คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : บทที่ ๑๔
๑๔
2 มกราคม 25xx
“อืมมมมมมมมม...” ผมยืดแขนขึ้นข้างบนแล้วลากเสียงครางหงุงหงิงยาวๆหลังจากรู้สึกถึงเสียงเพลงเบาๆแต่มันชั่งน่ารำคาญเหลือเกินในตอนเช้าๆแบบนี้
ตาหนักๆของผมค่อยๆลืมขึ้นมามองเพดานสีขาวสะอาดๆแล้วหรี่ต่ำลงมามองที่หน้าท้องเมื่อรู้สึกถึงอะไรหนักๆ ทับลงมา แน่นอน.... แขนไอ้เชี่ยโฟล์ค
ผมยู่หน้านิดหน่อยแล้วมองตามแขนนั้นไปจนเจอกับเจ้าของของมัน ไอ้เด็กหน้าหล่อที่นอนตะแคงหันหน้าเข้าหาผมด้วยท่าเดิมเป๊ะๆกับเมื่อคืน และแน่นอนว่าถ้าผมไม่ใช่ไอ้คนนอนดิ้นขั้นสุดยอด ป่านนี้ก็คงตื่นขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขนมันนั่นแหละให้ทาย
แค่คิดก็... ยี๊
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะยกแขนหนักๆนั่นออก ไอ้เจ้าตัวก็เหมือนจะรู้สึกตัว พลิกตัวไปนอนหงายแล้วเอามือขึ้นไปคลำๆแถวหัวเตียงทั้งๆที่ยังไม่ลืมตา แล้วหยิบไอโฟนแหล่งกำเนิดเสียงนาฬิกาปลุกของมันมาสไลด์ปิดเบาๆ แล้วลืมตาลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจด้วยหน้ามึนๆอึนๆเนือยๆแบบที่ผมรู้สึกเหมือนกับว่าห่างหายกับไอ้หน้าแบบนี้ของมันมาเป็นชาติ
ตอนนี้เป็นเวลา 6 โมงครึ่งและด้วยความที่ไม่มีใครคิดอยากจะอาบน้ำในหน้าหนาวแถมเช้าชิบหายแบบนี้ก็เลยแค่ล้างหน้า แปลงฟัน เปลี่ยนชุดเท่านั้น ทำให้ผมเช็คเอาท์ แล้วมานั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับในรถของตัวเองก่อนเวลาที่คิดไว้ 15 นาที
หันไปมองหน้าไอ้คนขับรถที่ยังทำท่าสะลึมสะลือจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ก็รู้สึกรักตัวกลัวตายขึ้นมานิดหน่อยจนต้องเอาเข็มขัดนิรภัยขึ้นมาคาดแบบไม่ต้องรอให้มันคาดก่อนเหมือนที่ผ่านมา... ส่วนสาเหตุที่ผมไม่ขับเองน่ะหรอ... หึหึ...
แค่แยกทะเลยังแยกไม่ออกเลยครับว่าที่ไหน แล้วจะให้ขับกลับเนี่ยนะ? เลิกคิดเถอะ ถ้าไอ้โฟล์คต้องนั่งบอกตลอดทางก็สู้ให้มันขับไปเลยดีกว่า สบายผมสิ
การเป็นลูกคนเล็กมันก็เสียงี้แหละครับ ไปไหนมาไหนเฮียขับตลอด ผมเลยไปไหนเองไกลๆกรุงเทพไม่ค่อยเป็น
ระหว่างทางก็มีบ้างที่รถจะเลี้ยวออกนอกเส้นทางเพื่อแวะปั๊ม หรือหาข้าวเช้ากินกันซักมื้อ ก่อนจะขับยาวกลับกรุงเทพ
ไม่ค่อยมีใครพูดแทรกขึ้นมาระหว่างเพลงที่คลอเบาๆ เพราะตั้งแต่เราแวะกินข้าวมันไก่มื้อเช้าเสร็จ ผมก็บ่นอะไรไร้สาระนิดหน่อยตามนิสัยก่อนจะขึ้นรถมา แล้วก็นั่งเงียบมองข้างทางเหมือนอยากอยู่ในโลกส่วนตัว ไอ้คนข้างตัวผมก็เหมือนจะรู้ เลยขับรถไปเงียบๆ ปล่อยให้ผมจมอยู่กับความคิด ว่าจะทำยังไงดีกับไอ้อนาคตอันใกล้...ที่กำลังจะมาถึงนี้
เวลาผ่านไปรวม 3 ชั่วโมงกับอีกไม่กี่นาทีนับตั้งแต่ออกจากโรงแรม ผมก็รู้สึกว่าข้างทางที่มองมาไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมงมันเริ่มคุ้นขึ้นมานิดหน่อย ใช่... ใกล้จะถึงแล้ว...
“มึงเลยไปบ้านมึงเลย เดี๋ยวกูขับกลับเอง”
ไอ้คนฟังเพียงหนึ่งเดียวก็พยักหน้าหงึกๆแล้วขับต่อไปจนถึงหน้าบ้านหลังใหญ่ที่ผมเคยมาครั้งหนึ่ง ผมเปิดประตูออกนอกรถเพื่อที่จะเปลี่ยนฝั่งไปขับต่อแล้วยืนรอให้ไอ้คนขับรถประจำวันเปิดประตูก้าวออกมายืนเต็มความสูง
“อ่า... คือ ขอบคุณมึงอีกครั้งนะ...”
“อืม” มันพยักหน้ารับ
“มึงช่วยกูไว้มาก มากจริงๆ”
“ฮะ?” มันเลิกคิ้วนิดหน่อยเหมือนไม่คิดว่าคนอย่างผมจะพูดอะไรแบบนี้ได้ เล่นเอาซะอยากซัดซักเปรี๊ยง
“คือ เรื่องวันนั้นก็....หายกันและกัน”ตลอดระยะเวลารวม 3 ชั่วโมง ผมก็คิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง ถึงจะดูเหมือนมันไม่ได้ทำอะไร แต่สำหรับผม มันมากจริงๆนะ
“...”
“...เนอะ?”ผมถามย้ำอีกที ไม่รู้เป็นเพราะท้องฟ้าหน้าหนาวที่มันครึ้มแบบนี้รึเปล่า เลยทำให้ผมรู้สึกหดหู่แปลกๆ
“...” ไอ้บรรยากาศแบบนี้มันคืออะไรวะ มึงเงียบทำไม?
“อ่า... งั้นกู...ไปแล้วนะ” ว่าแล้วก็โบกมือให้มันหย๋อยๆแล้วหันหลังกลับ
โอเค ต่อจากนี้มันก็จะไม่หาเรื่องซวยมาให้ ไม่มีคนมาทำให้จะเป็นโรคประสาทแดก...
.........ก็ดี
แต่ทำไมรู้สึกโหวงๆวะ...
“...เฮ้” แต่เสียงไม่ดังมากของมันก็เรียกให้ผมหันหลังกลับไป
“แต่ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ เหมือนได้เที่ยวฟรีอีกตางหาก”
“...” ผมเงียบ สมองก็กำลังประมวนคำพูดของมัน แต่ไม่ทันไร ริมฝีปากสีอ่อนๆนั่นก็พูดต่อ
“พี่คิดว่ามันคุ้มหรอ? ....เสียไป 5 คะแนนเลยนะ?”
ไอ้ความรู้สึกอยากยิ้มให้แก้มปริแบบนี้มันอะไรอีกล่ะวะ...!!
“ฮะ...” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ
“แล้วแต่มึงแล้วกัน...” พูดจบผมก็เปิดประตูแล้วรีบขับออกไป...
เพื่อมานั่งแหกปากฉีกยิ้มอยู่บนรถนี่ไง....
มึงโง่กว่าที่คิดวุ๊ย... อุส่ายื่นโอกาสดีๆให้...
แล้วเหมือนผมก็จะเริ่มบ้าแล้วเหมือนกัน... ที่คิดว่าการมีคนคอยกวนประสาทมันก็.... ดีเหมือนกัน...
เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยย!!!! อะไรเข้าสิงห์กูวะเนี๊ย!
ไอ้ที่คิดๆมาข้างบนนั่นไม่ใช่ผมนะ จริงๆนะ เชื่อดิ!
ผมรีบหุบยิ้ม ยู่หน้า ทิ้งน้ำหนักให้หัวลงไปกระแทกพวงมาลัยเบาๆ แล้วฟุบค้างอยู่อย่างนั้นขณะรอไฟแดง
ในขณะที่ปากก็ฉีกยิ้มออกมาอีกจนได้...
-------------------------------------------
ผมยืนรอลิฟต์หลังจากเพิ่งวางสายเฮียที่โทรไปรายงานว่าอยู่คอนโดแล้ว ไม่เป็นอะไร และยังไม่ทันจะละหูออกจากไอโฟนข้อความที่บอกว่ามีใครบ้างที่พยายามติดต่อก็ค่อยๆทยอยเข้ามาจนโทรศัพท์สั่นครืดๆ มีทั้งเบอร์ที่รู้จักและไม่รู้จักยาวเหยียดเป็นหางว่าว พอๆกับตอนที่ผมเปิดเครื่องมาครั้งแรกตอนอยู่โรงแรม สงสัยมันคงแจ้งไปหาพวกมันว่าผมเปิดเครื่อง...
และแน่นอนว่าสายที่มีมากที่สุดคือไอ้ซี...
ผมมองข้อความที่แจ้งว่ามันพยายามโทรหาผมเฉียดร้อย ข้อความเป็นสิบ แจ้งเตือนจากแอพพิเคชั่นต่างๆอีกมากมายด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งเหยียดๆ สะใจ ดีใจ หรืออะไรก็ไม่รู้มากมายแยกไม่ถูกแต่ผมไม่รู้สึกผิดเลยซักนิด... ถือว่าเป็นบทลงโทษเล็กๆของมันก็แล้วกัน
ครืด...
ไอโฟนในมือสั่นอีกครั้งจากแจ้งเตือนของแอพพลิเคชั่นสีเขียวยอดฮิต และด้วยความเคยชิน นิ้วโป้งผมก็คลิ๊กเข้าที่แจ้งเตือนนั้นอย่างอัตโนมัติ
[ลูกหนี้:อย่าหนีปัญหานะ] ทันทีที่อ่านข้อความผมก็นึกขำในใจจนต้องยิ้มออกมา ฮ่ะๆ อย่าให้กูเปลี่ยนชื่อมึงอีกทีเป็นพ่อนะ...
บางทีก็อดคิดไม่ได้ ว่ามันดูเป็นผู้ใหญ่กว่าผมอีก
[Card : เออ] พอตอบปุ๊บมันก็ขึ้นรีดปั๊บ ผมเหลือบตาขึ้นไปมองข้อความเสียงที่มันส่งมาให้คืนวันปีใหม่นิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้กดฟังเพราะลิฟต์ดันเปิดขึ้นซะก่อน
ลิฟต์พาผมขึ้นมายันชั้น 18 ก่อนผมจะลากขาตัวเองให้มาอยู่หน้าห้อง... ที่มีโพสอิทสีเหลืองเข้มแปะอยู่ที่บานประตูพร้อมลายมือที่ผมรู้จัก...
‘ขอโทษ’
นั่นคือคำที่อยู่ในกระดาษใบเล็กๆแผ่นนั้น ผมหยิบขึ้นมามองแล้วเหยียดยิ้มบางๆให้ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป
“ไอ้การ์ด!” เสียงห้าวๆดังขึ้นพร้อมเจ้าตัวที่เด้งตัวขึ้นมาจากเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากประตู ผมตกใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหรที่เห็นมันอยู่ในห้องเพราะจำได้ว่าเป็นคนยื่นคีย์การ์ดและกุญแจสำรองให้เอง...
และไม่กี่วินาทีถัดมาเสียงไอ้เจฟก็เรียกให้ไอ้พวกที่เหลือ ที่กระจัดกระจายกันอยู่คนละมุมห้องมายืนออกันที่หน้าประตู
รวมทั้งไอ้คนที่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมที่จะเห็นหน้ามันเท่าไหร...
ผมเผลอไปสบตาไอ้ซีแว๊บหนึ่ง หน้ามันมีรอยจ้ำสีเขียวอยู่ที่โหนกแก้ม รอยม่วงๆที่มีเลือดซิบที่มุมปาก ผมรู้แค่ว่าไอ้รอยที่มุมปากน่ะเป็นของผม แต่อีกที่ก็ไม่แน่ใจ... อาจจะเป็นของใครซักคนในนี้
“มึงหายไปไหนมาวะ? พวกกูเป็นห่วงแทบแย่” ไอ้มินว่าแล้วเข้ามาลากแขนผมให้ไปนั่งบนโซฟา รอยคล้ำใต้ตาของพวกมันเป็นหลักฐานอย่างดีให้คำพูดมันดูน่าเชื่อถือ
พวกที่เหลือก็เดินตามมาน้อมล้อมผมไว้แล้วถามไถ่ซักไซ้ นู่นนี่ จะมีก็แต่ไอ้ตัวต้นเรื่อง ที่ยังยืนค้างอยู่ที่เดิม
“การ์ด...” ไอ้ซีเดินมาหยุดอยู่ห่างผมประมาณ 2 เมตร
“....................................ครึ่งชั่วโมง... กูให้เวลามึงอธิบายครึ่งชั่วโมง”
“...”
“โอเค ถ้าไม่มีอะไรก็กลับไป กูมีเรียน และเวลากูก็มีค่า” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะยืนขึ้น…
“กูขอโทษ...”
“กูว่ากูบอกว่ากูต้องการคำอธิบายนะ...”
“...”
“แล้วก็ขอความจริงด้วย กูอยากรู้ทุกอย่าง มึงคงไม่ได้ปิดบังอะไรไว้อีกใช่ไหม?”
“............กู...... กู.. ชอบมิวมาตั้งแต่ม.6” ประโยคนี้ทำให้ผมเผลอขบกราม อารมณ์โกรธมันที่เคยบอกว่าเพลาๆลงแล้วกลับปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนั้นผมกับมิวคบกันได้เกือบปีแล้วด้วยซ้ำ...
“..........กูรู้สึกผิดมาตลอด กูพยายามเลิกคิดแล้ว แต่ยังไงมันก็ยังทำไม่ได้.... กูเลยตัดสินใจสอบเข้าที่ไกลๆ แต่เหมือนอะไรมันเล่นตลก กูมารู้อีกทีว่ามิวก็ติดที่เดียวกันซะงั้น...” มันเค้นยิ้มออกมาพร้อมกับน้ำตาที่หยดลงพื้น
“มึงแน่ใจนะว่ามึงไม่รู้?”
“ทุกอย่างที่กูพูดคือความจริง...” มีคนว่าเอาไว้.... ว่าความเชื่อใจก็เหมือนกับแก้ว ถ้ามันแตกไปครั้งหนึ่ง ต่อให้พยายามยังไง ก็จะไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิม
“ก็ได้ กูจะพยายามเชื่อ” ผมจงใจกดเสียงให้หนักขึ้นในคำว่า ’พยายาม’
“....ขอบคุณ”
“...”
“เรื่องนี้ถ้าจะมีคนผิดก็คงจะเป็นกู.... มึงอย่าไปโทษมิวเลย เค้าไม่ผิดอะไร กูเองการ์ด... กูเลวเอง กูขอโทษ” ตบมือข้างเดียวน่ะ... มันไม่ดังหรอกนะ
“...แล้วพอกูคุยกับเค้า ความชอบที่กูมีมันก็เหมือนจะเริ่มมากขึ้น มากขึ้น... จนกู...”
“พอเหอะ... กูไม่อยากรู้แล้ว.... ไม่ต้องเล่าต่อแล้ว เหมือนจะกลายเป็นการบอกถึงความรักที่พวกมึงมีให้กันมากกว่า”
“มันไม่ชะ...”
“พวกมึงทำเหมือนกูเป็นไอ้โง่... ทำให้กูคิดว่าถ้าเกิดอนาคตเรายังไม่มีใคร กูกับเค้าจะคบกันเหมือนเดิม.... มึงก็รู้ว่ากูเป็นคนยังไงใช่มั๊ย? ทุกวันนี้กูยังคิดถึงเค้าอยู่ กูยังตัดใจไม่ได้ เพราะกูคิดไง กูคิดว่าเรายังมีความรู้สึกดีๆให้กัน เค้ายังรักกู แค่เพราะเราอยู่ห่างกัน แต่มันไม่ใช่... เหอะ... กูรู้ว่าความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้ โอเค กูเข้าใจเรื่องนี้”
มันนิ่งเงียบ มองผมด้วยแววตาที่มีหลากความหมาย ห้องทั้งห้องที่มีกันอยู่เกือบสิบกลับไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา มีแค่ผมที่จ้องตากับมัน เหมือนจะเค้นเอาความจริง และหาพิรุธในสายตาคู่นั้น....
“แต่ที่กูไม่เข้าใจ... คือทำไมมึงไม่บอกกู...”
“..........กูกะ...”
“กูรู้มึงกลัวกูโกรธ แต่มึงไม่คิดหรอว่าถ้ากูรู้ทีหลังกูจะเสียใจขนาดไหน มึงเป็นเพื่อน! เพื่อนสนิทกูแท้ๆ น่าจะรู้ว่ากูเป็นคนยังไง.... มึงทำให้กูอดคิดไม่ได้ซี ....ว่าถ้าวันนั้นไอ้ป้องไม่บอกกู กูก็คงเป็นไอ้โง่อยู่อย่างนี้ไปตลอด”
“กูไม่ได้อยากปิดบังมึงนะ...”
“แล้วทำไมไม่บอกกูล่ะ!!! มึงคบกันมาจะเป็นปี หรือกูเป็นยังเป็นไอ้โง่ไม่นานพอหรอ?”
“การ์ด...”
“พอเหอะว่ะ... มึงกลับไปเถอะ...”
“กะ...”
“กูยังไม่ได้บอกว่าจะเลิกคบมึงเป็นเพื่อน... และก็ยังยืนยันไม่ได้ว่าจะกลับไปเป็นได้ ....แต่ตอนนี้หน้ามึงกูยังไม่อยากมองเลยว่ะ” ผมเบือนหน้าหนี รู้สึกได้ว่าตามันร้อนๆ
“ซี... มึงกลับไปก่อนเถอะ” เสียงใครไม่รู้ผมไม่ได้สนใจ มันพยายามลากไอ้ซีออกไป
“แต่กูก็ขอบใจมึงนะ.... อย่างน้อย กูก็ตัดใจจากเค้าได้ซักที...” ตัดขาดเลยจริงๆ...
“อึก!” ผมสะดุ้งตัวโยน เมื่อไอ้คนที่เอ่ยปากไล่ไปเมื่อกี้มันถลาเข้ามากอดผมเอาไว้แน่น
“กูขอโทษ...” มันพูดได้แค่นั้นก็ร้องไห้แล้วสะอื้นต่อ ผมก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร แค่นั่งอยู่นิ่งๆอย่างนั้น...
-------------------------------------------
“แล้วมึงจะเอาไงต่อ” ไอ้เต้พูดไปขับรถไป โดยมีผมนั่งเบาะข้างคนขับด้วยชุดเครื่องแบบถูกระเบียบ
“ไม่รู้” ไอ้ซี มันยอมกลับไปตามที่ผมบอก หลังจากนั้นผมก็อาบน้ำแต่งตัวแล้วติดรถไอ้เต้มาเรียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทั้งๆที่คิดมาแล้วแท้ๆว่าจะทำยังไง แต่พอเจอเหตุการณ์เข้าจริงอะไรๆที่วางแผนไว้ผมก็ลืมมันไปหมดเพราะความโมโหจนได้สิน่า
“เฮ้อ.... ทำไมต้องเกิดเรื่องเหี้ยๆอย่างนี้ขึ้นด้วยวะ” มันถอนหายใจแล้วหมุนพวงมาลัยเลี้ยวเข้ามหาลัย “แล้วมึงหายไปไหนมาฮะ? ...........กูกลัวมึงคิดสั้นแทบแย่”
“ชั่งมันเหอะน่า กูก็นั่งหัวโด่อยู่นี่ไง”
“เอ๊า มึงอาจตายแล้วก็ได้ แต่ไม่รู้ตัวไง” มันยิ้มหัวเราะกวนตีนแล้วเบนรถให้ไปจอดริมฟุตบาทหน้าคณะผม และก่อนจะลงผมเลยตบกะโหลกมันไปเบาๆหนึ่งทีแล้วรีบลงประกับปิดประตูรถดังปัง แต่ก็ทันได้ยินเสียงมันร้องโอดโอยเบาๆแล้วสบถด่านิดหน่อย
ผมมองตามรถสีดำเงาวับนั่นไปจนพ้นสายตา ก่อนรอยยิ้มที่คลี่ไว้จะค่อยๆหุบลงจนกลายเป็นใบหน้าเรียบนิ่ง แล้วหันหลังเดินเข้าตึก
ที่มากับมันก็เพราะเป็นทางผ่านระหว่างกลับบ้านมันพอดี ด้วยความที่วันนี้มันมีเรียนเช้า แถมยังโดดไปแล้วเพื่อรอผมอยู่ในห้องนั่น ไอ้แฝดที่มีเรียนเต็มวัน กับบ่าย ผมก็ไล่ให้มันกลับไปอาบน้ำเตรียมเรียนส่งไอ้เท็นไอ้เจฟที่สนามบิน จนผมอดบ่นไม่ได้ว่านี่ถ้าเกิดผมไม่กลับมาพวกมันไม่เป็นอันอยู่เฝ้าห้องผมเลยหรอ และคำตอบที่ได้ก็คือ...
เฮียแม่งบอกว่าผมจะกลับมาเรียน... เออ........... ไอ้พี่เวร
“การ์ด!” เสียงหวานๆดังขึ้นข้างหลังทำให้ผมที่กำลังจะเดินเข้าคณะหันไปมอง
“อ่าว แกรนด์....”
“แฮปปี้นิวเยียร์น้า” เสียงเล็กๆนั้นว่าก่อนจะยื่นถุงกระดาษสีน้ำตาลซีดๆแกมแดงลายแบรนด์ คุ้กกี้ชื่อดังสัญชาติอังกฤษ
“แฮปปี้นิวเยียร์ครับ แต่ อ.. เอ่อ... เราเกรงใจอ่า อีกอย่างก็...ไม่มีอะไรให้ด้วย” ผมยิ้มแหยๆเกาหัวแก้เก้อ “ขอโทษน้า”
“นี่หาว่าเราซื้อมาเพราะหวังของตอบแทนหรอ?” เธอแบ้ปากนิดหน่อย
“ฮะ เฮ๊ย ไม่ใช่ๆ”
“ฮ่าๆ ล้อเล่นน่า เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก เราไม่ซีเรียส แต่ให้ไม่รับนี่มันเสียน้ำใจนา เอาไปเถอะนะ น้าาาาาา” ท่าทางอ้อนๆเหมือนลูกแมวนั่นทำให้ผมใจอ่อน เอื้อมมือไปรับมาจนได้
“ขอบคุณมากนะค๊าบ” ผมยิ้มรับ “เอางี้ เรียนเสร็จกี่โมงอ่า?”
“บ่ายสี่นะ”
“อืม งั้นเดี๋ยวเราเลี้ยงเค้ก” ผมว่ายิ้มๆ
“โหยยยย ป๋าาาาาา”
“ฮ่าๆๆ .........แล้วเอาไงล่ะ?”
“ไปสิ!”
เมื่อความรู้สึกเก่าๆถูกสลัดทิ้งไปหมด.... ผมว่า ผมก็ควรจะเริ่มต้นใหม่กับใครซักคนอย่างจริงๆจังๆซักที
-------------------------------------------
รีไรท์ใหม่เล็กน้อยค่ะ แก้คำผิดด้วย ถ้ายังเจอคำผิดบอกกันได้น้า บางทีไรท์ก็เบลอๆอ่านข้ามๆ 5555
ความคิดเห็น