ลำดับตอนที่ #44
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #44 : [SF] Kai x Chen - Prisoner Of Love
Title: Prisoner Of Love
Pairing: Kai x Chen
Author: BettyNoona
Note: เมื่อมีความรัก ทุกคนก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง ... ความรักช่างสวยงามแม้ว่าบางครั้งมันอาจจะไม่สวยงามก็ตามที
Note2: เรื่องนี้เป็นพิเศษสำหรับของขวัญวันเกิดใครบางคน อิอิ มารับไปนะจ๊ะะะ
HBD ย้อนหลัง ถึงจะเลยมานานแล้วก็เถอะ มีความสุข คิดสิ่งใดสมปรารถนา คุณพี่รอกินเค้กอยู่นะคะ คิคิ #นี่ก็เห็นแก่กิน
____________________________________
I'm a prisoner of love, Just a prisoner of love.
ฉันคือนักโทษแห่งความรัก ก็เป็นแค่นักโทษแห่งความรัก
Prisoner of love... Just a foolish prisoner of love.
นักโทษแห่งความรัก... ก็แค่นักโทษแห่งความรักที่แสนโง่เขลา
เสียงฝีเท้าก้าวเดินเป็นจังหวะเร่งรีบพร้อมกับเจ้าของร่างสูงที่เกี่ยวแว่นดำออกจากใบหน้า ดวงตาเรียวคมกวาดมองเหล่าคนที่มารับด้วยสายตากราดเกรี้ยว ลูกน้องคนสนิทเดินเลี่ยงไปเปิดประตูรถให้ผู้เป็นนายแล้วค้อมหัวลงต่ำ ร่างสูงก้าวขึ้นไปนั่งบนรถยนต์สีดำคันหรูที่มาจอดรอรับตนที่สนามบิน
“เรื่องมันเป็นมายังไงชานยอล” เมื่อขึ้นมานั่งบนรถและรถคันนั้นก็เคลื่อนตัวออกไปแล้วผู้เป็นนายที่นั่งอยู่เบาะหลังก็เอ่ยถามลูกน้องคนสนิทที่ทำหน้าที่ขับรถด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ชานยอลแอบลอบกลืนน้ำลายในลำคออย่างฝืดเคืองเมื่อจับกระแสความโกรธของผู้เป็นนายได้ว่าตอนนี้ผู้เป็นนายของตนนั้นกำลังโกรธและอารมณ์ไม่ดีเอาเสียมากๆ
“คุณจงอินใจเย็นๆก่อนนะครับ” ผู้เป็นนายสะบัดสายตามองจ้องตอบกับชานยอลในกระจมองหลังทำเอาชานยอลเสียวสันหลังวาบ
“จะให้ฉันใจเย็นได้ยังไงกันน้องฉันตายทั้งคนนะ!!! ตกลงเรื่องราวมันเป็นยังไง” จงอินถอนหายใจแล้วพยายามระงับอารมณ์โกรธไว้ หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวจากโทรศัพท์ทางไกลนั่นก็ทำให้เขาแทบจะล้มทั้งยืน น้องชายเพียงคนเดียวของเขาจากไปทั้งๆที่เขายังไม่ได้เอ่ยลาสักคำและนั่นก็เป็นเหตุให้นักธุรกิจหนุ่มที่กำลังเป็นที่จับตามองอยู่นี้รีบบินกลับมาที่ประเทศบ้านเกิดทันที
“ผมยังไม่ทราบแน่ชัดถึงสาเหตุการตายที่แน่ชัดครับ แต่เหมือนจะเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนหนึ่ง”
“มันเป็นใคร!!!” เสียงเกรี้ยวกราดของจงอินดังก้องอยู่ภายในรถด้วยความคับแค้นใจ
“คิมจงแด”
“เฮ้ยไอ้จงแดจะไปไหน!” เจ้าของชื่อหันกลับไปมองแล้วก็กรอกตาไปมามองสองเพื่อนตัวเล็ก(ที่ไซส์ก็ไม่ได้ต่างกับตัวเองเท่าไหร่)วิ่งเข้ามาหา
“ก็ไปคืนหนังสือน่ะสิ แล้วนี่ลู่หานกับมินซอกไปไหนล่ะ” หันมองหาเพื่อนอีกสองคนก็ไม่เห็น
“โดนไอ้ลู่หานลากไปไหนแล้วก็ไม่รู้ จะไปคืนหนังสือใช่มะ?” แบคฮยอนยิ้มกว้างแล้วก้มหน้าค้นอะไรในกระเป๋าสะพายข้างของตัวเอง
“ฝากคืนหนังสือด้วยดิ ขอบใจนะ” แบคฮยอนยัดหนังสือไว้ที่อกของจงแดที่ผวาคว้ารับไว้
“ไปแล้วนะ รีบ” แล้วแบคฮยอนก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งจากไป
“เฮ้ยเดี๋ยวดิ!!” จงแดหันไปมองแต่แบคฮยอนก็ไปเสียแล้ว พอหันกลับมามองคยองซูที่ยังยืนอยู่เจ้าตัวก็ทำตาโตกว่าเดิมแล้วโบกมือลา
“ไปก่อนนะพอดีต้องไปเล่นเกมกับน้องน่ะ” แล้วคยองซูก็ไปอีกคน จงแดถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ไปคืนเองก็ได้ คอยดูเถอะพรุ่งนี้จะเช็คบิลให้ครบทุกคนเลย!” ก็ได้แต่เข่นเขี้ยวอยู่ในใจแค่นั้นแหละ เพราะตอนนี้ไม่มีใครเหลือแล้ว
จงแดเดินไปที่หอสมุดของมหาวิทยาลัยพร้อมกับหนังสือเล่มใหญ่ของแบคฮยอนที่ฝากมาด้วย ไหนๆก็อยู่คนเดียวแล้ว อยู่เงียบๆก็เลยนั่งอ่านหนังสือคนเดียวในมุมสงบ อากาศที่เย็นกำลังพอดีกับบรรยากาศเงียบๆที่ทำให้นั่งอ่านหนังสือได้จนลืมเวลาไปเสียสนิท พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นว่าด้านนอกแสงสว่างค่อยๆดับแสงลง
นาฬิกาแขวนที่ฝาผนังบอกว่าเป็นเวลาใกล้หัวค่ำแล้วและมันก็ถึงเวลาที่ต้องกลับบ้านเสียแล้วสิ จงแดเดินออกจากมหาวิทยาลัยไปเรื่อยๆเพราะบ้านที่พักก็อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไหร่นัก จงแดชอบเดินไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบกับวันเวลาเพราะมันเหมือนกับใครได้ปล่อยความคิดไปไกลๆ
“ขอโทษครับ” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกจากด้านหลัง จงแดหันไปมองก็เห็นผู้ชายร่างสูงยืนยิ้มอยู่ด้านหลัง
“ครับ” ผู้ชายในชุดสูทดำคนนั้นยิ้มกว้างก่อนที่จะยื่นใบกระดาษมาให้ดู
“คือผมต้องการไปที่นี้น่ะครับ รู้จักไหมครับรบกวนช่วยบอกทางผมหน่อย” จงแดรับใบกระดาษมาดูก่อนที่จะส่งรอยยิ้มให้
“อ๋อรู้จักครับ คุณก็ไปถนนเส้นนี้เลี้ยวซ้ายตรงแยกไฟจราจรวิ่งตรงไปอีกสักหน่อยก็เห็นแล้วครับ” จงแดหันหลังไปอธิบายแล้วชี้มือไปตามทาง พอบอกเสร็จก็หันมาส่งยิ้มให้คนที่ยังคงมองเขาและยิ้มให้อยู่
“จำได้ไหมครับหรือจะให้ผมเขียนให้ดี” แต่คนผู้นั้นยังคงยิ้มอยู่เช่นเดิม
“ไม่เป็นไรดีกว่าครับ รบกวนคุณมาด้วยกันดีกว่า” ยังไม่ทันได้เอ่ยถามอะไร ชายผู้นั้นก็เอาผ้ากลิ่นฉุดมาโป๊ะปิดกั้นทางเดินหายใจเสียแล้ว ไม่นานแสงสว่างก็มอดดับลง... จงแดที่ไม่ได้สติหลับใหลออยู่ในอ้อมแขนของคนผู้นั้น
ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นหลับไปนานเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าตอนนี้วันเวลาผ่านไปอย่างไร... เมื่อลืมตาขึ้นทุกสิ่งอย่างช่างพร่าเลือนจนต้องกระพริบตาหลายครั้งเพื่อปรับโฟกัสให้ชัด เพดานห้องที่สูงขึ้นไปกับแชนเดอเลียร์ที่ดูหรูหรานั้นทำเอาคนที่สติเพิ่งกลับมากับตัวผวาสะดุ้ง
หันมองซ้าย มองขวากวาดไปรอบห้องจนไปสุดที่มุมห้องฝั่งเดียวกับหัวนอน ผู้ชายในชุดสูทดำทั้งตัวนั่งไขว้ขาอยู่บนวิงค์แชร์ตัวใหญ่และดูหรูหราจนน่าเกรงขาม ดวงตาของคนผู้นั้นที่มองจ้องมาที่เขานั้นดูช่างน่ากลัวจนใจหวาดหวั่น
“นาย.. นายเป็นใคร จับฉันมาทำไม!” พอลองขยับตัวก็รู้สึกว่าตัวเองโดนจับล็อคข้อมือไว้ที่หัวเตียง พอเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องตกใจเมื่อเห็นกุญแจมือล็อคข้อมือคล้องกับหัวเตียง
“หึ.. กล้าถามนะว่าเป็นใคร” ชายคนนั้นส่งเสียงดูแคลนพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วสาวเท้าเข้ามาใกล้กับเตียงมาก
“ก็ต้องถามสิแล้วจับฉันมาทำไม ฉันไม่เคยรู้จักนายสักหน่อย!” ถึงจะทำปากดีกล้าต่อปากต่อคำกับเขาแต่ภายในใจลึกๆก็กลัวเขาอยู่เหมือนกัน พยายามจะขยับตัวหนีแต่ด้วยข้อจำกัดก็เลยทำให้ขยับหนีได้ลำบาก ชายที่มีท่าทีคุกคามคนนั้นโน้มตัวลงมาแล้วบีบรอบคางของลูกแกะในกำมือเสียไม่ปราณี
“กล้าพูดนะว่าไม่รู้จัก ทำอะไรให้คนอื่นเขายังไม่รู้ตัวอีกสินะ” คนโดนใส่ร้ายก็ได้แต่นอนมองคนตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ
“เจ็บนะ! ฉันไปทำอะไรไว้ก็บอกมาสิ! นายจับมาผิดคนแล้วหรือเปล่าปล่อยฉันไปเถอะ ฉันกับนายไม่เคยรู้จักกันเลยนะ” แม้จะสะบัดหน้าหนีแต่มือข้างนั้นก็ยังคงบีบคางตัวเขาไม่ยอมปล่อย มุมปากยกขึ้นยิ้มอย่างดูแคลน นัยน์ตาสีมืดคู่นั้นก็ช่างมืดมิดราวกับท้องทะเลกว้างที่ไม่มีจุดสิ้นสุด
“จับไม่ผิดตัวหรอก นายก็จงก้มหน้ารับบทลงโทษกับเรื่องที่ก่อไว้ก็แล้วกันนะ” บีบปลายคางนั้นไม่เบามือก่อนที่จะสะบัดออก ยังไม่ทันที่ใครจะได้โวยวายบานประตูห้องก็ถูกเคาะขัดจังหวะเสียก่อน
“เข้ามา” เอ่ยน้ำเสียงเรียบนิ่งออกไป บานประตูไม้ถูกเปิดเข้ามาอย่างมารยาทดี คนบนเตียงที่หันมองอยู่ก็เบิกตากว้าง ก็คนนั้นมันคนที่มาถามทางเขานิ!!!
“คุณจงอินครับ คุณชามาขอเข้าพบครับตอนนี้รออยู่ที่ห้องรับแขก” จงอินขยับตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ขยับเสื้อสูทของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนที่จะพยักหน้ารับแล้วปรายสายตามองคนบนเตียงที่หันกลับมามองหน้าด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
“เฝ้าไว้ให้ดีอย่าให้หลุดออกมาได้และอย่าให้มาเกะกะขวางลูกตา” สั่งไว้แค่นั้นแล้วจงอินก็เดินออกไปห้องไปเลย คนได้รับคำสั่งก็ทำแค่ก้มหัวน้อมรับคำสั่งนั้นอย่างนอบน้อม
“เดี๋ยวสิคุณ! ทำไมต้องจับผมมาด้วยผมไม่เคยรู้จักกับพวกคุณนะ! ก่อนที่บานประตูนั้นจะปิดลงจงแดรีบเอ่ยถามไว้ก่อน ชายร่างสูงผู้นั้นเปิดประตูออกกว้างแล้วก้าวเท้าเข้ามาในห้อง
“ผมคงบอกคุณไม่ได้เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของผม ถ้าคุณไม่อยากเจ็บตัวก็อย่าไปทำให้คุณจงอินโกรธเพิ่มก็แล้วกัน” บอกแค่นั้นก็หันหลังเดินออกไปเลย จงแดจะเรียกก็เรียกไม่ทันซ้ำยังไม่รู้จักชื่อเสียอีกจะเรียกก็เรียกไม่ถูก ตอนนี้ก็เลยได้แต่นอนมองเพดานที่ประดับด้วยแชนเดอเลียร์สวยงามไปเท่านั้น
“นี่มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย! แล้วนี่ต้องอยู่อีกนานแค่ไหน แล้วตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย!” ถึงจะโวยวายไปก็เท่านั้น เอาเถอะเขาจะต้องรู้ให้ได้ว่านี่มันเกิดวิบัติอะไรกันขึ้นแล้วไอ้คุณจงอินนั่นเป็นใครทำไมถึงต้องจับเขามาที่นี่ด้วย ไม่เคยรู้จักกันแล้วเหตุใดถึงได้มองเขาราวกับแค้นเขาเสียนักหนา
ไม่รู้ว่าจงแดนอนหลับไปนานเพียงไหน รู้แค่ว่าคืนนั้นทั้งคืนผู้ชายหน้าตาดุที่ชื่อจงอินก็ไม่เข้ามาในห้องนี้อีกเลย แต่สิ่งแรกที่เห็นทำเอาต้องตกใจจนผงะก็คือใบหน้าหล่อคมที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ เปลือกตาสีไม้รับกับแพขนตา สันจมูกโด่ง ริมฝีปากได้รูป โครงกรอบหน้าที่มิอาจหาผู้อื่นมาทัดทาน แล้วเหตุผลใดที่ทำให้จงอินคนนี้จับตัวเขามา
จงแดนอนมองคนตรงหน้าแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ คนอะไรหน้าตาก็ดีไม่น่าไม่สมประกอบถึงขนาดจับคนผิดตัวนะ ถึงแม้บ้านเมืองนี้จะมีคนชื่อเหมือนกันแต่ก็ไม่น่าจะตรวจสอบไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร คนที่ต้องการคนนั้นเป็นใคร พอเลิกสนใจคนที่นอนหลับตาอยู่ข้างๆก็มาสนใจอะไรที่ล็อคมือของตัวเองแทน พอนอนท่านี้นานๆมันก็เมื่อยใช้ได้เลย
“ทำยังไงถึงจะเอาออกเนี่ย คอยดูนะถ้าออกไปได้นะ...”
“ออกไปได้แล้วจะทำไม” จงแดหันไปมองใครอีกคนที่เมื่อกี้ยังหลับอยู่ด้วยสีหน้าตกใจ ดวงตาคมมองจ้องมาที่ตัวเขาอย่างโกรธเกรี้ยว นี่คิมจงแดผิดอะไรยังไม่รู้เลย
“ยังไม่รู้ รอให้ออกไปได้ก่อน!” จงอินยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างดูแคลนพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงไว้
“คงไม่มีวันนั้นหรอก ถึงฉันจะปลดกุญแจมือให้ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะปล่อยให้เธอออกจากบ้านหลังนี้”
“ตกลงจับฉันมาทำไม นายเป็นใคร นายก็เป็นคนมีอำนาจอยู่นะไปหาว่าฉันไม่ใช่คนที่นายต้องการตัวหรอก ปล่อยฉันไปเถอะ... อ๊ะ เจ็บนะ!” จงอินบีบแก้มของคนพูดมาแบบไม่ออมแรง ดวงตาคมคู่นั้นมองจ้องอย่างโมโหอีกแล้ว
“อย่าพูดมาก ถึงยังไงฉันก็ไม่ปล่อยนายไปแน่คิมจงแด” จงอินสะบัดมือปล่อยใบหน้านั้นออก จงแดหันมามองด้วยสายตาไม่พอใจ
“ไม่มีเหตุผล! นายมันไร้เหตุผล ไอ้คนไร้หัวใจ ไอ้คนไร้ความคิด ไอ้คนไร้สติปัญญา!!!” จงอินที่อดรอนทนไม่ไหวก็พุ่งเข้าไปบีบปลายคางของจงแดแล้วก้มหน้าลงต่ำจนริมฝีปากแทบจะแตะสัมผัสกัน คนที่โดนแบบนั้นก็หยุดเสียงเจื้อยแจ้วไป นัยน์ตาสีดำมืดที่มองจ้องประสานตานั้นทำเอาคนที่กำลังตกใจรู้สึกว่าด้านในอกซ้ายกำลังสั่นระรัว
“ขืนพูดมากอีกครั้งล่ะก็... นายได้ไปนอนเล่นบนเตียงกับพวกเสี่ยตัณหากลับแน่ๆ” ทั้งสายตาและน้ำเสียงนั้นก็พอจะบอกได้แล้วว่าคนพูดมันจริงจังเพียงไหน จงแดเบี่ยงหน้าหนี
“แต่นายก็ต้องปล่อยฉันนะ ฉันจะกินข้าว อาบน้ำยังไง”
“หึ.. ก็ไม่ต้องทำสิ อดตายไปเลยยิ่งดี” จงแดหันหน้ากลับมามองแล้วก็บึนปากใส่
“จะบ้าหรือไง นายจะให้ฉันนอนบนนี้กับนายทั้งๆที่ไม่ได้อาบน้ำเลยน่ะนะ?” จงอินมองคนตรงหน้าแล้วก็เหมือนจะเพิ่งนึกได้ ถึงเขาจะอยากฆ่าคนตรงหน้าให้ตายแต่ก่อนหน้านั้นเขาจะมาทนคนไม่อาบน้ำนี้ก็คงไม่ไหว
“ก็ได้ ฉันจะให้อาบน้ำ กินข้าวแต่อย่าคิดหนีล่ะเพราะฉันคงไม่ปล่อยให้นายหนีไปได้แน่ๆ” จงอินขยับตัวขึ้นไปปลดล็อคกุญแจมืออก จงแดที่ได้รับอิสระแล้วก็ลูบข้อมือที่มีรอยแดงเบาๆก่อนที่จะยกมือกับอกของใครอีกคนที่ชักจะโน้มตัวลงมาต่ำเกินความจำเป็น
“อะ... อะไรของนายเนี่ย” จงอินกระตุกยิ้มมุมปากอีกหนึ่งครั้งก่อนที่จะขยับตัวกลับไปอยู่ที่ฝั่งเตียงของตัวเอง จงแดลุกขึ้นบ้างแต่ก็ขยับถอยร่นไปจนแทบจะตกเตียง
“ไปอาบน้ำสิ อยากอาบนักไม่ใช่หรือไง” จงแดก้าวลงจากเตียงแล้วก็ยืนอยู่ข้างเตียงอย่างหวาดๆว่าไอ้คนที่นั่งพิงหลังบนเตียงทำท่ายิ้มคล้ายคนโรคจิตนั่นจะทำอะไรตัวเขาหรือเปล่า หันซ้าย หันขวาก็มองเห็นแสงสว่างด้านนอกหน้าต่าง .. เช้าวันใหม่แล้วสินะ
“หรือจะไม่อาบ?”
“อาบ!” แล้วจงแดก็วิ่งหนีเข้าห้องน้ำไปเลย จงอินที่นั่งอยู่บนเตียงก็หัวเราะเบาๆในลำคอ ถึงจะไม่เข้าใจว่าตัวเองจะหัวเราะไปทำไมก็เถอะ
“ห้ามปิดประตู!” เสียงเข้มเอ่ยสั่งเมื่อคนด้านในห้องน้ำจะปิดประตู จงแดดึงบานประตูออกแล้วยืนทำหน้าไม่สบอารมณ์
“แล้วนายจะให้ฉันอาบน้ำให้นายดูหรือไงห๊ะ!” แต่คำตอบที่ได้ก็คือการพยักหน้าด้วยสีหน้ากวนเบื้องล่างที่สุด
“จะบ้าหรือไง นายโรคจิตหรือไงห๊ะ!!”
“แล้วไง? ทำตามที่สั่งหรือจะไม่ต้องอาบน้ำมันดี” จงแดถอนหายใจ
“ขอแง้มๆได้ไหมนะ ให้เปิดอ้าซ่าก็ไม่ไหวนะ”
“ก็ได้ เร็วๆชักช้าเดี๋ยวฉันจะเข้าไปลากนายออกมาเอง” จงแดแง้มประตูไว้แล้วก็บ่นเป็นหมีกินผึ้ง คนอะไรหน้าตาก็ดีโรคจิตซะงั้น!! จงแดที่ได้ยินเสียงเคาะประตูก็พยายามเงี่ยหูฟัง
“เข้ามา มีอะไรชานยอล”
“มีเอกสารเซ็นครับ” จงแดที่อยู่ในห้องน้ำกำลังยิ้มกริ่ม แหงล่ะถ้าจงอินออกจากห้องเขาจะรีบใส่เสื้อผ้าแล้วหาทางหนี
“เอาเข้ามาในนี้ ฉันจะเซ็นที่นี่” แต่มันก็ไมได้ง่ายแบบนั้น จงแดถอนหายใจแล้วเริ่มหมุนเปิดฝักบัวเพื่อเริ่มอาบน้ำ
“บอกให้แม่บ้านเตรียมตั้งโต๊ะมื้อเช้าด้วย ตั้งเผื่อของเล่นของฉันด้วยล่ะ”
จงแดที่กำลังอาบน้ำแล้วก็ถือวิสาสะใช้ของเจ้าของห้องซะเลย แหงล่ะเขาจะไปขออะไรได้ยังไงกันล่ะ แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นแปรงสีฟันอันใหม่ที่ยังไม่ได้แกะกล่อง เอาจริงๆ คนๆนั้นก็พอจะมีส่วนดีๆอยู่บ้างหรอกนะ ตัวเขาคิดว่าแบบนั้นนะ มันอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดแต่สักวันเขาคนนั้นก็ต้องรู้เรื่องความจริงจนได้นั่นแหละ
หลังจากอาบน้ำเสร็จทีนี้ก็ไม่รู้แล้วว่าจะเปลี่ยนใส่ชุดไหน จงแดเดินไปหลบอยู่ที่หลังบานประตูแล้วก็โผล่หน้าออกไปมองหาคนที่กำลังนั่งเซ็นเอกสารอยู่บนเตียง สบายใจเชียวล่ะ ….. สบายเกินไปแล้ว!!
“คุณจงอิน... แล้วจะให้ฉันใส่ชุดไหนล่ะ” จงอินเงยหน้าจากหน้าเอกสารขึ้นไปมองคนที่แอบอยู่หลังประตูแล้วก็ไหวไหล่แบบไม่ใส่ใจ
“ก็ไม่ต้องใส่สิ” จงแดทำตาโตแล้วร้องเฮ้ยอย่างตกใจ ก็แหงล่ะใครบ้างจะไม่ตกใจ จงอินหัวเราะในลำคอแล้วก้าวลงจากเตียงก่อนที่จะเดินไปค้นเสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้ามาให้
“เอ้าไปแล้วรีบๆออกมา” จงแดรับมาแล้วก็ผลุบหายเข้าไปด้านในก่อนที่จะต้องร้องเฮ้ยอีกรอบเมื่อเห็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับบ๊อกเซอร์ตัวหนึ่ง
“มีปัญหาอะไร” จงอินที่เปิดประตูเข้ามาทำเอาคนที่ยังเปลือยกายตกใจแล้วรีบหันหลังให้
“จะเข้ามาทำไม! ไอ้บ้าโรคจิตหรือไง!!” ตอนนี้ก็ไม่รู้แล้วว่าจะปิดอะไรดีหรือจะวิ่งไปแอบตรงไหน คนด้านหลังที่มองสำรวจแผ่นหลังตรงหน้าก็ยัดยิ้มขึ้น
“ก็รีบๆออกมาเร็วๆสิ” จงอินออกจากห้องน้ำไปแต่ก็ไม่ได้ปิดประตูให้ กลับแง้มไว้ให้เพียงนิด จงแดหันไปมองแล้วก็แอบด่าตามหลังไปเบาๆก่อนที่จะเริ่มสวมเสื้อผ้า
หลังจากที่สวมเสื้อผ้าเสร็จก็ออกมาจากห้องน้ำแล้วพยายามดึงปลายเสื้อให้ต่ำลงมาแต่มันก็แค่เสื้อเชิ้ตของคนที่ขนาดตัวไม่ห่างจากเขามากเท่าไหร่ มันก็เลยปิดโค่นขาขาอ่อนได้เพียงนิด แม้จะมีบ็อกเซอร์อยู่แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ตัวเขารู้สึกพึงพอใจกับมันเลยสักนิด
จงแดขึ้นเตียงไปนั่งข้างๆจงอินแล้วชะโงกหน้าดูเอกสารในแฟ้มแต่ก็ดูไม่ค่อยจะรู้เรื่องสักเท่าไหร่ เพราะมันเป็นข้อมูลตัวเลขซึ่งเอาจริงๆเขาเรียกสายดนตรีมาเขาคงจะมาดูพวกบัญชี พวกตัวเลขอะไรไม่รู้เรื่องหรอก แค่เห็นก็ปวดหัวแล้ว
“เสียมารยาท” จงอินหันไปด่าเข้าให้ คนที่สนใจตัวเลขพวกนั้นอยู่ก็หันไปทำหน้าไม่พอใจใส่แต่จงอินก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากปิดแฟ้มนั้นแล้วหันไปหยิบกุญแจมือมาล็อคที่ข้อมือของจงแดและอีกอันก็มาล็อคที่ข้อมือของตัวเอง
“จะทำอะไรน่ะ!!” พยายามแล้วจะบิดข้อมือออก พยายามแล้วที่จะดึงมือไม่ให้อีกฝ่ายใส่กุญแจมือแต่ก็ไม่สำเร็จ มือที่กำรอบข้อมือของเขามันแน่นเหนียวยิ่งกว่าคีมเหล็กเสียอีก
“เอาออกไม่ได้เหรอฉันไม่หนีไปไหนหรอก ข้อมือฉันเจ็บไปหมดแล้วนะ” ยื่นให้ดูด้วยเพิ่มความน่าสงสารแต่มีหรือที่จงอินจะเห็นใจ
“ก็เรื่องของนาย ตามมา” แล้วจงอินก็กระตุกข้อมือข้างที่มีกุญแจมือ จงแดที่อยู่อีกปลายด้านก็ถลาตามมาแทบจะไม่ทัน
“เดินช้าๆสิ เดินเร็วแบบนี้ใครจะไปตามนายทันกัน!!” จงแดที่ขาสั้นกว่าก็พยายามก้าวตามไปสิ ลงบันไดก็ต้องคอยจับราวเอาเองกลัวว่าจะหน้าคะมำไปเสียก่อน
“โอ๊ย!!” แล้วก็ไม่ทันขาดความคิด จงแดที่ก้าวตามไม่ทันก็สะดุดขั้นบันไดแล้วล้มกองกับพื้น ดีที่เป็นขั้นบันไดสุดท้ายพอดีไม่เช่นนั้นคงได้มีหัวร้างข้างแตกกันบ้าง จงอินปรายสายตามอง
“รีบๆลุกขึ้นมา” จงอินดึงข้อมือขึ้นส่งผลให้ข้อมือของจงแดโดนดึงตามขึ้นมาเช่นกัน คนเจ็บสะบัดสายตาใส่อย่างไม่พอใจ ก็ไม่พอใจจริงๆนั่นแหละมีอย่างที่ไหนคนเจ็บแต่มาลากเอาๆแบบนี้ จงอินที่เห็นจงแดกำลังทำตัวเหิมเกริมก็โน้มตัวลงแล้วบีบปลายคางของจงแดแบบไม่ออมแรง
“เป็นแค่ของเล่นของฉันอย่าได้คิดมาแข้งข้อ บอกให้ลุกก็ลุกขึ้นมา!!” จงอินสะบัดมือทิ้งแล้วก็ดึงมือขึ้น จงแดก็เลยต้องลุกขึ้นยืนตามแม้ว่าจะรู้สึกเจ็บที่ขาก็ตาม จงอินก้าวเดินไม่รอคนข้างหลังเลยแม้สักนิด แม้จะเจ็บแต่ก็ต้องกัดฟันทนความเจ็บไว้ เจ็บที่กายน่ะเรื่องเล็กแต่เจ็บที่ใจนี่สิ!!
ของเล่นเหรอ? ของเล่นมันก็มีหัวใจนะเว๊ย!!!
บนโต๊ะอาหารจงอินยอมปลดกุญแจมือออกให้แต่ถึงจะใส่หรือไม่ใส่ใครล่ะจะกล้าหนี ดูบอดี้การ์ดชุดดำยืนกันแทบจะล้อมรอบห้องรับประทานอาหารและมีอยู่คนตัวสูงๆที่ยืนอยู่เยื้องสายตาของจงแด ผู้ชายตัวสูงสองคนที่หนึ่งในนั้นส่งยิ้มมาให้เขา กล้ามากนะ.. ก่อเรื่องไว้ยังจะมายิ้มหน้าเป็นใส่อีก
มื้อเช้าวันนี้ช่างเงียบเหงาเช่นดังเดิมแต่ที่ต่างไปจากเดิมก็คือมีคนร่วมโต๊ะกับผู้เป็นนายเพิ่มมาอีกหนึ่งคน จงอินนั่งรับประทานมื้อเช้าไปเงียบๆ ส่วนจงแดก็ลิ้มชิมรสแล้ววิพากษ์วิจารณ์รสชาติเบาๆ พูดงึมงำอยู่คนเดียวไม่มีใครได้ยินแต่จงอินกลับยกยิ้มจางๆ ลูกน้องคนสนิทที่เห็นก็สะกิดกันดูใหญ่
หลังจากที่กินข้าวเสร็จจงอินก็จัดการล็อคกุญแจมือเข้ากับข้อมือของจงแดแล้วลากกลับขึ้นห้องนอนท่ามกลางสายตาของลูกน้องทั้งหลาย แล้วคนที่ก้าวขาตามไม่ทันก็ล้มเอาอีกน่ะสิ ชายเสื้อก็สั้นพอนั่งก็ยิ่งร่นขึ้นมา ไหนจะบ็อกเซอร์ที่ใส่อีกมันก็ยิ่งสั้นเข้าไปใหญ่ จงอินหันไปมองแล้วกวาดสายตาหาลูกน้องตัวเองทุกคน
“ลุกขึ้นมา” จงแดเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็ขมวดคิ้วใส่
“ก็ฉันเจ็บจะลุกยังไง นายทำฉันล้มมาสองครั้งแล้วนะ!” จงอินถอนหายใจแล้วตัดสินใจก้มลงช้อนจงแดขึ้นอุ้ม คนอุ้มก็เดินดุ่มๆขึ้นข้างบนไปเลย ส่วนคนโดนอุ้มก็ได้แต่ตกใจทำหน้าตาโต มองคนอุ้มด้วยสีหน้าที่คนมองคงจะนึกขันอยู่ในใจ
“นอนซะ ห้ามออกไปไหนเดี๋ยวจะให้ชานยอลเข้ามาดู” จงอินแทบจะโยนจงแดลงบนเตียงเลยด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่ากุญแจมือยังคงล็อคคนทั้งสองไว้ด้วยกัน จงอินปลดล็อคที่ข้อมือของตัวเองแล้วย้ายไปล็อคกับหัวเตียง จงแดที่มองตามก็ตั้งท่าจะโวยวายแต่เสียงประตูก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“อยู่แบบนี้แหละดีแล้วจะได้ไม่หนีไปไหน” จงแดที่เหลือมืออีกข้างที่เป็นอิสระจะยกขึ้นฟาดก็ไม่ทันเมื่อจงอินเดินลงจากเตียงไปเสียแล้ว
“เข้าไปดูแล้วก็ทายาให้ด้วย ไอ้คริสไม่ต้องเข้าไปมานี่มีงานจะให้ทำ” จงอินเปิดประตูออกไปสั่งรวดเดียวแล้วเดินไปเลย จงแดที่มองอยู่ก็แบะปากใส่อย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แหงะล่ะใครกันจะพอใจ
“สวัสดีอีกครั้งนะครับคุณจงแด” ชานยอลเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม จงแดสะบัดสายตามอง
“จะเอาอะไรมาโป๊ะฉันอีกล่ะ” ชานยอลมองจงแดที่กำลังขู่ฟ่อคล้ายกับงูเห่า ตัวเขาก็ทำเอียงยิ้มหยอกเย้าเท่านั้น
“ผมไม่ทำแบบนั้นหรอกครับเสียมารยาท ผมจะมาดูอาการบาดเจ็บให้คุณจงแดว่าแต่ไว้ผมจะบอกคุณจงอินให้หาเสื้อผ้าที่เหมาะกับคุณมากกว่านี้ก็แล้วกันนะครับ” จงแดก้มลงมองตัวเองแล้วก็รีบเอาผ้าห่มผืนหนามาปิดตัวเองไว้ ก็อย่างที่บอกว่ามันสั้นจนแทบจะเปิดไปไหนต่อไหนน่ะสิ
“จะดูก็ดูไปเนี่ยที่ขา” จงแดยื่นขาข้างที่เจ็บออกจากผ้าห่มแล้วให้ชานยอลดู คนตัวสูงตรวจอาการเบื้องต้นก่อนที่จะหยิบหลอดยาที่นำมาด้วยมาบีบนวดให้
“คุณก็ทำตัวว่าง่ายอย่าไปขัดใจคุณจงอินมากนักล่ะ ไม่งั้นคุณอาจจะเจ็บตัวมากกว่านี้ก็ได้” จงแดถอนหายใจแล้วกรอกตาไปมา
“คิดว่าฉันมีเวลาว่างมากที่มาให้พวกนายจับตัวเล่นๆหรือไง นายก็ดูมีอะไรเยอะนะไปบอกคุณจงอินของนายทีสิว่าฉันไม่ใช่คนที่เขาตามหา เขาตามหาผิดคนแล้วฉันไม่เคยรู้จักเขา” ชานยอลถอนหายใจแล้วเก็บหลอดยาวางไว้ที่ข้างตัวของจงแด
“ขอโทษครับผมทำไม่ได้เพราะ.... เรื่องนี้มันเกี่ยวกับคุณจริงๆ” ชานยอลว่าไว้แค่นั้นก็เดินออกจากห้องไปทิ้งให้จงแดจมอยู่กับความสงสัยนั้นคนเดียว
“เอาจริงหรือครับคุณจงอิน” คริสที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำงานของเจ้านายเอ่ยถามด้วยสีหน้าลำบากใจ จงอินที่นั่งประสานมือเท้าศอกกับที่พักแขนมองหน้าลูกน้องในปกครองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“หน้าฉันดูเหมือนล้อเล่นหรือเปล่าคริส ไปจัดการตามที่ฉันสั่ง”
“แต่คุณจงอินครับ...”
“มีปัญหากับคำสั่งของฉันเหรอ?” คริสค้อมตัวลงต่ำ
“ไม่ครับ ผมจะจัดการตามที่คุณจงอินสั่งให้เร็วที่สุดครับ” แล้วคริสก็ออกไปจากห้อง จงอินปรายสายตาไปมองกรอบรูปที่มีรูปของตัวเขาและน้องชาย
“พี่จะแก้แค้นให้นายเอง” จงอินปิดเปลือกตาลงแล้วถอนหายใจ สิ่งหน่วงๆมันยังคงคั่งค้างอยู่ภายใน มันหนักไปทั้งอกและทั้งใจ ตัวเขาจะจัดการกับมันอย่างไรดี
วันที่สามแล้วที่จงแดอยู่ที่นี่ กิจวัตรประจำวันก็เหมือนเดิมนั่งเล่น นอนเล่นอยู่บนเตียง พอถึงเวลาก็จะมีคนมาพาลงไปกินข้าว ขึ้นมาก็มานั่งเล่นต่อ กลางคืนก็ไม่เจอเจ้าของห้องกว่าจะเจอก็ลืมตาตื่นตอนเช้า กินข้าวเช้าด้วยกันแล้วเขาก็จะออกไปทำงาน .. มีอยู่แค่นี้
ต่อให้คิดวกวนแค่ไหนตัวเขาก็คิดไม่ออกว่าเพราะเหตุใดกันเขาถึงถูกจับตัวมาแบบนี้ ชานยอลทำท่าเหมือนจะรู้อะไร พอถามก็ไม่ยอมตอบแล้วแบบนี้เขาจะไปถามหาจากใครกันล่ะ! จงแดยืนเกาะหน้าต่างบานใหญ่มองลงไปด้านล่างที่เป็นสวนหน้าบ้านสวยงาม
“If I can see it, then I can do it. If I just believe it, there's nothing to it. I believe I can fly, I believe I can touch the sky. I think about it every night and day. Spread my wings and fly away, I believe I can fly”
(หากฉันสามารถเห็นมันได้ ฉันก็คิดว่าฉันสามารถทำมันได้เช่นกัน ถ้าเพียงแต่คุณจะเชื่อมัน มันก็ไม่ได้มีอะไรยากเลย ฉันเชื่อว่าฉันสามารถโบยบินได้ ฉันสามารถสัมผัสที่ขอบฟ้าได้ ฉันครุ่นคิดถึงมันทุกค่ำมืดยันรุ่งเช้า สยายปีกของฉันและโบยบินออกไป ฉันเชื่อว่าฉันสามารถโบยบินได้)
น้ำเสียงก้องกังวานนั้นช่างเพราะจับใจคนได้ยินยิ่งนัก โทนเสียงกลางที่คล้ายจะฟังแล้วราบเรียบแต่ทว่าในเนื้อเสียงนั้นกลับเจือความไพเราะไว้ในนั้น จงแดเพียงแค่ร้องไปเรื่อยๆไม่ได้จับจุดใดเป็นกิจจะลักษณะ น้ำเสียงนั้นใสราวกับลูกแก้ว เพียงแค่ได้ยินฟังก็เคลิบเคลิ้มไปกับบทเพลงนั้น
“อยากบินออกไปมากนักเหรอ” เมื่อจงแดร้องจบ จงอินก็เอ่ยทักพร้อมกับปรบมือให้ คนตกใจหันไปมองแล้วก็ยกสองมือขึ้นกอดอก คิดว่าไปทำงานแล้วซะอีก
“ก็ใช่น่ะสิ นี่ฉันขาดเรียนมาสามวันแล้วนะ ฉันยังต้องเรียนนะไม่ใช่ทำงานแล้วแบบนาย” จงอินสาวเท้าก้าวเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าของจงแดแล้วยกยิ้มมุมปาก
“ไม่ต้องห่วง ลาให้แล้วเรียบร้อย”
“ห๊ะ??!” จงอินแอบยิ้มขำกับใบหน้าตกใจของคนตรงหน้า.. ที่มันก็ดูน่ารักดี
“ก็น่าจะได้ยินนะ ลาเรียนให้แล้วแล้วก็งานพิเศษสอนร้องเพลงด้วย”
“นายกะให้ฉันมาอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตเลยหรือไง!” จงอินไหวไหล่แล้วก้าวเท้าเข้ามาประชิดแล้วกางสองมือกั้น จงแดที่ก็จะก้าวถอยหนีแต่ก็ไปไหนไม่ได้
“ก็คิดว่าแบบนั้น” จงแดดันอกของคนที่ชักจะเข้ามาใกล้เกินไปแล้วให้ถอยออกห่างแต่จงอินก็ไม่ได้จะถอยหรือขยับให้เลยสักนิด
“จะบ้าหรือไง! นายจะให้ฉันนั่งๆ นอนๆแบบนี้น่ะนะ! ปล่อยฉันไปเถอะ”
“ไม่!” จงแดถอนหายใจแล้วผลักจงอินให้ออกห่าง
“แล้วทำไมฉันต้องเชื่อนาย” จงแดที่ถือดีกอดอกแล้วยักคิ้วท้าทายแต่จงอินเพียงแต่กระตุกยิ้มแล้วขยับตัวเข้ามาใกล้
“นายเป็นของฉันแล้วก็อีกอย่างที่นี่มันก็บ้านฉัน” จงแดเบี่ยงหน้าหนีเมื่อจงอินยังคงก้มหน้าลงมาใกล้
“งะ... งั้นก็ปล่อยฉันไปสิ แล้วก็ถอยออกไปเลย”
“หึ... ไม่มีทาง” จงอินบีบปลายคางของจงแดให้หันมาทางเขาก่อนที่ก้มลงหน้าเข้าไปชิดแล้วแตะสัมผัสริมฝีปาก เคล้นคลึงกับริมฝีปากของคนที่ยังตกใจเบาๆ จงแดทำตาโตแล้วรัวมือฟาดใส่แต่จงอินก็ไม่ได้สะทกสะท้านเลยสักนิด ริมฝีปากที่บดเบียดลงมาทำเอาคนที่ขัดขืนค่อยๆโอนอ่อนผ่อนตาม
“วันนี้ฉันใจดีจะให้นายลงไปนั่งเล่นข้างล่าง” ละถอนจูบออกพร้อมกับไล้ปลายนิ้วเช็ดที่มุมปากให้ จงแดกะพริบตาปริบๆก่อนี่จะสติจะเข้าตัว
“ไอ้สติไม่ปกติถอยออกไปนะ!!” ผลักจงอินออกไปสุดแรงแล้วก็จัดการลบรอยที่ติมอยู่ที่ริมฝีปากออกด้ายหลังมือ จงอินที่ถอยไปสองก้าวหัวเราะในลำคอ
“ลงมาได้แล้วฉันมีอะไรต้องทำอีกเยอะ” จงอินบีบต้นแขนของจงแดแล้วลากให้เดินตามมา คาดว่ามันจะต้องเป็นรอยมือทิ้งอนุสรณ์ไว้บนผิวของเขาแน่นอนแต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ สะบัดก็ไม่หลุด จะพยศไม่ยอมเดินตามก็ไม่ได้ต้องก้าวตามให้ทันไม่เช่นนั้นก็ล้มหน้าทิ่มอีก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเขากันเนี่ย!
ถึงจะได้รับการอนุญาตให้ลงมาข้างล่างได้แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกประตูบ้าน จงแดที่ไม่รู้จะนั่งเฉยๆที่โซฟามองคนสติไม่ดีบ้างานไปทำไมก็เลยเดินสำรวจรอบๆห้องรับแขก ข้าวของเครื่องใช้มองปราดเดียวก็รู้ว่ามันมีราคาแพงแค่ไหนก็ตัวเขาต้องสนใจหรือเปล่าล่ะ? ก็ไม่ต้องไงเพราะฉะนั้นก็เดินจับๆ ลูบๆ คลำๆไปตามภาษาคนที่ไม่มีอะไรจะทำ
จงอินที่นั่งอ่านเอกสารอยู่ก็เหลือบตามองพอได้เห็นว่าคนที่เขาจับตัวมากำลังเดินไปเดินมาก็หันกลับมาตั้งใจอ่านข้อมูลในเอกสาร จงแดที่เดินดูจนทั่วแล้วหันกลับมามองก็เห็นว่าใครคนนั้นยังคงนั่งก้มหน้าอ่านแฟ้มเอกสารอันใหญ่ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรก็เลยเดินออกจากห้องรับแขกไปหาห้องครัว แม้บ้านหลังนี้จะใหญ่แต่จงแดความจำดีเห็นรอบเดียวก็จำได้แล้วว่าห้องครัวอยู่ตรงไหน
ยืนกินขนมที่ถามหาจนคุณแม่บ้านจนหมดก็เลยใจดีเดินถือถาดขนมและกาแฟมาให้คนที่ยังนั่งทำงานอยู่ จะบอกว่าใจดีก็คงใช่ เพราะยังไงก็แอบมากินขนมเขาไปตั้งเยอะ ตอบแทนนิดหน่อยก็คงไม่เป็นอะไรหรอก
“กาแฟกับขนม” จงแดวางลงที่โต๊ะตรงหน้า จงอินเหลือบสายตามองคนข้างกายที่ลงนั่งข้างๆพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาดูแฟ้มในมือของเขา
“ทำอะไร” จงแดหันหน้าไปมองแล้วก็ส่ายหน้าไปมา
“เปล่านิ ทำงานต่อไปสิ” เขยิบตัวถอยแล้วหยิบรีโมทมากดเปิดโทรทัศน์ดู กดดูผ่านไปจนมาถึงช่องรายการเพลงแน่นอนว่าคนสุนทรีย์ในเสียงเพลงอย่างจงแดก็ต้องดูช่องนี้แต่จงอินคว้ารีโมทมากดปิด จงแดก็คว้าคืนแล้วกดเปิดจงอินก็คว้ามากดปิดจนกิดสงครามแย่งชิงรีโมทกันเล็กๆ จงแดทำหน้าไม่สบอารมณ์และไม่พอใจเอามากๆแต่จงอินกลับยกยิ้มบาง
“เอามานะ!” จงแดดึงมากดเปิดแล้วซ่อนไว้ด้านหลังไม่ให้จงอินได้หยิบแต่มีหรือที่เจ้าตัวจะยอม
“ส่งรีโมทมา!” จงอินพุ่งเข้าหาแล้วแย่งรีโมท จงแดก็เบี่ยงตัวหลบจนไม่รู้ว่าตัวเองนั้นลงไปนอนราบกับโซฟาเสียแล้ว จงอินที่โน้มตัวตามลงไปก็หยุดชะงักเมื่อดวงตาของจงแดหันมามองสบกัน
ทั้งสองคนมองสบตากันอยู่นาน จงอินโน้มใบหน้าลงไปต่ำจนแทบจะแนบชิด เปลือกตาของจงแดค่อยๆปิดลง ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดกันจนรู้สึกว่าเราสองคนอยู่ใกล้กัน ริมฝีปากที่แนบลงมาเพียงนิดและก่อนที่จะได้แนบสัมผัสแนบชิดนั้นอยู่ๆเสียงร้องทักของลูกน้องคนสนิทก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
“คุณจงอินครับ ท่านประธานจากโอกรุ๊ปมาขอเข้าพบครับ” แม้จะเห็นท่าทางแบบนั้นแต่ลูกน้องคนสนิทก็ไม่ได้ตื่นเต้นตกใจอะไรเพราะเรื่องตรงหน้าคงจะไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับอะไรที่กำลังจะมาถึงนี่หรอก
“ออกไปก่อนคริส” จงอินหันไปบอก จงแดที่ได้สติก็ลืมตาขึ้นแล้วดันอกจงอินให้ถอยหนีห่าง
“ขึ้นไปอยู่บนห้อง” น้ำเสียงนิ่งเอ่ยบอกพร้อมกับเจ้าของน้ำเสียงนั้นจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่
“ขึ้นทำไมนายบอกให้ฉันลงมาอยู่ข้างล่างได้นะ!” ดวงตาคมหันมองจ้อง
“บอกให้ขึ้นก็ขึ้นไปเถอะน่า!” จงแดมองค้อนใส่แล้วก็ลุกขึ้นเดินหนีไปเลย
“นายจะไปไหน”
“เข้าห้องครัว!” หันไปตอบแล้วก็ไม่สนใจอีก จงอินถอนหายใจหนักๆแล้วลุกขึ้นเดินไปอุ้มจงแดพาดบ่า
“เฮ้ยจะทำอะไรปล่อยนะ!” คนที่โดนอุ้มห้อยหัวก็ร้องโวยวายแล้วก็ทุบหลังจงอินไปแรงๆแต่เจ้าตัวก็ไม่สะทกสะท้านซ้ำยังจะแบกเขาเดินขึ้นบันไดขึ้นไปอีกแน่ะ
“หยุดโวยวาย!” ขึ้นเสียงใส่แล้วก็ฝาดมือเข้าที่ก้นนิ่มเข้าให้
“ไอ้บ้าก็ปล่อยฉันสิ!” คนที่ดิ้นนานๆก็เริ่มรู้สึกจะมึนหัวแล้วเพราะเลือดตกหัว
“อยู่เฉยๆ นิ่งๆ อย่าโวยวาย” ถึงร่างกายจะพยศไม่ไหวแต่ขอบอกเลยว่าปากยังทำงานได้ดีเช่นเดิม
“ก็ปล่อยฉันสิไอ้โรคจิต ไอ้บ้าอยู่ๆก็มาทำแบบนี้ได้ยังไง!” จงอินฟาดมือเข้าที่ก้นอีกทีแต่จงแดก็ยังไม่เลิกโวยวายก่อนที่จะใช้สายตาบอกเด็กรับใช้ในบ้านที่ผ่านมาพอดีให้เปิดประตูห้องนอนให้
“ปล่อย! ฉันบอกให้ปล่อยไงไอ้ดำ!!” จงแดทุบเข้าที่หลังของจงอินหลายๆที และคนที่เริ่มจะเจ็บหลังก็เหวี่ยงจงแดลงจริงๆ
“โอ๊ย!! ไอ้บ้าปล่อยให้ลงดีๆสิ!!” จงแดที่โดนเหวี่ยงลงบนเตียงก็รู้สึกเจ็บที่ช่วงท้องแล้วก็รู้สึกจุกเพราะถูกเหวี่ยง
“ก็บอกให้ปล่อยไงก็ปล่อยแล้วไงจะโวยวายทำไมอีก” จงอินยกมือเท้าเอวแล้วเลิกคิ้วถามคนที่กึ่งนั่งกี่งนอนอยู่บนเตียง กางเกงขาสั้นที่ยาวพอจะปิดต้นขาแต่ปลายเสื้อเชิ้ตนั้นกลับเลิกเลยขึ้นไปเห็นจนเห็นหน้าท้องนิดๆ
“ก็ไม่ใช่ปล่อยแบบนี้ไอ้บ้า!” จงแดจับหมอนแล้วทำท่าจะปาใส่
“ลองปามาสิได้เห็นดีกันแน่” ทั้งสายตาและน้ำเสียงก็คงไมได้คิดที่จะแค่ขู่เล่นๆแน่ จงแดทำหน้ามุ่ยแล้วก็เลยเอาหมอนมากอดเองซะเลย
“อยู่ในห้องอย่าลงไปเพ่นพ่านเกะกะ เข้าใจไหม” จงแดนั่งนิ่งเงียบ
“เข้าใจไหม!” เน้นย้ำทีละคำด้วยเสียงเข้ม คนที่ยังรักตัวกลัวตายก็ตอบรับกลับไป
“รู้แล้วน่า” จงแดลงนอนกับเตียงแล้วหันหน้าหนีซะเลย จงอินที่ยังยืนมองอยู่ก็ยกยิ้มบางแล้วเดินออกจากห้องไป จงแดที่มองตามแผ่นหลังนั้นก็ได้แต่เข่นเขี้ยวอยู่ในใจ ไอ้ดำเอ้ย! ขอให้เดินสะดุดตกบันไดตายไปเลย!!!
กว่าที่จะได้ลงมาข้างล่างอีกทีก็มื้อเย็นเสียแล้ว จงแดเดินลงมาจากบันไดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เดินย่ำเท้าลงมาด้วยอาการที่ไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่ จงอินที่เดินผ่านมาทางบันไดหยุดแล้วหันขึ้นไปมองก็เห็นจงแดเดินลงมาอย่างกับเด็กสามขวบโดนขัดใจ แต่แล้วเด็กโดนขัดใจก็เดินสะดุดบันไดสองขั้นสุดท้ายจนได้
“เฮ้ย!!” จงอินถลาเข้ามารับจงแดไว้ในอ้อมแขน เพราะถ้าไม่เช่นนั้นคงจะได้เห็นลูกหมูกลิ้งตกบันไดเสียแล้วมั้ง
“ฉันควรสั่งถอดบันไดเปลี่ยนเป็นลิฟต์แทนไหม” น้ำเสียงนุ่มที่กระซิบชิดใบหูทำเอาคนในอ้อมแขนได้สติ จงแดผลักจงอินออกแล้วเชิดหน้าใส่
“ไม่ต้องมาล้อเลยนะ” สะบัดเสียงใส่เสร็จก็เดินนำเข้าห้องรับประทานอาหารไปเลย จงอินหัวเราะเบาๆแล้วเดินตาม สามวันนี้มานี้ตัวเขาหัวเราะไปกี่ครั้งแล้วนะ... ขี้เกียจจะนับแล้ว
มื้อเย็นในช่วงหัวค่ำผ่านไปไร้เสียงสนทนา จงแดนั่งก้มหน้าจัดการกับอาหารในส่วนของตัวเอง จงอินเองก็ไม่ใช่คนช่างพูดคุยอะไร เพราะฉะนั้นก็เลยไม่มีใครจะยอมพูดอะไรเลย พอจบมื้อเย็นจงแดก็เดินหนีขึ้นห้องไปเลย จงอินที่มองตามก็ส่ายหน้าไปมาแล้วก็ลุกออกไปจากห้องรับประทานอาหารบ้าง แต่ต้องเข้าห้องทำงานไปจัดการเคลียร์งานที่คั่งค้างไว้ให้เรียบร้อย
จงแดที่หนีเข้าห้องนอนมาก็ล็อคประตูแล้วยืนพิงหลังกับบานประตูอย่างสับสน ตอนแรกก็ว่าอยากจะทำให้รู้ว่าเขาไม่พอใจแต่หลังจากที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของจงอินและได้ยินเสียงกระซิบนั้นแล้ว.. ไม่รู้หัวใจของเขาถึงได้สั่นไหวแรงขนาดนั้นนะ คิดว่ามันจะหลุดออกมาข้างนอกเสียแล้ว
“ไม่ได้.. ยังไงก็ต้องหนีให้ได้” แม้จะตั้งมั่นไว้แบบนั้นแต่ภายในกลับวูบไหวเสียแล้ว
ช่วงกลางคืนจงอินมักจะไม่ได้เข้ามานอนแต่พอยามรุ่งสางที่จงแดสะดุ้งตื่นก็มักจะเห็นใครอีกคนนอนหลับอยู่ข้างกาย เป็นอาทิตย์แล้วที่ตัวเขาเห็นแบบนี้จนชินตา ยามรุ่งสางนั้นทุกคนในบ้านยังไม่มีใครตื่นเหมาะที่จะหลบหนี ก่อนหน้านี้ตัวเขาเองก็พยายามที่จดจำเส้นทางในบ้านหลังนี้เท่าที่พอจะทำได้
จงแดค่อยๆก้าวลงจากเตียงแล้วพยายามเดินให้เบาที่สุดไปที่ประตู มือที่กำลังจะบิดลูกบิดนั้นชะงักหยุด ถ้าตัวเขาก้าวพ้นออกจากประตูบานนี้ บ้านหลังนี้ไป เขาก็จะไม่ได้เจอกับใครอีกคนอีกเลย ถึงจะชอบทำตัวดุ ชอบทำท่าราวกับจะคุกคามเขาตลอดเวลา แต่จงอินก็อ่อนโยน... จงแดจับลูกบิดที่เย็นเฉียบเอาไว้แน่นๆ ออกแรงกำมันแน่นจนฝ่ามือซีดขาว แต่แล้วจงแดก็ปล่อยมือ…
เขาเลือกที่จะอยู่ที่นี่ อยู่เป็นของเล่นหรืออะไรก็แล้วแต่ที่คนๆนั้นต้องการให้เขาเป็น ถึงเขาจะเป็นของเล่นแต่เขาก็เป็นของเล่นที่มีหัวใจ สักวันจงอินจะต้องรู้ว่าตัวเขามีหัวใจ.. จงแดกลับมานอนบนเตียงที่เดิม นอนหันหลังให้คนที่กำลังหลับ ไอเย็นตกกระทบที่ผิวกายแม้จะไม่ได้เย็นมากมายแต่ตัวเขาก็ไม่ชอบ แขนยาวพาดโอบกอดจากด้านหลัง ฉันพลันความหนาวเย็นก็ถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่น
I'm a prisoner of love, Just a prisoner of love.
ฉันคือนักโทษแห่งความรัก ก็เป็นแค่นักโทษแห่งความรัก
Prisoner of love... Just a foolish prisoner of love.
นักโทษแห่งความรัก... ก็แค่นักโทษแห่งความรักที่แสนโง่เขลา
Because of you ... I love you with all my heart.
เพราะคุณคนเดียว... ฉันรักคุณไปแล้วทั้งหัวใจ
จงแดตื่นอีกทีในช่วงสายก็ไม่เห็นจงอินเสียแล้ว คนนั้นมักจะนอนช้าและตื่นเช้าเสมอ ขยับตัวลุกขึ้นนั่งแล้วมองนาฬิกาที่หัวเตียงที่บอกเวลาว่าใกล้จะถึงเวลาอาหารเช้าแล้ว ตวัดผ้าห่มออกจากตัวได้ก็ลงจากเตียงแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย
เปิดประตูออกจากห้องได้ก็หันไปมองประตูห้องทำงานขอจงอินที่เปิดแง้มไว้อยู่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็เลยเดินไปดูเพราะจงอินสั่งห้ามไม่ให้เขาไปยุ่งกับอีกห้องหนึ่งที่ตัวเขาก็ไม่รู้ว่าห้องอะไร จงแดไปยืนอยู่หลังประตูแล้วหมายว่าจะค่อยๆเปิดประตูแต่ทว่ากลับได้ยินเสียงพูดคุยจากด้านในเสียก่อน
“ถ้าคุณจงแดรู้มันคงไม่ดีนะครับ คุณจิงอินนั่นแหละที่อาจจะต้องเสียใจ” เสียงของชานยอลเอ่ยบอก เสียใจเรื่องอะไรและเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับตัวเขา จงแดขยับตัวไปมองลอดผ่านช่องประตูที่แง้มนั่น
“แล้วฉันจะต้องเสียใจเรื่องอะไร เรื่องอะไรที่ฉันไม่อยากให้เขารู้มันก็ไม่จำเป็นต้องรู้” น้ำเสียงของใครอีกคนช่างเรียบนิ่งเสียทำให้คนแอบฟังนึกหวั่นในใจ
“ผมว่าบางทีเราอาจจะปิดไม่ได้นานนะครับ ถ้าเกิดคุณจงแดอยากติดต่อกับคนที่บ้านเมื่อไหร่” บ้าน? บ้านของเขา.. ที่มีพ่อกับแม่น่ะนะ
“เขาจะไม่มีวันรู้เด็ดขาด เลิกพูดเถอะว่าแต่นายเอาช่อดอกไม้ไปวางไว้ที่หลุมฝังศพหรือยังน่ะชานยอล”
“เรียบร้อยแล้วครับ คริสกำลังเปลี่ยนแจกันดอกไม้ในห้องอยู่ เมื่อครู่ผมได้รับข่าวจากสายว่าพ่อกับแม่ของคุณจงแดเข้าไปทำงานใช้หนี้ให้กับบริษัทลูกของเราแล้วครับ”
คนที่แอบฟังอยู่ยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ จงแดก้าวเท้าถอยหลังจนไปชนเข้ากับผนังของอีกฝั่ง คริสเปิดประตูออกมาจากห้องปิดตายที่อยู่ตรงข้ามกับห้องนอนของจงอิน ใบหน้าคมนั้นดูตกใจมากและตัวเขาก็ตกใจมากเช่นกัน จงแดก้าวเท้าไปที่ห้องนั้นแม้ว่าคริสจะพยายามดันตัวไม่ให้เขาเข้าไปก็เถอะ
ในที่สุดจงแดก็เข้ามาอยู่ในห้องนี้จนได้ ห้องที่ดูจัดวางอย่างเป็นระเบียบ แสงแดดอ่อนๆสอดไล้เข้ามาในห้องดูอบอุ่นยิ่งนักแต่ตัวของจงแดกลับหนาวเหน็บเสียเอง สองเท้าก้าวเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือที่มีกรอบรูปและแจกกันดอกไม้สีขาวที่ส่งกลิ่นหอมหวานอวลอยู่ มือที่สั่นเทาเอื้อมไปหยิบกรอบรูปนั้นขึ้นมาดูแล้วก็เหมือนจะหมดแรงจริงๆ
“ตกใจมากเหรอ” จงอินที่ยืนกอดอกพิงขอบประตู เอ่ยถามเสียงเรียบ จงแดหันไปมองแล้วอยู่ๆหยดน้ำตาที่คลอหน่วยรอบดวงตาก็ไหลผ่านแก้มไป
“นายเป็นพี่ของพี่จีมินอย่างนั้นเหรอ” จงแดถือกรอบรูปที่มีรูปของเด็กหนุ่มตัวสูง หน้าตาน่ารักที่สมวัยยื่นให้อีกคนดู
“แล้วคิดว่ายังไงล่ะ” จงแดหันไปวางกรอบรูปลงที่เดิมก่อนที่จะมองเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ จีมินเป็นรุ่นพี่ของจงแด เป็นรุ่นพี่ในหมู่ไม่กี่คนที่จงแดและกลุ่มเพื่อนสนิทด้วยแต่เพราะมีเหตุบางอย่างก็เลยทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้เจอกันอีก
“ฉันไม่เข้าใจ” จงอินสาวเท้าเข้ามาแล้วบีบแขนของจงแดให้หันมามองหน้าเขา หยดน้ำตายังคงไหลผ่านอาบแก้มไม่ขาดสาย
“มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร นายฆ่าน้องชายของฉัน น้องชายเพียงคนเดียวของฉัน!!” จงอินเขย่าจงแดในมือจนตัวสั่นคลอนพร้อมกับตวาดเสียงดังจนชานยอลและคริสที่รีบไปบอกกล่าวนั้นยังสะดุ้งตกใจในน้ำเสียงนั้น
“ฉันไม่ได้ฆ่าพี่จีมิน ฉันไม่รู้เรื่อง!!” จงแดพยายามสะบัดแขนออกแต่จงอินก็ยิ่งบีบรัดแน่น
“ถ้าไม่ใช่นายแล้วใครทำ!” จงแดส่ายหน้าไปมา
“ฉันไม่รู้แต่ฉันไม่เคยคิดที่จะฆ่าพี่จีมิน พี่จีมินเป็นรุ่นพี่ของฉันแล้วฉันจะทำอย่างนั้นได้ยังไง” จงแดเบนสายตาไปมองสบตากับจงอิน ดวงตาคู่นั้นที่เคยสะท้อนเงาของเขาตอนนี้คงไม่มีเหลือแล้วสินะ นายทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน นายใจร้ายเกินไปแล้วคิมจงอิน
“พี่จีมินรักฉัน ฉันรักและเคารพพี่จีมินฉันจะกล้าทำร้ายคนที่ฉันรักและเคารพได้ยังไงกัน... ถ้านายคิดว่าการที่ฉันไม่รับรักพี่จีมินเป็นส่วนที่ทำให้พี่เขาตายก็สุดแล้วแต่นายจะคิดแต่นายก็ไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งกับครอบครัวของฉัน!!” นี่เป็นเหตุที่ทำให้จงแดและจีมินห่างเหินกันแต่เขาไม่คิดว่าพี่จีมินจะจากไปก่อนวัยอันควรแบบนี้ จงแดที่เจ็บในอกจนแทบจะหมดแรงนั้นฮึดครั้งสุดท้ายแล้วผลักจงอินออกไปให้ห่าง
“นายจะแกล้งฉัน ฉันไม่ว่าแต่นายไม่มีสิทธ์ไปยุ่งกับพ่อแม่ของฉัน!!” จงแดปล่อยหมัดเข้าที่มุมปากของจงอิน ใบหน้าคมคายนั้นสะบัดไปตามแรงก่อนที่จะยกหลังมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก ดวงตาคมตวาดหันมามองอย่างโกรธเกรี้ยว โกรธเหมือนวันแรกที่เจอกัน
“แล้วนายก็ไม่มีสิทธิ์ทำกับฉันแบบนี้ ของเล่นก็คือของเล่นจะมาทำร้ายเจ้าของไม่ได้!” จงอินฟาดฝ่ามือใส่แก้มของจงแดจนคนที่ตัวเล็กกว่าล้มกองกับพื้น แม้จะตกใจแต่จงอินก็ไม่คิดที่จะยื่นมือไปช่วย จงแดสะบัดหน้าหันมามองแล้วลุกขึ้นถลาเข้าไปทุบตีคนใจร้ายนั้นให้สาสม
“ฉันมันของเล่นแล้วยังไง ฉันก็เป็นคนนายก็เป็นคน นายไม่มีสิทธิ์มาทำกับฉันแบบนี้!!” จงแดที่ฟาดมือไปมาจนฝ่ามือนั้นฟาดเข้าที่แก้มซ้ำรอยเดิมของจงอิน
“กล้าดีนักเหรอ มานี่!” จงอินคว้าข้อมือของจงแดแล้วลากออกจากห้อง
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ บอกให้ปล่อย!!” ยิ่งสะบัดข้อมือก็ยิ่งถูกกำแน่นมากขึ้น คริสกับชานยอลมองจงอินลากจงแดผ่านไปก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงดีเพราะถ้าพวกเขาสอดมือเข้าไปช่วยจงแดก็ไม่ได้ปลอดภัยขึ้นเลย จงอินเปิดประตูห้องนอนของตัวเองแล้วโยนจงแดเข้าไปด้านใน
“โอ๊ยฉันเจ็บนะ!” จงแดที่โดนเหวี่ยงล้มกองอยู่ที่พื้นสะบัดหน้าขึ้นมามองจ้องด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร พอลุกขึ้นยืนได้ก็โดนคว้าบีบต้นแขนแน่นจนขยับตัวไปไหนไม่ได้
“เจ็บแล้วยังไง ฉันก็เจ็บไม่แพ้นายหรอก” จงแดหยุดดิ้นแล้วมองจ้องกลับกับสายตาคู่นั้น
“นายมันคนสองหน้า ไร้หัวใจ ไร้ความเป็นคน” จงอินยกยิ้มมุมปาก
“ถ้าโดนแบบนี้ก็ปากดีให้ได้ตลอดก็แล้วกัน” จงอินดึงตัวของจงแดเข้ามาใกล้แล้วบดริมฝีปากลงที่กลีบปากของจงแดอย่างรุนแรง คนตกใจก็ดิ้นหนีแต่ดิ้นยังไงก็ไม่พ้นสองมือของจงอินอยู่ดี ถึงจะดิ้นไมได้มากแต่สองมือก็ทั้งจิก ทั้งทุบและทั้งฟาด
“ปล่อยฉัน!” เมื่อจงอินละจูบออกจงแดก็สะบัดหน้าหนีไม่ให้จงอินได้จูบตัวเองได้อีกเป็นครั้งที่สอง แต่หนียังไงก็ไม่รอดพ้นอยู่ดี
จงอินมอบจูบให้อย่างรุนแรง หนักหน่วงและไร้ซึ่งความอ่อนโยนให้ แม้จะอยากปฏิเสธแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองหลุดพ้นแบบนี้จนเผลอกัดเข้าที่ริมฝีปากของจงอินเข้าให้ จงอินผละตัวออกแล้วเช็ดเลือดที่ริมฝีปากก่อนที่จะจับจงแดเหวี่ยงไปที่เตียง คนที่โดนเหวี่ยงก็ได้แต่นอนจุกตัวงอ จงแดพยายามจะขยับหนีแต่ก็หนีไม่พ้น
จงอินปลดกระดุมเสื้อแล้วก้าวเท้าเข้ามาใกล้ก่อนที่จะขึ้นคร่อมทาบทับ จูบที่รุนแรงถูกส่งมาให้แม้ว่าจงแดจะพยายามเอียงหน้าหนีแต่มือที่ล็อคปลายคางไว้ก็ไม่อาจทำให้เบี่ยงหน้าหนีได้นอกจากที่จะต้องยอมรับจูบนั้น สองมือดันคนด้านบนให้ออกห่างแต่จงอินก็แทบจะไม่ขยับ
ทุกสัมผัสที่คนด้านบนมอบมาให้นั้นไม่ได้เจือความอ่อนโยนเลยสักนิด คล้ายดั่งสัตว์ที่หิวกระหายตะกละตะกลามไร้ซึ่งความปราณี ตัวเขาจะทำอะไรได้ก็ต้องรับกรรมที่กล้าเข้าไปแหย่จ้าวป่าเช่นนั้นสินะ จงแดที่ยังยอมอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนก็เพราะอยากอยู่กับคนๆนี้ แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้เขาจะอยู่ไปทำไมกันล่ะ
หยดน้ำตาไหลจากปลายหางตาหยดซึมเข้าที่หมอนหนุน จงแดปิดเปลือกตาลงแล้วยอมรับกับสัมผัสหยาบกร้านนั้นอย่างไม่เต็มใจ สัมผัสที่มอบให้นั้นไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิด ไม่มีแม้แต่เยื่อใยบางๆเหมือนที่เขามีให้เลยสักนิด ส่วนที่สอดลึกเข้ามานั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาคลายความเจ็บเลยแม้แต่น้อย
แต่น่าแปลกที่จังหวะเหล่านั้นกลับกลายเป็นอ่อนโยนเมื่อตัวเขายอมอ่อนโอนผ่อนตามไป จังหวะหวานลึกที่รู้สึกได้ค่อยๆไหล่ผ่านเข้ามา แม้ในหัวใจจะเปียกปอนเหมือนดั่งเดินท่ามกลางสายฝนแต่ก็ได้รับแสงแดดอุ่นที่สาดไล้มาลง ฝ่ามือใหญ่กว่าสอดเข้ามาจับประสานกับทั้งสองมือของเขา จงแดยอมรับฝ่ามือคู่นั้นที่แม้จะเย็นเหยียบแต่เขาก็พร้อมใจที่จะยอมรับมันและยอมรับความเจ็บปวดที่ค่อยๆไหล่ผ่านมาพร้อมกับความสุขสมด้วย
ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหนและผ่านไปกี่ชั่วโมง จงแดค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบากและรู้สึกเหมือนมึนๆหัวอีกด้วย ขยับลงจากเตียงได้ก็พาตัวเองไปที่ห้องน้ำชระล้างคราบต่างๆพร้อมกับใส่เสื้อผ้าที่เป็นของตัวเองตอนวันมาที่นี่ที่ถูกพับเก็บไว้อย่างเรียบร้อยอยู่ในตู้ คว้าข้าวของที่เป็นของเขาออกมาจากใต้ตู้ด้วย จงแดหันมองจงอินที่ยังคงนอนหลับเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะพยุงตัวออกจากห้องไป อาการเจ็บที่กายน่ะเขายังพอไหวแต่หัวใจของเขาเนี่ยสิ
โชคดีที่เขาตื่นมาตอนรุ่งสางยังไม่มีใครตื่นและแน่นอนว่าการหลบออกจากบ้านหลังนี้จะง่ายเพียงพริบตาเดียวถ้าร่างกายของเขาสมบูรณ์ จงแดเจ็บระบมไปแทบจะทั้งตัวและรู้สึกเหมือนตัวจะรุ่มๆคล้ายจะเป็นไข้เสียอีกแต่เขาก็ต้องออกไปจากบ้านหลังนี้ให้ได้ จงแดเล้วงหยิบกุญแจบ้านที่ตัวเขาแอบหยิบมาออกจากกระเป๋ามาไขและเมื่อบานประตูนั้นเปิดออกเขาก็จะได้เป็นอิสระเสียที
“ต้องไปดูที่บ้านพักก่อนแล้วก็ค่อยกลับบ้าน” ตั้งมั่นไว้เช่นกันแต่ร่างกายจะไหวหรือเปล่าก็ต้องลองดู จงอินเลือกกลับไปดูที่บ้านก่อนอย่างน้อยก็ยังพอมีทางให้คิดต่อว่าจะไปที่อื่นยังไง
แต่เรื่องดีๆก็ใช่ว่าจะมีให้เสมอไป เมื่อไปถึงก็พบว่าบ้านที่ตัวเขาเคยอาศัยอยู่ถูกคนอื่นเช่าต่อไปแล้ว เจ้าของบ้านเก็บพวกของสำคัญเอาไว้ให้ จงแดรับมันมาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก กระเป๋าเสื้อผ้าหนึ่งใบเอกสารต่างๆในซอง
“บ้าน.. ใช่สิ บ้าน!” เมื่อคิดได้ดังนั้นก็หมดเวลาที่จะมาอาลัยอาวรณ์กับบ้านที่เคยพักอาศัย
จงแดนั่งรถประจำทางออกมายังแถบชานเมืองเพราะบ้านเกิดของตนนั้นอยู่แถบชานเมือง แต่เพราะตัวเขาสอบติดที่โซลก็เลยทำให้ต้องมาหาบ้านเล็กๆเช่าอยู่ จงแดนั่งพิงหน้าต่างรถแล้วรู้สึกตัวเองช่างน่าสมเพชใจยิ่งนัก คิดว่าที่เขาให้อยู่และดูแลอย่างดีอาจจะมีความรู้สึกดีๆให้กันแต่มันก็ไม่ใช่ ช่างโง่นัก... ยิ่งโดนลมเย็นๆตัวเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าพิษไข้จะรุมเร้าเอา จงแดที่มองออกไปข้างนอกด้วยจิตใจล่องลอยค่อยๆผิดเปลือกตาลง
ห้าชั่วโมงกับการนั่งรถประจำทางจนมาถึงชานเมือง จงแดค่อยๆเดินไปยังทางเข้าบ้านของตัวเขา ถึงจะไม่ค่อยได้กลับแต่เขาก็ยังคงจำทางกลับบ้านได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อมาถึงหน้าบ้านแล้วก็แทบจะล้มทั้งยืน เมื่อบ้านที่เขาเคยอยู่มาตั้งแต่เกิดมีใครคนอื่นเข้ามาอยู่แทนที่ จงแดที่มองประตูหน้าบ้านก็ได้แต่ปล่อยให้หยดน้ำตาไหล มันรู้สึกอ่อนแรงและเหนื่อยล้าไปเสียหมด กระเป๋าเสื้อผ้าที่ถือติดมือมาก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะจับ ภาพตรงหน้าดับวูบถูกแทนที่ด้วยสีดำมืด
“กลับกันเถอะ” จงอินรับจงแดที่กำลังจะหมดสติไว้ได้ทัน ช้อนตัวอุ้มขึ้นแนบอก ส่วนข้าวของก็เป็นหน้าที่ของชานยอลที่จัดการถือไปเก็บไว้ในรถ จงอินมาดักรอที่นี่ตั้งแต่รู้ว่าจงแดหายตัวไปและก็เป็นแบบที่คิดว่าคนที่ไม่ได้สติในอ้อมแขนเขากลับมาที่นี่จริงๆ
จงอินก้มลงมองคนที่ตัวร้อนที่กำลังหลับอยู่ในอ้อมแขนของเขาแล้วก็รู้สึกวูบโหวงในอก ทำไมไม่รู้แต่รู้สึกว่ามันเจ็บปวดลึกๆอยู่ภายใน เห็นหยดน้ำตา ใบหน้าไร้สีเลือดและร่างกายที่ร้อนรุ่มแบบนี้มันทำให้ตัวเขาใจไม่ดี แล้วพลันก็นึกไปถึงคำพูดของลูกน้องคนสนิทที่เคยพูดไว้กับเขาว่า สักวันเขาอาจจะต้องสำนึกผิดและรู้สึกเสียใจ
ตอนนี้เขากำลังเป็น จงอินก้มลงแตะริมฝีปากที่ขมับอุ่นของคนที่ยังไม่ได้สติเบาๆ เขาอาจจะผิดและทำพลาดแต่เขาก็ปล่อยมือของจงแดไม่ได้ ทั้งๆที่ตัวเขาก็มาก่อนทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ..
จงลืมตาขึ้นตื่นอย่างยากลำบากเพราะมันรู้สึกหนักๆและเจ็บหน่วงไปทั้งตัว เขาจำได้ว่าตัวเขานั้นไปที่บ้านมาแต่บ้านหลังนั้นกลับไม่ใช่บ้านของเขาอีกต่อไปแล้ว ผ้าชุบน้ำหมาดแตะสัมผัสที่แก้มของคนเพิ่งลืมตาตื่น นัยน์ตาสีอ่อนหันไปมองก็เห็นคนไม่มีหัวใจคนนั้นนั่งอยู่ข้างเตียงแล้วกำลังเช็ดใบหน้าให้เขาอยู่
“ตื่นแล้วเหรอ” จงแดหันหน้าหนีเลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้น จงอินวางผ้าลงกับอ่างน้ำใบเล็กแล้วลูบแก้มของจงแดเบาๆ
“เป็นยังไงบ้าง” จงแดหันหน้ามามองจ้องตอบ แม้ในสายตานั้นจะไม่ได้ดูเกรี้ยวกราดแล้วก็ตามแต่ตัวเขาก็ไม่เลือกที่จะรับรู้ว่าใครอีกคนส่งผ่านความห่วงใยมาให้
“ก็ยังไม่ตาย ยังอยู่ให้นายหลอกได้อีกนาน”
“ทำไมถึงพูดแบบนั้น” จงแดยกยิ้มมุมปากเพียงนิด
“หรือไม่จริง? ก็โง่ให้นายหลอกอยู่ได้ตั้งนาน ขอร้องล่ะคืนทุกอย่างในชีวิตของฉันมาได้ไหม”
“อะไรที่เรียกว่าทุกอย่าง”
“ครอบครัว อิสระ ชีวิต” จงอินก้มหน้าลงซบไหล่ของจงแด
“ขอโทษฉันคืนให้ไม่ได้” จงแดปิดเปลือกตาลงปล่อยให้หยดน้ำตาเอ่อไหลผ่านปลายหางตาลงไป เขาทำผิดอะไรมากนักหนากันนะ ถ้ารู้ว่าการที่จะรู้จักกับใครสักคนแล้วจะนำพาเรื่องแบบนี้มาเขาจะไม่ทำความรู้จักกับคนที่จากโลกนี้ไปแล้วเลย
หลังจากหายไข้และหายเจ็บจงแดก็เอาแต่นั่งนิ่งๆแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนกำลังใช้ความคิดหรือบางทีอาจจะปล่อยความคิดให้ไหลไปไกลจนไม่รู้จุดหมาย จงอินที่นั่งอยู่ข้างๆก็ไม่ได้รับการสนใจ ต่อให้เขาจะพูดหรือทำอะไรจงแดก็ไม่หันมาโต้ตอบเขาเลยสักนิด
จงอินกุมมือของจงแดไว้ แม้ว่าเจ้าของมือนี้จะไม่หันมามองแต่เขาก็จะกุมมือของจงแดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ถ้าเพียงแต่จงแดจะรับฟังเขาก็พร้อมที่จะพูดมันออกไป จริงๆแล้วพ่อกับแม่ของจงแดถูกย้ายบ้านให้ไปอยู่ใกล้ๆกับบริษัทลูกของจงอินเพื่อที่จะทำงานใช้หนี้ให้เขาที่ตัวเขาเป็นคนจ่ายหนี้ทั้งหมดของบ้านนี้เอง บ้านหลังนั้นก็ถูกยึดเพราะไม่มีเงินจ่ายหนี้ บ้านพักในโซลที่เช่าไว้ก็ไปยกเลิกสัญญาเพราะจะมีไปทำไมในเมื่อจงแดก็ต้องอยู่กับเขา
ความจริงอีกหนึ่งอย่างที่ไม่ยอมหลุดออกจากปากเลยก็คือ.. ตัวของจงอินเจอจงแดก่อนที่จงแดจะเจอจีมินเสียอีก เด็กผู้ชายยิ้มเก่ง ร้องเพลงแสนไพเราะคนนั้นที่ตัวเขาเคยได้เห็นมันทำให้เขารู้สึกดีและอยากอยู่ใกล้ๆแต่เพราะน้องชายของเขาก็เลยทำให้จงอินต้องห่างและไม่สามารถที่จะไปตามดูได้อีก ตัวเขาเจ็บปวดทุกครั้งที่ต้องทำไม่ดีกับจงแด หัวใจของเขาเจ็บทุกครั้ง
จงแดหันกลับมามองจงอินที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าสำนึกผิดหลังจากพูดความจริงเรื่องที่บ้านให้ฟัง หยดน้ำตาไหลรินพร้อมกับรอยยิ้มของจงแดที่กลับคืนมาอีกครั้ง
“พูดจริงเหรอ” จงอินพยักหน้ารับ เพียงแค่นี้จงแดก็คลายความกังวลได้แล้ว
“นายก็น่าจะบอกฉันตั้งนานแล้วนะ” จงอินก้มหน้าลงไม่ยอมสบตากับจงแดที่ยอมเอ่ยพูดด้วย
“ฉันกลัวนายจะไปจากฉันอีก ตอนที่ได้ยินว่านายเป็นคนทำให้น้องฉันตายฉันทั้งเสียใจแล้วก็สับสน พอได้มาอยู่กับนายฉันก็ทำร้ายนายไม่ลง” แต่ถึงจะทำร้ายไม่ลงก็โดนไปเยอะเลยล่ะ ประโยคนี้จงแดไม่ได้พูดหรอกแอบเก็บไว้ในใจ
“เรื่องพี่จีมิน...” จงอินแตะเรียวนิ้วชี้ทาบริมฝีปากนิ่มของจงแดไว้
“ไม่เป็นไร แค่รู้ว่านายไม่ใช่คนฆ่าน้องฉันก็พอ”
“แต่บางทีมันอาจจะเกี่ยวกับฉันก็ได้” จงอินส่ายหน้า
“รถคันที่ชนน้องฉันมันก็ได้รับบทลงโทษแล้วและไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอะไรก็ตามฉันเชื่อว่าจีมินจะเข้าใจ” จงอินลูบแก้มของจงแดเบาๆแล้วรั้งตัวของจงแดเข้ามาโอบกอด
“อยู่กับฉันที่นี่เถอะนะจงแด” จงแดเงยหน้าขึ้นมอง
“นี่ถือเป็นคำขอหรือเปล่า” จงอินยิ้มแล้วผละตัวของจงแดออก ปลายนิ้วไล้แก้มนิ่มแผ่วเบา
“เป็นทั้งคำขอร้องและคำอ้อนวอนครับ”
“ถ้านายจะยอมทำตามที่ฉันบอกทุกอย่าง” จงอินรั้งตัวจงแดเข้ามากอดแล้วกดริมฝีปากที่กลุ่มผมนิ่ม
“ยอมทุกอย่างเลยครับ” จงแดที่อิงซบอยู่ที่ไหล่ของจงอินก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก ทีใครทีมันก็แล้วกันนะคิมจงอิน...
I'm a prisoner of love, Just a prisoner of love.
ฉันคือนักโทษแห่งความรัก ก็เป็นแค่นักโทษแห่งความรัก
Prisoner of love... Just a foolish prisoner of love.
นักโทษแห่งความรัก... ก็แค่นักโทษแห่งความรักที่แสนโง่เขลา
Because of you ... I love you with all my heart.
เพราะคุณคนเดียว... ฉันรักคุณไปแล้วทั้งหัวใจ
Then someday I'll get back to you..
แล้วสักวันฉันจะเอาคืนนายให้สาสม..
“จงอินเร็วๆสิเดี๋ยวฉันก็ไปสอบสายหรอก!!!” จงแดยืนตะโกนเสียงดังอยู่ที่ด้านล่างของบันไดพร้อมกับยืนเท้าเอวเงยหน้าขึ้นด้านบน เตรียมพร้อมจะวีนและเหวี่ยงคนที่ทำให้ตัวเขาสายมาก
“มาแล้วๆ” จงอินวิ่งลงบันไดมาพร้อมกับติดกระดุมที่ปลายแขนเสื้อเชิ้ตไปด้วย
“ไม่สายแน่นอนรับรองได้” พอลงมาถึงชั้นล่างได้ก็ยิ้มเอาใจคนทำหน้ามุ่ยไม่สบอารมณ์
“ไม่ต้องพูดมากรีบๆเลย ข้าวเช้าก็ไม่ต้องกินไว้ไปกินบนรถเอา” จงแดหมุนตัวเดินนำออกไปก่อน คุณแม่บ้านที่ยืนรออยู่แล้วก็ยื่นถาดที่มีแก้วกาแฟอุ่นๆให้ จงอินหยิบมาดื่มเร็วๆเพราะกลัวว่าจะทำให้ใครบางคนไปสอบสายน่ะสิ
“เร็วๆสิ ชักช้าอยู่ได้!!” จงแดที่เดินนำออกไปก่อนหันกลับมาตะโกนเรียก จงอินที่รีบยกดื่มกาแฟก็วางคืนแก้วกับถาด
“ไปแล้วครับๆ” จงอินรีบวิ่งเข้าไปหาจงแดที่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูบ้าน
“ถ้าฉันเข้าห้องสอบไม่ทันนะ นายโดนดีแน่จงอิน” จงแดชี้นิ้วคาดโทษ จงอินรวบเรียวนิ้วนั้นแล้วยิ้มส่งให้
“เดี๋ยวให้ไปคิดบัญชีกันคืนนี้นะ” จงแดดึงมือออกแล้วฟาดแขนจงอินไปแรงๆเลย หมั่นไส้นัก!
“ลามกล่ะ รีบๆเลยเร็วๆ” จงอินเปิดประตูรถให้จงแดเข้าไปก่อนตัวเองค่อยขึ้นไปนั่งข้างๆ ชานยอลกับคริสที่ยืนอยู่ก็ได้แต่มองหน้ากันเองเพราะไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้ ก็เจ้านายของเขาไปตกปากรับคำที่จะทำทุกอย่างตามแต่ใจของคุณจงแดเอง ผูกเองก็แก้เองเถอะ เรื่องนี้ไม่ขอยุ่งดีกว่า~
“เร็วๆสิเดี๋ยวจงแดก็ไปสายหรอก!” จงอินเปิดกระจกมาเรียกลูกน้องคนสนิททั้งสองคนที่ยังยืนมองหน้ากันอยู่ นี่กะจะมองให้ท้องเลยหรือไง?
“ครับๆ” คริสกับชานยอลรีบขึ้นรถประจำด้านหน้าทันที เมื่อทุกอย่างพร้อมคริสก็ขับรถออกไปทันที
จงอินที่นั่งอยู่เบาะหลังก็สอดมือประสานจับกับมือของจงแด พอเจ้าตัวหันมามองจงอินก็ส่งยิ้มให้ จงแดก็เลยส่งยิ้มตอบแล้วขยับตัววางหัวอิงไหล่ของจงอินไว้ ตอนนี้จงอินกำลังมีความสุขและแน่นอนว่าจงแดก็ต้องมีความสุขเช่นกัน อะไรที่ผ่านมาก็ให้มันแล้วกันไป ถือซะว่าต้องขอบคุณคนที่ไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้วที่นำพาเขาทั้งสองคนให้มาพบเจอกันอีกครั้งจนได้
ลูกน้องคนสนิทสองคนที่นั่งอยู่ด้านหน้ามองผ่านกระจกส่องหลังแล้วก็ยิ้มกับความสุขและความอบอุ่นที่กำลังลอยอวลอยู่รอบๆนี้..... หวังว่าจะไม่มีเรื่องอะไรตามมาให้ปวดหัวอีกนะ แค่นี้ก็ปวดหัวจะแย่
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น