คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ ๘
๐๘
21 ธันวาคม 25xx
ผมนั่งมองผู้หญิงสูงโปร่งในชุดรัดรูปสีดำขลับความยาวเลยเอวสวยๆนั่นมาไม่ถึงคืบ เธอโยกย้ายและเคลื่อนไหวไปมาตามทำนองเพลงเนิบนาบ แต่ชั่งรัญจวนใจ สะโพกกลมกลิ้งนั่นกำลังส่ายไปมาช้าๆอย่างกับตั้งใจจะยั่วยวนให้ผมเคลิ้มตาม และใช่ เธอทำมันสำเร็จ
ผมยกยิ้มมุมปากก่อนจะยกแล้วคอกเทลล์ทรงสูงชูขึ้นไปทางเธอ เป็นเชิงว่าชื่นชอบไม่ใช่น้อย
ไม่นานขาเรียวขาวนั่นก็ลงมาจากฟลอร์ช้าๆ สะโพกเธอบิดเร้าไปมาตาจังหวะการเดิน ก่อนจะทิ้งตัวลงบนตักผมแล้วพูดว่า...
“Ice cream Ice cream . I'll melt you down like Ice cream. Ice cream Ice cream. I'll melt you down like Ice cream~~~~”
ใช่ครับ...เธอร้องเพลง Ice cream ให้ผมฟัง....
ไอ้เหี้ย!!! แม่งไม่ใช่และ
ผมร้องครางเบาๆก่อนจะค่อยๆควานหาไอโฟนที่แฝดเสียงลั่นสนั่นเตียง สงสัยน้องฮยอนอาจะหึงผมมั๊ง
แม่งอย่าให้รู้นะว่าใครบังอาจโทรมากวนฝันอันแสนสุขที่เดี๋ยวนี้นานๆจะโผล่มาที และเช้าวันเสาร์ที่ควรจะตื่นบ่ายของกู จะฆ่าล้างโคตรแม่งเลย เหี้ยเอ๊ย!!!
ผมปรือตาขึ้นมามองเบลอแปลกแต่คุ้นนั่น....เป็นไอ้เวรเดนนรกนี่เองที่ดันโทรมาป่วนฝันหวาน...
เออแม่ง นอกจากจะฆ่าล้างโคตรแล้วกูจะจับวิญญาณถ่วงน้ำแถวๆอเมซอนให้ปิรันย่าแดกแม่ง ไอ้เหี้ยฟัคเอ๊ย!
“มีเหี้ยไร กูจะน๊อนนนนน” ผมเอ่ยน้ำเสียงไม่พอใจ เมื่อกี้แอบเหล่นาฬิกาแม่งเพิ่งจะ 10 โมง แต่นั่นไม่เท่าไหร มันดันขัดฝันผมนี่สิ ไม่น่าให้อภัยจริงๆ
(ยังไม่ตื่นอีกหรอ?)
“มีเหี้ยไร” ผมไม่ตอบ แต่กลับถามคำถามเดิมกลับแทน ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าเวลานอนของผมแม่งมีค่ามาก โดยเฉพาะวันที่ไม่มีงานแบบนี้ ถ้าเตียงผมมันเป็นคนคงเสร็จผมไปนานแล้วเนี่ย โคตรรักมันเลยพับผ่า
(เอาเสื้อมาคืนน่ะ นี่อยู่หน้าห้องแล้วครับ กรดกริ่งรอนานแล้วด้วย)
“มันดังเข้ามาไม่ถึงในห้องหรอก รออยู่นั่นแหละ เดี๋ยวออกไปเอา” ผมยีหัวแบบมึนๆ ก่อนจะรุกจากเตียงเดินออกจากห้อง แต่ก็ต้องรีบกลับเข้ามาใหม่เพื่อหาเสื้อกล้ามซักตัวใส่ ผมชอบแก้ผ้านอนน่ะ สบายดีออก แต่วันนี้ใส่บอกเซอร์ไว้ด้วย
“อรุณสวัสดิ์” มันพูดเนือยๆ
“อือ เอามาเร็วๆดิ กูจะนอนต่อ” ผมบอกเสียงมึนๆพลางเอามือเกาหัวไปด้วย
“นี่มันสายแล้วนะ” อ้าว แล้วเมื่อกี้ควายที่ไหนบอกอรุณสวัสดิ์กูวะ
“เดี๋ยวมึงเข้า’มหาลัยก็เข้าใจ เอามาเร็ว จะนอน!” ผมคว้าถุงเสื้อแล้วตั้งท่าจะปิดประตู ถ้ามันไม่ใช้มือบวกแรงควายๆมายันไว้ก่อนอ่ะนะ
“มีไรอีก” ผมท้าวเอวเอียงคอมองหน้ามันแบบมีน้ำโห เร็วๆดิวะ กูจะกลับไปหาน้องคนน๊านนนน
“เสื้อผม...” เออวะ...กูเก็บไว้ไหรวะ?
“แปปนะแปป เดี๋ยวไปเอาให้” ผมพูดไปงั้น ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเอาเสื้อมันไปยัดไว้ในซอกไหน หลืบไหนของห้อง
ยืนก้มๆเงยๆอยู่พักใหญ่ จนไอ้เจ้าของเสื้อมันเดินเข้ามาทัก
“หาไม่เจอหรอ?”
“อือ เก็บไว้ไหนก็จำไม่ได้” ผมทำหน้ามึนแบบที่มันชอบทำแล้วเกาหัวอย่างหัวเสีย ป่านนี้น้องคนนั้นเค้าหนีกูไปแล้วแน่เลย... T-T
“เฮ้อ...” มันถอนหายใจเบาๆ
“อะไร เสื้อแค่ตัวละไม่กี่ร้อย อย่าทำเหมือนตัวละล้าน ไอ้น้อง!” ผมโวยวาย แล้วๆก็ก้มๆเงยๆต่ออีกซักพัก จนเริ่มขี้เกียจ
“มึงกลับไปก่อนเหอะวะ หาเจอเดี๋ยวโทรบอก” ผมบอกเสียงเอื่อย แล้วทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างหมดแรง แม่งเหนื่อย!
“งั้นเสื้อผมมันก็ไม่ครบอ่ะดิ” มันขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วมองผมแบบปลงๆ
“ก็ซักเอาสิวะ แม่ง หิววุ๊ย ไปเอาไรมาให้กินหน่อยดิ เหนื่อย” ผมใช้มัน ทั้งๆที่ทำเสื้อมันหาย ฮ่าๆ หวังว่าคงไม่คิดเรื่องติดหนี้บุญคุณอะไรอีกนะ ไม่งั้นผมกับมันคงใช้หนีไถ่บาปให้กันไม่รู้จักจบจักสิ้นแหละ... พูดถึงเรื่องนี้ เรื่องวันนั้นมันยังไม่เคลียร์เลยนี่หว่า... ผมเองก็จนปัญญาจะหาอะไรใช้มันและ สู่ให้มันอยู่แกล้งไปเรื่อยๆแบบนี้ยังมีความสุข สนุกกว่าอีก
ก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกันนะ ที่ผมเริ่มมีความสุขทุกที่แกล้งมัน อยากจะรู้ว่าต้องแกล้งยังไง ไอ้หน้ามึนๆ อึนๆ นิ่งๆนั่นมันจะแสดงสีหน้าอื่นออกมาบ้าง... ก็หน้าค้นหาดีเหมือนกัน...
..
..
..
กูคิดอะไรของกูวะเนี๊ย!!!!
-------------------------------------------
ผมเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ก่อนจะเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อยืดสีดำ กับกางเกงลายสก๊อตสีขาวดำมาใส่ แล้วเดินเข้าครัวไปหาไอ้เด็กเสาไฟฟ้าที่ตั้งหน้าตั้งตาทำอะไรหน้าตาพิลึกกึกกืออยู่ในกระทะ เมื่อประมาณ 20 นาทีก่อน มันเห็นครัวผมมีของอะไรเยอะ เลยคึก อยากลองทำอะไรกินขึ้นมาน่ะ ไอ้ผมก็ไม่ได้ขัดอะไรมันหรอก อยากมีอะไรกินตอนเช้าที่ไม่ใช่ขนมปัง โจ๊กซอง มาม่า เหมือนกัน ขอแค่มันไม่ทำไฟไหม้ห้องเป็นพอ นี่ล่ะมั๊ง ม๊าถึงบอกว่าผมผอมลง ก็มันขี้เกียจออกไปหาอะไรกินนี่หว่า รูมเซอร์วิสก็เปลือง แถมให้กลับไปนอนก็ไม่ไหวแล้วล่ะ ตาสว่างไปตั้งแต่ออกกำลังกาย ก้มๆเงยๆตอนนั้นแล้ว
แต่เหมือนจะคิดผิดวะ... อีข้าวผัดดำๆในกระทะนี่มันคืออะไร?
“ทำเหี้ยไรมึงเนี๊ย?” ผมเอาส้อมเขี่ยๆข้าวเหลืองๆ เกรียมๆแบบใกล้จะไหม้เต็มแก่ในกระทะดู
“ข้าวผัด...มั๊ง”
“มึงแน่ใจ สภาพแม่งอย่างกับข้าวผัดไปเดินลุยไฟ แดกไปแถมมะเร็งกระเพาะด้วยมั๊ง” มะเร็งกระเพาะ? มีป่าวว่ะ? ไอแอมซอรี่ พอดีไม่ได้เรียนหมอ ฮ่าๆ
“ก็...ทำตามที่เว็บบอกทั้งหมดนะ แต่ทำไมเป็นอย่างนี้ก็ไม่รู้” มันขมวดคิ้วสงสัย แล้วเอาตะหลิวเขี้ยๆซากข้าวเผาไฟในกระทะ
“ตามเว็บ? นี่มึงอยาบอกนะว่ามึงทำครั้งแรกอ่ะ?!”
“……..อือ” ... โอ๊ยเหี้ย! ดีนะห้องกูไฟไม่ไหม้ นึกว่ามึงทำเป็นซะอีกไอ้ฟัค โถ... เห็นเข้ามาควงตะหลิวซะกระฉับกระเฉง หลงนึกว่าทำเป็นเลยไว้ใจ... เกือบตายแล้วไหมล่ะ
“ไอ้เหี้ย กูก็นึกว่ามึงทำเป็น ห้องกูไม่ไหม้ก็บุญเท่าไหร่แล้วเนี๊ย!”
“ขอโทษ... เห็นเขาทำกันง่ายๆนี่นา” หน้ามันออกแนวสำนึกผิด...อย่าใจอ่อนเชียวนะไอ้การ์ด....
“เออ ชั่งแม่งเหอะ สั่งพิซซ่ามาให้กูเลย ออกตังเองด้วย” สุดท้ายก็ ใจอ่อนจนได้.... คนเรามันก็ไม่มีอะไรเพอร์เฟคไปหมดหรอกเนอะ มันก็ผิดพลาดกันได้มั่ง ยกโทษให้มันก็แล้วกันวะ
“อื้ม” มันยิ้มหน้าแป้นแล้น
“เออ กระทะ เขียง ล้างด้วยนะ ล้างแม่งทั้งครัวเลย มึงล้างจานเป็นใช่ไหมฮะ?” ผมถามย้ำ เผื่อแม่งไม่เคยล้างจานอีก “อืมดี กูจะดูทีวีนะครับ” ผมว่าเสร็จก็เดินอาดๆไปที่ห้องนั่งเล่นเมื่อมันพยักหน้าหงึกๆเป็นคำตอบ ก่อนจะทิ้งตัวลงที่โซฟาร์ กดรีโหมดเปิดทีวี อุบร๊ะ เฮงเฮงเฮง ไม่ได้ดูมานานเท่าไหรแล้วน้า ตื่นไม่เคยทันซักที แต่ก็ดูได้แป๊ปเดียวก็จบซะงั้น ผมเลยนั่งกดช่องทีวีย้อนไปย้อนมา ก่อนที่เสียงกริ่งมันจะดังขึ้น เรียกให้ผมรุกขึ้นไปเปิด แล้วรับถุงพิซซ่าถุงใหญ่ๆถือเข้ามาวางบนโต๊ะกระจกคู่โซฟา
“ยังไม่เสร็จอีกหรอ ไอ้แล้วนะเว่ย” ผมตะโกนบอกไอ้เสาไฟมีชีวิตในครัว มันแค่อือๆออๆ แล้วก็เงียบไป ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร หิว! กินก่อนแหละ
พักนึงมาก็เดินเอามือถูๆเช็ดๆกางเกงออกมา แล้วทิ้งตัวลงข้างๆผม หยิบพิซซ่าไปชิ้น แล้วนั่งกินไปดูทีวีไป
“หน้ามึงเลอะฟองน้ำยาล้างจานอ่ะ”
“หือ? ตรงไหนอ่ะ?” มันลูบๆหน้าเบาๆ
“แก้ม” ผมบอกจุดที่ฟองเลอะ แต่เอามือมาลูบที่คางตัวเอง มันมองผม แล้วก็ทำตาม โดยการเอามือลูบๆที่คาง
“แก้มบ้านมึงอยู่ตรงนั้นรึไง” ผมพูดติดตลก เยส! มีคนติดกับกูซักที เคยโดนไอ้เต้เอามาแกล้ง เป็นควายอยู่นาน ใช้กับชาวบ้านก็ไม่ได้ผล มึงคนแรกนะเนี๊ย! ภูมิใจ ฮ่าๆๆ
ผมยื่นหน้าไปใกล้ๆมัน ก่อนจะค่อยๆเอานิ้วโป้งปาดๆฟองออกไป มันคงเอามือเลอะฟองไปเช็ดหน้ามั๊ง ผมก็เคยนะ แต่ไม่ได้โมเอะแบบมัน เพราะของผมมันเป็นถ่านตอนเข้าค่ายรด.!
“อือ เสร็จและ” ผมละสายตาจากแก้มมัน แต่ก็ต้องชะงักกึก เพราะพอละสายตายออกมาสายตาก็ปะทะกับตาสีดำสนิทของมัน
เหมือนมีแรงดึงดูด ให้ผมไม่สามารถละสายตาออกไปได้
เหมือนมีแรงดึงดูด ให้ใบหน้าเราคลืบคลานเข้าหากันช้าๆ
แหละเหมือนมีแรงดึงดูด ดึงเอาไว้ไม่ให้ผละหนี....
จนผมสัมผัสได้ถึงผมหายใจของมัน ถึงทีวีข้างหน้าจะเปิดไว้ แต่ผมกลับได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังโครมครามอย่างชัดเจน ก่อนจะหรี่ตาลงช้าๆ ภาพที่ริมฝีปากตรงหน้าแนบชิดกับริมฝีปากผมในคืนนั้น ทั้งๆที่พยายามลืมไปได้แล้วแท้ๆ ก็ผุดขึ้นมาอีก เล่นเอาเลือดไหลเวียนบนใบหน้าจนร้อนฉ่า...
ก่อนที่ริมฝีปากเราจะค่อยๆสัมผัสกัน...
“ไอ้การ์ด!!! กูอยากแดกเหล้าอีกแล้ววววว!” เสียงเปิดประตูตามมาด้วยเสียงเพื่อนสนิทแหกปากลั่นดังเข้ามา จนผมต้องรีบผละออกจากมัน...
..
..
..
นี่กูทำอะไรของกูอีกวะเนี๊ย!!?!
-------------------------------------------
25 ธันวาคม 25xx
ผมเดินออกมานอกคณะแล้วหันซ้ายแลขวาหาพวกพระสหายทั้งหลาย ก่อนที่จะสังเกตเห็นไอ้นักบอลมหาลัยโบกมือขึ้นเล็กๆให้พอสังเกตเห็น
ดูจากวันที่ก็น่าจะรู้ใช่ไหมล่ะครับว่าวันนี้วันอะไร? หรือไม่เคยมีใครสังเกตกันเลยวะเนี่ย -___-
ฮั่นแหน่! ได้แอบเหลือบขึ้นไปมองรึเปล่า!? ถูกต้องคร๊าบบบบบ! วันคริสต์มาส!
แล้วไอ้กลุ่มหนุ่มโสดวัยกลัดมันอย่างพวกผมที่ไม่มีแฟนให้ไปสวีทหวานแหวว ในวันพิเศษแบบนี้มันจะทำอะไรได้ล่ะนอกจากจับกลุ่มกันเป็นก้อนแล้วเมากันให้ลืมโลก เห็นหล่อๆยกแก๊งค์ก็ใช่ว่าจะมีแฟนนะครับ
อย่างไอ้เต้นี่ก็เป็นพวกไม่ชอบผูกมัด วันไนท์สแตนด์ แต่ในคืนอย่างนี้มันก็เลือกที่จะไปสำมะเลเทเมากับเพื่อนฝูงมากว่าหาผู้หญิงซักคนมาแก้หนาวล่ะน่า
ไอ้มิลค์ก็เพิ่งเลิกกับพี่สาวปี 2 ที่หน้าอกหน้าใจกว้างขวางเอาการไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เล่นเอาผมแอบเสียดายแทนเล็กๆ ส่วนแฝดมันก็ให้เหตุผลว่า มีแฟนแล้วดูไม่ป๊อป ก็เลยครองโสดหลีสาวไปทั่ว
ส่วนผมนี่ก็อย่างที่บอกไปตอนต้นแหละครับ เวลาจะนอนยังแทบจะไม่มี สาวๆที่เคยดูๆไว้ก็เริ่มหายหน้าหายตาเพราะผมไม่ได้มีเวลาไปลองคบหาดูใจซักที ถ้าลองคบกันผมว่าผมก็คงไม่มีเวลาไปนั่งสวีทกับเธอๆอยู่ดี ยังเคยสงสัยเลยว่าไอ้พวกนี้มันเอาเวลาที่ไหนไปทำเรื่องแบบนั้นกัน
“สวัสดีครับพ่อคนรูปหล่อ~”
“เป็นเหี้ยไรกันวันนี้ จะให้กูเป็นคนออกค่าเหล้ารึไง?” ผมถามพลางส่งสายตาไม่ไว้วางใจ เพราะหลังจากที่เดินมาถึงไอ้มินก็ทักแปลกๆแบบที่ถ้าไม่หวังอะไรก็อย่าคิดว่าจะได้ยิน
“เปล่าซะหน่อย มึงเห็นกูเป็นคนอย่างนั้นรึไงครับคุณเพื่อนที่รัก” ไอ้เต้พูดด้วยหน้าดัดจริตว้อนท์ตีนสุดฤทธิ์
“แล้ว...พวกมึงมีไรกันวะ?” ผมยังไม่เลิกส่งสายตาไม่ไว้วางใจ
“มึงรู้จักแกรนด์ คณะกูป่ะ?” อ๋อ... แกรนด์คณะนิเทศ คณะเดียวกับไอ้มิน จำได้ว่าเคยเห็นบ่อยๆแล้วก็เคยคุยด้วยสองถึงสามครั้งมั๊งครับ เหมือนผมจะปากหมาไปแซวเขาเล่นครั้งนึงว่าเป็นเด็กไอ้มิน แล้วอีกครั้งก็เคยคุยเล่นด้วยนิดหน่อยตอนไปรอมินมันหน้าคณะ น่ารักไม่หยอกเลยล่ะ ดูท่าจะป๊อปมากด้วย
“อือ น่ารักดี ”
“เค้าฝากนี่มาให้มึงแหละ” มันยื่นซองจดหมายสีขาวสะอาดๆที่มีสติกเกอร์รูปหัวใจสีฟ้าปิดผนึกเอาไว้
“อ... อะไร?”
“ซองกฐิน” ไอ้มิลค์ว่าหน้าตาย
เออ ด้วยนี้วัดเค้าหน่อมแน้มดีเนอะ... ถุ๊ยยยยยยย!!! ไอ้ของแบบนี้น่ะ มันจดหมายสารภาพรักชัดๆ!
แกรนด์... ชอบผม?
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!! กูอยากขี้เหร่จริงๆ
“มึงไม่ล้อกูเล่นนะ?” ผมยังไม่เลิกส่งสายตาไม่ไว้วางใจไปให้พวกมัน
“โทษทีวะ กูล้อเล่น ขอคืนนะ” สีไอ้มินนี่หน้านิ่งสัสๆ
“เฮ๊ย!” ผมยืนชักซองจดหมายกลับด้วยความเร็วแสงหลังจากที่ไอ้เต้จะยื่นมือมาตะปบ
“แหม มีหวง เดี๋ยวนี้กัซซี่เห็นผู้หญิงดีกว่าเพื่อนสินะ” ก็ไม่วายกระแนะกระแหน เหอๆ อิจฉาก็บอก
ผมทำเป็นไม่สนใจมันก่อนจะค่อยๆลอกสติกเกอร์นั่นออกแล้วเอาไปแปะไว้มุมซอง สมกับหน้าตาน่ารักๆกับลุควินเทจของเธอแฮะ เลือกวิธีน่ารักๆคลาสสิกดีจริงๆ ถึงสมัยนี้มันจะค่อยมีคนนิยมเขียนกันแล้วก็เถอะ แต่ผมว่าผมชอบนะ มันดูยุ่งยากแต่จริงใจน่าดู ถ้าเทียบกับสมัยนี้ที่บอกรักกันก็ใช้โซเชียล โดยเสียแค่ค่าไฟกับพลังงานในกระขยับนิ้วสองสามที
ผมค่อยๆคลี่กระดาษสีครีมๆออก มันมีกลิ่นหอมสบายๆติดอยู่ ก่อนที่ผมจะอ่านข้อความที่เขียนโดยปากกาสีฟ้าด้วยลายมือน่ารักๆนั่น ดูเหมือนจะใส่ใจทุกรายละเอียดเลยแฮะ
‘เราเห็นเธอที่หน้าคณะบ่อยๆ เลยอยากลองรู้จักแล้วก็คุยกับเธอดูน่ะ
เรารู้จักคาเฟ่อยู่ร้านหนึ่ง ขนมอร่อยมากๆเลยนะ ก็เลยอยากลองชวนเธอไปลองดู เพราะยังไม่ค่อยมีคนรู้จักเท่าไรเลย! ถ้าสะดวกก็หนึ่งทุ่ม 25 ธันวานี้นะ! ^^
หวังว่าเราจะได้คุยกันนะ
แกรนด์
20/12/xx’
ผมอ่านข้อความในใจ พลางจินตนาการว่าผู้หญิงน่ารักๆท่าทางขี้อายอย่างนั้นมานั่งเขียนจดหมายนี่ ตอนเขียนเธอคงน่ารักหน้าดูเลยน้า คงเรียบเรียงประโยคอยู่นานน่าดูเลยด้วย... เขินวุ๊ย
ผมหยิบนามบัตรร้านอาหารสีครีมออกมาจากซอง เหมือนร้านนี้เคยเห็นผ่านๆแต่ก็ยังไม่เคยเข้าไปซักที
“แหม~ ดูท่าทางคืนนี้ท่านการ์ดสุดหล่อมันจะไปกับเราไม่ได้แล้ววะครับคุณเต้” ไอ้มิลค์ที่ชะโงกหน้าอ่านกลับหัวหันไปพูดกระแนะกระแหนกอดคอกับไอ้เต้สองคน
“ไม่”
“ไม่ไป?”
“ไม่เสือกจ้าา”
“สัส ใช่ซี๊”
“มีเพื่อนหล่อก็ต้องทำใจหน่อยเว่ย” ผมยักคิ้วแล้วตบไหล่เบาๆให้มันหมั่นไส้เล่น แล้วเก็บจดหมายใส่กระเป๋า “ไปส่งที่คอนโดหน่อยดิ” ที่ตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะไปเมามันทั้งชุดนิสิตนี่คงต้องเป็นแผนแล้วล่ะ :’)
-------------------------------------------
ผมเช็คตัวเองในกระจก ผมสีช็อคโกแลตที่ปรกติจะปล่อยให้มันตกลงตามตามแรงโน้มถ่วงปิดหน้าผาก ตอนนี้ผมก็เซ็ทมันขึ้นไปให้ตั้งๆ ผมเลือกใส่เชิร์ตสีขาวแล้วสวมสเวตเตอร์คอกว้างทับ มันสีครีมกลางตัวเสื้อมีลายทางพาดอยู่สีแดงเขียวสามสี่เส้นให้ดูเข้ากับเทศกาลวันคริสต์มาส กับยีนส์สีดำ ตบท้ายด้วยร้องเท้าผ้าใบหุ้มข้อสีแดง
แหม...หล่อจ๊าบซะไม่มีเลยวุ๊ย...
หลังจากพอใจ มองนาฬิกาก็จะหกโมงแล้ว ร้านมันอยู่ห้างจากคอนโดผมอยู่ไม่ไกลมาก แต่รีบไปดีกว่า วันแบบนี้รถต้องติดแน่ๆ ผมไม่อยากจะสายเท่าไร
คิดได้ก็คว้ากุญแจบีเอ็มสีแดงคู่ใจที่เพิ่งโทรบอกให้ที่บ้านช่วยขับมาให้เมื่อเย็น ก็วันแบบนี้บีทีเอสมันคงคนเยอะน่ะครับ แล้วก็....อยากเท่โชว์สาวนิดนึง เผื่อจะได้ขับไปส่ง ฮ่าๆๆๆๆ ถึงรถมันจะเยอะเหมือนกันก็เถอะนะ...
นี่ผมดูตื่นเต้นกับนัดครั้งนี้เกินไปรึเปล่านะ... ก็ไม่มีใครมาตั้งครึ่งปีแล้วนี่หว่า... มีคุยบ้างก็เป็นแค่ช่วงสั้นๆ
อืม..... ก็ครึ่งปีมาแล้วนี่หว่าที่เลิกกัน แต่ไม่ยักจะลืมได้ซักที...
ผมสะบัดหัวไล่ความคิดดราม่าๆทิ้งไป เอาน่า! จะปีใหม่แล้วก็ลองเริ่มต้นอะไรใหม่ๆดูบ้าง!
เดินควงกุญแจรถแล้วฮัมเพลงมาเรื่อยๆจนเดินถึงประตูรถแล้วเข้าไปก่อนจะวางเป้ไว้ที่เบาะนั่งข้างๆ
แกรบ...
เสียงเหมือนกระเป๋าผมทับอะไรกรอบๆซักอย่างทำให้ต้องยกกระเป๋าขึ้นมาดู
กุหลาบกรอบๆสีน้ำตาลไหม้ๆ กลีบสองสามกลีบของมันล่วงลงค้างอยู่ในห่อพลาสติกใสๆจากแรงกดทับเมื่อกี้
ผมขมวดคิ้วแล้วหยิบขึ้นมาพิจารณาช้าๆ... อ๋อ... กุหลาบไอ้โฟล์คในตอนนั้น
มองมันอยู่นานผมก็เอามันวางไว้บนกระเป๋า
เฮ้อ.... วันดีๆแบบนี้แต่มาเจอของจากไอ้ตัวอัปมงคลนั่น จะรอดไหมล่ะเนี่ย
-------------------------------------------
ผมนั่งอยู่ในร้านกาแฟในนามบัตรตอนนั้น ตรงข้ามผมคือผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งในชุดเดรสวินเทจเรียบร้อยๆสีพีช ผมสั้นๆสีน้ำตาลอ่อนของเธอดัดหยิกประบ่าแล้วเราะหน้าม้าขึ้นไปรัดเป็นจุกเล็กๆติดด้วยกิ๊ฟรูปเชอร์รี่สีแดงสด...
น่ารัก...
ผมมาถึงที่นี่เมื่อ 15 นาทีก่อนก็เจอเธอนั่งรอผมก่อนแล้ว
“วันนี้หนาวจังเลยน้าา...” ผมเปิดเรื่องคุยจากอะไรใกล้ๆตัว
“อื้ม ปีนี้หน้าหนาวมาเร็วมากเลย ดีเหมือนกันนะเนี่ย...”
“แต่กลางวันก็ยังร้อนเหมือนเดิม ฮ่าๆ .....หน้าร้อนนี่มันแทรกแซงเขาไปทั่วจริงๆ” อันหลังผมบ่นเบาๆแต่ดูเหมือนอีกคนเขาจะได้ยินแฮะ แอบขำนิดๆด้วย น่ารักจังง
“บรรยากาศดีจังเลยน้า คนไม่เยอะด้วย” ผมเปลี่ยนเรื่องแล้วกวาดสายตาไปรอบๆร้าน ก็ไม่ใช่ว่าเป็นคาเฟ่น่ารักหวานแหววหรอกครับ ร้านดูจะตกแต่งแบบสบายๆและใช้ต้นไม้เป็นเครื่องตกแต่งซะมากกว่า
“เพิ่งเปิดเอง แต่อร่อยนะ!”
“มาบ่อยแน่เลย”
“อืม หาที่อ่านมิดเทอมไง ฮ่าๆ” เพิ่งผ่านไปสดๆร้อนๆเลยล่ะครับไอ้มิดเทอมเนี่ย
“อ๋อ.... แหม เราโชคดีสิเนี่ย” ผมดูชิวใช่ไหมล่ะครับ คณะผมเอาเข้าจริงมันสอบนิดเดียวแหละ แถมเสร็จก่อนชาวบ้านเขาด้วย คะแนนมันมาจากงานล้วนๆ
ผมคุยนั่นนี่กับแกรนด์ไปเรื่อย ดูจากบุคลิกค่อนข้างขี้อาย ตอนแรกๆอาจจะไม่ค่อยกล้าคุยกับผมเท่าไร แต่พอได้คุยไปเรื่อยๆผมว่าเธอเป็นคนมีเสน่ห์มาก เวลายิ้มตาโตๆจะหยีกลายเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว
“เราขอตัวไปห้องน้ำแป๊ปนึงน้า” เธอว่าแล้วยิ้มตาหยีหลังจากที่เราคุยกันมาเนิ่นนานรวมชั่วโมงได้
“คร๊าบบบ” ผมยิ้มกลับ ก่อนจะมองสาวเจ้าเดินออกไป แล้วหยิบช้อนขึ้นมาตักเครปเค้กเข้าปากรอ ผมเอาไอโฟนจากเป้ข้างๆขึ้นมาหมายเล่นระหว่างรอ แต่แจ้งเตือนจากหน้าจอล็อคก็ทำเอาผมขมวดคิ้วงุ่นเมื่อเห็นไอค่อนสีเขียวๆ
‘Fu*k!!: sent you an audio message’
ไอ้โฟล์คเองครับ...อย่าตกใจกับช่อมัน ผมเปลี่ยนให้สดๆร้อนๆวันที่คุยไอ้อักษรย่อกันนั่นแหละ..
ว่าแต่...ข้อความเสียง...? ไอ้ห่านี่เล่นอะไรอีกวะ...
ผมสไลด์หน้าจอแล้วป้อนรหัสผ่าน ผมจ้องได้ข้อความเสียงความยาวสองวินั่นแบบงงๆ ก่อนจะกดเล่นแล้วเอาตูดโทรศัพท์มาจ่อหู
‘เมอร์รี่คริสต์มาส’
ม ม มึงเล่นอะไรของมึงวะเนี่ยยยยย!!
ไอ้คำ 2 คำ สี่พยางค์จากที่ไม่ได้ออกสำเนียงอะไรมากมายนั่นมัน...ทำเอาผม... ใจเต้น...?
-------------------------------------------
#แก้บวกรีไรท์ใหม่นิดหน่อยค่า
ความคิดเห็น