ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Twins number [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #19 : บทที่ ๑๘

    • อัปเดตล่าสุด 20 พ.ค. 59





    ๑๘ 

     

     

     

     

     

    22 มกราคม 25xx

     

    สังเกตไหมครับว่าผมข้ามวันที่มาเยอะมาก.... มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรหรอกนอกจากผมไม่รู้ว่าจะบรรยายไอ้ชีวิตที่วนกลับมาวัฏจักรเดิมทำไม....เรียน ทำงาน เรียน ทำงาน เรียน ทำงาน ว๊ากกกกกกกก แล้วกินกับนอนของกูมันหายไปไหน~

     

    ตอนนี้เวลาเรียนเหลือน้อยเต้มทีครับ เดือนๆกว่าๆ งานก็เลยกลับมาหลั่งไหลเหมือนเดิม แต่ผมจะไม่ว่าอะไรเล๊ย เมื่อโปรเจคใหญ่ๆมันไม่ได้ลงมาบึ้มมมมมม ทีเดียวแบบนี้

     

    ถ้าถามถึงสภาพผม... บอกเลยครับ ถ้ามีหนังอะไรแล้วมีบทซอมบี้ คุณสามารถจับผมไปเล่นได้เลยโดยไม่ต้องแต่งหน้า!!!

     

    งานเยอะมันก็ดีอยู่หรอก ก็ไอ้เรื่องไม่เป็นเรื่องต่างๆนานาถูกกลบทับซะมิดเลย ยอมรับครับว่าเรื่องไอ้ซียังคงวนเวียนอยู่ในหัวผมทุกเวลาที่สมองว่าง แต่ตอนนี้สมองผมมันคงจะไม่มีที่ว่างให้อะไรมาแทรกแล้วล่ะ คาร์บอนไดออกไซด์มันเล่นซะเอี๊ยดเลย ก็เล่นซะเวลาหลับนอนไม่มีเลยนี่

     

    เริ่มและครับ เริ่มล้า ปวดหัว เพลีย!!

     

    ผมจำยอมลุกออกจากโต๊ะดราฟ แล้วเดินสะโหลสะเหลข้ามกองกระดาษที่กระจัดกระจายเต็มพื้นเข้าห้องครัว เปิดตู้เย็น.... เพื่อพบกับความว่างเปล่า....

     

    อ่า.... เหมือนผมจะไม่ให้แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดหลายอาทิตย์แล้ว นั่นทำให้ไม่มีคนซื้อของเข้าตู้เย็นให้ ซวยจริง สภาพตู้เย็นที่มีแค่น้ำเปล่ากับเศษถุงพลาสติกหรือขวดบรรจุภัณฑ์ที่ผมกินของข้างในมันหมดแล้วแต่ขี้เกียจทิ้ง...  โอยยยยยย ตอนนี้ขอแค่ M-150 ซักขวดก็ยังดี ToT

     

    ผมจำยอมหยิบน้ำเปล่าขึ้นมากระดกอึกๆแบบไม่ใช้แก้วรัวๆเหมือนจะประชดชีวิต และแอบหวังว่ามันจะช่วยประทังท้องไปก่อน เหลือบมองนาฬิกาบนผนังห้องก็บอกเวลาหกโมงเย็น... วันนี้เป็นวันอังคาร... ใครว่างพอจะหาอะไรมาสนองกระเพาะน้อยๆที่ร้องโครกครากนี่บ้างนะ...

     

    บรรดาเพื่อนสนิทมิตรสหาย..... ตัดทิ้ง.... ไอ้เต้ มิลค์ มินนี่...ถึงมาแค่คนเดียวก็สามารถสร้างความเสียหายมหาปลัยได้ ส่วนไอ้เชี่ยปั้นก็อยู่ในชะตากรรมเดียวกับผม...

     

    เฮีย.... ได้ข่าวว่าช่วงนี้งานเยอะ ไม่เอาๆ ตัดทิ้ง...

     

    นอกจากนี้แล้วชีวิตผมมันเหลือใครอีกวะ... ผมก็เพื่อนเยอะนะ แต่พอถึงเวลาต้องการความช่วยเหลือ มันจะมีแค่ไม่กี่คนหรอกที่กล้าขอ...

     

    อยู่ๆหน้าหล่อๆของไอ้คุณลูกหนี้มันก็เข้ามา... ไม่ได้เจอมันมาตั้งแต่คืนนั้นแหละครับ อาทิตย์กว่าๆ งานผมมันยุ่งนี่... แต่ถึงไม่ยุ่ง ทำไมจะต้องเจอหน้ามันด้วยล่ะวะ?

     

    สาธุ....ขอให้มึงป้วนเปี้ยน เรียนพิเศษ ชอปปิ้ง กินข้าว ดูหนัง เดินอินดี้ หรือห่าอะไรก็แล้วแต่อยู่แถวนี้เถอะ... อย่าถามครับว่าทำไมผมคิดถึงมัน ก็คิดดูสิ บังเอิญเจอมันกี่ครั้งก็แถวๆสยาม และคอนโดผมมันก็อยู่ใกล้ๆกัน แถมมันก็ว่านอนสอนง่ายไม่เรื่องมากดี ใช้ให้ทำอะไรก็ทำ...

     

    ผมวางขวดน้ำไว้บนโต๊ะ แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหยิบโทรศัพท์มาปลดล็อคแล้วกดเบอร์โทรที่พิมพ์ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว... ถึงตอนนี้ผมยังคงขี้เกียจเซฟเบอร์มันอยู่ครับ ฮ่าๆๆ

     

    แต่แทนที่จะเป็นเสียงตู๊ดดดดดด รอสาย กลับกลายเป็นเสียงพี่สาวคุ้นหู...

     

    (ขอโทษค่ะไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ)

     

    แบตหมด? ปิดเครื่อง? เอาเถอะ ถึงจะเพราะสาเหตุไหนมันก็บอกผมชัดเจนแล้ว...

     

    ลง ไป หา แดก เอง ครับ คุณ การ์ด!!!

     

     

    24 มกราคม 25xx

     

    ผมแทบจะตบกะโหลกตัวเองอีกครั้ง เมื่อเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อนย้อนกลับมาอีกครั้งเหมือนเดจาวู...

     

    สวัสดี คุณตู้เย็นที่ว่างเปล่า...

     

    คราวที่แล้วผมก็ซื้อมาเยอะนะเว่ย! แต่คงเพราะผมทำงานหามรุ่งหามค่ำ แล้วก็กินแบบหามรุ่งหามค่ำไปพร้อมๆกันด้วย มันถึงหมดเร็วขนาดนี้! ไอ้สมองที่เหมือนจะเอาไปลงกับเรื่องงานหมดก็ดันทำให้ผมเอ๋อแดก ลืมไปเลยว่าตู้เย็นตัวเองโล่งโจ้งแล้วนะ เตือนแค่ให้รีบกลับมาทำงานต่อจนไม่ได้ห่วงอย่างอื่นเล๊ย!

     

    และผมก็ทำเหมือนเมื่อวันก่อนเป๊ะ ไล่รายชื่อคนที่สามารถจับจ่ายของกินมาให้ได้ แต่ก็มาตกอยู่ที่ไอ้เด็กคนเดิม...

     

    ตูดขนมปังที่เคยมองข้ามเพราะไม่ชอบถูกเข้าปากด้วยความหิว ผมเดินเคี้ยวตุ้ยๆมาหยิบโทรศัพท์และทำแบบเดิมเด๊ะๆ ถึงนี่จะทุ่มนึงแล้วแต่ผมก็ยังหวังว่ามันจะยังใช้ชีวิตอยู่แถวๆนี้...

     

    และผลที่ผมได้รับมาก็ดันเหมือนเดิมเด๊ะๆเหมือนกัน....

     

    (ขอโทษค่ะไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ)

     

    เฮ๊ย!!!! อะไรกันวะ? นี่มึงยังไม่เปิดเครื่องอีก? หรือแบตหมด? หรืออะไร?

     

    ผมบ่นงุ้งงิ้ง เอาโทรศัพท์มามองด้วยสายตาไม่เข้าใจ ครั้งแรกน่ะ พอเข้าใจนะ แต่พอมาเจออีกครั้งมันก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้... หรือว่ามันจะมีเรียนพิเศษ?

     

    ต...แต่ผมว่าผมยังไม่ได้รับไอ้ข้อความที่บอกว่ามันเปิดเครื่องเลยนี่หว่า? มันจะปิดตลอดเลยงั้นหรอ?

     

    โทรศัพท์พัง?

    ตกน้ำ?

    หาย?

    เปลี่ยนเบอร์?

     

    ผมพยายามหาเหตุผลต่างๆที่ติดต่อมันไม่ได้ขึ้นมาอ้าง แต่อย่างน้อย...มันก็น่าจะบอกผมดิ? ใช่ไหม? ผมเป็นถึงผู้เดือดร้อนที่ถูกมันโรคจิตใส่จนเสียคะแนนสอบเลยนะเว่ย!!....

     

    อ่า... ไม่สิ ใช้คำว่า ‘เป็นถึงได้ไงวะ... ผมว่าผมมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นนะ...

     

    บางที มันอาจจะเริ่มฉลาดคิดว่าการชดใช้อะไรนั่นมันควรสิ้นสุดตั้งแต่ปีใหม่... เพราะหลังจากนั้นถ้าผมไม่เสือกไปเลี้ยงสายร้านนั้นก็คงไม่ได้เจอมันอยู่แล้ว....

     

    ฮะๆ..... มึงมาอีกแล้วนะ......ไอ้ความรู้สึกโหวงๆที่อกกับจี๊ดๆที่หัวใจเนี่ย...

     

     

    25 มกราคม 25xx

     

    เวลาเกือบๆห้าโมงเย็นเป็นเวลาที่ผมถึงห้อง กระดานรองเขียนกับซูมใส่แบบที่เดี๋ยวนี้พกติดตัวบ่อยยิ่งกว่าสติสตังถูกวางลงแบบลวกๆ ก่อนที่กระเป๋าเป้ใบเก่งจะลอยระริ้วปลิวว่อนไปอยู่บนโซฟา

     

    ผมใช้ขาที่ดูเหมือนไม่มีแรงเต็มทีเดินโซเซเข้าห้องนอน ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อแล้วถอดออก ตามมาด้วยกางเกงโดยที่ไม่ลืมตา ผมขยำๆเสื้อผ้าแล้วโยนไปในที่ที่คิดว่ามีตะกร้าผ้าตั้งอยู่ ลงไม่ลงไม่รู้ ไม่สนเว่ย!

     

    แขนขาถูกกางแผล่หลาด้วยเสื้อกล้ามสีขาวกับบ็อกเซอร์รับไอเย็นจากแอร์ ว่าจะหลับเอาแรงซักหน่อย แล้วค่อยตื่นมารุยงานเอาดึกๆ ยังไงซะพรุ่งนี้ก็วันเสาร์ หลับซักชั่วโมงจะเป็นไร

     

    แนะนำว่าถ้าไม่รักจริง ความอดทนไม่สูง หรือไม่อึดพอ อย่าเรียนครับสถาปัตย์ งานเยอะโคตรพ่อ!!!

     

    ผมตะแคงตัวแล้วเอามือควานหาหมอนข้างก่อนจะดึงมันเอามากอดแล้วซุกหน้าเข้าหาความนุ่มของมัน

     

    อ่า.... ทำไมอยู่ๆกูคิดถึงมึงวะเนี่ย.... ไอ้เหี้ยฟัค...

     

    หายหัวไปไหนของมึงนะ นี่มันอาทิตย์กว่าแล้วนะเว่ย....ทีเมื่อก่อนล่ะบังเอิญเจอกันบ่อยชิบหาย พอจะหาย มึงก็หายไปดื้อๆเนี่ยนะ?

     

    เอาเถอะ.... บางทีมันคงจะ ไปแล้วจริงๆนั่นแหละ

     

    “ฮะ....ฮะๆ” ผมหัวเราะออกมาเบาๆแล้วกระชับหมอนข้างเบียดหน้าเข้าหาเข้าไปอีก

     

    ทำไมกอดหมอนข้างมันไม่รู้สึกดีเหมือนกอดมึงเลยวะ....

     

    -------------------------------------------

     

    ควันบุหรี่สีเทาจางๆถูกพ่นออกมาจากปาก ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าเป็นคนไม่ชอบสูบบุหรี่ แต่จะหยิบมันขึ้นมาเพียงสองกรณีคือ หนึ่ง เครียด สอง ต้องการอารมณ์ติสๆไว้ทำงาน....

     

    วันนี้ผมเอามันขึ้นมาใช้เพราะเหตุผลที่สอง.... กูคิดไม่ออกเว่ยยยย!!

     

    ผมเอาบุหรี่ไปเคาะเบาๆบนที่เขี่ยแล้วเอาขึ้นมาสูบใหม่ ตาก็มองต่ำลงมาบนโต๊ะดราฟที่มีกระดาษสีขาวแต้มรอยขีดเขียนหน่อยๆ มือที่ว่างจากบุหรี่ก็ควงปากกาเล่น...

     

    กูนี่เท่ชิบหาย....

     

    ไม่ใช่เว่ย!!!

     

    “เฮ้อ....” ผมถอนหายใจออกมาเป็นควันนิโคติน เอนหลังไปพิงกับพนักพิงแล้วใช้มือรองคอ... ปกติสมองผมมันจะแล่นเอาสุดๆช่วงประมาณห้าทุ่มถึงตีสอง แต่เห็นทีคงจะรอให้ถึงเวลานั้นไม่ได้เพราะมันจะพาให้เสียเวลาช่วงนี้ไปเปล่าๆ

     

    แบบเก่าๆที่เสนออาจารย์แล้วยังมีข้อแก้ไขบานตะไทจนผมคิดว่าคิดใหม่คงจะดีกว่านั่งแก้ถูกเอาขึ้นมาดูแล้วนึกถึงข้อผิดพลาด... เฮ๊ย!!!!. คิดไปคิดมา ถ้าเอา...

     

    ครืดดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดดดดดด

     

    โอ๊ยแม่งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!!!! มีใครเคยบอกรึเปล่าครับว่าไอ้โทรศัพท์ยี่ห้อแอปเปิ้ลแม่งสั่นแรงชิบหาย ยิ่งวางไว้บนโต๊ะโล่งๆนะ  แม่เจ้า อย่างกับแผ่นดินไหว กูอุส่าปิดเสียงมึงแล้วนะครับพี่!

     

    แล้วนี่เมื่อกี้กูคิดเชี่ยอะไรไว้วะเนี่ย!?  โอ๊ยยยย มึงสั่นทีเดียว ไอเดียกูเตลิดหมด!

     

    ผมค้อนไอ้โทรศัพท์เครื่องบางที่หน้าจอสว่างวาบและสั่นครืดๆอยู่โต๊ะข้างๆแล้วจี๊ดโว๊ย! กูขอปล่อยสัตว์ออกจากปากหน่อยเถอะ! ไม่มึงหูชาปากกูก็แห้งไปข้างละวะวันนี้!

     

    แต่พอหยิบขึ้นมาดูแล้วหน้าจอมันโชว์เบอร์ที่ผมไม่ได้เมมแต่เสือกจำขึ้นใจเท่านั้นแหละ...

     

    “ฮะ..ฮ ฮัลโหล” เสียงกูสั่น!!! เพราะตกใจ ดีใจ หรือห่าเหวอะไรก็ไม่รู้แล้วเว่ย! รู้แค่ตอนนี้ใจผมแม่งเต้นเป็นจังหวะร็อคแอนด์โรลล์!!

     

    (อื้ม... นอนอยู่เปล่า? กวนไหม?)

     

    “กวน!! กวนมาก!! มึงรู้ไหมกูนั่งหมุนดินสอมานานเท่าไหรถึงจะคิดออก! มึงโทรมาโทรศัพท์กูสั่นสามครืด ไปหมดเลยไอ้ห่า!  อ๊ากกกกกกกกก” เหมือนคำพูดมันจะเรียกสติให้คืนมา ถึงใจกูจะเต้น แต่ปากกูก็ยังทำงานได้ไวอยู่นะเว่ย! แรพเร็วจนแทบจะสำลักควันบุหรี่!

     

    (อา... ขอโทษ)

     

    “ แล้วนี่มึงมีอะไรฮะ?”

     

    (เห็นมิสคอลพี่อ่ะ มีอะไรรึเปล่า?) เออว่ะ...

     

    “อ๋อ.. ไม่มีอะไรหรอก โทรศัพท์ตกส้วมรึไงฮะ”

     

    (พอดีมีเข้าค่ายน่ะ ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกก่อน...) ดีใจ... ตอนนี้ผมสรุปได้แล้วว่าไอ้ความรู้สึกนั่นมันคือดีใจ ที่มันยังอยู่ข้างๆผม ยังไม่หายไปไหน...

     

    แต่อย่าขอโทษกูได้ไหม... มันเหมือนทำให้รู้สึกว่ากูสำคัญยังไงไม่รู้

     

    (แล้วนี่งานพี่เสียหายเยอะไหม?) ประโยคนี้ทำเอาผมหัวเสียนิดหน่อย

     

    “ก็... ไม่หรอกมั๊ง ชั่งมันเหอะ เดี๋ยวก็คิดออก” ว่าแล้วเปรยตามามองกระดาษบนโต๊ะ พรางยกบุหรี่ที่เหลือขึ้นมาสูบอีกทีก็หมดมวน ผมเอนตัวไปข้างหลังแล้วทิ้งหัวลงพร้อมพ่นควันเล่นแก้เซ็ง

     

    (บุหรี่?) กูบอกแล้วไงไอ้นี่มันคือโคนันเวอร์ชั่นม.5

     

    “อือ...” ผมรับไปตรงๆ “มึงไม่ต้องมาสอนกูเลยครับว่าบุหรี่มันไม่ดีต่อสุขภาพช่องปากและสมรรถภาพทางเพศ ผมแค่ใช้เพื่อหาอารมณ์หาแรงบรรดาลใจเฉยๆครับ” ผมรีบดักไว้ก่อนเลย ไอ้นี่เผลอๆเป็นอัดวิชาการเพิ่มรอยหยักให้ฟรีโดยไม่ถามความเห็นกูเลย

     

    (ฮะๆ เก่งนี่)

     

    “เด็กอนุบาลแม่งยังรู้เถอะ”

     

    (ผมคิดว่าไม่นะ...) ไอ้...!!!

     

    “มันคือการเปรียบเปรยในภาษาไทยเว่ย! รู้จักไหมอุปมา อุปไมย อติพจน์ ปฏิพจน์น่ะฮะ?!!

     

    (อื้ม ก็เคยได้ยิน)

     

    “เออ!

     

    (แล้วได้แรงบันดาลใจยัง?)

     

    “ก็ไม่ค่อย...”

     

    (อืม... พรุ่งนี้ผมจะไปท้องฟ้าจำลอง ไปด้วยกันไหม)

     

    “เพื่อ?”

     

    (ทำรายงาน)

     

    “หมายถึงให้กูไปเพื่อ?”

     

    (หาแรงบันดาลใจไง... ผมเห็นพี่ชอบมองท้องฟ้า) ไปเห็นกูตอนไหนนนนน? แต่ให้ตายสิ ฟังจากเสียงแล้วตอนนี้ ไอ้ห่านี่กำลังยิ้มอยู่แน่ๆ

     

    ผมบิดตัวให้เก้าอี้หมุนออกมาซัก 90 องศาเพื่อจะหันมามองท้องฟ้าสีมืดสนิท กรุงเทพเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับ แถมยังมีตึกสูงเต็มไปหมด ดังนั้นก็ไม่น่าแปลกใจเลยถ้าคนกรุงเทพจะไม่ค่อยเห็นดาว

     

    ก็ดีเหมือนกัน...

     

    “อือ... เอาดิ” 

    -------------------------------------------

     

    26 มกราคม 25xx

     

    ครืดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดด

     

    เสียงสั่นครืดคราดของไอโฟนหัวเตียงทำให้ผมหัวเสียดิ้นแถ่ดๆไปมาบนที่นอนแล้วเอาหมอนอีกใบมาปิดหู โอ๊ยแม่งงงง มึงจะน่ารำคาญไปแล้วนะครับ กูปิดเสียงมึงเพื่อไม่ให้รบกวนนะ ไมไม่ให้ความร่วมมือกันบ้างวะ!!

     

    ผมจิ๊จ๊ะปากแล้วยื่นมือออกไปควานหาโทรศัพท์ที่ยังคงสั่นต่อไป นี่ถือกูปล่อยมึงไว้นานกว่านี้มีหวังเกิดแผ่นดินไหวกลางกรุงเทพโดยมีศูนย์กลางเป็นห้องกูแน่ๆ

     

    “ฮัลโหลลลลลล” ผมลากเสียงยานๆง่วงๆแบบจงใจให้ไอ้คนปลายสายมันรู้ว่า มึงโทรมาขัดเวลานอนกูนะ

     

    (อรุณสวัสดิ์)

     

    “อือๆ”

     

    (ผมจะถึงแล้วนะ) ฮะ? อะไร? ถึงอะไร? ทำไมกูฟังดีๆแล้วเหมือนมันทะลึ่งๆไงไม่รู้วะ

     

    “ถึงไร?”

     

    (ห้องพี่ไง)

     

    “อือๆ.....” ...............

     

    เฮ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยย เดี๋ยว!!!! ผมตกใจเด้งตัวขึ้นมานั่งทำตาโต มึงจะมาหากูทำไมวะ?

     

    (เก้าครึ่งนะครับ เดี๋ยวถึงแล้วผมจะโทรอีกที) มันว่าเสียงเนือยตามปกติแล้วก็ตัดสายไป ปล่อยให้ผมนั่งเอ๋อตาโตปากหวออยู่บนเตียง...

     

    เหมือนผมจะไม่เคยบอกอีกเช่นกันสินะว่าเป็นคนที่เบลอชิบหายเวลาอดนอนมากๆ ยังดีไงล่ะ... คือเหมือนสมองมันยังไม่ทำงานน่ะครับ ต้องรอให้มันรีใหม่ซัก 2-3 นาทีหลังตื่นนอน มันถึงจะเป็นปกติ... นี่ถือเป็นจุดอ่อนหนึ่งของผมเลยล่ะ เคยไปนอนบ้านไอ้แฝดนรกชื่อครีเอทนั่นอยู่คืนหนึ่งสมัยม.ต้นเพราะทะเลาะกับเฮีย เลยกินเหล้ากันดึกมาก  แต่พอตอนเช้าพี่แกโทรมาง้อเท่านั้นแหละครับ

     

    การ์ด..... เฮียขอโทษจริงๆนะ

     

    อือๆ

     

    ทำไมรับสายกูง่ายจัง หายโกรธกูแล้วหรอ?

     

    อืออออ

     

    งั้นเดี๋ยวกูไปรับกลับนะ

     

    อือๆ

     

    เฮ้อ.... เพลียกับตัวเองว่ะ เห็นทีคงต้องหาเวลาไปหาหมอแก้โรคนี้และ

     

    ผมนั่งเอ๋ออยู่อย่างนั้นแป๊ปหนึ่งก่อนจะถึงบางอ้อ เมื่อคืนไอ้โฟล์คนัดผมไว้ว่าจะไปท้องฟ้าจำลองหาแรงบรรดาลใจอะไรนั่น... แต่ตอนนี้ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร...เพราะหลังจากนั่งหมุนดินสอมานาน สมองผมที่มันชอบมาแล่นเอาตอนดึกดื่นกลับทำงานขึ้นมาจริงๆ เล่นเอาคึก นั่งปั่นซะเสร็จตอนหกโมงเช้า... พอเหลือบมองนาฬิกาฝาผนังที่บอกเวลา 09:05 น. กูนอนไปแค่ 3 ชั่วโมงกว่า...

     

    โน๊ววววววววววววววววววววววว กูไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ!!!! นี่มันวันหยุดทั้งทีนะเว่ย!!!

     

    ความง่วงทำให้ผมเลือกที่จะไม่สนใจส่งเสียงครางในลำคอแบบงัวเงียแล้วทิ้งตัวลงมาซุกที่นอนต่อโดยทิ้งไอโฟนไว้ข้างตัว  อ่า.... เตียงจ๋า... กูรักมึงจริงๆเล๊ย นี่ถ้าจับแต่งเมียได้กูทำไปแล้วนะเนี่ย...

     

    ครืดด...

     

    แต่ไอ้โทรศัพท์เวรนั่นก็ยังสั่นสั้นๆอีกครั้งเหมือนมีแจ้งเตือน

     

    โอเค... กูจะไม่สนใจ...

     

    ครืดด...

     

    แต่แล้วมันก็กวนตีนผมด้วยการสั่นอีกรอบ

     

    เย็นไว้ไอ้การ์ด ใจร่มๆ เดี๋ยวแม่งก็เงียบ...

     

    ครืดด... ครืดด...

     

    “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก” ผมร้องออกมาก่อนที่มือจะไปคว้าหมับเข้าที่ไอ้เครื่องมือสื่อสารที่กำลังจะแปรสภาพเป็นเศษธุลีด้วยมือผมนี่แหละ... ไม่เคยรู้สึกว่ามันรำคาญขนาดนี้มาก่อนเลย!

     

    ยังครับ...มันยังโชคดีที่รอดตัวไปเมื่อผมระงับสติระงับอารมณ์ได้ ผมเหลือบมองไอ้ไอค่อนสีเขียวๆแจ้งเตือนขึ้นมาทั้งหมด 4 แถบ และอื่นๆอีกมากมายต่อท้ายเป็นหางว่าว แต่ไอ้ 4 ครืดล่าสุดเมื่อกี้คือออฟฟิเชียลไลน์ที่ผมแอดเพื่อเอาสติ๊กเกอร์ฟรีไปเมื่อวานแล้วลืมบล็อคน่ะสิ... เลวจริงกู -___-

     

    ว่าแล้วก็เข้าไปบล็อกซะเลย... แหนะ อย่ามองผมงั้นดิ หลายคนก็เคยทำนะผมว่า ฮ่าๆๆๆ หลังจากจัดการกับแอคเคาท์นั้นเสร็จผมก็เลือนขึ้นลงอีก 2-3 ที เผื่อมันมีหลงเหลือ... ที่ผมไม่ปิดแจ้งเตือนมันไปเลยก็เพราะกลัวมีอะไรเร่งด่วนหรอกนะ

     

    แต่หลังจากเลื่อนผ่านแบบเร็วๆ ตาผมมันก็ไปสะดุดอยู่กับภาพดิสเพลย์ภาพหนึ่งจนต้องเลื่อนหามาดูอีกที...

     

    ไอ้ ลูกหนี้ที่เปลี่ยนภาพดิสเพลย์เป็นรูปตัวเองกำลังยืนเหม่อมองอาทิตย์โดยมีแบ็คกราวน์เป็นหาดทรายและท้องทะเลสีเข้ม...

     

    ภาพที่ผมถ่ายตอนนั้น...

     

    อยู่ๆผมก็ยิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัว วางไอโฟนไว้ข้างตัวแล้วบิดขี้เกียจ 2-3 ที ก่อนจะก้าวขาลงจากเตียง

     

    แค่คิดว่าตัวเองนอนต่อไม่หลับแล้วก็เท่านั้นเองนะเว่ย! ไม่มีอย่างอื่นแอบแฝงจริงๆ!!

     

    ด้วยความที่เป็นผู้ชาย ทำให้การอาบน้ำของผมกินเวลาไปประมาณ 5 นาที รวมกับการแปลงฟัน 2 นาทีตามหลักสาธารณสุขเป็น 7 นาที ผมก็มายืนหล่ออยู่หน้ากระจกเพื่อจัดการกับไอ้หน้าม้าหงิกๆงอๆบนหนังหัว

     

    ครืดดดดดดดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดดดดดดดด

     

    แต่ยังไม่ทันทีมือจะแตะเยล เสียงครืดคราดจากระบบสั่นของไอโฟนก็ดังเข้ามาก่อน... คิดดูสิ ขนาดกูอยู่ในห้องน้ำยังได้ยินอ่ะ!!

     

    ผมขยี้หัวตัวเองแล้วเดินออกมาคว้าโทรศัพท์ มันขึ้นเบอร์คนที่ผมคิดไว้จริงๆด้วย

     

    (ถึงแล้วนะ)

     

    “อือ รอแถวนั้นแหละ” กูต้องจัดการกับไอ้รังนกบนหัวนี่ก่อน

     

    (อยู่หน้าห้องแล้ว)

     

    “โอ๊ยยยยยยยย แล้วทำไมมึงไม่สะเดาะกลอนเข้ามานั่งรอก่อนค่อยโทรมาบอกกูเลยวะ?”

     

    (........ทำไมเป็น)

     

    “เออ! รออยู่นั่นแหละครับ เดี๋ยวผมออกไป!” ผมว่าแล้วกดตัดสายพลางขยี้หัวแรงๆอย่างปวดประสาท ด้วยความที่ขี้เกียจเปิดประตูให้มันมานั่งในห้องรกๆเพื่อรอผมเช็ทหัว เลยจำใจคว้ายางรัดผมสีดำมารวบๆไอ้หน้ามาขึ้นไปเป็นจุกเล็กๆแลดูคิกขุ

     

    เหอะๆ เกิดมาหล่อทำอะไรก็หล่อยังวันยังค่ำแหละครับ ฮ่าๆๆๆ

     

    ผมคว้าโทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์ คีย์การ์ด กุญแจ  ดินสอ และสมุดเล่มเล็กๆมายัดไว้ในเป้สะพายข้างสีน้ำตาลใบเก่งแล้วจับคล้องคอสะพาย เดินอาดๆไปที่ประตูแล้วใช้ตีนเขี่ยๆร้องเท้าแตะสีแดงเขียวคู่เดียวกับตอนหัวหินมาใส่แล้วเปิดประตูโผล๊ะ!!!  มาเจอกับ...

     

    กระเทยหัวเกรียน!!!

     

    “มึงไปเขาชนไก่มาใช่มั๊ย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ” ผมหัวเราะรัวน้ำตาแทบเล็ดกับสภาพไอ้โฟล์ค... เอาจริงมันก็ไม่ได้เหี้ยอะไรหรอก แค่ผมไม่ชินตาเฉยๆ ผมรองทรงยาวเฟื้อยของมันตอนนี้ถูกหั่นให้สั่นลงแต่ก็ไม่ถึงกับเกรียน ผิวที่แทนขึ้นนิดๆดูสุขภาพดี... ไอ้ห่านี่มันก็ยังหล่อบรรลัยอยู่นั่นแหละ แค่ผมตกใจ กูก็นึกว่าไปเข้าค่ายอิงลิช ฟิสิกส์ เคมี ชีวะที่ไหนได้ กลายเป็นค่ายรด.ซะนี่

     

    แล้วยิ่งรวมกับสีเหล็กดัดแป๊นๆของมันแล้ว... โอ๊ยยยยย กูขำ ฮ่าๆๆๆ

     

    ผมหัวเราะต่อไปนิดหน่อยจนพอใจ เงยหน้าขึ้นไปมองหน้าไอ้นักเรียนรด.ที่ดูขาดความมั่นใจไปนิดหน่อยจนต้องเอามือลูบเกรียนแก้เก้อ มันตอนนี้ห่างไกลจากคำว่ากระเทยที่ผมแอบตั้งในใจไว้ไกลโขเลยครับ กลับกัน จากภาพลักษณ์คุณชายมีสตางค์กลายเป็นผู้ชายสปอร์ตๆไปเลย ......แต่แหม นานๆจะมีอะไรที่ผมสามารถจิกกัดเรื่องหน้าตามันได้ กูก็ขอหน่อยเถอะ!!!

     

    ผมเลือกที่จะนั่งบีทีเอสแล้วลงที่เอกมัย จากนั้นก็เดินเท้าไปหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์และการศึกษา หรือไอ้ที่เขาเรียกกันว่าท้องฟ้าจำลอง

     

    “ไอ้โฟล์ค!” เสียงเรียกคนข้างตัวผมดังขึ้นทำให้ผมต้องหันไปมองตามด้วยระบบอัตโนมัติ เป็นเด็กผู้ชายสองคนยืนเล่นโทรศัพท์รออยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงน้ำเงิน... เฮ้อ..... บ้านพวกมึงไม่มีกางเกงใส่กันแล้วใช่ไหม นี่คือความในใจของเด็กกางเกงดำอย่างผม

     

    “เยียร์ กับ เปเปอร์” ไอ้โฟล์คหันมาบอกผม เด็กสองคนนี้ผมค่อนข้างคุ้นหน้า เยียร์คือมือกีตาร์วันนั้น ส่วนเปเปอร์คือไอ้เป๊ปเจ้าของวันเกิด  แน่นอนมันต่างจากวันนั้นตรงที่พวกมันหัว(ค่อนข้าง)เกรียนและผิวแทนขึ้น

     

    “ใครว่ะ เพื่อนที่ไหน?” ไอ้เป๊ปกอดคอโฟล์คแล้วชะโงกหน้ามาถามอย่างสอดรู้สอดเห็น โหยยยย กูดูหน้าเด็กขนาดนั้นเชียว

     

    “พี่ ....ปี1ชื่อการ์ด” ไอ้โฟล์คแก้ต่างให้แล้วแนะนำผมให้เพื่อนมันรู้จัก

     

    “สวัสดีค๊าบบบบ” ไอ้เด็กเพื่อนมันสองคนพูดขึ้นพร้อมกับพนมมือก้มหัวเร็วๆ 90 องศาพร้อมกัน ผมเลยยิ้มให้พวกมันไปนิดหน่อยพอเป็นพิธี

     

    “อีกครึ่งชั่วโมงอ่ะ เขาถึงจะเริ่มรอบ 2” เยียร์หันไปบอกไอ้โฟล์ค

     

    “ว่าแต่มึงจะรีบทำทำไมว่ะ อีกตั้งนานกว่าจะส่ง กูต้องแหกขี้ตาตื่นเนี่ย เมื่อวานเหนื่อยชิบหาย  แล้วความจริงมันก็ไม่จำเป็นต้องมาเล๊ย ในหนังสือ หรือเน็ตก็มี” เป๊ปรัวแรพเป็นชุด ไอ้คนโดนบ่นก็หันมาชำเลืองตามองผมนิดนึงเหมือนจะสื่อว่าเพราะผม... แต่เดี๋ยวนะ กูไม่ได้อ้อนวอนให้มึงพามานะเว่ย! มึงเสนอเองครับอย่าลืม! และตอนนี้กูก็ไม่จำเป็นด้วย!!

     

    แต่ได้ยินอย่างนี้ก็เหมือนมันตั้งใจพาผมมาเลยว่ะ...

     

    “ออกมาทำน่ะดีแล้วมึง ไม่งั้นกูคงไม่ได้ออกมาจากบ้านแน่...” เยียร์พูดเสียงโอดครวญ

     

    “แล้วใครใช้ให้มึงตกคณิตด้วยคะแนนขี้เหร่ๆนั่นวะ ถ้ากูเป็นแม่มึงนะไม่กักบริเวณอย่างเดียวหรอก ยึดรถแม่ง”

     

    “มึงลองไม่ได้ออกเที่ยวเดือนหนึ่งแถมต้องนั่งทำแบบฝึกไหมล่ะ” คราวนี้เยียร์เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นหาเรื่อง

     

    “เสียใจไอ้ควาย กูคงไม่มีวันได้ทำอย่างนั้น ใครกันนะได้ท็อปคณิต~

     

    “เยอะแยะ”

     

    “แสดงว่ามึงเป็นควายในชนกลุ่มน้อยสินะ”

     

    “ไอ้เหี้ย!!

     

     ...........คนอย่างไอ้โฟล์คทนคบเพื่อนพูดมากอย่างนี้ไปได้ไงวะ... ผมมองภาพเด็กหนุ่มสองคนที่ยังคงเถียงกันไม่หยุดแล้วเดินไปหาม้านั่งตัวยาวทิ้งตัวลงกางแขนสองข้างพาดไว้บนขอบพนักพิง เงยหน้าจนสุดแล้วหลับตาแบบเพลียๆ

     

    ไม่นานก็รู้สึกเหมือนมีคนมานั่งข้างๆจนต้องเงยหน้าขึ้นมามอง ด้วยความที่ผมนั่งแม่งกลางโต๊ะมันเลยต้องนั่งชิดผมนิดหน่อยเพราะม้านั่งมันก็ไม่ได้ใหญ่มาก

     

    อยากจะบ่นจริงๆว่าเพื่อนมึงพูดมากกันชิบหาย...

     

    แดดยามสายๆนี่ก็แรงใช้ได้ นี่ก็กำลังจะสิ้นสุดหน้าหนาวแล้ว อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมว่าช่วงนี้มันก็ดีที่ไม่หนาวขนาดช่วงปีใหม่  เที่ยงๆนี่สิ แดดส่องกันเปรี้ยงปร้างแทบจะอบคุกกี้ในรถได้.... แต่ผมว่ามันก็คงทำได้จริงๆนะถ้าเป็นหน้าร้อนเมืองไทย...

     

    แสงที่ส่องมากระทบหน้าพอดีทำให้แสบตานิดหน่อยจนต้องชักมือขึ้นมาจะปิดตา แต่มือผมมันกลับไปปัดผ่านไอ้หัวเกรียนๆของคนข้างๆซะก่อนน่ะสิ...

     

    จั๊กจี้ดีว่ะ....

     

    ว่าแล้วก็เอามือไปถูแม่งซะเลย....

     

    ไรผมไม่สั้นไม่ยาวมากที่เพิ่งตัดมาไม่กี่วันพอเอามือลูบผ่านนี่มันให้ความรู้สึกดีจริงๆนะ นึกถึงตัวเองตอนมัธยมเลยครับ มันเป็นงานอดิเรกของผมเลยกับไอ้การลูบเกรียนตัวเองเล่นเนี๊ย สนุกจริงๆนะเว่ย! หรือผมแม่งโรคจิตอยู่คนเดียววะ?  แต่นั่นแหละพอเข้ามหาลัยก็หมดเวลาสนุกแล้วสิ จำเป็นต้องไว้ให้มันยาวเพื่อเสริมไอ้หน้าหล่อๆให้มันหล่อยิ่งขึ้น ฮ่าๆๆๆ

     

    แต่ไอ้เจ้าของเกรียนมันกลับไม่ปล่อยให้ผมลูบเล่นอ่ะดิ เสือกหันควับมาโดยอัตโนมัติ...

     

    ทำให้ริมฝีปากมันทาบลงบนฝ่ามือผม...

     

    “เฮือก....” ผมสะดุ้งเบาๆ รีบชักมือกลับมาวางไว้ข้างตัว หันไปยิ้มแหะๆให้มันนิดหน่อยแล้วทำทีคว้าโทรศัพท์ขึ้นก้มหน้าก้มตาเล่นไม่สนใจไอ้คนข้างๆเมื่อรู้สึกถึงใบหน้าที่เลือดเริ่มสูบฉีดเข้ามามากกว่าปกติ...

     

    ถึงจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาที... แต่สัมผัสอุ่นๆนั่นกลับติดแน่นประทับอยู่บนฝ่ามือ...

     

    -------------------------------------------  

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×