คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : บทที่ ๑๖
๑๖
13 มกราคม 25xx
ฟีโน่สีฟ้าลายดอกของพี่แทนค่อยๆชะลอความเร็วลงแล้วเข้าไปจอดในที่จอดรถสำหรับมอเตอร์ไซค์อย่างแม่นยำก่อนผมที่วันนี้ขอติดรถพี่ท่านมาด้วยจะง้างขาแล้วก้าวลงมายืนเก๊กหล่อให้คนที่มีฐานะเป็นพี่รหัสหมั่นไส้เล่น
ผมขอให้พี่แทนช่วยมารับครับ เพราะพี่แกอยู่หอแถวๆนั้นเลยมาอีกหน่อยก็ถึงคอนโดผมพอดี อีกอย่างบีเอ็มคู่ใจก็ฝากเฮียขับกลับ แต่ถึงมันอยู่ผมก็ไม่เอาล่ะ แลดูเว่อร์ไปครับ แค่หน้าตาผมมันก็เป็นจุดเด่นมากพอและ อิอิ
พี่แทนเป็นผู้ชายที่เรียกได้อย่างเต็มปากว่าโคตรติส! สูงเกือบๆ 180 ผมยาวซอยประบ่าแถมด้วยไรหนวดบางๆเหนือริมฝีปาก หน้าคม และแถมให้ดูเถื่อนเข้าไปอีกกับผิวที่แทนผมชื่อ ใส่เสื้อยืดลายกราฟฟิก กางเกงยีนส์ขายาวที่ขาดวิ้นมาจนถึงต้นขากับคอนเวิร์สสีแดงที่ไม่น่าจะเคยโดนผงซักฟอก
เรียกได้ว่าถ้าไม่หล่อแต่งงี้แล้วโคตรโจร ฮ่าๆๆๆๆ แต่ผมยอมรับครับว่าพี่แทนก็หน้าตาดี จัดได้ว่าหล่อ แต่ไม่มากเท่าผมอ่ะนะ.... เหย...นี่เรื่องจริง ป่าวหลงตัวเอง!
เพราะงั้นผมที่ใส่เสื้อยืดธรรมดาๆสีขาวกับกางเกงขาสั้นระดับเข่าเลยดูขาวสะอาดบริสุทธิ์ทันทีเลยทีเดียวเชียว
เราเดินเข้ามาในร้าน... ใช่ ไอ้ร้านนั้นแหละ...มันเป็นร้านอาหารกึ่งบาร์ ตัวร้านก็ดูสบายๆครับ มีเวทียกระดับขึ้นมานิดหน่อยกำลังเล่นเพลงเบาๆ ช้าๆ ฟังสบายดี
ไม่นานพวกผมก็เดินไปเจอกับโต๊ะมุมร้านที่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งไขว้ห้างเล่นโทรศัพท์อยู่คนเดียว และพอรู้สึกตัวว่ามีคนเข้าใกล้ก็เลยเงยหน้าขึ้นมา...................บ่น
“แม่ง... กว่าจะมา รอเป็นชาติและ” นี่คือพี่รหัสปี 4 ของผมครับ ชื่อเจ๊เปรี้ยว เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวในสายตอนนี้ ขาว หุ่นดี ผมสีดำสนิทประบ่า ตัดหน้าม้าและดิปปลายผมสีม่วงให้ดูมีลุคเปรี้ยวสมชื่อ แรกเห็นนี่ผมหลงเจ๊แกเข้าอย่างจังแต่โบราณว่าไว้ อย่ามองคนแค่ที่หน้าครับ ผมเริ่มถอดใจตั้งแต่เริ่มรู้จักเจ๊แกมากขึ้น ฮ่าๆๆ เห็นงี้เป็นผู้หญิงที่โคตรจะเถื่อนและทำตัวโคตรห้าว
“โหยเจ๊ นี่ยังไม่ถึงเวลา ที่เหลือก็ยังไม่มา” พี่แทนบ่นเบาๆ
“ปล่อยผู้หญิงตัวเล็กๆมารอคนเดียวแบบนี้ได้ที่ไหนกันวะ? รู้มั๊ยชั้นโดนเด็กขอเบอร์ไปกี่คนและ” เจ๊แกบ่นแบบไม่ได้เอาเรื่องอะไรติดจะขำๆมากกว่าก่อนจะทำเสียงเชิดไปตรงประโยคท้ายจนผมแอบขำ ต้องมองตามหน้าสวยๆที่พยักพเยิดไปตรงโต๊ะใหญ่กลางร้านเหมือนจะบอกว่าไอ้เด็กกลุ่มนั้นแหละ กล้าหือมาขอเบอร์ท่าน
กลุ่มวัยรุ่นม.ปลายราวๆ 10 คนกำลังคุยกันเสียงดังลั่นร้าน ในนั้นมีผู้หญิงซัก 3 ส่วนที่เหลือเป็นผู้ชาย แต่จะชายแท้หรือเทียมค่อยว่ากันอีกที ที่แน่ๆ ในกลุ่มผู้หญิง 2-3 คนนั้นผมเห็น......เมเปิ้ล...
ถ้างั้น.......
ผมกวาดสายตามองไล่ไปตามเด็กแต่ละคนก่อนจะเจอเป้าหมาย...
ไอ้เด็กที่ไม่ได้เจอหน้ามาอาทิตย์กว่า....
ไอ้โฟล์คกำลังคลี่ยิ้มบางๆฟังเด็กผู้หญิงผมสั้นคนหนึ่งพูดอย่างออกฤทธิ์ และผมก็คุ้นหน้าเธออยู่หน่อยๆ...
จีน
ความรู้สึกแปลกๆเล่นเข้ามาในอก ผมบอกไม่ถูกว่ามันเป็นความรู้สึกแบบไหน แต่ที่แน่ๆมันไม่ใช่แง่บวก...
มัน..........เจ็บๆ?
แล้วเพราะอะไร....?
ผมเข้าใจมาตลอดๆว่ามันเป็นพวกโลกส่วนตัวสูง ไว้ใจใครยาก เลยทำให้ผมค่อนข้างจะดีใจหน่อยๆตอนที่มันยิ้มหรือหัวเราะให้... แต่ดูเหมือนพอมาอยู่กับเธอ มันดูจะยิ้มออกมาได้ง่ายดายเหลือเกิน...
แต่ยังไงซะความรู้สึกมันก็ช่างเบาบางจนผมเลือกที่จะมองข้าม...
แป๊ะ!
“โอ๊ย..!!” ผมร้องออกมาเบาๆแล้วเอามือลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆเมื่อนิ้วยาวๆของคนข้างตัวดีดเข้ามาใส่เต็มแรง
“เจ็บนะ..... โอย... กะโหลกจะแตกไหมเนี๊ย” ผมบ่นอุบอิบ
“ไม่ต้องห่วง กะโหลกมึงหนามากไอ้น้องรัก” คนร้ายที่เพิ่งทำร้ายร่างกายผมไปหยกๆเอามือมาโยกหัวผมเล่น
“กะโหลกคน มันไม่ทนแรงควายนะพี่” ผมพูดติดตลกพร้อมๆกับโน้มตัวหลบฝ่ามือพี่แทน มือก็ยังไม่วายลูบหน้าฝากตัวเอง แม่ง... เจ็บจริงๆนะครับ
“ก็มองอะไรก็แกตั้งนาน” ผู้หญิงหนึ่งเดียวในกลุ่มถามต่อ
“ป่าวซะหน่อย...”
“ส่องหนุ่มหรอจ๊ะน้องชาย” เจ๊เปรี้ยวคลี่ปากยิ้มแบบมีเลศนัยน์โชว์รีเทนเนอร์สีม่วงเข้ากันกับผมเหมือนจะประกาศให้โลกรู้ว่า…
กรูเป็นสาววายเว่ยเฮ๊ย!!
แน่นอนว่าผมรู้ครับว่าสาววายคืออะไร วายคืออะไร อาโอยคืออะไร เพราะจากที่ผ่านๆมาจะเห็นผมอ่านการ์ตูนกันบ่อยใช่ไหมล่ะ นั่นแหละจะเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นซะส่วนใหญ่ และจากที่ผมติดตามการ์ตูนพวกนี้มาตั้งแต่ม.ต้น ทั้งในเว็บและอะไรต่างๆนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมรู้บ้างเพียงผิวเผิน ว่าสาววายมันคืออะไร....
แต่ผมต่อให้พยายามทำความเข้าใจยังไงก็เถอะ พับผ่าสิ ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าไอ้มิตรภาพความเป็นเพื่อนของผู้ชายในสายตาผู้หญิงน่ะมันดูหวานแหววแผ่ออร่าสีม่วงขนาดนั้นเลยหรอ... อย่าว่าแต่มิตรภาพเลยครับ เป็นศัตรูกันผู้หญิงทั้งหลายก็ยังเอามาจิ้นกันได้ นับถือจริงๆ จินตนาการมันไม่มีที่สิ้นสุดจริงแหละน่า
“เฮ๊ย!! พี่บาส ทางนี้ๆๆๆ” และเจ๊แกก็ปล่อยผมไปและตะโกนเสียงดังพร้อมโบกไม้โบกมือให้พี่ใหญ่ในสาย
พี่บาสเป็นผู้ชายตัวประมาณผมแต่จะดูมีกล้ามเนื้อมากกว่านิดหน่อยเพราะเล่นกีฬา ผิวขาวเหลือง และดัดฟัน... แหม่ มันเป็นเทรนด์ฮิตจริงๆสิเนี่ย
รวมๆแล้วพี่แกก็หน้าตาดีครับ แต่ก็ไม่ถึงขั้นหล่อมาก สายผมนี่มีแต่คนหน้าตาดีวุ๊ย
“นี่กูไม่ได้มาคนสุดท้ายใช่มั๊ยเนี๊ย” พี่บาสว่าไปก็รับแก้วเหล้าจากพี่แทนที่ชงให้เอาใจ
“ช้าแค่ไหนก็รอได้ครับท่านเจ้าภาพ ฮ่าๆๆ” ผมแซว
“อะไร๊” พี่บาสเถียงเสียงสูง เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากพวกผม
เรานั่งจิบเหล้ากันไปเล่นๆฟังเพลงเบาๆที่คลอมาเรื่อยๆ แต่เวรเอ๊ย.... ทำไมตาผมมันถึงชอบชำเลืองไปทางไอ้เด็กกลุ่มนั้นเพื่อนมองหาใครคนหนึ่งด้วยนะ...
“โย่!!” ในขณะที่สายตาผมมันกำลังจะกวาดไปมองไอ้เด็กเปรตนั่นอีกรอบก็มีมือใหญ่ๆมาโบกข้างหน้าทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองก่อนจะเจอกับหน้าหล่อๆพี่สายรหัสปี 3 ของตัวเอง คนนี้ชื่อพี่หนาว จำกัดความได้ 3 โคตรครับ หล่อโคตร สูงโคตร รวยโคตร!!!!!
“มาได้ซักทีนะพี่” ผมสะดุ้งนิดหน่อยแต่ก็ยังบ่นอุบอิบๆ
“นี่ผมไม่สายใช่มะ?” คนมาสายแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ตัวทำหน้าเหลอหลา
“ก็ไม่นะ ชั่วโมงเดียวเอ๊ง” พี่แทนว่าประชดเล่นๆ
“แหม....ขอโทษครับคุณพี่” ว่าพร้อมพนมมือสวยงามแล้วก้มไหว้พวกผมรอบวงแบบเกรียนๆ
“ช่างมันๆ มาๆๆๆ ดื่มๆๆๆ มาครบกันซักทีฮาเร็มเจ๊เปรี้ยว” แก้วเหล้าถูกส่งให้คนมาใหม่ด้วยมือของหญิงสาวคนเดียวในกลุ่ม
เอาความจริงถึงพี่บาสจะปีใหญ่สุด แต่พวกเราโดนเจ๊เปรี้ยวแกคลุมซะหมดเลยครับ ฮ่าๆๆ อีกอย่างด้วยความที่หน้าตาดีกันทั้งหมด เจ๊แกเลยภูมิอกภูมิใจ โมเมเป็นฮาเร็มตัวเองซะเลย...
“แล้วไมมาช้าฮะ?” พี่บาสถามแบบไม่เอาความอะไรมาก คงถามเพราะไม่รู้จะเปิดประเด็นคุยอะไรมากกว่า
“....ไปส่งตี้มาอ่ะ” พี่หนาวพูดน้ำเสียงสำนึกผิดปนเขินอาย ยกมือขึ้นมาเกาหัวแก้เก้อ
“ซิตี้อ่ะนะ?!!!” เจ๊เปรี้ยวทำตารุกวาวเป็นประกายระยิบระยับพร้อมกับออร่าสีม่วงที่เริ่มแผ่ออกมา...
ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้กันโดยอัตโนมัติจากปฏิกิริยาสาววายว่าพี่ตี้ หรือพี่ซิตี้เป็นผู้ชาย.... เรียกได้ว่าโคตรหล่อ เหมือนเอาหล่อกับหล่อมาเจอกัน ตอนแรกผมนึกว่ามันเป็นแค่ข่าวลือ พอได้ยินแบบนี้ก็แอบตกใจเล็กๆครับ
ขอแสดงความเสียใจ และไว้อาลัยให้กับผู้หญิงครึ่งมหาลัย...
แต่เฮียแกก็ไม่ใช่เกย์ครับ เขาบอกผมงั้น เพราะผมก็เคยเห็นเขาควงสาวเหมือนกัน แบบว่าได้ทั้งหญิงและชาย หรือเรียกอีกอย่างว่าไบเซ็คชวล
แต่ผมว่าพี่แกเอนเอียงไปเอนจอยทางด้านผู้ชายซัก 70% ...
เล่นเอาสาวน้อยสาวใหญ่สาวเล็กสาวปลอมต่างๆนาๆครึ่งค่อนมหาลัยพากันแด แต่ก็จะมีประเพศเดียวกันกับเจ๊เปรี้ยวนี่แหละครับพี่ดูจะแฮปปี้ยิ่งกว่าได้เขามาเป็นแฟน ฮ่าๆๆๆ
ไม่ต้องเดาก็รู้ครับ เจ๊แกสมดั่งใจปรารถนาขนาดไหนที่ได้น้องรหัสสนองนี้ดขนาดนี้ ฮ่าๆๆๆ
“ครั้งนี้เจ๊ให้อภัยไอ้น้อง” เจ๊เปรี้ยวเอามือข้างที่ไม่ได้ถือแก้วเหล้าไปกอดคอพี่หนาว เรียกเสียงหัวเราะเบาๆได้จากรอบวง
พวกเราห้าคนนั่งดื่มแล้วก็สั่งอะไรมากินกันนิดหน่อยพอเป็นพิธีเพราะจุดประสงค์หลักเราไม่ได้มาเมาแต่มาพูดคุยกันมากกว่า ประเด็นก็มีทั้งเรื่องงาน เรื่องความรัก ลามไปถึงเกมส์ ฟุตบอล เรียกได้ว่าคุยกันตั้งแต่ไม่จิ้มฟันยันนิวเคลียร์
ตาผมเหลือบไปมองเด็กกลุ่มนั้นเป็นพักๆ ขณะนี้เวลาราวๆสี่ทุ่มกว่า จากเด็กที่มีราวๆ 10 คน กลับเพิ่มจำนวนขึ้นซักเท่าตัวหนึ่งได้ ผมใช่เวลากวาดตามองหาไอ้โฟล์คได้ไม่นาน เพราะเหมือนตัวมันพออยู่กับเด็กวัยเดียวกันแล้วจะดูเด่นขึ้นมาถนัดตา และเหมือนมันจะดูยังไม่ทันสังเกตุเห็นผมซะด้วย
มันกำลังขมวดคิ้วคุยกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งเรื่องอะไรไม่รู้ ปากมันก็เถียงบ้าง แต่เมื่ออีกคนพูดอะไรขึ้นมามันก็พยักหน้าเหมือนจะยินยอม
“ส่องเด็กหรอไอ้การ์ด”
“มุขนั้นเจ๊เปรี้ยวเล่นไปแล้วพี่” ผมหันกลับมาแสร้งทำหน้านิ่งใส่พี่หนาว
“งั้นเหม่ออะไรของมึง”
“คิดถึงตัวเองตอนวัยรุ่นอ่ะ” ผมตอบไปแบบส่งๆ
“เหมือนตอนนี้มึงแก่แล้วงั้นแหละไอ้ควาย” พี่หนาวว่าแล้วเอามือมาตบหัวผมเบาๆ
พรึ่บ….พรึ่บ...!!
อยู่ๆไฟในร้านก็ค่อยๆดับลงช้าๆไปทีละดวงๆเหลือแค่ไฟนอกร้าน ก่อนเสียงกีตาร์โปร่งจะดังขึ้นมาเบาๆ พร้อมแสงเทียนสีส้มๆที่สว่างมาจากหลังเวที
“Happy birthday to you…” เสียงทุ้มๆดังขึ้นมาเบาๆคลอไปพร้อมกับเสียงกีต้าร์ ก่อนที่แสงเทียนสีส้มๆจะค่อยๆเคลื่อนออกมาจากข้างหลัง แสงเทียนนั่นสว่างพอที่จะทำให้ผมเห็นตัวคนถือที่เป็นเด็กผู้ชายหน้าตาดีวัยเดียวกัน
“ Happy birthday to you…” แต่อีกประเด็นก็คือ... เสียงนี้มันคุ้นแปลกๆ
“Happy birthday… Happy birthday… Happy birthday to you...” และผมแน่ใจว่ารู้จักเสียงเสียงนี้
ทันทีที่เพลงจบลง เหมือนเด็กผู้ชายคนนั้นจะเดินมาหยุดอยู่หน้าเด็กผู้ชายอีกคนที่คงจะเป็นเจ้าของวันเกิด เด็กคนนั้นทำหน้าตื่นตกใจปนกับตะลึงนิดหน่อย ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไมในเมื่อเจ้าตัวมันก็น่าจะรู้อยู่แล้วล่ะว่ามันต้องมีโมเม้นท์อะไรแบบนี้
“สุขสันต์วันเกิดเป๊ป” เจ้าของเสียงเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์พูดต่อ ตามด้วยเสียงโห่ร้องเบาๆจากเพื่อนๆ ก่อนที่ตัวเจ้าของงานที่ดูท่าจะปลื้มซะเหลือเกินจะค่อยๆเป่าเทียนทีละเล่มบนเค้ก
เมื่อไฟบนเค้กดับลง ไฟบนเพดานก็สว่างขึ้นมา คนในร้านที่มีไม่ค่อยมากนักก็พากันปรบมือให้รวมทั้งผมและบรรดาพี่รหัสทั้งหลาย
แสงไฟที่สว่างขึ้นทำให้ผมมองเห็นเด็กหนุ่ม 2 คน บนเวที และหนึ่งในนั้นผมรู้จัก มันนั่งอยู่บนเก้าอี้บาร์คู่กับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่จำได้ว่าคุยกับไอ้โฟล์คเมื่อครู่ และในมือมีกีตาร์โปร่ง
“ขอถือโอกาสเล่นอีกซักเพลงเลยแล้วกันนะครับ อาจจะไม่เข้ากับบรรยากาศเท่าไหร แต่เพื่อนผมมันร้องจบได้แค่เพลงเดียว... ไม่รวมเพลงเมื่อกี้นะ!” เสียงใสๆของเด็กผู้ชายที่ในมือมีกีตาร์โปร่งเอ่ยเจื้อยแจ่ว เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากคนในร้านที่วันนี้ไม่ค่อยมากให้ดังขึ้นเบาๆในประโยคหลัง ก่อนที่มือจะเริ่มจับคอร์ดกีตาร์ เริ่มบรรเลงท่อนอินโทร
เสียงใสๆไม่แพ้เจ้าของของกีตาร์โปร่งดังขึ้น ก่อนที่ ‘คนรู้จัก’ ของผมบนเวทีจะร้องท่อนแรกออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ แต่ดูมีเอกลักษณ์ และเป็นตัวของมัน
“อยากขยับเข้าไปใกล้เธอ
อยากรู้จักตั้งแต่ได้เจอ
ใจฉันสั่นเมื่อได้ยินเสียงเธอ
ตั้งแต่วันแรกเจอ ก็เผลอเอาไปคิดละเมอ
พอรู้จักก็อยากจะทักทาย
แต่พอไม่เจอแล้วใจมันวุ่นวาย
เธอหายไปก็ห่วงเธอแทบตาย
จะเป็นเช่นไร ตรงนั้นมีใครดูแลอยู่หรือไม่ ไม่รู้...”
หน้ามันยังคงรักษาความมึนไว้อยู่ แอบมีเอาลิ้นมาเลียริมฝีปากบ้างเล็กน้อย เพลงถูกขับออกมาในโทรเสียงเรียบๆในรูปแบบของมัน... แต่ทุกอย่างแม่งทำให้ผมละสายตา หรือละความสนใจออกจากมันไม่ได้เลย.... ไม่ได้เลยจริงๆ
“เกือบลืมหายใจเมื่อเธอเข้ามาใกล้ๆ
แค่เธอยิ้มมา ก็สั่นไปทั้งหัวใจ
อยากจะบอกเธอให้ได้รับรู้ความในใจ
แต่บอกตอนนี้ไม่รู้จะเร็วไปหรือไม่
ก็ยังไม่รู้ว่าเธอคิดเช่นไร
ถ้าบอกคำนั้นแล้วเธอตอบมาว่าไม่ใช่
ถ้าเป็นแบบนี้เธอคงจะเดินหนีไป
เพียงพอแล้วถ้าได้มีเธออยู่ใกล้ๆ
ได้ยินเสียงได้คอยดูแลอยู่ไม่ไกล
จะสร้างความลับเอาไว้ในหัวใจ
มากเพียงไหนฉันจะไม่ยอมพูดไป....”
หลังท่อนนี้เป็นกีตาร์โซโล่เดี่ยว เด็กผู้ชายอีกคนข้างๆมันก็ดีดนิ้วอย่างคล่องแคล้วเป็นเนื้อเพลง ไอ้โฟล์คที่ยังไม่ถึงท่อนร้องก็เลยก้มหน้าลงครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองไปที่กลุ่มเพื่อนมัน จนผมต้องมองตาม... เมเปิ้ล....
ไม่... ไม่ใช่...
ผู้หญิงข้างหลังแฟนมันตางหากที่มันมองอยู่ และเหมือนทั้งเปิ้ลและจีนก็จะยังไม่รู้ เพราะแสงไฟมันแยงตา...
เพลงนี้มันร้องให้เธอ....
ทั้งความหมาย แววตา และน้ำเสียง... ถึงจะเรียบ... แต่มันฟังแล้วรู้สึกว่าสื่ออารมณ์ออกมาได้ชัด...
ผมเหลือบตาลง ความรู้สึกโหวงๆเริ่มเข้ามาในอก ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกเหมือนครั้งก่อน หากแต่ความนี้มันชัดเจน...
ทำไม...?
เพราะอะไรกันวะ?
....................อาจจะเพราะมันเองก็ไม่ต่างจากไอ้ซี... คงเป็นเพราะผมเคยเจอเรื่องแนวๆนี้มาบ้าง จนต้องย้อนกลับไปถามตัวเองว่าครั้งแรกนั้น สงสารมันไปได้ยังไง....
แต่มันสมควรเจ็บขนาดนี้เลยหรอวะ.....?
ผมสะบัดหัวสองสามที ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมา..... จังก้ากับดวงตาสีท้องฟ้ายามราตรี... ที่ถึงแม้จะดำมืด แต่กลับมีประกายเหมือนดวงดาว...
มันดูตกใจนิดหน่อย จ้องกลับผมด้วยดวงตาที่เบิกกว้างเล็กน้อย...
และมันก็นิ่งค้างอยู่อย่างนั้น....
นานจนเสียงโซโล่กีตาร์จบลงเข้าสู่ท่อนร้อง... ที่ดูเหมือนนักร้องจะยังไม่รู้สึกตัวเท่าไหร จนเพื่อนมันต้องกระซิบเรียก ให้เจ้าตัวหันมาสนใจเพลงที่เลยท่อนร้องมาพอสมควร
“ไปเข้าห้องน้ำนะ...” ผมหันไปบอกคนอื่อนที่ดูท่าจะสนอกสนใจบนเวทีจนไม่ได้สนใจอะไรผมมากมาย...
เสียงร้องเรียบๆนั่นยังคงดังต่อ แต่ผมกลับรู้สึกไม่อยากฟัง ต้องรีบก้าวขาเดินเข้าไปในห้องน้ำที่ทำให้ได้ยินเพียงแค่เสียงกีตาร์... นั่นก็ดี...
น้ำเย็นๆจากก๊อกถูกวักขึ้นมาล้างหน้า พร้อมกับดับอารมณ์ในตัว...
อ่า... กูเป็นไรวะเนี่ย... งี่เง่าชิบหาย...
ผมสบัดๆหัวให้หยดน้ำที่เกาะบนผมมันหลุดออก สูดหายใจแล้วก้าวขา กำลังจะพ้นประตูห้องน้ำอยู่แล้ว... แต่มาเจอกับไอ้เด็กสูงชะลูดที่เดินเข้ามาพอดี... แต่แม่งไม่ได้บังเอิญแน่ๆเถอะ
สายตามันทอดมองมา และผมก็กล้าพอที่จะมองกลับ... มันเกิดขึ้นอีกครั้ง... แต่ก็ได้ไม่นาน เมื่อเป็นผมเองที่ละสายตาหนี...
“เข้าห้องน้ำหรอ...” ผมพูดพร้อมเบี่ยงตัวหลบให้มันก้าวเข้าไป แล้วอาศัยหุ่นดีๆสอดตัวเองผ่านช่องว่างออกมาเพื่อจะเดินกลับ...
หมับ...
ถ้าไม่ติดมือที่ยื่นมาจับข้อมือไว้ก่อน...
ผมหันขวับไปมองไอ้โฟล์คด้วยความรู้สึกตกใจ มันเองก็ดูจะตกใจเหมือนกันที่อยู่ๆก็ว่าคว้าผมไว้
“อะ... มา... มาทำอะไรหรอ...”
“อา.... เลี้ยงสาย....”
“....”
“มะ มึงอ่ะ...” คำถามโคตรงี่เง่า... รู้ทั้งรู้ว่าวันเกิดเพื่อนมัน
“วันเกิดเพื่อน...”
“อ๋อ... อือ...”
“อืม...”
“ร้องเพลงเพราะดีนะ”
“ขอบคุณ...”
แล้วก็เงียบ....
“อา... มึงเข้าห้องน้ำไปแล้วกัน กูกลับโต๊ะและ” ผมว่าแล้วบิดข้อมือออกจากมือที่ไม่ยอมปล่อยออกซักที
หมับ...
แต่พอหลุด... มันก็คว้าไปจับไว้อีก
“....!!?” ผมมองมันด้วยสายตาไม่เข้าใจ และ... มันเองก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจตัวเองอีกเหมือนกัน...
“ขอโทษ...” น้ำเสียงเบาๆตามมาด้วยมือที่คลายออก แล้วปล่อยให้ข้อมือผมเป็นอิสระในที่สุด
“...ไม่เป็นไร” ผมพูดแค่นั้น แล้วหันหลังเดิน โดยไม่หันไปมอง...
มันไม่กล้า...
ไม่รู้เพราะอะไร...
อา... ช่วยนับให้ทีสิ วันนี้ผมมีเรื่องที่ไม่รู้ไปเท่าไหรแล้ววะ?
-------------------------------------------
ความคิดเห็น