คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : บทที่ ๑๗
๑๗
พอผมกลับมาที่โต๊ะก็ดูเหมือนทุกคนจะเริ่มอยากกลับกันแล้ว เพราะพรุ่งนี้เป็นวันจันทร์ ไม่สมควรยิ่งที่จะอยู่ดึกจนเผลอกรอกแอลกอฮอล์มากเกินพอดี
“พี่จะจ่ายชิมิ” เจ๊เปรี้ยวหันไปยิ้มระรื่นให้พี่รหัสตัวก่อนพร้อมกระพริบตาวิ้งๆเป็นของแถม
“ใครว่า... หารห้าดิ”
“โหยยยยยยยยยยยยยยย” แล้วเสียงโอดครวญก็ดังขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ฮ่าๆๆ แต่เราก็แค่รับมุขพี่แกไปเท่านั้นแหละครับ เพราะ....
“.....กูล้อเล่น”
“เยส!!!” เสียงโห่ร้องดีใจดังขึ้นโดยไม่ได้นัดหมายเช่นกัน พร้อมเสียงผิวปาก เสียงเชียร์อะไรต่างๆนานาดังขึ้นไม่หยุดเมื่อพี่บาสเรียกเด็กมาเก็บบิล
เป็นแบบนี้ทุกครั้งแหละครับ พอมีเลี้ยงสาย พี่บาสจะเป็นคนออกบ่อยมาก คือโคตรป๋า แถมเงินพวกนั้นพี่แกยังหามาเองอีกตางหาก เหมือนพี่แกจะเลิกขอเงินพ่อแม่ใช้ แต่รับงานออกแบบทำเอาตั้งแต่ปี 1 ปี 2 แล้วครับ คือหัวพี่แกศิลป์โคตรๆ ชอบมีคนมาจ้างให้ออกแบบนู้นนั่น แต่ก็ยังไม่ถึงกับเป็นแปลนบ้านนะครับ จะเป็นพวกออกแบบโลโก้ ป้ายร้าน หรือลายเสื้อยืด เจ๋งจริงครับ ซักวันผมจะเจริญรอยตาม.... ฮ่าๆๆ
“มึงไม่ต้องดีใจกันเลย เดี๋ยวกูก็ไม่อยู่จ่ายให้และ” แล้วพี่แกก็เริ่มก่อดราม่า....
“ไม่เป็นไรพี่ มีไอ้หนาว” เสียงผู้หญิงหนึ่งเดียวพูดขึ้นพร้อมเอามือตบไหล่พี่บาสดังปุๆ... แล้วนั่นก็แหวกดราม่าได้อย่างดีทีเดียว ฮ่าๆๆๆ
“อะไร ถึงทีแกออกซี่” พี่บาสพูดน้ำเสียงหมั่นเขี้ยว แล้วส่งมือหนาๆไปยีๆผมสีเจ็บนั่นแรงๆ
“โอ๊ย เจ็บนะเว่ย ผู้หญิงจะให้ออกได้ไงล่ะ!”
แล้วสองคนนั้นก็นั่งเถียงนั่งตีกันไปพักใหญ่ โดยที่พวกผมได้แค่นั่งมอง พี่แทนอดไม่ได้ แอบส่งเสียงวี๊ววิ๊วนิดหน่อย จนสองคนนั้นชะงัก แล้วหันมายิ้มเขินๆ
ก็เขาเคยคบกันมาก่อนนิ พี่แทนมันเล่าให้ฟังนะ เพราะเหมือนจะเลิกกันก่อนผมเข้ามา แอบเสียดายครับ ผมว่าพี่เขาก็เหมาะกันดี
งานเลี้ยงจบลงแค่นี้ครับ เราล่ำลากันพอเป็นพิธีก่อนจะแยกย้ายกันกลับ
“กูกลับด้วยนะจ๊ะเด็กๆ” เสียงพูดพร้อมกับมือที่พุ่งเข้ามากอดคอทั้งผมและพี่แทน
“เหยพี่ ‘มอไซค์นา”
“ซ้อนสามสิมันดี เดี๋ยวพี่ขับเองเว่ย! แท็กซี่แถวนี้แม่งหายากตายชัก” อย่าเอาเยี่ยงอย่างเชียวนา.... นี่เพราะพี่บาสแกอยู่หอใกล้ๆพี่แทนน่ะครับ กลับด้วยกัน ประหยัดน้ำมันดี
แต่เหมือนเราจะลืมอะไรไปอย่างครับ... ฟีโน่แม่งไม่สามารถยัดผู้ชายไซส์ควายได้ถึง 3 คนหรอก....
“เฮ๊ย การ์ด มึงขยับเอาไปอีกดิ๊ ตูดกูไม่อยู่บนเบาะแล้วเนี๊ย!”
“ขยับอีกนิดผมก็จะได้พี่บาสเป็นเมียแล้วพี่”
“ไอ้การ์ดดดด กูเสียวตูดดดด”
“โอ๊ยแม่ง ไม่ไหวหรอกว่ะพี่” พี่แทนกระโดดลงไปยืนท้าวเอวมอง
เราเล่น 3P กันมาหลายท่าแล้วครับ แต่ก็ยังไม่โอซักที... อ่า ผมหมายถึงซ้อน’มอไซค์นะ ฮ่าๆๆๆ คิดดูสิ ฟีโน่คันเท่ามด มันจะบรรทุกผู้ชายวัยแรกแย้ม(?)สามคนหมดได้ไง ถึงหมด แต่ขับไปก็เสียงยางแบน ล้อหลุด อะไหล่พังแหละโว๊ยยยย
“เอางี้ไอ้การ์ด มึงเสียสละมานั่งตรงที่วางตีนซะ” พี่ท่านหมายถึงตรงที่วางเท้าน่ะครับ มันเรียกว่าอะไรวะ? แต่นั่นแหละ มันหมายความว่าผมต้องไปนั่งยองๆบนนั่นแล้วเอาก้นเกยบนเบาะอันน้อยนิดสินะ...หึหึ
“โน๊วววววววววววว” ทันทีที่ภาพมา ปากก็ทำงานทันที “ทำไมต้องผมวะพี่”
“มึงตัวเล็กสุดในสามควาย” ว่าแล้วทั้งพี่บาสและพี่แทนก็มาขนาบข้างผม อีพี่แทนเอามือมาทำเป็นวัดระดับความสูงผมที่อยู่แค่หูพี่ท่าน ส่วนไอ้พี่บาสก็ทำท่าเบ่งกล้ามโชว์...
“ใช่ซี๊... เรามันปีเล็กสุด... เรามันต้องถูกข่มเหง... เราต้องโดนรังแก... เราต้องถูกกดขี่...”
“พี่การ์ด!?!” แต่เสียงตะโกนดังๆมาจากหน้าร้านทำให้ผมหยุดพล่ามๆอะไรเรื่อยเปื่อยแล้วหันไปมอง เป็นเด็กผู้หญิงผมยาวดัดลอนในชุดเสื้อเปิดไหล่สีขาวกางเกงขาสั้น.... วันนี้เปิ้ลสวยชิบหาย... แต่ทำไมผมถึงเพิ่งมารู้สึกว่ะ...
อ้อ... เพราะไอ้เด็กสูงเปรตที่เดินตามมานั่นไง
“อู้วววว...” เสียงคนข้างตัวทั้งสองร้องขึ้นมาพร้อมกัน ขณะเดียวกันร่างกายผอมบางก็ก้าวฉับๆมาหาผม
“รู้จักเขาด้วยหรอวะ” เสียงกระซิบจากตัวอิจฉา แทน
“คนนี้กูแอบมองตั้งนาน” เสียงกระซิบจากตัวโกง บาส
“อ่าว... น้องเมเปิ้ล” เสียงหล่อๆจากพระเอก การ์ด
“มากินร้านนี้ด้วยหรอคะ เพิ่งเห็นเลยนะเนี่ย” เสียงหวานๆจากนางเอก เมเปิ้ล
“...” และเสียงลมหายใจจากตัวประกอบ เหอะๆ
อย่าหาว่าผมใส่บทผิดนะครับ มีละครที่ไหนเขาเริ่มเรื่องมาแล้วพระเอกนางเอกรักกันแล้วเล่า ชีวิตนี้ต้องมีอุปสรรค....
ถุ๊ยยยย ไม่ใช่และ ผมจะไปคิดอย่างนั้นได้ไงล่ะวู๊! น้องเขามีแฟนแล้วนะครับ!!! ......แต่แฟนเธอดันแอบชอบเพื่อนสนิทตัวเองนี่นิ หึ!
“แฮ่ๆ พี่เห็นร้านมาจากเปิ้ลแหละครับ ไม่นึกว่าจะมาตรงกัน...” ผมเลือกตอบไปตามความจริง
“โหยยย ไม่เป็นไรหรอก ...แล้วนี่จะกลับกันแล้วหรอคะ?” ไม่ได้ถามผมคนเดียว เธอส่งยิ้มเผื่อแผ่ไปยังพี่ๆข้างตัวผมที่เก๊กหล่อยิ้มตอบแทบไม่ทัน
ความจริงเปิ้ลเป็นผู้หญิงที่โคตรน่ารักแล้วก็โคตรเฟรนด์ลี่เลยแฮะ... แต่ผมดันไปแอบมีอคติกับเธอตอนเจอกันครั้งแรกซะนี่ รู้สึกผิดเบาๆ
“อื้ม เหมือนกันล่ะสิ”
“ค่ะ”
“กลับด้วยกันไหม” เสียงไอ้ท่อนไม้ที่ยืนนิ่งใบ้แดกอยู่นานดังขึ้นมา
“ไม่เป็นไร” ทำไมผมถึงต้องพยายามบังคับให้เสียงตัวเองมันดูปกติด้วยวะ... แถมยังตอบแบบไม่มองหน้ามันอีก...
“เฮ๊ยการ์ด มึงจะนั่งที่วางตะ...เท้าหรอ” แหม อยู่ต่อหน้าสาวนี่พูดเพราะเชียวนะครับคุณพี่บาส
“สบายๆว่ะพี่” ยักคิ้วให้สองทีเป็นการรับประกัน ยอมทนเอาตูดเกยเบาะยังดีกว่าไปขัดคู่แฟนเขานะ ดูท่าเปิ้ลก็อยากจะกลับกับไอ้เหี้ยนั่นสองคนด้วย
“มึงสบายแต่รถกูสิ...”
“ไหนๆก็รู้จักกัน กลับด้วยกันไม่เป็นไรหรอก” เหมือนผมแม่งโดนเป่าหูเลยเว่ยย
“อ่า...”
“ไม่เป็นไรหรอก” มึงไม่ แต่แฟนมึงเป็นเว่ย! กูต้องไปนั่งเป็นก้างเหมือนคราวก่อนอ่ะนะ?
แถมเหมือนกูจะเหม็นขี้หน้ามึงแปลกๆอีกตางหาก
“อย่าเล่นตัวดิมึง อัดกันไปกูว่ายางแตกก่อนแน่” เจ้าของรถผู้กลัวของรักจะม่องเอ่ยน้ำเสียงโอดครวญ
“เดี๋ยวผมส่งเขาเองครับ”
“รบกวนด้วยนะน้อง” พี่แทนยิ้มพร้อมขึ้นรถ สตาร์ทเครื่อง พี่บาสเข้าซ้อน ก่อนจะขับออกไปโดยไม่ลืมโบกมือบ๊ายบาย... เหตุการณ์แม่งเกิดขึ้นเร็วมาจนผมร้องห้ามไม่ทัน... เออ ดีครับดี
“อ่า... ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวพี่แท็กซี่ดีกว่าเนอะ บ้านพี่มันไกล เดี๋ยวดึก” ผมพูดกับเปิ้ล
“จะเอางั้นหรอคะ?” สีหน้าเธอดูวิตกกังวลนิดหน่อย แต่แหม แอบดีใจล่ะซี๊
“ครับ ไปก่อนนะ บ๊ายบาย” ผมว่าแล้วโบกมือยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ขาก็ค่อยๆก้าวเดิน
“ไว้เจอกันใหม่นะคะ” เสียงเปิ้ลตะโกนไล่หลังพร้อมโบกมือหย๋อยๆ
“ค๊าบบบ”
ผมสาวเท้ารัวๆออกมาริมถนนแล้วชะเง้อคอมองขาแท็กซี่ซักคัน อากาศเย็นๆนี่ทำให้ผมต้องเอามือกอดอก แถมน้ำค้างพวกนี้ก็อาจจะทำให้เป็นหวัดอีกตางหาก ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ
ผมยืนรออย่างนั้นประมาณห้านาที จนมีรถคันสีเขียวเหลืองขึ้นไฟว่าว่างขับเข้ามา ผมรีบโบกมือเรียก รถคันนั้นชะลอความเร็วลงพร้อมเปลี่ยนเลนมาทางผม
ก่อนจะเลยผมไป...
ห่างจากผมมีสาวผมยาวในชุดเดรสคับอกยืนอยู่ ไอ้รถขี้หลีนั่นก็ไปจอดอยู่ตรงหน้าเธออย่างแม่นยำ พี่สาวผมยาวหันมายิ้มแหย่ๆให้ผมนิดหน่อยเป็นเชิงขอโทษ ซึ่งผมก็ยิ้มกลับให้เหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร เลดี้เฟิร์ส ก่อนจะกลับมาชะเง้อคอมองหารถเหมือนเดิม...
แต่ก็อย่างที่พี่บาสบอก... แท็กซี่แถวนี้แม่ง หายากชิบหาย!!! เพราะร้านมันตั้งอยู่ในซอย และค่อนข้างลึก รถก็เลยไม่ค่อยมีผ่านเข้ามา นี่ก็ผ่านมาแล้วซัก 15-20 นาทีแล้วนะ...
ยิ่งนี่เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าๆ ฟ้าก็มือ ซอยก็เปรี่ยวๆ เฮ้อ.... วันนี้วันซวยของคุณจริงๆครับการ์ดครับ
“เฮ้อ.....” ผมถอนหายใจ รู้งี้ไปกับไอ้โฟล์คก็ดี... ไม่ดิ ต้องรู้งี้ยอมนั่งที่วางเท้าไปก็ดี...
ผมตัดสินใจเดินเอาครับ อย่างน้อยก็คิดว่าจะเดินออกไปที่ถนนใหญ่เผื่อจะเจอแท็กซี่หรือเมล์เครื่องซักคัน แต่คือแม่งไกลโคตร...
ผมเดินไปถอนหายใจไป รู้สึกอยากดิ้นตายเมื่อเสื้อยืดมันไม่ได้ช่วยกันหนาวเท่าไหร มือก็ยกขึ้นมาเขกหัวตัวเองเบาๆที่ไม่ยอมเอาเสื้อกันหนาวมา...
พี่บาสหนอพี่บาส พี่แทนหนอพี่แทน ทิ้งกันได้ลงคอ... ผมระบายอารมณ์ด้วยการแตะก้อนหินบนทางจนมันไปชนกับกำแพงส่งเสียงก๊องแก๊ง มือก็ล้วงกระเป๋าเพื่อให้ความอบอุ่น ตาก็มองหาหินอีกซักก้อน...
แต่แสงไฟที่สาดลงบนพื้นเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะป๊ะเข้ากับรถยี่ห้อผู้ดีเยอรมันอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์สีขาวดูราคาไม่ใช่ถูก
ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา รอบตัวมีเพียงแค่เสียงลมอ่อนๆกับเพลงที่ดังมาจากร้านเบาๆ แต่ทำไมผมจะไม่รู้ล่ะ ว่าไอ้คนตรงหน้าเหมือนกำลังจะพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่มัวแต่อ้ำอึ้งอยู่นั่น
“.....ขึ้นรถเถอะ มันหนาวนะ” มันหลบตาลงต่ำแล้วคลี่ยิ้มเจื่อนๆ
“....เล่นอะไรของมึงเนี๊ย” ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ มันไม่ได้หัวเราะเพราะตลกนะ แต่เคยเป็นกันไหมครับ ตอนที่ทำอะไรไม่ถูก หรืองง หรืออะไรซักอย่าง ปากมันจะหัวเราะขึ้นมาเอง เป็นคล้ายๆหัวเราะเฝื่อนๆ
“เดี๋ยวไปส่งไง สัญญาไว้แล้ว” มันคลี่ยิ้มอีกรอบ อ่า...เหล็กมันยังคงสีเจ๋นเหมือนเดิม
“ฮะๆ มึงไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นหรอกน่า เดี๋ยวกูเดินอีกหน่อยก็ถึงถนนใหญ่แล้ว”
“แล้วพี่จะเดินทำไมในเมื่อมีรถ?”
“ช่วงนี้ไดเอท กินแล้วต้องออกกำลังกาย” เคยบอกมั๊ยว่าผมแถเก่งชิบหาย เล่นเอาไอ้เด็กตัวสูงถอนหายใจออกมาเบาๆ ผมก็แอบตกใจตัวเองนะ ไอ้คนรักสบายแบบผมปกตินี่คงแทบวิ่งเข้าใส่โดยไม่ต้องรอให้มันเชิญขึ้น วันนี้เสือกเป็นอะไรอีกล่ะกู
“อย่าดื้อดิ” ใครสอนให้มึงด่าคนอายุมากกว่าว่าดื้อวะไอ้เหี้ยยย แถมไม่ว่าป่าว มันประชิดตัวเข้ามาคว้าข้อมือผมไว้แล้วออกแรงดึงเบาๆ แต่พอไม่ยอมขยับตามมันก็หันหน้ามาเขม่งตาใส่ผมที่ทำหน้าลอยหน้าลอยตา
“ต้องอุ้มเหมือนในหนังมั๊ย?” คำพูดถัดมาของมันทำให้ผมแทบสำลักน้ำลาย
“ฮะ เฮ๊ย..!” ผมร้องแล้วรีบสาวเท้าหนีเมื่อมันพุ่งเข้ามาเหมือนจะทำอย่างที่พูดจริงๆ มึงเป็นเชี่ยไรเนี๊ย โหดจังไอ้สัส!
ไอ้คนที่ผมก่นด่าในใจหัวเราะรัว แล้วเดินกลับไปที่รถฝั่งคนขับพร้อมเอื้อมมือไปเปิด แต่ยังไม่ทันที่มันจะมุดหัวเข้าไปก็หันมองเลิกคิ้วใส่ผมที่ยังยืนอยู่ ณ จุดจุดเดิม
เออ...... กูไปก็ได้
ผมก้าวขาเดินวนไปที่นั่งฝั่งคนขับโดยมีมันคอยมองตามตลอด ในรถไม่มีใคร นั่นแปลว่ามันไปส่งเปิ้ลก่อนแล้ววนมารับผม? เออ บ้านแม่งคงเปิดปั๊มด้วยครับ เปลืองน้ำมันชิบหาย
ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วยวะ...
ผมเข้ามานั่งในรถปิดประตูเบาๆ อยากจะลองกระแทกประตูซักหน่อยแต่ก็คิดหาเหตุผลที่จะทำแบบนั้นไม่ได้ แถมกลัวรถมันสึกอีก
ไอ้โฟล์คเข้ามานั่ง คาดเข็มขัด แล้วก็ออกรถ ผมเองก็นั่งเฉยๆ จนรถชะลอตัวลงและหยุดเพื่อรอจังหวะเลี้ยวเข้าถนนเส้นใหญ่
“กูลงนี่แหละ” ผมว่าแล้วปลดเข็มขัดที่ตอนแรกคาดไว้เพื่อให้มันตายใจเหมือนจะบอกว่า ‘ฉันจะนั่งข้างๆนายอีกนานเลยแหละ’ ทั้งๆที่คิดไว้อยู่แล้วว่ามันต้องมีจังหวะนี้ แล้วก็ลงเล๊ย!
แต่มันดันไม่เป็นไปตามแผนน่ะสิ เมื่อสายเบลท์ที่กำลังจะถูกเก็บกลับไปห้อยข้างรถถูกไอ้เด็กข้างๆดึงไว้ด้วยมือข้างเดียวเหมือนจะล็อคผมไม่ให้ออกไป เหลืออีกข้างไว้บังคับพวงมาลัยเลี้ยวเข้าถนนใหญ่แล้วเหยียบคันเร่งจนโอกาสที่จะออกไปมันจบเห่เพราะผมคงไม่บ้าพอที่จะกระโดดลงรถในความเร็วระดับนี้แน่
ไอ้โฟล์คทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ตามองทาง แต่กลับเอาสายเบลท์เสียบเข้าที่ล็อคได้อย่างแม่นยำโดยที่ผมทำได้ยู่หน้าอย่างขัดใจ
“นั่งเฉยๆไม่ได้รึไงหืม?”
“กูว่ามึงจอดเถอะว่ะ คอนโดกูไม่ใช่ใกล้ๆ ไหนมึงจะต้องวนรถกลับบ้านอีก” ผมพยายามพูดด้วยเหตุผล เพราะบ้านมันแม่งก็ไกลชิบหาย
“ไม่เป็นไร”
“เด็กมัธยมไม่ควรนอนหลัง 4 ทุ่มนะเว่ย! นี่เลยมาเยอะแล้ว ควรรีบกลับบ้านนอนนะครับ” และแล้ววิชาการก็ถูกยกมาอ้างแบบข้างๆคูๆ
“จริงหรอ?”
“จริงดิ”
“โอเค งั้นไปบ้านผม” มันเปลี่ยนเลนเพื่อจะยูเทิร์นกลับ
“เฮ๊ย แล้วกูอ่ะ”
“ไปบ้านผมไง” โอ๊ยแม่ง สาบานเลยว่าเกิดมาจะ 19 เพิ่งเคยรู้สึกปวดกบาลขนาดนี้ เหมือนผมแถอะไรไปมันก็มีทางดักไว้ได้หมด จนมุมไปซะทุกทาง
“โอเค.... โอเค..... ก็ได้ๆ แค่ไปส่งกูตามที่สัญญากับไอ้พี่พวกนั้นก็จะโอเคนะ?” มันยิ้มให้เป็นคำตอบ แล้วบังคับรถให้กลับมาวิ่งเลนเดิม
แล้วหลังจากนั้นผมก็ได้แต่นั่งบนรถเงียบๆ และเพราะไอ้ความเงียบนั่นแหละ สมองมันเลยเริ่มมีคำถามประดังประแดเข้ามาไม่หยุด แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ถามอะไรออกมา เพราะบางเรื่องก็ไม่รู้จะถามไปทำไม และบางเรื่อง มันก็ไม่ใช่เรื่องของผม
“พี่”
“ฮ... ฮะ?” ผมสะดุ้งเบาๆเมื่อเสียงไอ้คนที่ข้างตัวดังขึ้นขัดความคิด
“ป่าว...” แต่ไอ้คนเรียกกลับทำแค่ยิ้มบางๆแล้วเอามือโอบพวงมาลัยรถที่จอดอยู่มองสัญญาณไฟแดงที่กำลังรันเลขถอยหลัง
“อ่าวไอ้เชี่ยนี่”
“ฮะๆ..... พอพี่เงียบแล้วดูแปลกๆน่ะ” มันพูดด้วยอิริยาบถเดิม
“หาว่ากูพูดมากงั้นสิ” และคำตอบที่ผมได้รับมาคือยิ้ม
รถตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง คราวนี้ผมเลยหันไปสนใจกับไอ้ไฟจารจรด้วยซะเลย
“แล้วเรื่องของพี่เป็นไงบ้าง” เพียงไม่นานเสียงไอ้โฟล์คก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เฮ๊ย! นี่ไม่ได้คิดไปเองใช่มั๊ยว่ามันพยายามชวนผมคุยอ่ะ แหม พอกูสงบเสงียบเจียมปากแล้วมึงไม่ชินขนาดนั้นเลย?
“ก็... ไม่รู้ดิ น่าจะโอเค” ไอ้ซีพยายามโทรหาผมอยู่ครับ แต่เหมือนมันจะรู้ตัวว่าควรรักษาระยะไว้บ้าง เลยโทรมาแค่วันละสาย และแน่นอน ผมไม่รับ... ผมคิดว่ามันยังเร็วเกินไปที่จะกลับไปคุยกัน
“อืม...”
แล้วบทสนทนาก็จบลงอีกครั้ง... หรือไม่... ผมควรชวนมันคุยบ้างป่าววะ?
“ทำไมมึงถึงร้องเพลงนั้นได้เพลงเดียววะ?” นั่น.... ปากไปไวกว่าความคิดอีกตางหาก ไอ้คำถามที่เวียนเข้ามาในหัวตอนนั้น ในที่สุดผมก็ถามออกมา
บางที...เพลงนี้อาจจะสำหรับใครรึเปล่า? ความหมายก็ออกจะชัดเจน....
แต่ถึงคำตอบมันจะชัดเจนแค่ไหน ทำไมใจมันถึงแอบาวนาไม่ให้เป็นจริงนะ
“หืม? อ่า...เคยร้องตอนสอบวิชาดนตรี”
“แล้วทำไมต้องเพลงนี้อ่ะ” โอ๊ยแม่งงงงง อยากตบปากตัวเอง ทำไมมึงทำงานไวกว่าสมองวะฮะ?
“เพื่อนเป็นคนคิดน่ะ... เล่นกันเป็นวง”
“อ๋อ... เสียงดีขนาดนั้นเชียว” ประโยคหลังผมบ่นอุบอิบคนเดียว
“ฟังมั๊ย?” แต่มันดันเสือกหูดีอีก หันมาเอียงคอเล็กๆแล้วทำหน้ามึนๆใสผม
“เกรงใจจังครับ ไฟเขียวแล้วมึง ขับไปครับขับไป” ผมหันหน้าหนีแล้วโบกมือปัดๆให้มันหันไปมองไฟจราจรที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวได้ซักพักแล้ว ไอ้โฟล์คเลยหันไปสนใจเส้นทางด้วยหน้ายิ้มๆ
“แต่บอกตอนนี้ไม่รู้จะเร็วไปหรือไม่...”
“บอกว่าเกรงใจไงครับ”
“และยังไม่รู้ว่าเธอคิดเช่นไร...”
“ไอ้ฟัคคคคคคคคคคค!!”
“ฮะๆๆ” เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่ผมไม่ได้มองเจ้าของเสียง กลับหันหน้าเข้าหาบานหน้าต่างแล้วหลุบตาลงต่ำ...
อากาศแม่งร้อนชิบหายเลย.... ร้อนเฉพาะที่หน้าอีกตางหาก...
ความคิดเห็น