ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF] KrisYeol : A Tale of Love [Kris x Chanyeol]

    ลำดับตอนที่ #9 : SF :: Stop It

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ค. 58


    กลับมาแบ๊วววววววววววววววววววววววววว \\(>____________<)//

    คิดถึงเราบ้างม๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย #เงียบกริบ


    ฟิคตอนนี้จริงๆเป็นซองฟิค ได้แรงบันดาลใจจากการฟังเพลง หยุดบอกเลิกกันเสียที - นิวจิ๋ว ค่ะ มันก็เลยออกมาด้วยด้วยประการละฉะนี้~





    _____________________________________________







    “ชานยอลเราเลิกกันดีไหม” เจ้าของชื่อที่กำลังจะวางชามซุปร้อนๆลงบนโต๊ะทานอาหารชะงักไปเพียงเสี้ยววิก่อนที่จะทำตามความตั้งใจเดิม ร่างโปร่งลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรข้ามกับเจ้าของเสียงนุ่มทุ้มที่เพิ่งเอ่ยบอกเลิกกันเมื่อสักครู่
     
    “กินข้าวกันเถอะคริส” ชานยอลเริ่มตักข้าวกินโดยที่ไม่สนใจสีหน้าของฝ่ายตรงข้ามอีกเลย สีหน้าที่มันดูเศร้าและเสียใจแค่ไหน ดวงตากลมโตเหลือบมองคนตรงข้ามที่นั่งหน้าก้มกินข้าวนิ่งๆ คนตัวบางลอบถอนหายใจเบาๆก่อนที่จะทำเป็นลืมเรื่องราวก่อนหน้านี้แล้วเริ่มตักอาหารให้ร่างสูงกว่าตรงหน้า
     
     
    ปาร์คชานยอลทำตัวเหมือนเดิม ยังรักคริสและดูแลยังไงก็ยังทำตามเดิม ทำเป็นเสียว่าลืมๆถ้อยคำประโยคนั้นไปเสีย ... เพราะถึงอย่างไรชานยอลก็ได้ยินมันทุกวันอยู่แล้ว เฮ้อ..
     
    คริสผู้ชายตัวสูงกว่าที่มีสถานะเป็นแฟนของชานยอล ผู้ชายธรรมดาที่มีหน้าที่การงานแค่พนักงานในร้านหนังสือ  และชานยอลที่เป็นถึงรองประธานบริษัท ดวงตากลมมองแผ่นหลังกว้างของคนที่อาสาล้างจานหลังจากจบมื้ออาหารให้แล้วก็ถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยล้านกว่าๆ
     
    ชานยอลเข้าใจเหตุผลที่ทำไมคริสต้องบอกเลิกเขาทุกวัน แต่เขาก็ยังดึงดันที่จะไม่ยอมเลิกราเด็ดขาด คริสอยากให้ชานยอลไปได้ดีกว่านี้ อยากให้ชานยอลมีอนาคตที่ดีมากกว่านี้ ไม่ใช่มาอยู่กับเขาที่เงินเดือนยังไม่พอซื้อของแบรนด์ที่ชานยอลชอบได้เลยสักชิ้น คริสไม่สบายใจที่ดูแลคนที่รักไม่ได้จึงอยากจะปล่อยมือให้ตัวเขาได้เจอกับอะไรที่ดีกว่านี้
     
    แต่คริสเคยถามเขาหรือเปล่าว่าเขาอยากจะจากไป หรืออยากจะปล่อยมือคู่นี้บ้างไหม .. ถึงแม้แทบทุกอย่างชานยอลจะใช้เงินของตัวเองจ่ายแต่ถ้าพูดถึงเรื่องอื่นๆ เรื่องการดูแลเขาคริสคนนี้ก็ทำได้ดีจนไม่เห็นว่าจะต้องให้ใครเข้ามาทำแทนเลยด้วยซ้ำ
     
    ก็ในเมื่อฉันเป็นคนเลือกนายแล้ว ทำไมนายถึงยังผลักไสฉันไปอีกนะ
     
     
     
     
     
    “มายืนทำอะไรที่ระเบียงครับ ตากน้ำค้างมากๆเดี๋ยวก็ป่วยหรอก” เสียงทุ้มเอ่ยตำหนิมาพร้อมกับผ้าที่วาดคลุมไหล่ให้ ชานยอลหันไปส่งยิ้มให้ คริสวาดรอยยิ้มแล้วขยับตัวไปยืนซ้อนหลังก่อนที่จะสอดสองแขนโอบเอวบางแล้วเข้ามาชิดตัวเพิ่มไออุ่นทับอีกชั้น
     
    “ถ้าป่วยคริสก็จะมาคอยเป็นพยาบาลให้ใช่ไหมล่ะ เพราะงั้นชานยอลก็ยอมป่วย” ปลายเรียวนิ้วเคาะข้างขมับชานยอลเบาๆ
     
    “ดูพูดจาเข้า” ถึงจะทำหน้าดุใส่แต่ชานยอลก็รู้ว่าคริสไม่ได้ดุเป็นจริงเป็นจังหรอก ก็แค่เป็นห่วงกันเท่านั้นเอง
     
    “ชานยอลครับ” หลังจากที่ยืนดูแสงระยับของดาราบนพื้นสีรัตติกาลกันอยู่นานเสียงนุ่มทุ้มก็เอ่ยขึ้น
     
    “หื้ม?”
     
    “คริสว่าจะไปทำงานเพิ่ม พอดีเจอที่เขาประกาศรับสมัครคนสอนภาษาอังกฤษน่ะ” หัวคิ้วสวยขมวดมุ่นแล้วหันกลับมามองคนด้านหลังด้วยความไม่เข้าใจ
     
    “คริสจะไปทำทำไมอีก แค่ที่ร้านหนังสือก็กลับดึกแทบจะทุกวันแล้วนะ” ดวงตาคู่คมนั้นฉายแววหม่นก่อนที่จะเสมองไปทางอื่นที่ไม่ใช่ดวงตากลมที่กำลังจ้องมองมาทางตัวเอง
     
    “ก็คริสอยากดูแลชานยอลให้ดีกว่านี้ คริสมันไม่มีอะไรดีเลยนะ” น้ำเสียงทุ้มตัดพ้อมาทำเอาหัวใจคนฟังหล่นวูบ
     
    “ทำไมถึงคิดแบบนั้น คริสมีดีสิไม่อย่างนั้นชานยอลจะเลือกคริสทำไม จะอยู่ใช้ชีวิตด้วยไปทำไมกัน” ชานยอลขยับตัวเข้าไปกอดเอวคนตัวสูงกว่าแน่นแล้ววางหัวอิงซบที่ไหล่กว้าง
     
    “ไม่จริงหรอก คริสดูแลชานยอลได้ไม่ดีพอ วันครบรอบของเราคริสก็ไม่เคยมีของขวัญ ของที่ชานยอลอยากได้คริสก็ซื้อให้ไม่ได้สักอย่าง แม้แต่จะซื้อของให้ชานยอลสักชิ้นก็ยังซื้อให้ไม่ได้เลย” ชานยอลผละอ้อมกอดออกแล้วมองใบหน้าหล่อเหลาแต่ทว่าหม่นหมองนั้นด้วยสายตาไหววูบ
     
    “คริสว่าเราเลิกกันดีไหม คริสอยากให้ชานยอลไปพบกับคนที่ดีมากกว่านี้ อยากให้ชานยอลเจอคนที่ดูแลชานยอลได้ทุกเรื่อง ถ้าไม่มีคริสชีวิตชานยอลก็คงจะดีขึ้นกว่านี้อีกเยอะ”
     
    “อีกแล้วเหรอ ประโยคแบบนี้อีกแล้วเหรอ ไม่เบื่อเหรอพูดมันทุกวันเลย คริสไม่เบื่อแต่ชานยอลเบื่อมาก!” ชานยอลเดินผละเข้าห้องนอนไปก่อนแล้วล็อคกลอนประตูห้องนอนได้ทันก่อนที่หยดน้ำตาจะร่วงหล่น
     
    “ทำไมนายถึงไม่เคยเข้าใจอะไรเลยสักอย่างนะคริส” ชานยอลยกสองมือขึ้นปิดใบหน้าตัวเองแล้วใช้มันรองรับหยดน้ำตาที่ไหลริน
     
    “ขอโทษนะ” คริสที่ยืนอยู่อีกด้านฝั่งของประตูก็ได้แต่พูดขอโทษเบาๆ และรู้ว่าในค่ำคืนนี้ประตูบานนั้นคงจะไม่เปิดต้อนรับให้เขาเข้าไปแน่นอน คืนนี้ที่นอนสำหรับตัวเขาก็คงจะเป็นโซฟายาวหน้าโทรทัศน์
     
     
     
    ชานยอลนอนไม่หลับเลย ต่อให้จะนอนพลิกตัวหามุมสบายๆ จะนับแกะ นับนก นับหงส์ นับอัลปาก้าอะไรก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยซ้ำยังทำให้เขาตาสว่างมากขึ้นไปอีก คนตัวบางลุกขึ้นนั่งแล้วขยี้หัวตัวเองจนผมยุ่งไปหมด นั่งตัดสินใจได้ไม่นานก็ก้าวเท้าลงจากเตียงแล้วเดินไปหยิบผ้าห่มผืนอุ่นๆในตู้เสื้อผ้าออกไปด้านนอกห้อง
     
    ที่โซฟายาวนอกห้องปรากฏร่างของคริสที่นอนขดตัวเพราะอากาศเย็นๆ คริสตัวสูงเวลานอนขาก็เลยตัวโซฟาออกไปแต่ยามที่เจ้าตัวนอนขดงอตัวเป็นกุ้งแบบนี้ก้อนกลมๆก็แทบจะตกโซฟาอยู่แล้ว ชานยอลลงนั่งยองๆที่พื้นข้างโซฟาแล้วกางผ้าห่มที่ถือติดมือมาห่มคลุมให้ 
     
    แม้จะห่มผ้าให้คนที่หลับตามความตั้งใจแล้ว ชานยอลก็ยังคงนั่งยองๆวางแขนทับอยู่บนเข่าแบบนั้น นัยน์ตากลมมองจ้องคนที่นอนหลับไปแล้วด้วยรอยยิ้ม แม้จะเบื่อ เหนื่อยใจ และน้อยใจที่คริสเอาแต่บอกขอเลิกกับเขาทุกวี่วันก็เถอะนะ แต่ชานยอลก็รักคริสมาก... มากจนต่อให้ถ้าตัวเขาจะลำบากจริงๆเขาก็ยอม แต่ทุกวันนี้ก็ไม่เห็นว่าจะลำบากตรงไหน หนำซ้ำยังจะอยู่ดีมีสุขเสียด้วยสิ
     
    “เลิกฟุ้งซ่านได้แล้ว ฝันดีนะ” ว่าแล้วก็โน้มใบหน้าเข้าไปกดจูบที่ปลายจมูกโด่งของคนที่นอนหลับเบาๆก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินกลับเข้าห้องนอนไป พอสิ้นเสียงประตูปิดเปลือกตาหนาก็ค่อยๆลืมขึ้นแล้วฉายแววขุ่นมัว
     
    “ฉันทำให้นายลำบาก ทำให้เป็นห่วงอีกแล้วสินะชานยอล” 
     
    คริสยังคงตัดพ้อต่อชีวิตและโชคชะตาที่ไม่ทำให้เขามีทุกสิ่งที่สามารถทัดเทียมชานยอลได้ โทษทุกอย่างแม้กระทั่งตัวเองที่ตัวเขาไปหลงรักผู้ชายที่อยู่สูงเกินเอื้อมคนนั้น ตัวเขาอยากให้ชานยอลมีความสุข อยากให้สบายกาย สบายใจไม่ใช่เป็นคนที่ต้องมาคอยดูค่าโน้นนี่นั่น หรือมาคอยดูแลเขา เขาอยากที่เป็นที่พึ่ง เป็นหลักให้ชานยอลได้พิง
     
    แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าแค่ปิดเปลือกตาลงแล้วซ่อนร่องรอยของความเสียใจเอาไว้ภายใต้เปลือกตาที่รองรับม่านหยาดน้ำเลย
     
     
     
     
     
     
     
     
    “ชานยอลทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะ” หัวคิ้วขมวดมุ่นเมื่อเห็นชานยอลแต่งตัวด้วยเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ไม่ใช่ชุดทำงานดั่งเช่นทุกวัน ชานยอลยิ้มกว้างแล้วสวมหมวกแก๊ปบนหัว
     
    “ก็ไปกับคริสไง” 
     
    “ห๊า!?” ชานยอลหัวเราะแล้วเดินเข้าไปควงแขนของคนตัวสูงกว่าที่พร้อมจะออกไปทำงานแล้ว
     
    “ไม่หงไม่หาแล้วไปกันเถอะเดี๋ยวสาย” แล้วคริสก็เดินไปตามแรงลากของชานยอล
     
    ยามปกติคริสที่ออกจากคอนโดที่อาศัยอยู่ด้วยกันแล้วก็จะนั่งรถประจำทางไปที่ทำงานแต่วันนี้ชานยอลไปด้วย บอกให้เอารถไปเดี๋ยวเขาขับให้ก็ไม่ยอม จะนั่งรถประจำทางให้ได้ พอเขาจะโบกเรียกแท็กซี่ก็ไม่เอาอีก ก็เลยได้เลยตามเลยพาชานยอลขึ้นรถประจำทางไปที่ร้านหนังสือที่เขาทำงานแทน
     
    ชานยอลที่ไม่ค่อยได้ขึ้นรถประจำทางก็ยิ้มร่าอารมณ์ดี เขาจำได้ว่าตอนสมัยเรียนก็กลับกับคริสบ้างเป็นบางวันเราก็จะนั่งรถประจำทางไปด้วยกัน ไม่นานก็ถึงที่ทำงานของคริสแล้ว เป็นร้านหนังสือร้านขนาดกลางที่ดูเงียบสงบแต่ทว่าลูกค้ากลับมาใช้บริการแทบจะไม่ขาดสาย ชานยอลบอกให้คริสไปทำงานแล้วตัวเองจะไปนั่งในมุมนั่งอ่านหนังสือเพื่อรอให้คริสทำงานเสร็จแล้วกลับบ้านด้วยกัน
     
    แม้จะยังลังเลแต่ก็ยอมไปตามแรงที่ดันหลังให้เขาเข้าไปด้านหลังของร้าน ชานยอลผละตัวไปที่มุมของร้านแล้วจองโต๊ะอ่านหนังสือเล็กๆไว้หนึ่งที่ หนังสือที่หยิบจากชั้นใกล้ๆทำให้คนที่โดดงานมายิ้มกว้างอารมณ์ดีแล้วก้มหน้าจมอยู่ในจินตนาการในโลกของตัวหนังสือ
     
    คริสที่ทำงานก็พยายามเดินมาแอบมอง แอบส่องดูชานยอลว่าเจ้าตัวยุ่งของเขาเป็นอย่างไรบ้าง เดินมากี่ทีก็เห็นว่าชานยอลนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับหนังสือนิยายในมือ เขาก็เบาใจแล้วผละไปทำงานอื่นได้ จริงๆก็ไม่เข้าใจหรอกว่าชานยอลจะมาลำบากกับเขาทำไมแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการที่มีชานยอลมานั่งอยู่ใกล้ๆให้เขาได้เดินมาเติมพลังและกำลังใจแบบนี้มันดีไม่น้อยเลย
     
    แต่อีกครั้งที่เดินมาดูเพราะว่าจะชวนไปหามื้อเที่ยงกินกันก็เห็นว่าชานยอลหลับฟุบไปกับโต๊ะเสียแล้ว สองขายาวก้าวเข้าไปหาแล้วดึงเก้าอี้ออกมานั่งลงตรงข้ามกัน ปลายเรียวนิ้วไล้สัมผัสกลุ่มผมนิ่มของชานยอลแผ่วพลิ้ว ริมฝีปากได้รูปวาดรอยยิ้มขึ้นแต่ไม่นานมันก็จางหายไป เขาไม่อยากให้ชานยอลมาลำบากไปกับเขาเลยจริงๆ
     
    “อื้อ... อ้าวพักแล้วเหรอ” ชานยอลขยับตัวเพราะรู้สึกว่ากำลังโดนรบกวน พอเห็นใบหน้าของคนกวนก็ยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นมาดูแล้วก็เอ่ยถามตรงหน้า
    “ไปกินข้าวกัน” คริสยิ้มแล้วลุกขึ้นเดินนำออกไป ชานยอลก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามไปเกาะเกี่ยวฝ่ามือใหญ่ที่เต็มใจให้เขาได้จับมือสอดประสานนั้น
     
    คริสจะพาชานยอลเข้าร้านอาหารชื่อดังแต่ชานยอลกลับลากเขาไปที่ร้านข้างทางแทน ชานยอลก็อยากบอกให้รู้ว่าเขาก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายเหมือนคนทั่วไป ไม่ใช่เทวดาเดินบนสวรรค์ชั้นฟ้าที่ไหน ชานยอลอยากให้คริสเข้าใจก็เลยยอมโดดงาน โดดประชุมและปิดโทรศัพท์แล้วตามคนตรงหน้าที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมาทำงานด้วย
     
    ชานยอลพยายามทำให้เข้าใจอย่างหนึ่ง แต่คริสกลับเข้าใจไปอีกอย่างหนึ่ง 
     
     
     
    “เดี๋ยวชานยอลอย่าเพิ่งไปมาคุยกันก่อน” หลังจากที่กินข้าวกันเสร็จแล้ว คริสกับชานยอลที่กำลังเดินกลับไปที่ร้านอยู่ๆคนตัวสูงกว่าก็รั้งแขนคนตัวบางแล้วลากเข้าสวนหย่อมเล็กๆข้างทางไป ชานยอลที่ยังไม่เข้าใจก็ยอมเดินตามเขาไป
     
    “อะไรอ่ะกลับไปคุยกันที่ร้านสิ” ชานยอลเอียงคอใส่
     
    “เรามาคุยกันก่อน” ชานยอลพยักหน้า อยากคุยก็เอาเถอะ 
     
    “มีอะไรก็ว่ามา .... แต่ไม่เอาเรื่องเลิกอะไรอีกนะ” ชานยอลเอ่ยขัดคอคนที่กำลังจะอ้าปากพูดได้ก็หัวเราะขำใหญ่
     
    “ทำไมล่ะ คริสอยากให้ชานยอลลองคิดมันดูนะ” ถ้าจะมีอะไรที่ทำให้คนอย่างชานยอลที่ร่าเริงและไม่ค่อยคิดมากโกรธได้ ก็คงจะมีอยู่เรื่องเดียว .. คำว่าเลิกจากปากของคนตรงหน้านี่ล่ะ
     
    “ทำไมถึงเอาแต่พูดเรื่องเดิมๆซ้ำๆล่ะ คริสไม่เบื่อเหรอ?” ชานยอลยืนมองจ้องตากับคนตัวสูงกว่าตรงหน้า
     
    “ไม่รักกันแล้วเหรอ” ทอดเสียงอ่อนจนคนที่มองอยู่รู้สึกปวดในอก คริสก้าวเท้าเข้ามาหมายจะกอดรั้งร่างเพรียวบางไว้แนบอกแต่ชานยอลกลับถอยหลังหนีไม่ยอมให้ได้แตะต้องตัว
     
    “ถ้าไม่รักกันก็บอกมาตรงๆเถะ อย่ามาอ้างเรื่องเราไม่คู่ควรกันเลย”
     
    “มันไม่ใช่อย่างนั้น คริสรักชานยอลมากชานยอลก็รู้ แต่ว่าคริสก็ไม่เหมาะกับชานยอลจริงๆนั่นแหละ เราไม่เหมาะกันเลยสักด้านเดียว” คริสหันหน้าหนีไม่อยากที่จะสบกับดวงตากลมที่วาวน้ำคู่นั้นเลย
     
    สั่น... ชานยอลกำลังสั่นไปทั้งตัว ภายในอกมันก็เต้นตุ๊บอย่างปวดหนึบ ภาพตรงหน้าพร่ามัวด้วยม่านน้ำที่คลอขัง สองมือข้างตัวกำมือแน่นพยายามแล้วที่จะยับยั้งคำด่าทอเอาไว้ ยิ่งเห็นหน้าที่เจ็บปวดของใครอีกคนยิ่งสั่นจนควบคุมแทบไม่ไหว
     
    “อ๊ะ!” คริสที่ไม่ทันได้มองและตั้งตัวก็โดนชานยอลใช้สองมือผลักอกเสียเกือบเซล้ม
     
    “อยากเลิกมากเลยใช่ไหม!!? ชานยอลไม่ดีตรงไหนก็บอกมาสิ ไม่รักแล้วก็บอกมาเลย ชานยอลทำอะไรผิดก็พูดออกมาอย่ามาอ้างโน้นอ้างนี่ ถ้าอึดอัดมากที่จะต้องอยู่ด้วยกันก็ตายจากกันไปเลย!!” ชานยอลสะบัดมือของคริสที่เอื้อมจะมาจับทิ้งแล้วหมุนตัวหันหลังเดินออกไป แต่อ้อมแขนยาวก็ตวัดกอดรั้งไว้ได้
     
    “อย่าทำแบบนี้” น้ำเสียงทุ้มที่คลอเคลียกระซิบแผ่วอยู่ข้างใบหูเรียกให้หยดน้ำตาไหลรินเป็นสาย
     
    “ไม่รักกันแล้วก็อย่ามารั้ง ก็จะไปอยู่นี่แล้วไง ปล่อย!!” ชานยอลพยายามที่จะสะบัดอ้อมแขนนั้นให้หลุด คริสกอดรั้งชานยอลแนบติดอก
     
    “มันไม่ใช่อย่างนั้น ใครบอกว่าคริสไม่รักชานยอลกัน คริสรักชานยอลแทบขาดใจ”
     
    “แล้วทำไม .. อึก..” ทอดถามเสียงสั่น อ้อมแขนยาวกอดรั้งให้แนบชิดยิ่งกว่าเดิม แผ่นหลังชองชานยอลแนบติดกับอกของคริสจนแทบจะรับรู้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นอยู่ในอก
     
    “คริสไม่มีงานการดีๆ ไม่มีเงินทองมากองให้ชานยอล คริสไม่รู้ว่าจะดูแลชานยอลให้ดีกว่านี้ได้ยังไง คริส...” ยังไม่ทันได้พูดต่อชานยอลก็หันกลับมาแล้วยกสองมือปิดปากของคนพูดตัดพ้อเอาไว้ ทำไมถึงเอาแต่พูดทำร้ายตัวเองแบบนี้กันนะอู๋อี้ฟาน
     
    “ฟังชานยอลนะ” ดวงตากลมโตที่พราวน้ำมองสบตากับดวงตาคมที่ทอแสงอ่อน คริสพยักหน้ารับเบาๆ
     
    “คริสคิดอะไรอยู่ในหัวชานยอลไม่รู้หรอกนะแต่เลิกคิดแบบนั้นได้ไหม ... ชานยอลไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่านี้แล้ว คริสดูแลชานยอลดีมาตลอดแค่นี้ก็พอแล้ว เรารักกันแค่นั้นก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องแคร์สายตา ต้องแคร์คำพูดคนอื่นล่ะ แคร์แค่ชานยอลคนเดียวไม่ได้เหรอ” ประโยคที่พูดออกไปยืดยาวนั้นชานยอลก็ยังไม่ยอมเอามือออกจากปากของคริสเลย
     
    “ใครจะมองว่าไม่ดี ใครจะพูดว่าเราไม่เหมาะกันก็ช่างชานยอลจะรับมันไว้เอง ชานยอลเลือกคริสแล้วก็คือชานยอลเลือกคริส ชานยอลเลือกคริสด้วยหัวใจของชานยอลเอง ชานยอลเลือกความรักด้วยหัวใจ ถ้าใครมันจะว่าก็ช่างประไร ชานยอลแค่มีคริสก็พอแล้ว”
     
    “ถ้าคริสจะสนใจอะไรรอบตัวมากขนาดนั้น สนใจชานยอลเถอะนะ” ฝ่ามือใหญ่จับมือที่ปิดปากตัวเองออกแล้วกดจูบที่หลังมือ กดจูบค้างไว้เนิ่นนาน
     
    “ขอโทษนะคงเสียใจมากเลยสิ” คริสจับมือเล็กๆนั้นแนบเข้ากับแก้มของตัวเอง ชานยอลยิ้มแล้วส่ายหน้าให้
     
    “ไม่เลย ขอแค่มีคริสอยู่ข้างๆ ชานยอลก็ไม่เคยเสียใจอะไรเลย อยากให้คริสเข้าใจหัวใจของชานยอลบ้าง”
     
    “ครับ ต่อจากนี้คริสจะเข้าใจแล้วก็สนใจแค่ชานยอลคนเดียว” สิ้นประโยคริมฝีปากสีสดก็วาดรอยยิ้มกว้างอย่างสุขใจ คริสโอบร่างเพรียวบางเข้ามากอดแล้วกดปลายจมูกลงที่ซอกคอขาว แล้วสูดกลิ่นหอมอ่อนๆของตัวชานยอลให้เต็มปอด
     
    “อย่าพูดอีกนะว่าให้เราเลิกกัน ได้ยินทีไรน้ำตามันจะไหลทุกทีเลย” คริสหัวเราะเบาๆทั้งๆที่ยังสูดความหอมจากซอกคอของคนในอ้อมแขน
     
    “ครับไม่พูดแล้วครับ ไม่คิดอะไรอีกแล้ว จะคิดถึงแค่ชานยอลคนเดียว” 
     
    “อืม ถ้าไม่คิดถึงนะตายแน่ๆ”
     
    บรรยากาศรอบตัวตอนนี้โอบล้อมด้วยความอบอุ่น เสียงหัวเราะเบาๆ และอ้อมกอดของเราสองคน ริมฝีปากของทั้งคู่ยังคงวาดรอยยิ้มติดใบหน้าอย่างมีความสุข พลันบรรยากาศรอบด้านก็หวานละมุนขึ้นอีกหลายเท่าตัว
     
    “นั่งรออยู่นี่ก่อนนะครับ ถ้าหิวก็บอกนะ” หลัวจากที่คุยกันเข้าใจแล้ว คริสก็พาชานยอลกลับมาที่ร้านแล้วพาไปนั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือ ก่อนที่จะเดินกลับไปทำงานของตัวเองก็แอบก้มลงกดจูบที่กระหม่อมบางของคนหนีงานสักที
     
    ชานยอลมองตามแผ่นหลังกว้างที่อบอุ่นและคอยปกป้องดูแลตัวเองที่ผละออกไปทำงานแล้วก็วาดรอยยิ้มออกมา ปลายนิ้วมือไล้เครื่องมือสื่อสารของตัวเองอย่างช่างใจ จะหยุดต่อมาอยู่กับคริสอีกสักวัน สองวันดีไหม อยากอยู่ใกล้ๆ อยากให้คอยดูแล อยากให้คิดถึง และอยากมองหน้ากันตลอดเวลา
     
    เมื่อตัดสินใจได้ก็ส่งข้อความไปบอกผู้ช่วยของตัวเองไว้ก่อน เอาจริงๆชานยอลอยากให้คริสไปช่วยทำงานมากๆ อยากให้อยู่ข้างๆกัน กะว่าจะคอยตะล่อมดู ถ้าได้อยู่ด้วยกันทั้งยี่สิบสี่ชั่วโมงมันก็คงจะดีไม่น้อยเลยล่ะ วาดวางแผนในใจเรียบร้อยก็คว้าหนังสือมาเปิดออกอ่านอีกรอบ ช่วงยามบ่ายที่ค่อนไปทางเงียบสงบนั้น ชานยอลจะขอจมอยู่ในโลกของนิยายเสียหน่อย..
     
    คริสที่จัดการหนังสือเข้าชั้นเรียบร้อยและช่วงบ่ายก็ค่อนข้างจะว่างอยู่สักหน่อย เพราะลูกค้าช่วงนี้จะน้อยก็ได้ทีขอเวลาอู้เสียหน่อย แอบเดินมาโผล่หน้าดูที่มุมอ่านหนังสือก็เห็นร่างเพรียวบางนั่งฟุบหน้ากับโต๊ะหลับไปเสียแล้ว
     
    “เด็กน้อยชานยอล แล้วแบบนี้จะไม่ให้ดูแลได้ยังไงล่ะ” คริสเดินมายกเก้าอี้มาตั้งข้างๆแล้วลงนั่งข้างคนหลับ มองเสี้ยวหน้าของคนขี้เซาได้สักแปบก็ฟุบหน้าลงนอนมองใบหน้ายามหลับของชานยอล
     
    “รักนะครับ” ฝ่ามือใหญ่ลูบกลุ่มผมนิ่มแผ่วเบา ก่อนที่เปลือกตาจะปิดลงแล้วตามเข้าไปในนิทรารมย์ด้วยกัน
     
     
     
    ริมฝีปากสีสดของคนหลับวาดรอยยิ้มขึ้นอย่างอิ่มเอมใจ...
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×