก นะครับ” หมิงฮ่าวเบ้ปากเกาะแขนอ้อนแม่บ้านวัยกลางคน หล่อนถอนหายใจเบาๆแล้วพยักหน้าอย่างจำยอม


       “ก็ได้ค่ะ แค่ล้างผักนะ”


       “เย้!” ร่างบางอุทานอย่างดีใจแล้วกอดเซนิแน่น “ขอบคุณครับป้า” ร่างบางเอ่ยก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปในครัว


       “แค่ล้างผักนะคะ!” นางตะโกนตามหลังไปพลางเดินตามไปช้าๆอย่างยากเย็นเพราะสภาพอายุ


       “เย็นนี้จะทำอะไรนอกจากแกงเหรอครับ?” หมิงฮ่าวยืนเกาะอ่างล้างชามอย่างตื่นเต้น


       “กะจะทำผัดหมี่ซั่วกับขนมจีบค่ะ คุณหมิงฮ่าวช่วยป้าแช่เส้นหมี่หน่อยนะคะ” หญิงวัยกลางคนพูดพลางเดินไปหยิบชามหมูที่หั่นไว้แล้วบนโต๊ะกับน้ำมันตรงไปที่หน้าเตา ตอนนี้แม่บ้านผู้หญิงเหลือแค่หล่อนคนเดียวเพราะช่วงนี้คนที่ทำอาหารเป็นก็ลากลับบ้าน คนอื่นที่เหลืออยู่ก็ทำไม่เป็น และปรกติคุณผู้หญิงจะลงมาทำครัวเองด้วย


       หมิงฮ่าวพยักหน้าแล้วหยิบเส้นหมี่บนโต๊ะมาแช่ในชามอลูมิเนียมก่อนจะยกไปวางที่โต๊ะตรงกลางห้อง “เสร็จแล้วครับป้าเซนิ มีอะไรให้ผมทำอีกไหมครับ?”


       “ไม่มีแล้วค่ะ คุณหมิงฮ่าวกลับไปพักได้เลยค่ะ” แม่บ้านพูดโดยที่ไม่ละสายตาจากหมูผัดส่งกลิ่นหอมฉุยในกระทะ


       “ป้าทำคนเดียวไหวเหรอครับ” ร่างบางเอ่ย


       “โอ๊ย ป้าทำมาเป็นสิบปีแล้วค่ะ ป้าไหว” เซนิพูดพลางปิดเตาแก๊สเทหมูที่ผัดจนสุกแล้วใส่จานกระเบื้องที่วางเตรียมไว้ก่อนหน้า หมิงฮ่าวเดินเบ้ปากคอตกออกจากห้องไป


       ร่างบางเดินไปนั่งที่โซฟาหน้าทีวี สายตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะจึงนำมาเปิดอ่านฆ่าเวลาไปพลางๆแต่ก็ต้องปิดมันลงเพราะความเบื่อในใจที่มากกว่า ศีรษะเล็กหันไปทางนาฬิกาเจ้าคุณปู่ที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง เข็มทั้งสองบอกเวลาห้าโมงครึ่ง ซึ่งเขาจำได้ว่ากว่าจุนฮุยจะกลับมาก็อีกตั้งครึ่งชั่วโมง หมิงฮ่าวเบ้ปากแล้วพิงศีรษะกัยพนักพิงมองเชนเดอร์เลียบนเพดาน


        “เบื่อใช่ม้า” เฮนรี่พูดพลางนั่งลงข้างๆ “ไม่ไปเล่นกับหมิงเหลียนล่ะ?”


        “หลับอยู่ครับ” ตุ๊กตาตัวเล็กตอบ


        “โปโปล่ะ?”


        “หวงลูก” หมิงฮ่าวยู่ปาก หลังจากสุนัขตัวโตเริ่มฟื้นตัวหลังคลอดลูกหมาอ้วนกลมออกมาสี่ตัวก็เริ่มขู่และทำท่าจะเข้ามากัดเขาเมื่อจะไปเลนกับลูกสุนัข ป้าเซนิบอกว่าเป็นเพราะหวงลูกเลยจะกัดเพราะกัวเขาเข้ามาทำอันตราย


        แต่เขาแค่จะเข้าไปเล่นด้วยเองนะ!!!


        เฮนรี่หัวเราะคิกแล้วหยิบกล่องไพ่สีแดงขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง “เล่นอูโน่ไหม?”


        “ผมแพ้คุณเฮนรี่ตลอดแหละน่า” ร่างบางยู่ปาก เวลาที่คนตรงหน้าเห็นเขาเบื่อๆทีไรถ้าไม่ชวนออกไปข้างนอกก็เล่นแต่ไอ้เจ้าไพ่สีๆนี่เกือบทุกครั้ง และก็เป็นเขาที่แพ้ตลอด เกมบ้าอะไรไม่รู้มีข้ามมีวนซ้ายเวียนขวาเพิ่มสองเพิ่มสี งงจะตายชัก


        “เอาน่า ฉันก็เบื่อๆอยู่เหมือนกัน” พี่ชายเจ้าของบ้านพูดพลางย้ายที่นั่งไปที่โซฟาเล็กข้างๆ นำไพ่ออกจากกล่องแล้วสับอย่างคล่องแคล่ว “กี่ใบดี? เจ็ด? ห้า?”


        “แล้วแต่คุณเฮนรี่เถอะครับ” หมิงฮ่าวเท้าคางพลางมองมือขาวที่สับไพ่ไปมาอย่างมืออาชีพ


        “งั้นขอลองสิบใบแล้วกัน ไม่เคยลองเสียที” เฮนรี่แจกไพ่ให้คนละสิบใบแล้วรวบไพ่ขึ้นดูก่อนจะยิ้มที่มุมปาก ร่างเล็กทำตามโดยไม่ลืมเหลือบมองคนข้างตัวอย่างหวาดระเวง


        คุณเฮนรี่ยิ้มได้น่ากลัวมาก


    --------------------------


        มือหนาเปิดประตูเข้ามาพลางคลายปมเนคไทออกด้วยคามอึดอัด กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงของมิกะติดที่แขนเสื้อลอยเข้ามาแตะจมูกจนต้องเบ้หน้า บางทีเขาก็สงสัยว่าเธอฉีดน้ำหอมครั้งละเท่าไหร่ เหมือนลงไปอาบเสียมากกว่า จุนฮุนถอดเสื้อนอกออกแล้วโยนใส่ตะกร้าที่หน้าประตู เพราะคุณนายเหวินเธอชอบบ่นเรื่องที่เขากับพ่อวางเสื้อนอกไม่เป็นที่เป็นทางแล้วต้องลำบากคนอื่นมาตามเก็บเลยจัดการนำตะกร้ามาวางไว้หน้าประตูเสียเลย


        “อูโน่!” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากโซฟา จุนฮุยขมวดคิ้วก่อนจะเดินเข้าไปดูเงียบๆ ไพ่กองโตบนโต๊ะกับตุ๊กตาตัวบางที่ทำหน้าระรื่นในมือมีไพ่หนึ่งใบกับพี่ชายของเขาที่ทำหน้าคิดไม่ตก


        “ไหนใครบอกว่าแพ้ตลอด” เฮนรี่บ่นอุบพลางจั่วไพ่ออกจากกองมาสี่ใบ ค้วที่ขมวดอยู่ยิ่งขมวดเข้าหนักกว่าเดิมเมื่อเห็นไพ่ หมิงฮ่าวหัวเราะคิกแล้ววางไพ่ใบสุดท้ายลงบนกอง


        “อูโน่! ผมชนะแล้ว!” ริมฝีปากอิ่มฉีกยิ้มกว้างผิดกับคนแก่กว่าที่ทำหน้าบอกบุณไม่รับพลางโยนไพ่สิบกว่าใบสีเขียวอร่ามตาลงบนโต๊ะ


        “โอโห นั่นไพ่หรือป่าอ่ะเฮีย ชอุ่มมาเชียว” จุนฮุยเท้าแขนกับโซฟาพลางกระตุกยิ้มมุมปาก


        “ใช่ พอดีเฮียรักโลกเฮียเลยปลูกป่า ถุ้ย!” เฮนรี่ตบมุกหน้านิ่งๆแล้วเบ้ปากก่อนจะสูดจมูกฟุดฟิด  “กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงมาอยู่ที่แขนเสื้อแกได้ไง?”


        “อ๋อ ของคุณมิกะเขาอ่ะพี่ พอดีติดมากับแขนเสื้อ นี่ติดที่เสื้อเชิร์ทด้วยเหรอ” คนน้องพูดพลางยกแขนเสื้อตนเองขึ้นดม


        “ยายชะนียุ่นนมโตอ่ะนะ!?” คนอาศัยเลิกคิ้วลาทำหน้าหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม ”มาอ่อยอะไรแกอีกล่ะ?”


        “เขาแค่มาคุยงานนั่นแหละเฮีย ช่างเถอะ ไปกินข้าวดีกว่า หิวแล้ว” ร่างหนาพูดพลางดึงตัวตุ๊กตาตัวบางที่นั่งอยู่ขึ้นเดินไปที่ห้องรบประทานอาหาร ทั้งสองนั่งลงตรงที่ประจำพิเศษหน่อยตรงที่เฮนรี่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตุ๊กตาตัวเล็ก


        “มาแล้วค่า” หญิงวัยกลางคนเดินออกมาจากห้องครัว ในมือมีจานหมี่ซั่วที่เพิ่งผัดเสร็จใหม่กับขนมจีบร้อนๆวางลงบนโต๊ะ “เดี๋ยวต้มมะระตามมานะคะ พอดีป้าเอาไปอุ่น” หล่อนพูดก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัว


        “อ๋า ต้มมะระเหรอครับ” เฮนรี่เบ้ปากทำหน้ายุ่ง


        “ต้มมะระฝือมือป้าเซนิต้องอร่อยแน่ๆเลย” จุนฮุยเปรยขึ้นเบาๆ


        “คุณจุนครับ” หมิงฮ่าวผินหน้าไปทางเจ้าของบ้านที่นั่งเอานิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ


        “มีอะไรเหรอหมิงฮ่าว?” ร่างสูงหันไปถามด้วยรอยยิ้มจางๆที่มักจะมีอยู่บนใบหน้าเสมอ


        “มะระคืออะไรเหรอครับ?” มนุษย์อีกสองคนบนโต๊ะหลุดขำออกมาเบาๆ ตุ๊กตาร่างเล็กเอียงคออย่างสงสัยว่าอีกสองคนหัวเราะเรื่องอะไรกัน


        “มะระก็เป็นผักที่มีรสชาติขม แต่ประโยชน์เยอะนะ” จุนฮุยตอบ


        “และไม่อร่อย” เฮนรี่่เอ่ยเสียงเนือยๆ ก็ทำยังไงได้ เขาไม่ขอบอาหารขมๆยกเว้นกาแฟนี่นา โดยเฉพาะมะระนี่ถึงขั้นเกลียดด้วยซ้ำ


        “ยกเว้นฝีมือป้าเซนิ” คนน้องเอ่ยแย้ง


        “มะระอะไรก็ขมหมดแหละ” คนพี่เถียงพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูเพราะรู้สึกถึงแรงสั่นจากกระเป๋ากางเกง


        Zhoumi


        08x-xxx-xxxx


        นิ้วเรียวกดวางทันทีอย่างไม่ต้องลังเลหรือหยุดคิดอะไรทั้งสิ้นก่อนจะปิดเครื่องเพื่อกันอีกฝ่ายโทรมาอีก


        วันนี้มันวันอะไรเนี่ย ไม่ได้ดั่งใจสักอย่างเลย!



        เปลือกตาบางปรือขึ้นเห็นเพดานรูปสี่เหลี่ยมที่แปลกตา ร่างป้อมหยัดตัวลุกขึ้นมองไปรอบๆ เตียงที่เหมือนเห็นในโรงพยาบาลในโทรทัศน์และของใช้รอบๆตัวที่แปลกไปทำให้รู้ว่าไปใช่ที่บ้าน ระหว่างที่กำลังสับสนงุนงงอยู่สายตาก็เหลือบไปเห็นร่างเพรียวขอใครบางคนนอนคอพับอยู่บนโซฟา


        มินกยูทำปากยื่นเมื่อคิดถึงเรื่องที่วอนอูทิ้งให้เขารออยู่นานสองนาน รอจนหลับ หลับจนไม่รู้ว่าอีกคนมารับแล้ว มันน่าน้อยใจไหมล่ะ ที่คนอื่นทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองไม่สำคัญน่ะ


        ร่างเล็กทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งแต่หันไปทางอื่น มองน้ำใสๆที่หยดลงสายยางต่อมาที่หลังมือ จังหวะของแต่ละหยดเป็นไปอย่างสม่ำเสมอจนรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงน้ำหยดในโสตประสาท เพราะรู้สึกฟุ้งซ่าน ความรู้สึกมากมายตีกันอยู่ภายในอก ไม่ว่าจะเป็นโกรธ น้อยใจ และเสียใจปนๆกันกลายเป็นความรู้สึกอะไรสักอย่าง


        เขาไม่อยากถูกทิ้งอีกแล้ว


        เสียงหาวจากด้านหลังก่อนจะตามมาด้วยเสียงเดินทำให้เขารู้ว่าวอนอูตื่นเรียบร้อยแล้ว สัมผัสเบาๆที่ศีรษะทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก


        “รีบๆตื่นเสียทีสิ” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ


        “...”


        “ไม่มีนายเถียงด้วยมันเหงานะ” ร่างเพรียวพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ไหนเขาบอกว่านายไม่เป็นอะไรมากไง”


        “...” อยู่ดีๆก็รู้สึกร้อนผ่าวที่หัวตา ราวกั้นเหล็กข้างเตียงพร่ามัว น้ำใสๆไหลอาบแก้มเลอะปลอกหมอนสีขาวสะอาด


        “ถ้าคิดมากเรื่องที่ไปรับช้าหรือไม่ไปรับนาย ฉันขอโทษ”


        “...”


        “คราวหน้าฉันจะกะเวลาให้ดี แต่ตอนนี้ตื่นมาคุยสักคำ ยอมทุกอย่างเลย ตื่นเถอะน่า นายหลับไปวันนึงเต็มๆเลยนะ”


        “ทุกอย่างแน่นะ?” มินกยูถามคนที่เดาจากเสียงน่าจะยืนฟูมฟายอยู่พลางยิ้มเจ้าเล่ห์


        “อือ ทุกอย่างเลย สัญญา”


        “ลุงจะมารับผมเร็วๆทุกวัน”


        “จะไม่ให้รอเลย”


        “ซื้อช็อกโกแลตให้ผมเยอะๆด้วย”


        “จะซื้อให้กล่องใหญ่ๆเล…” วอนอูขมวดคิ้วก่อนจะหันไปทางคนที่เขาเห็นว่าหลับอยู่เมื่อครู่นั่งมองเขาด้วยรอยยิ้ม


        “สัญญาแล้วน้า~” มินกยูพูดพลางทำหน้าระรื่นไม่เหลือร่องรอยน้ำตาเมื่อครู่เยแม่แต่น้อย


        ก็หน้าลุงตอนนี้ตล๊กตลก


        “ไอ้เด็กเจ้าเล่ห์เอ้ย!” ร่างบางขยี้ศีรษะตุ๊กตาตัวเล็กจนยุ่งฟูพลางหัวเราะเสียงดัง


        “อย่าลืมช็อคโกแลตนะ!” ร่างป้อมพูดกลั้วหัวเราะแล้วปัดมือเรียวออก “บอกว่าไม่ชอบไง ลุงนี่พูดอะไรเข้าใจยากเนอะ”


        “นี่ๆๆๆ ลามปามใหญ่แล้ว” วอนอูดีดหน้าผากนูนเบาๆแล้วทำท่าจะเดินออกไปข้างนอก


        “ลุงจะไปไหนอ่ะ” มินกยูถาม


        “ซื้อช็อคโกแลตให้เด็กแถวนี้ไง” ร่างเพรียวหันมาตอบพลางส่งยิ้มใหก่อนจะเดินออกไปนอกห้องทิ้งให้เด็กชายนั่งอยู่คนเดียว



        “มินกายู~” เสียงเล็กพร้อมเจ้าของวิ่งมากระโดดโถมตัวใส่หลังของเจ้าของชื่ออย่างแรงจนเซ “หายไปไหนมาตั้งสองวันอ่ะ เรานั่งคนเดี๋ยวน่าเบื่อมากเลยนะ”


        “เราไม่สบายอ่ะแบมเลยหยุด” เด็กตัวสูงกว่าพูดลางยิ้มแหยๆ ถ้าเป็นเด็กธรรมดาอาจไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่ แต่อย่าลืมไปว่าพวกเขาเป็นไฮบริด ไม่สบายขึ้นมาทีนี่เรื่องใหญ่ แบมแบมทำหน้าตื่นแล้วจับคนตรงหน้าหมุนไปมาอย่างตกใจ


        “มินกยูเป็นอะไรอ่ะ ตัวไม่ร้อนล้วใช่ไหม?” เด็กชายแก้มกลมพูดพลางยกแขนยาวของเพื่อนตัวสูงขึ้น


        “เราไม่เป็นไรแล้วนะแบม” มินกยูหัวเราะคิก “ตอนเราหยุดไปมีเรื่องอะไรมั่งอ่ะ?”


        แบมแบมหยุดคิดอยู่สักพักก่อนจะทำส่ายหน้า “ก็ไม่มีอะไรนี่นา”


        เด็กชายตัวสูงพยักหน้าแล้วเหลือบไปเห็นครูคณิตที่เดินถือแบบฝึกหัดเข้ามาในห้องเรียนพอดี “ครูคยูมาแล้ว”


        ตุ๊กตาเด็กทั้งห้องเรียนรีบเข้าที่ของตัวเองทันทีเมื่อเห็นหน้าเรียบๆของครูคณิตศาสตร์เสียงทุ้ม ดวงตาใต้กรอบแว่นกวาดตามองไปทั่วห้องก่อนจะเริ่มพูด


        “เอาการบ้านที่ครูสังเมื่อวานมาส่งที่หน้าห้องได้เลยนะ เดี๋ยวครูจะเก็บไปตรวจ ใครลืมก็ทำเวรอาทิตย์นึงเหมือนเดิมนะ ครูขอครูประจำชั้นพวกเธอแล้ว” เสียงที่เรียบพอๆกับใบหน้าและการแต่งกายทำเอามินกยูเหงื่อตกพลางหันไปมองคนข้างๆอย่าวมีคำถาม


        “เราลืมอ่ะ” แบมแบมพูดพลางยิ้มแห้งๆใส่ เด็กชายตัวสูงถอนหายใจดังพรืดแล้วหันไปถามตุ๊กตาเด็กผู้ชายที่นั่งเหงื่อตกอยู่ด้านหลัง


        “ฮันบินๆ ครูเขาสั่งการบ้านหน้าไหนเหรอ?”


        เด็กชายที่ชื่อฮันบินส่ายหน้าทำหน้างง “มันมีการบ้านด้วยเหรอ?”


        มือป้อมตีเผียะบนหน้าผากตัวเองเบาๆอย่างระอาแล้วหันไปมองคนข้างฮันบินอย่างขอความช่วยเหลือ “แจฮยอน…”


        “ฉันไม่ได้ทำมา” แจฮยอนตอบด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่ปกติ “แล้วก็ลืมไปแล้วด้วยว่าครูสั่งหน้าไหน”


        โอ้ย! อยากจะบ้า!


        นี่คือพึ่งพาใครไม่ได้เลยใช่ไหมเนี่ย?


        มินกยูก้มหน้าฟุบกับพนักเก้าอี้อย่างปลงตกกับอีกสามคนที่ลืมทำและจำว่าการบ้านวิชาคณิตศาสตร์


        “พวกเธอสี่คนข้างหลังน่ะ รีบๆออกมาส่งได้แล้ว” คยูฮยอนพูดพลางเอาปากกาชี้ไปทางกลุ่มของมินกยู


        “ไม่ได้ทำครับ” แจฮยอนที่นั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนยกมือขึ้นตอบอย่างไม่ลังเลและไม่คิดจะแก้ตัว ครูหนุ่มถอนหายใจพรืดแล้วบ่นอย่างระอาใจ


        “อีกแล้วเหรอแจฮยอน” นักเรียนเจ้าของชื่อยักไหล่ก่อนจะฟุบหน้าลงบนโต๊ะ


        “ผมไม่ทราบครับว่ามีการบ้าน” มินกยูยกมือบ้าง


        “เธอไม่มานี่นะ” คยูฮยอนพยักหน้าช้าๆแล้วมองเด็กชายอีกสองคนด้วยสายตาคมกริบ “แล้วพวกเธอล่ะ แบมแบม ฮันบิน?”


        เจ้าของชื่อทั้งสองคนกลืนน้ำลายดังเอื๊อกก่อนจะตัดใจพูดออกมาพร้อมกันทั้งสองคนเหมือนนัดกันไว้


        “ผมลืมครับครู!/พอดีลืมครับ!”


        คุณครูตัวสูงกลอกตามองเพดานอย่างเบื่อหน่าย เวลาสั่งการบ้านทุกครั้ง เด๋กที่ไม่ยอมทำการบ้านเลยก็มีสามคนนี้แหละ สองคนสมองปลาทองอีกคนก็ตั้งใจลืม


        ใครบอกว่าเป็นครูเด็กประถมแล้วสบายพ่อจะต่อยให้คว่ำ


        “เอาล่ะ งั้นแบมแบม ฮันบิน แจฮยอน ทุกเย็นของอาทิตย์นี้ครูต้องเห็นพวกเธอทำเวรในห้องทั้งอาทิตย์” เด็กทั้งสามคนพยักหน้าอย่างจำยอม โดยมีคนหนึ่งพยักหน้าส่งๆไปส่วนอีกสองคทำหน้าเหมือนจะเป็นจะตาย


        แจฮยอนหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาเปิดไว้แต่สายตากลับมองออกไปนอกหน้าต่าง ฮันบินเอาปากกามาวาดรูปเล่น ส่วนแบมแยมน่ะเหรอ


        หลับ…


        ใช่ หลับทั้งๆที่เป็นตอนเก้าโมงเช้านี่แหละ


        มินกยูมองคนแก้มกลมข้างตัวอย่างระอาแล้วหันไปสนใจกับเนื้อหาวิชาเรียนบนกระดานต่อ เพื่อนของเขาตัวนี้ชอบหลับทุกครั้งที่เรียนคณิต ทีวิชาอื่นไม่เห็นจะหลับ แต่วิชานี้น่ะหลับได้กลับดี ไม่แปลกใจจริงๆที่จะไม่รู้ว่าครูสั่งการบ้าน


        แต่วิชาครูคยูก็น่าเบื่อจริงๆนั่นแหละ…


    -------------------
    (100%)


    ได้เวลาสนุกแล้วสิ :)
    ---------------
    กลัวอะไรกัน เราออกจะน่ารัก(?)
    ---------------
    #ทีมฮันโซล กันเป็นแถวเชียว
    ---------------
    กำเนิดแก๊งวายป่วง


    #ฟิคไฮบริดมินวอน
    เบอว่ารักแถบ <3
    CR.SHL
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×