ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic Kris x Chanyeol (KrisYeol) - The Time of Love [END]

    ลำดับตอนที่ #9 : Episode 2 : Who are you? – 4 [END]

    • อัปเดตล่าสุด 21 พ.ย. 55


    ฮาโหล๊วววววววววววววววววววว โผล่หัวมาแล้ววววววววววววววว มีใครยังคิดถึงเราบ้างคร๊า ขอเสียงหน่อยยยยยยยยยยยยยยยย

    ยังรักเรื่องนี้กันอยู่ไหมคะ >w<

    Warning: เตรียมทิชชูไว้ด้วยนะคะ แต่จะเอาไว้ทำอะไรนั้นไว้ค่อยว่ากันเนอะ 5555

    โปรดอย่าถามว่าฉันเป็นใคร เมื่อในอดีตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตต~~ #ตะไมเพลงเก่าจุงบ่งบอกอายุมากอ่ะ

    _______________________________



       ชายหนุ่มที่เพิ่งกลับมาเกาหลีและได้มีเวลาพักแค่วันเดียวอีกวันก็เป็นวันทำงานเสียแล้ว วันหยุดยาวประจำทุกปีของวันสถาปนาโรงเรียนได้สิ้นสุดลง และแน่นอนทั้งสองก็ต้องกลับไปทำหน้าที่เป็นคุณครูคริสและคุณครูชานยอลของเด็กน้อยดังเดิม ทั้งสองเดินจับมือกันไปยังโรงเรียนอนุบาลเช่นเดิมในทุกๆเช้า วันนี้ชานยอลมัดผมครึ่งหัวเช่นเดิมและมีโบว์สีแดงลายมังกรสีทองอันใหญ่ที่ชายหนุ่มซื้อติดมือมาจากเมืองจีนผูกไว้ด้วย

       “อ๊ะ!!” เอวคอดถูกแขนยาวรวบกอดไว้เสียแนบสนิท สองมือทาบอยู่ที่แผ่นอกกว้าง ใบหน้าคมห่างเพียงคีบ พวงแก้มขาวแดงเรื่ออีกครั้ง ชายหนุ่มก้มหน้าลงเคล้าเคลียพวงแก้มใสที่แดงเรื่อ นัยน์ตากลมเสหลบไปทางอื่นที่ไม่ใช่นัยน์ตาคมที่มองมา

       “คริสอ่า...ปล่อยได้แล้ว” ชายหนุ่มเพียงแค่หัวเราะในลำคอเบาๆเท่านั้น

       “เดินระวังหน่อยสิ เดี๋ยวก็ชนเสาไฟอีกหรอก” ชานยอลหันกลับไปมองเจ้าเสาไฟฟ้าต้นเดิมที่ต้นมักจะชนอยู่เป็นประจำแล้วก็หัวเราะออกมา

       “ก็มีคริสอยู่แล้วนินา~ คริสไม่ยอมให้ฉันชนหรอกใช่ไหม” เรียวนิ้วเสลาบีบปลายจมูกรั้นอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนจะก้มลงวางสัมผัสอุ่นที่กลีบปากอิ่มเบาๆ

       “...คริสอ่า..ไม่เอาแล้ว แค่นี้เมื่อคืนก็ช้ำพอแล้วนะ” ชานยอลทุบสองกำปั้นลงกับอกของคนที่ทำตัวลุ่มล่ามแต่ชายหนุ่มกลับหัวเราะแล้วฝากสัมผัสอีกครั้งกับกลีบเนื้อนิ่มสีหวาน

       “...ไม่ให้จูบแล้วนะ!!” เมื่อชายหนุ่มละสัมผัสออกสองมือที่ใช้ทุบอกกว้างก็ยกขึ้นปิดปากตัวเองก่อนจะจ้องตาอีกคนด้วยท่าทีโกรธ แต่คริสเพียงแค่หัวเราะเบาๆแล้วโอบเอวคนซุ่มซ่ามให้เดินไปต่อ

       “รู้แล้วครับ ไม่จูบแล้ว..... ไว้คืนนี้ก่อนค่อยจูบ” กระซิบประโยคสุดท้ายชิดใบหูขาวที่ค่อยๆแดงเรื่อ คนตัวเล็กกว่าหันมาฟาดมือใส่อกกว้างแล้วจึงสะบัดหน้าหนี

       “ไม่ยอมให้ทำหรอก!!”

       ตลอดเช้าที่นั่งประชุมเหล่าคณาจารย์มือของทั้งคู่ก็จับกันไม่ปล่อย แต่ก็ไม่มีใครว่าหรือคัดค้านอะไรเพราะรู้ว่าหนึ่งอาทิตย์ของวันหยุดยาวนั้นชายหนุ่มต้องกลับจีน เมื่อเลิกประชุมแล้วทั้งสองก็ลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องประชุมแต่ทว่าท่านผู้อำนวยการร้องเรียกให้หยุดเสียก่อนและบอกถึงเหตุผลที่ต้องเรียกหยุดคนทั้งคู่ไว้

       “เอ๊ะ? คุรครูสอนศิลปะคนใหม่?” เป็นชานยอลที่เอ่ยถามออกไป ใบหน้าน่ารักเอียงคอมองผู้อำนวยการอย่างสงสัย

       “ใช่แล้ว เดี๋ยวเขาก็คงจะมาแล้วล่ะ” ยังไม่ทันขาดคำบานประตูห้องก็เปิดเข้ามาพร้อมกับหญิงสาวที่เดินเข้ามาในห้องแล้วก้มหัวให้ทั้งสามที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว

       “สวัสดีค่ะ ดิฉันชเวมินยองค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” หญิงสาวส่งยิ้มมาให้ชานยอลและคริส แต่ดูท่าหล่อนจะส่งยิ้มไปให้คริสเสียมากกว่า

       “ถ้ายังไงก็ฝากดูแลหน่อยนะเพราะวันนี้คุณครูมินยองจะเข้าสอนชั่วโมงแรกที่ห้องของพวกคุณ” เมื่อผู้อำนวยการบอกธุระจบก็ลุกขึ้นเดินออกไป ทั้งสามก้มหัวส่งท่านผู้อำนวยการ รุ่นพี่ซุกแจเดินเข้ามาในห้องประชุมอีกครั้ง

       “โอ๋ะ มาแล้วหรือครับคุณมินยอง? ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็บอกได้นะครับ” หญิงสาวเพียงแค่ยิ้มตอบรับเท่านั้น

       “ชานยอลช่วงเย็นนี้ว่างไหม พอดีว่าเจ้าพวกแบคฮยอนจะมาน่ะมันเลยฝากมาชวน มันบอกว่าโทรหาเราไม่ติด” ชานยอลที่กำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธก็โดนชายหนุ่มข้างกายตอบให้เสียก่อน

       “เย็นนี้ชานยอลจะไปครับ”

       “เอ๊ะ??” ใบหน้าหวานหันมองอีกคนด้วยสายตาไม่แน่ใจแต่ชายหนุ่มเพียงแค่ระบายยิ้มแล้วยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนิ่มเบาๆ

       “แต่ผมจะไปด้วย รุ่นพี่คงไม่ขัดนะครับ” ก็แล้วจะไปว่าอะไรได้ล่ะ เห๊อะ~~ ความในใจของซุกแจที่ไม่ได้พูดออกไป ชานยอลเองก็ดีใจจนลืมตัวกอดชายหนุ่มเสียแน่นและแน่นอนที่อ้อมแขนยาวจะตวัดโอบร่างในอ้อมอกนี้ โดยที่มีสายตาของหญิงสาวมองจ้องอยู่

       เมื่อเริ่มเรียนชั่วโมงแรก คุณครูคริสและคุณครูชานยอลก็นำคุณครูคนใหม่มาแนะนำให้กับเด็กนักเรียนห้องทานตะวันได้รู้จัก เด็กๆดูท่าจะตื่นเต้นไม่น้อยที่มีครูคนใหม่เข้ามาเริ่มแรกด้วยการสอนครั้งแรกของเธอ เธอต้องการให้เด็กๆแนะนำตัวและวาดรูปของตัวเอง และแน่นอนที่จะต้องใช้กระดานรองวาดเขียนที่อยู่ในห้องเก็บของที่ไม่มีใครหยิบใช้มาเป็นแรมปี

       “อ่า ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมไปหยิบให้นะครับคุณครูมินยอง คริสก็อยู่นี่นะ” ว่าแล้วชานยอลก็เดินออกจากห้องเรียนไป

       “เดี๋ยวสิ มันอันตรายนะจะไปคนเดียวได้ยังไง” ชายหนุ่มคว้ามือเรียวมากุมไว้แล้วเดินออกไปด้วยกัน ชานยอลหันกลับมามองหญิงสาวที่มองจ้องมาทางตนก่อนที่กลีบปากอิ่มจะยกยิ้ม  ฝันไปเถอะว่าเธอจะได้ตัวคริสไปน่ะ!

       ในห้องเก็บของที่ไม่ค่อยได้ถูกใช้งานเสียเท่าไหร่นัก เมื่อเปิดประตูออกฝุ่นที่คลุ้งอยู่ในนั้นก็ระเหยลอยออกมาทันที ชานยอลจามไม่หยุดหลังจากเปิดประตูออกมา คริสเอื้อมมือเข้าไปกดเปิดสวิตช์ไฟ เมื่อห้องทั้งห้องสว่างแล้วคริสก็เดินเข้ามาโดยให้ชานยอลยืนรอข้างนอก ฝุ่นเยอะแบบนี้ถ้าคนตัวบางเข้ามารับรองคืนนี้ไม่สบายทั้งคืนอีกแน่ๆ

       “ฉันช่วยหานะ” ชานยอลเดินเข้ามาพร้อมกับเอามือปิดจมูก

       “บอกแล้วไงว่าให้อยู่ข้างนอก ทำไมถึงดื้อแบบนี้นะ” ปลายนิ้วดีดเข้าที่หน้าผากมนเบาๆ ชานยอลยิ้มกว้างแล้วชูสองนิ้ว

       “ถ้าไม่ดื้อคริสก็ไม่รักน่ะสิ” ได้ฟังเหตุผลของอีกคนก็ระบายยิ้มขำ อ้อมแขนยาวเกี่ยวเอวเล็กเข้ามาแนบชิด

       “ถ้าคืนนี้นอนไม่สบายไข้ขึ้นนะ จะตีให้ตายเลย” ชานยอลหัวเราะคิกคักก่อนจะแบมือทั้งสองข้างให้ชายหนุ่ม

       “ตีก่อนเลยก็ได้นะ” แล้วชายหนุ่มก็หัวเราะเบาๆก่อนจะดีดหน้าผากมนซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง ชานยองทำปากยู่ลูบหน้าผากที่โดนดีดปอยๆ

       “กระดานวาดเขียนอยู่ที่ไหนน้า~” ชานยอลมองหาไปทั่วทั้งในกล่องลังกระดาษ กล่องพลาสติกหรือแม้แต่ตามชั้นวางต่างๆ ชายหนุ่มข้างกายก็ลงนั่งยองๆค้นหาในกล่องด้านล่าง ชานยอลเงยหน้ามองขึ้นสูงบนชั้นวางของ กล่องสีน้ำตาลด้านบนที่เขียนไว้ว่าศิลปะ ชานยอลค่อยๆปีนชั้นวางของเหล็กที่วางชิดผนังอีกด้าน ฝุ่นสีดำติดทั้งปลายนิ้วและตามเสื้อผ้ายามที่กายบางค่อยๆปีนเกาะขึ้นไปอย่างระมัดระวัง แขนยาวเอื้อขึ้นไปยังชั้นบนสุดที่อยู่สูงเกิน

       ความจริงก็น่าจะเอาบันไดมาปีนหยิบหรอกแต่ก็นะเดินกลับไปเอาอีกไกล ใครล่ะจะเดิน แน่นอนล่ะไม่ใช่ปาร์คชานยอลเสียล่ะ แม้ว่าด้วยรูปร่างที่สูงของชานยอลจะไม่ทำให้คนนี้ต้องปีนหลายชั้นแต่ทว่ากล่องนั้นก็อยู่สูงเกินไปอยู่ดี ปลายนิ้วเกาะขอบเกาะเอาไว้แล้วก็คิดขึ้นได้ว่าเพียงแค่ปีนเหยียบอีกขั้นตนก็สามารถหยิบกล่องนั้นลงมาอย่างง่ายดาย ชานยอลขยับขาปีนขึ้นไปแต่ด้วยมือที่เกาะขอบกล่องนั้นอยู่เลือนลงทั้งกล่อง ทั้งชานยอลก็ร่วงลงพื้นทั้งคู่

       “โอ๊ะ..” คริสที่หันมาเห็นก็รีบมารับตัวชานยอลไว้ แม้ว่าชั้นที่ปีนขึ้นไปจะไม่ได้สูงมากเท่าไหร่แค่ไอ้ของที่ตกกันมาเป็นพรวนนี่ล่ะตัวดีเลย อ้อมแขนยาวตวัดกอดกายบางไว้แล้วใช้ตัวเองเป็นเกราะกันของที่ตกลงมาจากชั้นวางของ สองมือของชานยอลกำเสื้อของชายหนุ่มไว้แน่ ดวงตากลมเองก็หลับตาแน่นเมื่อได้ยินเสียงของหล่นกระทบพื้น

       “เป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนไหม” เสียงทุ้มกระซิบถามชิดริมหู แต่คนที่ตกใจอยู่ก็ส่ายหน้าไปมา

       “ยืนรอข้างนอกนะ” คริสเดินพาคนในอ้อมกอดมาไปยืนรอนอกประตูห้อง ฝุ่นด้านในยังคงคละคลุ้งเพราะของตกเมื่อครู่ดังนั้นชายหนุ่มเลยต้องให้ชานยอลมายืนรออยู่ด้านนอก และตนก็เข้าไปหยิบกระดานรองวาดเขียนพร้อมกับเก็บของในกล่องนั้นให้เรียบร้อย

       “เป็นอะไรหรือเปล่า ไม่เจ็บใช่ไหม” ชานยอลพยักหน้ารับแล้วสองมือก็กำเสื้อของชายหนุ่มไว้แน่นพร้อมกับซบหน้าลงกับไหล่หนา ชายหนุ่มลูบแผ่นหลังบางเบาๆก่อนที่จะผละออก

       “ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะพาไปห้องพยาบาล” แม้ว่าจะสงสัยว่าจะพาไปห้องพยาบาลทำไมทั้งๆที่ตนนั้นก็ไม่เจ็บตรงไหนหรือว่า...

       “คริสเจ็บตรงไหนเหรอ?” คริสเพียงยิ้มขำแล้วส่ายหน้าเท่านั้น ชานยอลก็เลยได้แต่พองแก้มขัดใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมตอบอะไรเลย

       หลังจากที่คุณครูคริสเอากระดานรองเขียนไปให้คุณครูคนใหม่แล้วเจ้าตัวก็พาคุณครูจอมยุ่งไปห้องพยาบาล วันนี้คุณมิยอนยังไม่เข้ามาในห้องพยาบาลเพราะต้องไปทำเรื่องขอเบิกยากับโรงพยาบาล ชายหนุ่มจับชานยอลให้ลงนั่งที่เตียงนอนก่อนจะจับปอยผมนิ่มขึ้นทัดหูสองข้าง

       “นั่งรอก่อนนะ” บอกไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินไปหยิบกะละมังเล็กใส่น้ำและผ้าขนหนูผืนเล็กมาเช็ดใบหน้าและทำความสะอาดที่แขนให้ รอยเปื้อนตามเนื้อตัวเมื่อเช็ดจนหมดชานยอลที่มองอยู่ก็ยิ้มกว้างส่งให้พร้อมกับยืดตัวไปสัมผัสที่แก้มของอีกใยเบาๆ

       “ขอบคุณครับ ว่าแต่คริสเองก็เปื้อนเหมือนกันนะ” ชานยอลดึงผ้าชื้นน้ำจากมือของชายหนุ่มมาแล้วเช็ดที่ใบหน้าอีกฝ่ายเบาๆ เมื่อเช็ดเสร็จเรียบร้อยชานยอลก็วางผ้าลงในกะละมังเล็กๆข้างตัวก่อนจะยื่นแก้มส่งให้ใครอีกคน ชายหนุ่มยิ้มขำก่อนจะช้อนใบหน้าหวานขึ้นเงยแล้ววางสัมผัสที่เปลือกตาทั้งสองข้าง ปลายจมูกรั้นที่แดงเรื่อ และสุดท้ายที่กลีบปากอิ่มสีหวาน

       “เดี๋ยวต้องกินยาด้วยนะ กันไว้ก่อนเดี๋ยวไข้ขึ้น” คริสเดินไปยังตู้ยาเพื่อขนหายาแก้แพ้มาให้ อย่างน้อยชานยอลคืนนี้จะได้ไม่ไข้ขึ้น และแน่นอนที่เมื่อทานยาแก้แพ้แล้วคนตัวบางจะต้องนอนพักผ่อน คริสจัดท่านอนให้อีกคนให้ล้มตัวลงนอนสบายๆก่อนจะยกผ้าขึ้นห่มจนมิดคอ หลังมือไล้แก้มเนียนเบาๆ

       “นอนพักก่อนนะ ตื่นมาจะได้สดชื่นขึ้น” คริสก้มลงจุมพิตที่หน้าผากมนอีกครั้ง ชานยอลปิดตารับสัมผัสก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วจับมือของชายหนุ่มเอาไว้

       “อยู่ด้วยกันนะ อย่าไปไหนนะ” ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มก่อนจะวางสัมผัสอุ่นที่แก้มใสอีกครั้ง

       “แน่นอน จะนั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ หลับซะนะนกน้อย” คริสจูบหลังมือเนียนก่อนจะทานฝ่ามือนิ่มนั้นกับแก้มของตัวเอง ชานยอลวาดรอยยิ้มออกมาและเพียงไม่นานคนตัวบางก็หลับไปเพราะฤทธิ์ยา ... หลับสนิทจนไม่รับรู้ถึงสิ่งใดเลย

       สัมผัสร้อนที่จาบจ้วงไล้สัมผัสผิวเนื้อเนียนมืออย่างเล้าโลม สัมผัสจากฝ่ามือที่ลูบไล้ทั่วทั้งร่างนี้ค่อยๆเรียกสติของคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องให้ค่อยๆกลับมาทีละนิด เรียวคิ้วขมวดตีกันยุ่งเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสที่เล้าโลมแม้ว่าสติจะยังไม่กลับมาเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม ใบหน้าหวานนิ่วหน้าก่อนที่จะพลิกกายหันหนีมือนั้น ลมหายใจร้อนที่ราดรดอยู่ตรงช่วงลำคอเรียวมาพร้อมกับกลีบเนื้อนิ่มที่สัมผัสที่ซอกคอ หลายจมูกไล้สัมผัสทั่วซอกคอก่อนที่สัมผัสนั้นจะจางหายไป เปลือกตาบางก็ลืมขึ้นก่อนที่จะพลิกตัวหันกลับไปดูเบื้องหลัง .. แต่ก็ไม่พบใครสักคนนอกจากตัวเองที่นอนอยู่บนเตียงคนป่วย

       “อ๊ะ....” ชานยอลลุกขึ้นนั่งแล้วกุมที่ซอกคอด้วยใบหน้าคิ้วขมวด สัมผัสเมื่อครู่ยังไม่จางหาย การสัมผัสเมื่อครู่ยังทิ้งรอยอุ่นและสัมผัสฝากไว้ที่เนื้อเนียน ชานยอลมองหน้ารอบห้องอีกครั้งก่อนจะตลบผ้าห่มที่คลุมกายออกแล้วก้าวลงจากเตียงไปหาคนที่สัญญาว่าจะไม่ไปไหนยามตนหลับด้วยหัวใจที่สั่นระริก ม่านน้ำใสค่อยๆรื้นขึ้นคลอรอบหน่วยตากลม

       ชานยอลเดินออกมาจากห้องพยาบาลก็เห็นเด็กนักเรียนตัวน้อยกำลังทยอยกันกลับบ้าน มือเรียวล้วงหยิบมอืถือขึ้นมาดูเวลาก่อนที่จะถอนหายใจว่าวันนี้ตนนั้นนอนไปหลายชั่วโมง ถ้าผู้อำนวยการรู้เข้าล่ะก็มีหวังโดนดุแน่ๆ คนตัวบางเลยตัดสินใจเดินออกไปยังหน้าประตูโรงเรียนที่มีเหล่าคุณครูมายืนรอส่งเด็กนักเรียนตัวน้อยกลับบ้าน และแน่นอนร่างสูงยาวของคุณครูคริสก็อยู่ตรงนั้น ... เคียงข้างด้วยคุณครูสอนศิลปะคนใหม่

       ใบหน้าคมสันต์ที่แย้มรอยยิ้มและส่งเสียงหัวเราะเบาๆนั้นช่างขัดใจชานยอลเหลือเกิน ไม่รู้ทำไมอยู่ๆชานยอลก็นึกหวงรอยยิ้มและเจ้าของรอยยิ้มนั้นขึ้นมา

       คนตัวบางเดินเข้าไปยืนตรงหน้าชายหนุ่มที่หันมาส่งยิ้มให้ ฝ่ามืออุ่นแนบแก้มใสของคนที่เดินยิ้มร่ามายืนตรงหน้าก่อนจะเลื่อนมือลงสัมผัสที่ลำคอระหงส์ เพื่อวัดไข้ ก่อนจะเลื่อนหลังมือขึ้นสัมผัสหน้าผากมนอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ และเมื่อไมรู้สึกถึงความร้อนที่เกินอุณหภูมิปกติในร่างกายของคนตรงหน้า เรียวปากได้รูปก็วาดรอยยิ้มขึ้นอย่างถูกใจ

       “ตื่นแล้วเหรอ ทำไมไม่นอนต่อล่ะหื้ม?” ชานยอลอมลมเต็มแก้มก่อนจะส่ายหน้าไปมา

       “ไม่เอาล่ะ แค่นี้ก็นอนนานเกินไปแล้ว” เอ่ยบอกก่อนจะหันไปมองยังเสียงเล็กๆที่ตะโกนเรียกมา

       “คุณครูชานยอลลลล~” ร่างป้อมของหนูเมสันวิ่งเข้ามาคุณครูชานยอลที่นั่งลงรอรับอ้อมกอดจากเด็กน้อยก่อนจะอุ้มขึ้นมาแนบอก

       “คุณครูหายป่วยแล้วหรือครับ วันนี้หนูเมสันเลยไม่ได้เล่นม้ากระดกกับคุณครูชานยอลเลย~” เด็กน้อยทำหน้ามุ่ยใส่ ชานยอลหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

       “ไม่เป็นไรเนอะ พรุ่งนี้เดี๋ยวคุณครูชานยอลจะมาเล่นม้ากระดกเป็นเพื่อนนะ” แค่นั้นล่ะหนูเมสันที่ทำหน้ามุ่ยก็ยิ้มกว้างๆแล้วยกแขนชูมืออย่างดีใจ

       “เย้ๆๆ.... ทำไมคุณคริสไม่ดูแลคุณครูชานยอลดีๆล่ะครับ ให้คุณครูชานยอลของหนูเมสันป่วยได้ยังไงกันเนี่ย หนูเมสันจะงอนคุณครูคริสแล้วนะ” เสียงเล็กที่เอ่ยเจื้อยแจ้วเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคุณครูคริสที่เดินมายืนซ้อนหลังชานยอลแล้วโอบเอวเล็กได้ไม่ยาก

       “หนูเมสันครับ คุณครูชานยอลน่ะของคุณครูคริสครับ” ชานยอลหันไปฟาดมือใส่คนที่พูดจาอะไรก็ไม่รู้เรื่องก่อนจะเดินหนีไปส่งหนูเมสันที่ประตูโรงเรียน คริสก้าวเดินตามไป ยิ่งตามชานยอลก็ยิ่งเดินหนีให้เร็วขึ้นจนหนูเมสันหัวเราะอย่างชอบใจ ทิ้งให้หญิงสาวโดนทิ้งยืนอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว

       “เจอกันพรุ่งนี้ครับคุณครูชานยอล~ เดี๋ยวรอหนูเมสันโตก่อนนะ หนูเมสันจะมาแย่งคุณครูชานยอลคืนจากคุณครูคริส” คุณครูคริสไม่ตอบแต่กลับส่งเสียงหัวเราะให้เด็กน้อยที่โบกมือลาอย่างอารมณ์ดีเท่านั้น

       “ถ้าหนูเมสันโตขึ้นแล้วมาแย่งนายไปจริงๆ ... ฉันก็ไม่ยอมยกนายให้กับใครหรอกนะ” ชานยอลหมุนตัวกลับมาตีเข้าที่อกกว้างแรงๆก่อนจะยืนกอดอกทำหน้าหมั่นไส้ใส่

       “พูดเหมือนกับนายเป็นเจ้าของฉันอย่างนั้นแหละ” เรียวปากได้รูปกระตุกยิ้มก่อนจะวางฝ่ามือลงบนกลุ่มผมนุ่ม

       “ก็เป็นอยู่ไม่ใช่หรือไง” ชานยอลมองค้อนก่อนจะตีเข้าที่แผ่นอกนั้นแรงๆไปอีกสักที

       “คนบ้า!!!”

       หลังจากที่ยืนส่งเด็กนักเรียนคนสุดท้ายของโรงเรียนเรียบร้อยแล้วอาจารย์สอนศิลปะคนใหม่ก็ก้าวเท้าเข้ามายืนอยู่ใกล้ๆกับคริสก่อนจะยกยิ้มสวยมองคนทั้งคู่ ชานยอลหันมองเธอก่อนจะยกยิ้มให้ เหล่าคุณครูท่านอื่นเดินหลบฉากหนีไปทำเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใดๆแต่ก็ยังแอบมีชำเหลืองมองอยากรู้ความเป็นไป

       “มีอะไรหรือครับคุณครูมินยอง” หญิงสาวมองชานยอลก่อนจะยกยิ้มอีกครั้ง

       “จะมาตามคุณครูคริสให้ไปช่วยจัดห้องศิลปะค่ะ” ชานยอลหันมองหน้าคริสก่อนจะเอียงคออย่างสงสัย

       “ท่านผู้อำนวยการบอกมาน่ะว่าให้ทำห้องศิลปะอีกห้องหนึ่ง” ชานยอลอมลมเสียเต็มแก้มก่อนจะมองหน้าคริส นี่ถ้าคุณครูคนใหม่ไม่มาตามก็จะไม่บอกกันอย่างนั้นสินะ ใจร้ายเกินไปแล้ว!!

       “งั้นเดี๋ยวฉันไปช่วยนะ”

       “ไม่ได้ เดี๋ยวก็ไม่สบายอีกกลับไปรอฉันที่บ้านนะ แล้วก็ทำมื้อเย็นไว้ด้วยนะ” อ้อมแขนยาวเกี่ยวเอวเล็กข้างกายให้เข้ามาแนบชิด ชานยอลมองหน้าชายหนุ่มอย่างเคืองๆก่อนจะสะบัดหน้าหนี

       “ให้เวลาสองชั่วโมง... รีบๆกลับมาอาบน้ำให้ด้วยล่ะ” ว่าแล้วก็เดินออกจากโรงเรียนไปเลย กระเป๋าอะไรก็ไม่ต้องเอามันเพราะยังไงเดี๋ยวชายหนุ่มก็เอามาให้ที่บ้านอยู่ดี คริสมองตามชานยอลที่ดูก็รู้ว่าคงไม่พอใจ เรียวปากบางยกยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะหันกลับมามองหญิงสาวข้างกาย

       “ผมมีเวลาแค่สองชั่วโมงนะครับคุณครูมิยอง” ว่าแล้วก็ยิ้มให้หญิงสาวก่อนจะเดินนำไปยังห้องว่างที่กำลังจะเปลี่ยนให้เป็นห้องศิลปะ

       ชานยอลที่เดินกลับมาก่อนก็เดินหน้ามุ่ยมาตลอดทาง อยู่ๆก็รู้สึกขัดใจและหงุดหงิดใจมากที่สุด ไม่รู้ทำไมอยู่ๆก็รู้สึกหวงรอยยิ้มไม่อยากให้คริสต้องยิ้มให้ใคร อยู่ๆก็รู้สึกไม่อยากให้ดวงตาคู่คมนั่นมองใครนอกจากตัวเอง อยู่ๆก็รู้สึกอยากให้ชายหนุ่มที่มีตนคนเดียว .... คนตัวบางยกสองมือขึ้นยีหัวตัวเองกับความคิดวูบนั้นที่เข้ามาในหัว แต่จะว่าไปชานยอลก็อยากที่จะทำตามเสียงข้างในอยู่เหมือนกันนะ

       เมื่อกลับมาถึงบ้านชานยอลก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้เอากระเป๋ามาก็แล้วจะเอาเงินจากที่ไหนไปซื้อมื้อเย็นมาทำรอใครบางคนให้กลับมาล่ะ ... สองมือยกขึ้นปิดแก้มก่อนจะส่ายหน้าไปมา ชานยอลเดินวนไปรอบห้องอย่างกับหนูติดจั่นด้วยไม่รู้ว่าตนนั้นจะทำอย่างไรดี ก่อนที่คนตัวบางจะหยุดเดินอยู่กลางห้องแล้วหันไปมองยังตู้เสื้อผ้าไม้หลังเล็กที่ชานยอลจำได้ว่าคริสมักจะแบ่งเอาเงินส่วนหนึ่งใส่ไว้ในกล่องเล็กๆใต้ตู้เสมอ เพื่อเป็นเงินยามฉุกเฉิน .... และตอนนี้ปาร์คชานยอลกำลังฉุกเฉินมากๆด้วย

       ชานยอลเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วลงนั่งรื้อเสื้อผ้าที่พับเป็นระเบียบออกมาก่อนจะเจอกล่องสี่เหลี่ยมใบไม่ใหญ่มากสีดำ คนตัวบางหยิบออกมาก่อนจะเปิดฝากล่องแล้วก็กลีบปากอิ่มก็วาดรอยยิ้มเมื่อเจอเงินอยู่ในนั้นจริงๆ มือเรียวหยิบเงินออกมาก่อนจะปิดฝากล่องกลับคืน คนตัวบางก้มลงวางกล่องลงที่เดิมแต่ทว่าฐานที่กล่องเมื่อครู่กลับไม่ใช่เสื้อผ้าอย่างที่คิด แต่เป็นกล่องใหญ่สีดำ ที่ถ้ามองผ่านๆก็คงจะมองไม่เห็นว่าตรงนั้นมีอะไร สองมือค่อยๆเอามันออกมาก่อนที่จะเปิดฝากล่องดู ดวงตากลมมองสิ่งนั้นในกล่องแล้วก็ฉงนใจด้วยเพราะเหตุใดสิ่งนี้ถึงมาอยู่ในกล่องใต้ตู้เสื้อผ้าของชายหนุ่ม สองมือค่อยๆยกฝากล่องปิดดังเดิมก่อนจะวางมันไว้ที่เดิม ....

       ชานยอลนั่งเงียบๆอยู่กับตัวเองที่มุมห้องมุมเดิม ดวงตากลมเหลือบมองดูนาฬิกาที่ตอนนี้มันกำลังจะบอกว่าเป็นเวลาหนึ่งทุ่มตรง ... มันเกินสองชั่วโมงแล้ว ... คนตัวบางถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปนอกบ้านเพื่อไปซื้อมื้อเย็นมาเตรียมไว้ ถึงจะบอกว่าให้เวลาแค่สองชั่วโมงแต่ก็ใช่ว่าการเนรมิตห้องเก่าๆห้องหนึ่งให้กลายเป็นห้องใหม่ขึ้นมา มันจะใช้เวลาแค่สองชั่วโมง แต่.. ชานยอลก็ยังหวังว่าคริสจะกลับมาทันในสองชั่วโมง

       มื้อเย็นของวันนี้ชานยอลซื้อวัตถุดิบมาเพื่อที่จะทำตอกบกกี ก็ไม่ได้ชอบกินอะไรมากมายหรอกแต่มันทำง่ายไง ไม่ยุ่งยากด้วย แต่ตอนนี้ที่จะยุ่งยากคือ ... ความรู้สึกที่ว่ามีคนตามมานี่สิ มันใกล้เสียจนแทบจะสัมผัสกันได้ถึงลมหายใจของคนที่อยู่ด้านหลัง แม้ว่าจะหันไปมองด้านหลังก็ไม่เห็นใครสักคน นอกเสียจากเงาวูบไหวของอะไรบางสิ่งที่ห่างออกไป ชานยอลกัดหูหิ้วของถุงไว้แน่นก่อนจะทำใจกล้าค่อยๆออกเดินตามเงานั้นไปเพื่อหาให้เจอ แท้ที่จริงแล้ว... เงาที่ตามตนนั้น เป็นสิ่งไหนกันแน่

       ชานยอลค่อยๆเดินไปอย่างช้าๆ จะว่าไปก็หวั่นใจกับความจริงที่กำลังจะได้สัมผัสอยู่เช่นกัน แม้ว่ารสชาติของชัยชนะมันหอมหวานแต่ทว่าแท้จริงแล้วมันจะได้ภิรมย์หรือไม่ ..ก็มิอาจคาดเดา คนตัวบางค่อยๆเดินลงไปตามเนินพร้อมกับเดินเลาะไปตามเลียบไหล่ถนน ดวงตากลมมองซ้ายขวาเพื่อที่จะมองหาต้นเงาของสิ่งนั้น แต่กลับไม่มีแล้ว ..หายไปไหนกันนะ..

       สองขาที่เดินตามหาอยู่ๆก็ชะงักหยุดเมื่อเดินพ้นแนวกำแพงมาแล้ว ร่างของสองคนที่ยืนคุยกันอยู่แม้จะไม่ไกลมากแต่คนมองกลับไม่ได้ยินเสียงบทสนทนานั่นเลย ยืนคุยเพียงไม่นานก็เหมือนทั้งคู่จะจากลากันและก่อนที่จะได้แยกย้ายกัน หญิงสาวก็เขย่งปลายเท้าที่สวมส้นสูงไว้เพียงให้สูงขึ้น และฝากสัมผัสไว้ที่กลีบปากได้รูปของชายหนุ่มตรงหน้า แขนยาวค่อยๆผละเธอออกอย่างมีมารยาทแม้ว่าใบหน้าคมนั้นจะนิ่งเฉยมากกว่ายามปกติแต่หญิงสาวตรงหน้ากลับหน้าแดงและไม่ได้ใส่ใจว่าอีกฝ่ายจะตอบรับกลับมาว่าอย่างไร แต่สองขาของคนมองมันกลับวิ่งออกไปจากตรงนั้นโดยที่ไม่รู้ตัวเสียแล้ว สองมือกำเข้าหากันแน่น กำเสียจนถุงที่ยังติดมือแทบสลาย หยดน้ำตาหนึ่งหยดไหลรินจากนัยน์ตากลมลงบนผิวแก้มใส

       ชานยอลไม่รู้ว่าตนนั้นวิ่งหันหลังวิ่งกลับมาทางไหน ไม่รู้แล้วว่าตนนั้นร้องไห้อยู่หรือเปล่า ไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว ... ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ยังคงติดตาราวกับมันเกิดอยู่ตรงหน้าแม้อยากจะร้องห้ามออกไปแต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว สองมือกำแน่นจนข้อมือขาวซีด กลัวเหลือเกินหากที่จะต้องยกชายหนุ่มให้ใคร กลัวเหลือเกินว่าจะมีใครเข้ามาแย่งชายหนุ่มคนนี้ไป ชานยอลกับคริสตัวติดกันมาตั้งแต่มาเข้าอบรมการเป็นครูอนุบาลแล้ว คริสคอยตามใจ เอาใจสารพัดอย่าง .. ถ้าเกิดวันหนึ่งข้างกายของปาร์คชานยอลไม่มีคริสแล้ว ตนจะอยู่ได้อย่างไร..

       “โอ๊ะ... อ้าวชานยอลนินา” อ้อมแขนกว้างรับคนที่เดินมาชนเสียเซถลา แต่ก็ยังดีที่คว้าตัวคนโอนเอนจะล้มกองพับพื้นไว้ได้ทัน เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมองคนที่เรียกตนเมื่อเห็นว่าเป็นรุ่นพี่ที่เคารพก็ยกสองแขนขึ้นโอบรอบคอแล้วซุกหน้าลงกับอกอุ่นแบบที่เคยทำเมื่อครั้งสมัยที่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย รุ่นพี่ซุกแจคือพี่สายรหัสในคณะศึกษาศาสตร์ ชานยอลชอบที่จะเข้ามาอ้อนซุกแจและรุ่นพี่ที่เป็นทั้งปู่รหัสและทวดรหัส ไม่ว่าใครก็มักจะยอมทำตามที่คนนี้ขอเสมอ เหมือนกับพี่ซุกแจยอมทำให้ก็เพราะเอ็นดูเจ้าเด็กนี่หรอก พอกลับมาเจอกันก็พอรู้อยู่บ้างว่าไอ้เจ้าน้องรหัสดันแอบมีกิ๊กกั๊กกันก็แอบแหย่เล่นหน่อยเดียวเองก็คนรักมันคาดโทษซะงั้น ไม่เป็นไรหรอกเพราะตอนนี้ซุกแจเรียกตัวช่วยมาเสริมป่วนด้วยแล้ว

       “เป็นอะไรหรือเปล่า วิ่งหนีอะไรมา” เอ่ยถามเด็กในอ้อมกอด ไม่ว่าจะห่างกันกี่ปีปาร์คชานยอลก็ยังคงเป็นเด็กน้อยในสายตาของสายรุ่นพี่รหัสอยู่ดี ชานยอลส่ายหน้าไปมากับอกของรุ่นพี่ก่อนที่จะหลุดสะอื้นมาหนึ่งครั้ง ฝ่ามือใหญ่ของรุ่นพี่ตบเบาๆที่หลังของชานยอล

       “ไม่เป็นไรนะ มีอะไรก็บอกพี่ได้นะ ... เออนี่รู้ไหมว่าเดี๋ยวรุ่นพี่ยองซูกับรุ่นพี่ลีอินจะตามมาที่โรงเรียนเรานะ เดี๋ยวปู่รหัสกับทวดรหัสก็จะมาแล้วนะ อย่าตาบวมนะเดี๋ยวพี่รหัสอย่างพี่จะโดนดุเอาว่าดูแลน้องรหัสเขาไม่ดี” ชานยอลที่ได้ยินชื่อของสายรหัสก็พยักหน้าก่อนจะเงยหน้าออกจากอ้อมกอดของรุ่นพี่แล้วหัวเราะอย่างชอบใจ

       “แล้วตกลงว่าเราหนีอะไรมา มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ฟันคมกัดปากอย่างชั่งใจ แต่แล้วก็ก้มหน้าลงส่ายหัวปฏิเสธว่าไม่มีอะไร ในเมื่อน้องไม่อยากบอกคนเป็นพี่ก็ไม่อยากถามไถ่อะไร

       “จะกลับไปทำมื้อเย็นเหรอ? ให้พี่ไปส่งไหม” ชานยอลส่ายหัวอีกครั้ง จะว่าไปอยากเดินคนเดียวคิดอะไรคนเดียวมากกว่า

       “ถ้าอย่างนั้นก็กลับเหอะ เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน”

       “ครับ ขอบคุณครับพี่” เมื่อล่ำลากันเสร็จชานยอลก็หันมองรอบข้างว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหน ตอนนี้คนตัวบางอยู่ใกล้ๆกับบ้านของคริสแล้ว ชานยอลหันกลับไปมองรุ่นพี่ที่เดินแยกไปอีกทางด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ ... รุ่นพี่ซุกแจมาทำอะไรแถวนี้ บ้านของรุ่นพี่อยู่คนละฝากกับที่นี่ และแถวนี้ก็ไม่ใช่ละแวกโรงเรียนอนุบาลด้วย

       ชานยอลเดินไม่กี่ก้าวก็เจอเข้ากับชายหนุ่มที่ยืนกอดอกพิงเสาไฟฟ้าทำหน้านิ่งและมองมาที่ตน กายบางเดินเข้าไปก่อนจะไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มที่มองตนไม่ละสายตา คริสยังคงกอดอกพิงเสาอยู่แบบนั้นและชานยอลเองก็ยังคงมองจ้องสบตากับอีกคน ดวงตาเรียวคมที่มองจ้องกลับมาชานยอลไม่อาจคาดเดาความหมายที่ซ่อนเร้นในดวงตาคู่นั้นได้ และดวงตากลมที่ไม่พราวแสงระยิบก็ไม่อาจคาดเดาได้เช่นกัน

       ท่ามกลางทั้งคู่กลับมีแต่ความเงียบ ทั้งสองยังคงยืนมองจ้องกันอยู่นานนับสิบนาทีก่อนที่ริมฝีปากคู่บางจะวาดรอยยิ้มจางๆ รอยยิ้มที่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่รอยยิ้มของชายหนุ่มเลย คริสยื่นมือออกมาหาคนตรงหน้า ชานยอลมองมือนั้นก่อนที่จะยิ้มบางๆผิดวิสัยของคนยิ้มง่ายอย่างปาร์คชานยอล มือเรียววางลงบนฝ่ามือใหญ่ก่อนที่ทั้งคู่จะสอดประสานและจับกุมเดินกลับบ้านด้วยกัน แม้ว่าจะเดินข้างกันและมือที่ยังจับกันแกว่งไกวนั้น .. กลับไม่รับรู้ถึงความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย

       ชายหนุ่มเปิดบานประตูใหญ่หน้าบ้านไว้และให้ชานยอลเดินเข้าไปก่อน คนตัวบางเดินผ่านคริสเข้าไปแล้วเดินเลี้ยวไปยังบ้านหลังเล็กของคริส ชานยอลเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปนั่งลงตรงกลางห้อง สองขายกขึ้นกอดก่อนจะวางปลายคางลงที่หัวเข่าทั้งสองข้าง เหม่อลอยกับความคิดออกไปไกลๆจนไม่รับรู้ว่าเจ้าของบ้านหลังเล็กนี้เดินเข้ามานั่งอยู่ใกล้ๆ ชานยอลเหม่อมองไปข้างหน้า แต่ชายหนุ่มกลับมองคนข้างกายแล้วจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ดวงตาคมมองไปยังถุงวัตถุดิบของมื้อเย็นมากมายที่อีกฝ่ายซื้อมาก่อนจะรวบถุงพวกนั้นแล้วเอ่ยบอกกับคนข้างกายที่ทำได้แค่พยักหน้ารับรู้เท่านั้น

       “เดี๋ยวฉันจะไปขอใช้ครัวที่บ้านใหญ่นะ แล้วเดี๋ยวเรามากินข้าวกันนะ” แม้ว่าจะอาศัยอยู่ตรงส่วนบ้านเล็กที่อยู่ทางด้านหน้าแต่ชายหนุ่มก็สามารถที่จะไปขอใช้ครัวจากบ้านใหญ่ได้ยามจำเป็น

       เมื่อบานประตูปิดลงชานยอลก็เบนสายตาจากพื้นตรงหน้าขึ้นมองบานประตูที่เพิ่งปิดไปเมื่อครู่ กายสูงหยัดยืนก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าก่อนที่จะเปิดมันออกแล้วก้มลงหยิบกล่องใหญ่ด้านใต้ออกมา ฝากล่องเปิดออกก็พบเข้ากับของสิ่งนั้นที่คนมองไม่เคยคิดว่ามันจะอยู่ในนี้และเขาจะมีวันได้ใช้มันจริงๆ แม้จะไม่ได้ทำความรู้จักกับมันไม่มากนัก ... แต่มันก็ใช้ไม่ยากหรอก

       ชานยอลนำสิ่งนั้นออกมาวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือของชายหนุ่มดั่งถนุถนอมก่อนจะค่อยๆลากโต๊ะกินข้าวที่พับพิงไว้กับผนังอีกฝั่งออกมากาง ชานยอลดึงผ้าคลุมโต๊ะยาวออกมาจากชั้นล่างของชั้นหนังสือ คริสพับเก็บไว้ในกล่องเหล่านั้น สีเลือดหมูของผ้าคลุมโต๊ะทำให้บรรยากาศในห้องนี้หม่นหมองลงอีกครั้ง ด้วยเหตุที่ชานยอลไม่ชอบแล้วสั่งให้คริสเก็บมันก็เพราะแบบนี้ ห้องที่มีสีสันแต่กลับต้องมาหดหู่ด้วยเพียงเพราะสีหม่นๆหนึ่งสี

       คนตัวบางสอดขาเข้าใต้ผ้าคลุมโต๊ะยาวผืนอุ่นและซ่อนเก็บบางสิ่งไว้บนหน้าตักโดยที่จะไม่มีใครเห็นมัน ปลายเรียวนิ้วลูบไล้มันเบาๆคล้ายกับทำความรู้จักให้คุ้นชินและสัมผัสมันอย่างหลงใหล ความเย็นจากตัวของมันซึมเข้าผิวเนื้อสร้างให้เกิดความรู้สึกดีอย่างประหลาด กลีบปากอิ่มวาดรอยยิ้มอีกครั้งก่อนที่จะมองจ้องไปยังบานประตูเพื่อรอใครอีกคน..

       เสียงเครื่องครัวกระทบกันในห้องครัวสร้างความแปลกใจให้แก่หัวหน้าแม่บ้านเสียเหลือเกิน หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาดูก่อนที่จะแย้มรอยยิ้มเมื่อเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคย หล่อนเดินเข้าไปใกล้ๆก่อนที่จะสัมผัสข้อศอกของคนที่กำลังคนแป้งตอกในหม้อเบาๆ ชายหนุ่มเพียงแค่หันมามองแต่ก็ไม่ได้แสดงอะไรออกมา หล่อนยิ้มอีกครั้งก่อนที่จะลูบข้างแก้มกร้านเบาๆด้วยความคิดถึง

       “เดี๋ยวป้าทำให้นะคะ ไปนั่งพักเถอะค่ะ” ชายหนุ่มผละถอยให้หล่อนได้เข้ามาทำตอกบกกีแทน แต่ก็ยืนอยู่ใกล้ๆ

       “สบายดีใช่ไหมคะ? ไม่ได้เห็นหน้าตั้งหลายวันป้าล่ะนึกเป็นห่วงอยู่เชียว” ชายหนุ่มเพียงแค่พยักหน้าตอบรับเท่านั้น หล่อหันไปมองก่อนจะวาดรอยยิ้มบางๆ

       “ไปนั่งรอเถอะค่ะ เดี๋ยวเสร็จแล้วป้าจะไปเรียก”

       นั่งรอเพียงไม่นานหม้อที่มีตอกบกกีสูตรพิเศษที่ใส่ทั้งไข่ ไส้กรอกและเส้นรามยอนก็ถูกยกใส่ถาดมาให้คนที่นั่งรออยู่ตรงโซฟาในส่วนของห้องรับแขก ชายหนุ่มมองกิมจิที่ใส่ถ้วยใหญ่แยกมาให้นั้นก่อนจะรับแล้วก้มหัวลงขอบคุณเบาๆ

       “ขอบคุณครับ”
       “เดี๋ยวป้าจะทำขนมหวานให้นะคะ ช่วงนี้คุณกับคุณชานยอลดูเพลียๆนะคะ ทานเยอะๆจะได้แข็งแรง”

       “ขอบคุณครับป้า” คริสก้มหัวลงขอบคุณอีกครั้งก่อนจะเดินถือถาดที่มีหม้อตอกบกกีและชามกิมจิไปยังบ้านหลังเล็ก คุณป้าหัวหน้าแม่บ้านมองตามแผ่นหลังกว้างแล้วยิ้มบางๆ นึกเป็นห่วงคนที่เพิ่งเดินออกไป  ทั้งๆที่ชายหนุ่มเป็นคนยิ้มง่ายแม้จะพูดไม่เยอะแต่ใบหน้าที่ครุ่นคิด คิ้วขมวดตลอดเวลาของชายหนุ่มก็ทำให้หล่อนเป็นห่วงมากจริงๆ

       ชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ตรงบริเวณพื้นที่ของบ้านหลังเล็กก่อนจะวางถาดอาหารลงกับเก้าอี้ตัวเล็กหน้าบ้านแล้วหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วเทลงในชามใหญ่ที่ใส่กิมจิที่เป็นของชอบของคนด้านใน ด้วยความที่ไม่ใช่คนพื้นเพเกาหลีแต่กำเนิดจึงไม่แปลกหากมื้อนี้อาหารที่ตนจะไม่แตะจะเป็นกิมจิ... เมื่อเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มก็ยกถาดอาหารขึ้นแล้วก้าวขึ้นไปยังตัวเรือนบ้าน

       บานประตูถูกเปิดออกไม่แรงนัก แต่แล้วสายตาที่มองเห็นโต๊ะทานอาหารและผ้าปูโต๊ะผืนเดิมที่คนตั้งโต๊ะไม่ชอบ นัยน์ตาคมเงยขึ้นมองใบหน้าที่ยิ้มกว้างอวดฟันสวยที่เรียงตัวกัน แก้มกลมดันหน่วยตาให้เล็กจนยิบหยีเมื่อเจ้าของมันยิ้มเสียกว้าง ชานยอลกวักมือเรียกชายหนุ่มให้เดินเข้ามาพร้อมกับตั้งท่าเตรียมกินอาหารมื้อนี้แล้ว

       มือเรียวที่ซุกอยู่ใต้ผ้าคลุมโต๊ะที่คลุมถึงต้นขากำลังลูบจับสิ่งที่เย็นเหยียบใต้โต๊ะ คริสจัดวางอาหารให้เรียบร้อยก่อนจะลงนั่งใกล้ๆกับคนตัวบางที่ยังคงส่งยิ้มกว้างผิดกับเมื่อครู่ที่ยังคงเหม่อลอยเสมือนคิดอะไรอยู่ ปลายนิ้วอุ่นยื่นเข้ามานวดคลึงบริเวณระหว่างคิ้วของชายหนุ่มให้ผ่อนคลายก่อนที่จะหัวเราะคิกคักเมื่อคนข้างกายยิ้มออกมา

       “คริสอ่า... นายรักฉันไหม?” น้ำเสียงที่ทอดถามดูกังวลใจอยู่ในที คริสเพียงแค่ระบายยิ้มแล้วจับมือของคนข้างกายขึ้นมากุมแนบไว้ที่หน้าอกด้านซ้าย

       “ทุกจังหวะการเต้นของหัวใจของฉัน มันเต้นเป็นชื่อนาย” ใบหน้าน่ารักที่ดูกังวลค่อยๆคลายออกก่อนจะส่งเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ ชานยอลกอดแขนของคริสไว้ก่อนจะแนบหน้าผากลงกับต้นแขนของชายหนุ่ม

       “ฉันทนไม่ได้หรอกนะถ้านายจะไปสนใจคนอื่นนอกจากฉัน” พึมพำพูดเสียงเบาๆ ไม่รู้ด้วยว่าความที่อยู่ใกล้ชิดกันหรือเป็นเพราะชายหนุ่มหูดีก็ไม่อาจทราบ แต่คริสได้ยินทุกคำพูด

       “เวลาที่ไม่มีนายอยู่ข้างกายน่ะ โลกนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน” คริสยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนิ่มก่อนจะละตัวของคนที่อิงซบแขนเขาออกเบาๆ สองมือใหญ่ทาบแก้มอิ่มแล้วช้อนใบหน้าน่ารักนั้นให้เงยขึ้นมองสบตา

       “ฉันก็ไม่ยอมให้นายหนีไปอยู่กับคนอื่นได้หรอก” สัมผัสแผ่วพลิ้วที่กลีบปากอิ่ม รสชาติหวานล้ำที่ชอบลิ้มชิม ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปถึงหัวใจแต่ไม่อาจทลายความดำมืดยังใต้สุดของห้วงคิดได้เลย เรียวลิ้นอุ่นกระหวัดพันเกี่ยวหยอกล้อกันไปมา เสียงครางหวานที่ชายหนุ่มชอบดังขึ้นอื้ออึง สองมือที่ทาบอยู่ตรงอกเสื้อของคริสค่อยๆกำขย้ำแน่นเมื่ออากาศหายใจค่อยๆหมดไปทีละน้อย .. ละน้อย

       “อ๊า....” เมื่อละจูบออกจากกันคนตัวบางก็หอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดให้มากที่สุดก่อน พวงแก้มขาวแดงเรื่อ ปลายนิ้วแข็งสัมผัสมันอย่างชอบใจ สัมผัสคนตรงหน้านี้มากเท่าไหร่ก็ไม่พอ ไม่เคยพอสำหรับในความรู้สึก ชานยอลเงยหน้าขึ้นมองจ้องตากับอีกฝ่าย นัยน์สีนิลทอแววเปลี่ยนไปไม่มีพราวระยับของดวงดาราฉายในดวงตาคู่โตนั้นอีกแล้ว ปล่อยมือที่กำเสื้อของอีกฝ่ายลงก่อนจะสอดมันเข้าไปข้างใต้ชายผ้าคลุมเช่นเดินเพื่อถือสิ่งนั้นเอาไว้ในมือให้มั่นเหมาะ

       “คริสรู้อะไรไหม? โลกใบนี้สำหรับฉันมันก็คือสีดำ แต่นายกลับเป็นสีขาวที่มาจุดแสงสว่างให้กับฉัน.. เมื่อไร้แสงสว่างโลกใบนี้ก็ดำมืดและน่ากลัวมากเกินไป... เกินกว่าที่ฉันจะยอมยกแสงสว่างของฉันให้กับใครได้อีก” ประโยคที่แสนยืดยาวนั้นทอดแทรกทุกความรู้สึกที่มีต่อกันได้มากจริงๆ คริสเพียงแค่ยกยิ้มที่แสนอบอุ่นให้กับคนตรงหน้า ชานยอลเอื้อมมือออกมาสัมผัสที่ข้างแก้มกร้านแล้วลูบไล้มันเบาๆ

       “นายคือแสงสว่างของฉัน ... เป็นแค่ของฉันคนเดียว .............จากนี้และตลอดไป...” ชานยอลค่อยๆดึงมือที่กำเจ้าสิ่งนั้นออกจากชายผ้าช้าๆโดยที่นัยน์ตาของทั้งคู่ยังคงมองจับจ้องกันด้วยความหลงใหล เมื่อยกมันขึ้นสูงนัยน์ตาของชายหนุ่มก็เบนไปจับจ้องที่มันในมือของชานยอลก่อนที่จะเบิกตากกว้างอย่างตกใจ

       “นี่มัน...” ยังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดต่อปลายคมมีดจากกริชในมือของชานยอลก็ปาดเข้าที่เส้นเลือดใหญ่ทันที เลือดสีแดงสดสาดกระจายไปทั่วและเปรอะใบหน้าของชานยอลที่หัวเราะชอบใจ ใบหน้านั้นค่อยขาวซีดแต่ทว่าก่อนที่จะได้รับความเจ็บปวดจากคมกริชของตน กลีบปากได้รูปก็วาดรอยยิ้มอย่างสุขใจให้กับคนมอง รอยยิ้มที่คริสมอบให้แก่ชานยอลเพียงแค่คนเดียว รอยยิ้มอบอุ่นและความรักที่มีมอบมันทั้งหมดไว้ให้แก่ ปาร์คชานยอล ผู้ที่เป็นแสงสว่างของตนเช่นกัน ..แต่เพียงผู้เดียว..

       “ใช่แล้ว... เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป จะไม่มีใครแตะต้องนายได้อีก ฉันจะไม่มีวันยอมยกนายให้ใคร รอยยิ้มของนาย นัยน์ตาของนายจะต้องมองมาที่ฉัน........ แต่เพียงผู้เดียว” ชานยอลจับจ้องไปยังร่างสูงที่นอนจมกองเลือดด้วยรอยยิ้ม

       “ง่วงแล้วเหรอคริส? แล้วคืนนี้ใครจะอาบน้ำให้ล่ะ” ชานยอลเอื้อมมือออกไปสัมผัสที่แก้มเย็นชืดของอีกฝ่ายก่อนที่จะยิ้มบางๆ หยาดเลือดอุ่นไหลรินกระจายตามพื้นเป็นวงกว้าง ชานยอลไล้มือลงมาตามลำคอก่อนที่จะมาหยุดสัมผัสไว้ที่ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายที่มันหยุดเต้นไปแล้ว สัมผัสที่ได้กลับมามีเพียงแค่ความว่างเปล่าเพียงแค่นั้นชานยอลก็ยิ้มอีกครั้ง

       “ในนี้มันจะร้องเรียกแต่ชื่อฉันตลอดไป”

       ใครสักคนเคยพูดขึ้นมาว่า ในโลกใบนี้คนเรานั้นมีหลากหลายประเภทเป็นดั่งเหรียญที่มีสองด้านคล้ายกับเหรียญที่มีหัวและก้อย คนเรานั้นจะมีดีชั่วปะปนกันไปแค่มองหน้าก็ไม่รู้ถึงจิตใจและความคิดภายใน ถ้าเพียงเราอยากที่จะมองเห็นถึงความจริงด้านในก็ต้องควัก ‘หัวใจ’ ออกมาดู ... ใช่แล้ว หัวใจที่ร้องเรียกแต่ชื่อของฉัน มันเป็นจริงเหมือนที่นายพูดไหมนะ

       ปลายคมของกริชค่อยๆกรีดลงเปิดเนื้อด้านอกซ้าย กลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทั่วแต่ทว่าชานยอลกลับไมได้ใส่ใจมัน สิ่งที่สนใจคือสิ่งที่อยู่ด้านในกายนี้ต่างหาก เนื้อค่อยๆแหวกออกพร้อมกับอีกมื้อที่ค่อยๆเปิดมันออกให้กว้างขึ้น ปลายคมกรีดลึกขึ้น .. ลึกขึ้น... ลึกจนมองเห็นก้อนเนื้อด้านใน กลีบปากอิ่มวาดรอยยิ้มอีกครั้ง เมื่อได้นิ่งสนิท ไม่ไหวติงใดๆ.. ทุกจังหวะการเต้นของหัวใจของฉัน มันเต้นเป็นชื่อนาย .. และมันก็หยุดเต้นตอนที่นายร่ำร้องเรียกชื่อฉัน นายเป็นของฉันตลอดไป... กลีบปากอิ่มเผยเสียงหัวเราะเล็กๆออกมาก่อนจะวางกริชนั้นลงกับพื้นข้างตัวก่อนที่จะหันมายังมื้ออาหารที่คนที่รักที่สุดทำมาให้ และคงจะเป็นมื้อสุดท้ายที่จะได้ทาน

       “คริสอ่า.. นายหลับไปก่อนนะ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วฉันจะปลุกนายเอง แล้วนายก็ต้องตื่นขึ้นมาอาบน้ำให้ฉันนะ” หัวเราะคิกคักอีกครั้งก่อนที่จะมองคนที่ไม่มีวันจะได้ตื่นขึ้นมาอีกด้วยรอยยิ้ม ชานยอลคีบกิมจิของโปรดเอาไว้ก่อนที่จะกินมันเข้าไป ... และเพียงไม่นานชานยอลก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดพร้อมกับร่างกายที่ค่อยๆชาไปทีละส่วน ดวงตาพร่ามัวก่อนที่จะมืดแสงลงคล้ายกับคนตัวบางได้ยินน้ำเสียงที่อบอุ่นชิดริมหูและสัมผัสอบอุ่นที่โอบกอดตนไว้

       “นายก็เป็นของฉันคนเดียว .. จะไม่มีใครแย่งนายไปจากฉันได้อีกต่อไป” แม้ว่าด้านในกายจะร้อนรุ่มไปด้วยพิษยาของกินเข้าไปแต่เรียวปากที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีคล้ำก็วาดรอยยิ้ม ชานยอลค่อยๆเขยิบอย่างยากลำบากเข้าไปใกล้ร่างที่นอนแน่นิ่งของชายหนุ่มแล้วลงนอนอยู่เคียงข้าง สองมือกอดลำแขนเย็นชืดไว้แนบอกก่อนที่จะปิดเปลือกตาลงเมื่อรับรู้ว่าลมหายใจของตนกำลังขาดห้วง ... เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป จะไม่แยกกันอีก เราจะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป.............. ห้วงรู้สึกตัวค่อยๆดับมืดไปพร้อมกับเลือดที่ยังคงไหลออกจากกลีบปากอิ่มไม่หยุด เพียงไม่นานแสงสว่างและความมืดก็หลอมรวมกันเป็นส่วนเดียวกัน ความดำมืดที่มีแสงสว่าง ความดำมือที่แสนน่ากลัวแต่ก็อบอุ่นด้วยแสงสว่างที่อาบไล้มัน สีดำและสีขาวที่หลอมรวมกันเป็นสีเทา หลอมอยู่ด้วยกันจนแยกออกจากกันไม่ได้ ....ปาร์คชานยอลและคริส....

    .
    .
    .
    .
    .

       ตลอดกาลและตลอดไป



       “มินนาเอ่ย อยู่ไหนมานี่หน่อย~” เสียงของคุณป้าแม่บ้านดังขึ้น และเพียงอึดใจเด็กรับใช้ก็วิ่งเข้ามาหาในห้องครัว

       “มีอะไรจ๊ะป้า” หล่อนยิ้มให้เด็กสาวก่อนจะจัดแจงวางถ้วยขนมหวานลงบนถาดไม้แล้วส่งยื่นให้มินนา

       “เอาขนมหวานไปให้คุณชายกับคุณชานยอลที่บ้านเล็กหน่อย”

       “จ๊ะป้า” เธอรับไปก่อนจะเดินหมุนตัวออกไปจากบ้านใหญ่ไปยังเรือนเล็กหน้าบ้าน ป้าแม่บ้านมองตามหลังเด็กสาวไปก่อนจะหัวเราะเบาๆด้วยความเอ็นดูคุณชายที่เธอเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็กๆ

       ใช่แล้ว... บ้านหลังใหญ่นี้เป็นของคุณชายคริส บ้านของตระกูลใหญ่และเป็นกรรมสิทธิ์ของคุณชายคริส คุณท่านและคุณนายทำธุรกิจอยู่ที่เมืองจีนแต่ก็ทนที่ลูกชายรบเร้าไม่ไหวจึงยอมให้ลูกชายมาเกาหลีเพียงลำพังและเธอก็ตามมาดูแลคุณชายด้วย คุณชายคริสอยากที่จะมาเรียนรู้สิ่งใหม่นอกบ้านเกิดแต่เมื่อเธอมาอยู่ที่นี่เธอก็ได้รู้จักคุณชานยอลและเริ่มที่จะศึกษาการเป็นครูอนุบาลกับคุณชานยอล และอยู่ๆคุณชายก็มีคำสั่งให้ทำความสะอาดบ้านหลังเล็กที่อยู่ด้านหน้าบ้านที่ใช้เป็นของเก็บของ และเพียงไม่กี่วันคุณชานยอลที่คุณชายของเธอเล่าให้ฟังอยู่บ่อยครั้งก็เข้ามาที่บ้าน

    หล่อนไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณชายของเธอถึงรักคุณชานยอลมากมายเสียขนาดนี้ ก็คุณชานยอลเธอน่ารักจริงๆ นิสัยก็ดีด้วย และก็ไม่แปลกที่คุณชายจะพยายามเข้าใกล้และครอบครองคุณชานยอลให้มาอยู่ข้างกายด้วยนิสัยอย่างหนึ่งของคุณชายที่เธอเลี้ยงมากับมือและรู้จักเป็นอย่างดีคือ ของที่ถูกใจจะกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ห่างกายไม่ได้ แม้ว่าการกระทำของคุณชายจะไม่ถูกต้องนักแต่เธอก็ไม่ขัด เมื่อเห็นว่าคุณชายจะไม่ยอมให้คุณชานยอลได้รับอันตราย เธอและเหล่าคนใช้คนอื่นๆเลยต้องคอยช่วยคุณชายปกปิดความลับทุกอย่าง ... นี่สินะความรักของมนุษย์เรา ยอมทำทุกสิ่งอย่างเพียงเพื่อแค่ขอให้เข้ามาอยู่ข้างกาย

       มินนาเดินถาดขนมหวานอย่างอารมณ์ดีเมื่อคิดว่าจะได้เห็นฉากหวานๆ น่ารักกุ๊กกิ๊กของคุณชายเธอและคุณชานยอลอีก แค่นี้แก้มแดงก็ร้อนผ่าวแต่ก็ชอบใจเวลาที่เห็นคุณทั้งสองอยู่ด้วยกัน มินนาเคาะประตูเบาๆก่อนจะค่อยๆเปิดเข้าไป ไม่กล้าเปิดแรงกลัวว่าคุณทั้งสองจะหวานกันอยู่ แต่เมื่อบานประตูเปิดออกกว้างสภาพด้านในก็ทำให้ถาดขนมล่วงลงพื้นก่อนที่เสียงกรีดร้องของเธอจะดังไปทั่วบ้าน และเหล่าคนรับใช้ทุกคนจะวิ่งเข้ามาดูในห้อง เสียงกรีดร้องดังระงมไม่หยุดและคุณป้าแม่บ้านที่ช็อคจนหมดสติไป ... เป็นความผิดของหล่อนเอง ที่หล่อนไม่ยอมเตือนคุณทั้งสองและดูแลคุณทั้งสองได้ไม่ดีพอ และกริชเล่มนั้นที่คุณชายบอกให้หล่อนหามาให้ ถ้าหล่อนไม่หามา คุณชานยอลก็คงไม่หามันเจอ และเรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิด




       คืนนี้คุณมิยอนพยาบาลสาวกำลังเช็ดกล้องวงจรปิดในห้องพยาบาลเพื่อลงรายงานประวัติว่าวันนี้มีใครเข้าใช้บริการห้องพยาบาลบ้าง เพราะวันนี้เธอต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อเคลียร์รายการสั่งยาและต้องรายงานผลให้ทางโรงพยาบาลต้นสังกัดทราบด้วย แต่แล้วเธอก็ต้องยิ้มเหมือนเธอเห็นว่าใครเข้ามาใช้บริการห้องพยาบาลตอนที่เธอไม่อยู่ เธอเดาว่าวันนี้คุณครูชานยอลคงไปหกล้มหรือชนประตูมาอีกแน่ๆ หล่อนยกมือขึ้นปิดปากกรี๊ดเบาๆอย่างชอบใจเมื่อเห็นทั้งคู่แอบจูบกัน แม้จะไม่ได้ลึกซึ้งอะไรแต่เธอก็เขินอายจนหน้าแดงไปหมดแล้ว เธอจัดการกดกรอกย้อนกลับไปดูอีกหลายรอบ

      ด้วยความที่เธอก็แอบปลื้มคุณครูคริสอยู่ไม่น้อยแต่ทว่าท่าทางเวลาที่คุณครูทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมันน่ารักมันน่ารักเกินกว่าที่ใครจะแทรกได้ พวกบรรดาหญิงสาวทั้งหลายเลยเปลี่ยนใจมาเป็นคนสนับสนุนให้คนทั้งสองแม้แต่ผู้อำนวยการก็เอาไปกับเขาด้วย ในทุกๆปีเราจะสับเปลี่ยนคุณครูที่ประจำห้องเรียนต่างๆ ทั้งสลับห้องและสลับคุณครูสอนร่วมแต่ทว่าคุณครูคริสและคุณครูชานยอลกลับไม่เคยแยกจากกันเลย คิดว่าเป็นเพราะอะไรกันล่ะ คิๆ.. และก็บ่อยครั้งที่พวกเธอก็คอยช่วยวางแผนให้ทั้งสองอีกด้วย จะว่าไปมองคุณครูชานยอลที่แสนโก๊ะเขินอายกับคุณครูคริสชอบแกล้งก็น่ารักไปอีกแบบนะ

      หล่อนยังคงกรอกดูไปมาอย่างสุขใจ แม้จะเขินอายที่เห็นผู้ชายจูบกันแต่ทว่าหล่อนกลับชอบใจและเขินอาย นัยน์ตาของหล่อนพราวระยับไปด้วยแสงอย่างถูกใจ เขินอายจนมองไม่เห็นว่าชายหนุ่มแอบหยิบอะไรไปจากตู้เก็บยาอันตราย ภาพเหตุการณ์นั้นดำเนินไปจนจบที่คุณครูคริสแอบเดินออกนอกห้องพยาบาลตอนที่คนบนเตียงหลับไปแล้ว เธอเช็คไปอีกนิดก่อนที่จะปิดวีดีโอนั้นลงแต่แล้วเธอก็เห็นคุณครูคริสเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง ชายหนุ่มเดินเข้ามากใกล้เตียงนอนพยาบาลก่อนจะเริ่มลูบไล้คนที่หลับไม่รู้สึกตัว ทั้งจูบ ทั้งหอมแก้ม ทั้งลูบไล้จนเธอเองชักอยากร้อนผ่าวตามวีดีโอตรงหน้าที่เธอดู เพียงไม่นานชายหนุ่มก็เดินออกจากห้องไปและหล่อนก็ปิดวีดีโอนั้น แม้แก้มจะยังร้อนผ่าวและรู้สึกคล้ายกับตนนั้นโดนลูบไล้เสียเองก็เขินอายแทบแย่

      “สงสัยต้องเก็บคลิปนี้ไว้ดีๆเสียแล้วล่ะ” หล่อนนึกขอบคุณตัวเองที่เกิดความคิดเอากล้องมาติดไว้โดยที่ไม่บอกใครเพื่อที่จะเช็คการทำงนได้ตลอดเวลา และมันก็เป็นโชคดีของหล่อนที่ได้มาเห็นฉากหวานกันของคุณครูทั้งสองเต็มตาแบบนี้





      ในช่วงเย็นของเวลาเลิกเรียนของเด็กอนุบาล ส่วนใหญ่จะมีพ่อ แม่หรือคนมารับแต่ทว่ากลับเด็กน้อยตัวกลมที่นั่งอยู่หลังห้องกลับไม่ใช่แบบนั้น เมื่อพ่อกับแม่ของเขาต่างก็แยกทางกัน เด็กน้อยไม่รู้หรอกว่าอะไรคือหย่า อะไรคือแยกทาง เด็กน้อยรับรู้เพียงว่าตอนนี้เขาต้องอยู่กับแม่แค่สองคน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเด็กน้อยถึงชอบเก็บตัวเงียบ ไม่ยอมพูดคุยกับใคร เพราะคิดว่าตนนั้นต่างกับเด็กคนอื่นที่มีพ่อมีแม่อยู่กันพร้อมหน้า มือป้อมๆยกขึ้นปาดน้ำตาก่อนจะค่อยๆเดินออกจากห้องเรียนไป บางทีก็มีเด็กที่ผู้ปกครองมารับช้าบ้างเด็กๆเหล่านั้นก็จะไปเล่นกันที่ซุ้มเครื่องเล่นแต่ไม่ใช่กับคิมมินซอกที่จะนั่งหงอยๆอยู่หลังห้อง

      เมื่อเดินออกมาก็ไม่เจอกับคุณครูคนไหนหน้าโรงเรียนเสียแล้วและแน่นอนเด็กๆที่กลับช้าด้วย มินซอกก้มหน้าลงต่ำเดินมองปลายเท้าเพื่อกลับบ้าน บ้านของมินซอกไม่ได้ไกลจากโรงเรียนมากเท่าไหร่ ด้วยมารดาที่ต้องทำงานหาเงินค่าใช้จ่ายนั้นทำให้เด็กน้อยตัวกลมต้องเดินกลับบ้านเองทั้งๆที่ยังเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ เมื่อร่างป้อมเดินพ้นประตูโรงเรียนออกมา เงาดำที่หลบอยู่หลังต้นไม้ก็ค่อยๆโผล่หน้าออกมา ใบหน้ากลมที่แสนน่ารักนั้นฉายแววเศร้าสร้อยจวนเจียนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ การที่เด็กตัวเล็กๆต้องเดินกลับบ้านคนเดียวมันไม่ปลอดภัยเลยจริงๆ

      “มินซอกอา” ด้วยความรักและความคิดถึงจึงทำให้คนที่แอบอยู่หลังต้นไม้ต้องเอ่ยเรียกเด็กคนนั้นออกมา มินซอกหันหลังแล้ววิ่งเข้าไปหาชายคนนั้นที่ลงนั่งรอให้มินซอกวิ่งเข้าไปหา

       “คุณพ่อ!!!” เพียงแค่เสียงเล็กที่สะอื้นไห้กับอ้อมกอดของลูกชายในอ้อมอก เพียงเท่านี้คนเป็นพ่อก็หลั่งน้ำตาออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีหรือที่ลูกชายที่แสนน่ารักจะซึมเศร้าได้แบบนี้

       “คุณพ่อหายไปไหนมา ทำไมไม่กลับบ้านมาอยู่กับผม” เอ่ยถามทั้งๆที่น้ำตายังนองหน้า เด็กน้อยสะอื้นฮักกอดผู้เป็นพ่อแน่น และอ้อมกอดของพ่อก็กอดลูกชายแน่นเช่นกัน

       “พ่อไม่ได้หายไหน พ่ออยู่ตรงนี้คอยเฝ้ามองมินซอกอยู่ตรงนี้ทุกวัน” ผู้เป็นพ่อผละลูกชายออกก่อนจะลูบเช็ดหยดน้ำตาให้ก่อนจะตระกองกอดกันอีกครั้ง

       “มินซอกอ่า อย่าร้องไห้เลยนะลูก ... เย็นนี้เราไปกินไอติมกันนะแล้วเดี๋ยวพ่อจะพาไปส่งบ้าน” มินซอกพยักหน้าอยู่ตรงซอกคอของผู้เป็นพ่อ ในใจของคนเป็นพ่อเมื่อเห็นลูกชายที่รักร้องไห้คนเป็นพ่อก็เจ็บปวดและร้องไห้ตามลูกไปด้วย

       “ไปกันเถอะ ไม่เอาไม่ร้องแล้วนะมินซอกของพ่อไม่ขี้แยแบบนี้นะ” เด็กน้อยปาดเช็ดน้ำตาก่อนจะยิ้มให้ผู้เป็นพ่อกว้างๆ ยิ้มจนตาหยี ยิ้มไร้เดียงสาของเด็กน้อยคิมมินซอก

       “พ่อมาหาผมทุกวันเลยนะฮะ นะ~” ผู้เป็นพ่อยิ้มแล้วอุ้มเด็กน้อยขึ้นแนบอกก่อนจะพาอุ้มเดินไปยังร้านไอศกรีมร้านประจำ

       “แน่นอน พ่อจะอยู่รอมองดูลูกอยู่ตรงนี้ทุกวัน”





       คนเรานั้น ...... แค่มองหน้าก็ไม่รู้ใจ
       คนเรานั้น ...... แค่มองผ่านๆก็ไม่รู้ถึงความใน
       คนเรานั้น ...... แค่มองอย่างเดียวก็ไม่อาจรู้ความจริง

       ก็ถ้าอยากรู้ความจริง มันต้องควัก “หัวใจ” ออกมาดูถึงความใน......................


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×