ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Special] KrisYeol : Memorable Journey

    ลำดับตอนที่ #4 : Memory 03

    • อัปเดตล่าสุด 11 ต.ค. 57


    เราจะก้าวไปด้วยกันนะคะ ^^
     
     
     
    __________________________________
     
     
     
     
    ไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน รู้ก็แต่ว่าผมยังคงตั้งใจเรียนและพัฒนาตัวเองอยู่ ถึงจะยังทำไม่ได้ดีมากนักแต่ผมก็ไม่ยอมแพ้แน่นอน ผมเชื่อว่าสักวันวันที่โชคดีจะต้องเป็นของเรา
     
    และมันก็คือวันนี้.. วันที่เราได้ยินว่าพวกเราจะถูกจับเดบิวต์กัน 12คนเป็นวง ตอนแรกที่ได้ยินผมก็คิดว่ามีสัก 5-6คน ที่ไหนได้มาเป็นโหลเลย แต่ก็ดีนะมันน่าจะสนุกดี คนยิ่งเยอะความสนุกก็ยิ่งเพิ่มขึ้น.. และที่สำคัญ 1ใน12คนนั้นมีชื่อพี่คริสด้วย นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าโคตรจะดีใจของปาร์คชานยอลล่ะ 
     
    เขาว่ากันว่าโอกาสไม่คอยท่าเวลาไม่คอยใคร ผมว่าท่าจะจริงซะแล้วมั้ง เมื่อโอกาสมาถึงแล้วเราก็ต้องรีบคว้ากันเอาไว้ ในสมาชิกทั้งหมดมีคนจีน 4คน(แน่นอนว่า 1ในนั้นคือพี่คริส) และอีก 1คนที่ผมจำได้ว่าเป็นเพื่อนของพี่คริสที่รู้จักกันและอยู่ด้วยกันบ่อยๆ แบบนี้ก็ดีน่ะสิ
     
    หลังจากที่รู้เรื่องข่าวดีแล้วพวกเราก็แยกย้ายกันกลับก่อนเพื่อที่จะให้พวกสต๊าฟได้คุยกันว่าจะจัดการวงเราไปในทางไหนและต้องเตรียมอะไรบ้าง พวกเราทั้งหมดก็ต้องมาทำความรู้จักกัน แม้จะมีบางส่วนที่รู้จักกันอยู่แล้ว จะเหลือก็แต่คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ คืนนี้พวกเราก็เลยนัดกันไปฉลองที่ร้านชาบูกันเพราะร้านหมูย่างที่ผมชอบไปกับพี่คริสไม่มีที่นั่ง
     
    ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยอยากกินชาบูนักหรอกแต่พอได้ลองกินแล้วมันอร่อยมากเลยอ่ะก็เลยแอบบอกคนข้างตัวว่าไว้วันหลังเราแอบมากินกันอีกนะ ซึ่งพี่เขาก็พยักหน้ารับสัญญากันแล้ว พวกเราทั้งหมดต่างก็นั่งคุยถึงเรื่องราวสนุกสนานว่าถ้าพวกเราได้เดบิวต์มันจะเป็นยังไงกันนะ ช่วงเวลานี้มันมีค่าและลืมไม่ลงจริงๆ
     
    กินกันจนอิ่มแล้วก็นั่งพักย่อยกันก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับ ผมสังเกตเห็นว่าพี่คริสเอาแต่นั่งก้มหน้ามองมือถือแล้วก็ทำท่าเหมือนจะกดหรือไม่กดดี ผมยื่นหน้าเข้าไปดูก็เห็นคนที่คาเบอร์โทรไว้ที่หน้าจอเป็นคุณแม่(อ่านออกเพราะเป็นภาษาอังกฤษ) ผมก็สงสัยว่าถ้าเขาจะโทรไปบอกข่าวดีทำไมไม่โทรไปล่ะ
     
     
    “พี่จะออกไปคุยข้างนอกก็ได้นะ” ชานยอลบอก คริสหันมามองแล้วก็ส่ายหน้า
     
    “ไม่ล่ะ ไว้ค่อยบอกตอนเดบิวต์แล้วดีกว่า”
     
    “ทำไมล่ะ? บอกตอนนี้ก็ได้นิหรือว่าแม่พี่นอนแล้ว”
     
    “เปล่าหรอกแต่พี่กลัวว่ามันจะล่มอีก พี่ไม่อยากบอกให้แม่ดีใจเก้อน่ะ หลายครั้งมันก็ทำให้คนฟังและคนได้ยินเครียดเหมือนกันนะ” ชานยอลพยักหน้าเข้าใจ เพราะถ้าเป็นเขาเขาก็คงเครียดเหมือนกัน
     
    “แต่ครั้งนี้เราจะเดบิวต์กันจริงๆ บอกไปเถอะแม่พี่คงอยากจะคุยกับพี่มากเหมือนกัน” ชานยอลบอก เพราะเขาสังเกตแล้วว่าคริสมักไม่ชอบโทรไปหาแม่ ทั้งๆที่บ่นคิดถึงจะเป็นจะตายแต่ก็ไม่เคยกดโทรไปหาแม่เลยสักที และเขาเดาว่าคุณแม่เองก็อยากคุยแต่ก็กลัวว่าโทรมาแล้วจะรบกวนเวลาเรียนหรือเวลาฝึกซ้อมของลูกหรือเปล่า
     
    เพราะแม่เขาก็เป็น แต่โชคดีที่เขากลับบ้านได้ ยังไปมาหาสู่ที่บ้านได้แต่พี่คริสล่ะ บ้านอยู่คนละประเทศจะไปหาบ่อยๆก็ไม่ได้อีก
     
    “ไว้ค่อยโทรดีกว่า” คริสทำท่าจะเก็บมือถือ ชานยอลก็เลยแย่งมาแล้วกดโทรออกให้ซะเลย คริสทำหน้าตกใจเพราะไม่คิดว่าน้องจะแย่งแต่ก็ว่าไม่ออกเหมือนกัน
     
    “คิดถึงก็คุยกันเถอะ” ชานยอลยิ้มให้ แล้วเสียงใสๆของผู้หญิงก็ดังลอดออกมาจากมือถือ
     
    “เหล่าม๊า...” แล้วคริสก็ลุกขึ้นออกไปคุยด้านนอก ชานยอลแอบสังเกตเห็นนะว่าตอนที่คริสได้คุยกับแม่แล้วเจ้าตัวก็ยิ้มดีใจมีความสุขจนตาหยีเหมือนกัน
     
     
    ทั้งๆที่คิดถึงแต่ก็ไม่ได้เจอหน้า ไม่ได้ยินเสียงกันเลย มันก็เหงาเหมือนกันนะ.. หรือเพราะแบบนี้หรือเปล่านะที่ทำให้พี่คริสชอบอยู่เงียบๆแล้วก็ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกอะไรออกไป เพราะกลัวคนอื่นจะรู้เอาน่ะสิว่าตัวเองก็เหงามากเหมือนกัน
     
    คนที่ถูกมองว่าเย็นชาเขาก็เหงาเป็นเหมือนกันเนอะ
     
     
    หลังจากที่วางตัวแล้วก็วางฟอร์มกันเรียบร้อย เราทั้งหมดก็ต้องฝึกกันหนักขึ้นเพื่อที่จะได้เดบิวต์สักที ผมกับพี่คริสก็ต้องฝึกหนักในเรื่องร้องและเน้นหนักในเรื่องเต้น หลังจากเรียนจบผมก็เดินกลับไปทิ้งตัวลงบนเตียงของผมที่หอทุกที ตอนนี้ก็แทบจะไม่ได้ไปไหนหรือไปหาของกินด้วยกันเลย แต่ก็เอาเถอะถ้าเราได้เดบิวต์เมื่อไหร่เราก็อาจจะได้เวลานอนเพิ่มอีกสักชั่วโมงก็ยังดี
     
    ทุกวันของผมก็มีแค่ห้องนอนแล้วก็ห้องซ้อม ไหนกลับมาจะต้องจำเนื้อเพลงที่ได้มาอีกล่ะ อยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออกจริงๆ พี่จุนมยอนก็มาหาแล้วก็มาเยี่ยมที่หอบ่อยๆจนตอนนี้หอบเสื้อผ้ามานอนด้วยแล้ว พวกเราก็นอนกองๆกันในห้อง เพราะพวกเราชอบเล่น ชอบคุยกันมากกว่า แน่นอนว่าถ้ามีผมก็ต้องมีเจ้าเซฮุน แล้วก็มีพี่จุนมยอน ตอนนี้มีสมาชิกเพิ่มเป็นคยองซูกับจงอินด้วย พี่มินซอกที่ผมรู้จักก็โดนจับแยกไปนอนอีกหอหนึ่ง ทั้งๆที่ผมแอบอ้อนให้พี่เขาซื้อขนมให้ได้แล้วเชียว
     
    พวกเราชอบออกมานอนกันที่หน้าทีวีเพื่อที่จะได้เล่นเกมแล้วก็นอนเล่นพูดคุยกัน นอนกองกันได้ไม่กี่วันแบคฮยอนก็เข้ามาอยู่ด้วย กลายเป็นว่าตอนนี้ห้องที่พวกเราอยู่กันก็มีสมาชิกเพิ่มแล้ว ก็ดูอบอุ่นดีแต่ถ้าจะให้ดีขอห้องใหญ่กว่านี้ได้ไหมเนี่ย มันอึดอัดอ่ะ ไว้วันไหนผมจะเนียนไปนอนหอพี่คริสบ้าง กว้างแล้วก็น่านอนมากๆ
     
    ผมถึงชอบไปแอบนอนค้างด้วยบ่อยๆนั่นแหละ ดีที่ห้องของพี่คริสยังเป็นห้องนอนคนเดียวแม้ว่ารูมเมทของพี่เขาผมจะไม่ค่อยได้เห็นหน้าก็เถอะ 
     
    พี่จุนมยอนมักจะดูแลพวกเราด้วยความที่เขาเทรนมานานกว่าก็เลยช่วยเหลือและคอยดูแลพวกเด็กๆที่เทรนกันมาน้อยปีกว่า พี่เขาแทบจะทำทุกอย่างให้เลยซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องดี พวกเราสนิทกับพี่เขาได้ไม่ยากเลย แต่ไม่ใช่สำหรับผมเพราะผมกับพี่จุนมยอนรู้จักกันอยู่แล้ว เรื่องปรับตัวเข้าหากันถือเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย ถึงแม้ผมจะรู้จักกับพี่เขาแต่ถ้าเวลาที่ไม่เชื่อฟังก็ใช่ว่าจะไม่โดนทำโทษหรอกนะ
     
    พี่จุนมยอนนี่อย่างโหดอ่ะขอบอกไว้เลย!!
     
    พวกเรายังคงซ้อม ซ้อม ซ้อม และซ้อมกันอย่างหนักเพื่อที่จะให้การเดบิวต์แรกของพวกเราออกมาดีที่สุด และนั่นก็ทำให้ผมไม่ค่อยได้กลับบ้าน(เพราะกลับไม่ไหว)ก็เลยต้องนอนค้างที่หอและเพื่อที่ตอนเช้าจะได้มาซ้อมต่อง่ายๆ และนั่นก็ทำให้ผมได้ไปนอนที่ห้องพี่คริสบ่อยๆ
     
    พวกเรายังคงเอาแต่ซ้อมกันและเน้นหนัก อย่างที่บอกผมต้องเน้นเรื่องเต้น ผมก็โดนจับให้มาเรียนเต้นพร้อมพี่คริส แน่นอนว่าพวกผมก็ซ้อมจนเหนื่อยจนไม่รู้จะเหนื่อยยังไงแล้ว พอสิ้นเสียงของครูฝึกว่าให้พักก่อน 30นาที ผมกับพี่คริสก็แทบจะร่วงลงไปกองกับพื้น
     
    พี่คริสนอนแผ่หลาที่พื้น ผมที่นอนอยู่ไม่ไกลกันก็เลยเขยิบไปนอนทับอกพี่เขานอนแผ่ ไม่รู้หรอกว่าเขาหนักไหมรู้แต่ผมนอนสบายที่สุดแล้ว นอนหอบหายใจกันไม่นานผมก็โดนพี่เขาดันให้ลุกขึ้น พอลุกขึ้นนั่งได้พี่เขาก็ลุกขึ้นไปหยิบขวดน้ำมาให้ผมด้วย ประเสริฐและแสนดีที่สุดแล้วพี่ชายผม
     
    พักกันได้อีกไม่นานผมกับพี่คริสก็ต้องลุกขึ้นมาซ้อมเต้นต่อแล้ว ตอนนี้พวกผมสองคนก็ยังไม่รู้คอนเซ็ปต์อะไรเลยรู้แต่ว่าต้องเต้นให้ได้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็องค์ลงครูสอนเต้นแล้วพวกผมนี่ล่ะจะไม่ได้กลับไปนอนห้อง แต่จะได้นอนที่ห้องซ้อมแทน อาจารย์บอกว่าตอนนี้อย่าเพิ่งไปสนใจอะไรเต้นเข้าไปให้ได้ เต้นไม่ได้โดนเตะแน่ๆ 
     
    กว่าจะเลิกซ้อมได้ก็ดึกอีกแล้ว เป็นเพราะผมไม่ค่อยมั่นใจในการเต้นของตัวเองด้วยนั่นแหละ ก็คนมันสูงพอเต้นมันก็ดูเก้งก้างใช่ไหมล่ะ? มันก็เลยไม่มั่นใจ ลองคิดดูว่าถ้าลองซ้อมด้วยกันหมดทุกคนแล้ว... แล้วผมจะเต้นยังไง แขนขาผมก็ยาวกว่าคนอื่นถ้าไปฟาดโดนล่ะ? กังวลไปสารพัดจนครูสอนเต้นเพ่นกบาลเข้าให้แล้วด่าว่าไร้สาระ
     
    ต่อจากนั้นไม่นานพวกเราก็จะได้ลองซ้อมด้วยกันแล้วและจะได้รู้คอนเซ็ปต์กันสักทีว่าตกลงพวกเราจะเดบิวต์ด้วยคอนเซ็ปต์อะไรกัน และมันก็ค่อนข้างทำให้เราแปลกใจอยู่เหมือนกัน ฟังๆไปนี่อย่างกับพวกยอดมนุษย์เลยนะ มีแบ่งพลังกันแล้วถ้ามีแบ่งสีด้วยนี่ใช่เลย!
     
    ผมได้พลังไฟมีสัญลักษณ์เป็นนกฟีนิกซ์และพี่คริสก็ไฟเหมือนกันแต่เป็นมังกร ผมว่ามังกรนี่ก็เหมาะกับเขาดีนะ ก็เขาเป็นคนจีน ดูมีอำนาจและยิ่งใหญ่ นี่ล่ะมังกรของแท้เลย
     
    พวกคุณรู้หรือเปล่าว่ามังกรกับฟีนิกซ์อยู่คู่กัน? 
     
    ฟีนิกซ์ เป็นสัตว์ที่มีตำนานมากมาย นกฟีนิกซ์นั้นเกี่ยวข้องกับเทพแห่งไฟ ดังนั้นเจ้านกฟีนิกซ์ก็เลยมีเปลวเพลิงปกคลุมตัว นกตัวนี้เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอมตะ มีชีวิตนิรันดร์และการเกิดใหม่ ในตำนานจีนเชื่อกันว่านกฟีนิกซ์คล้ายกับนกหงส์หยกของจีนที่ว่ากันว่าเป็นคู่กับมังกร นกแห่งไฟแน่นอนว่ามันก็ต้องใช้พลังแห่งไฟได้แต่ทว่านกฟีนิกซ์ก็มีจิตใจที่อ่อนโยนด้วยเช่นกัน
     
    มังกรเป็น 1ใน12 จักรราศีของจีนและเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดใน 4ชนิดของจีน มังกรนั้นแสดงถึงอำนาจ ความเจริญรุ่งเรือง อายุยืนและความโชคดี มังกรเป็นหยาง(ฟีนิกซ์เป็นหยิน) มังกรแสดงถึงพลังอำนาจ คุณงามความดีและความกล้าหาญ ในปรัชญาจีนที่กล่าวกันมานั้นมังกรและนกฟีนิกซ์หนุนเกื้อกูลกัน แสดงให้เห็นถึงความโชคดีและยังร่วมกันเป็นตัวแทนของประเพณีต่างๆอีกด้วย ดังนั้นถ้ามีมังกรก็ต้องมีฟีนิกซ์คู่กัน
     
    ยามเมื่อฟีนิกซ์หลั่งน้ำตานั้นนั้นหยดน้ำตาของมันนอกจากที่จะทำให้ชุบชีวิตได้แล้วยังสามารถรักษาบาดแผลได้เช่นกัน อย่างที่กล่าวไปแล้วนกฟีนิกซ์อ่อนโยนและมังกรนั้นเข้มแข็งมีพลัง มังกรและฟีนิกซ์นั้นเป็นตัวแทนของการรวมชายและหญิง เหมือนดั่งหยินและหยาง กฎแห่งความสมดุลของธรรมชาติ ที่ทุกสิ่งจะต้องมีสิ่งคู่กันเสมอ  ถ้าเปรียบง่ายๆก็คือองค์ราชาและองค์ราชินีที่จะเกื้อกูลกันเพื่อให้ราชวงศ์และบ้านเมืองรุ่งเรืองสืบไป
     
    พอเอาเรื่องที่มีสาระเข้ามา ผมก็เลยกลายเป็นคนที่มีสาระในการเขียนเล่าเรื่องไปเลยเนอะ~
     
    ผมรับรู้หลังจากที่ได้ฟังคำบอกเล่าพวกนั้นเพียงอย่างเดียวว่า ... ผมกับพี่คริสคู่กัน
     
    เราเกิดมาเพื่ออยู่ด้วยกันหรือเปล่านะ...? เพ้อเจ้อชะมัดผมเนี่ย
     
    เรื่องต่อจากนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ผมขอข้ามไปนะ ไม่ใช่ไม่สำคัญแต่เหนื่อยมากจนบรรยายไม่ถูกเลยล่ะ
     
    หลังจากที่เราเตรียมความพร้อมไปได้ในระดับหนึ่งแล้วสิ่งที่เราต้องทำก็คือถ่ายทีเซอร์ ถ่ายรูปโปรโมตและจะจบที่ถ่ายเอ็มวี งานยากมาแล้วครับ พวกคุณก็รู้ว่าผมกังวลกับการเต้น ขนาดที่ว่าซ้อมรวมกันแล้วผมยังไม่ค่อยจะมั่นใจเลย ก็เลยโดนดุบ่อยๆ
     
    ตอนนี้พวกเรากำลังจะถ่ายทำเอ็มวีกัน ทุกคนก็อยู่ในมุมสงบใครมุมมันกำลังทบทวนท่าเต้นกัน ผมก็ยืนหลบอยู่ในมุมอับสายตากำลังทำสมาธิและทบทวนท่าเต้น ก็อย่างที่คุณรู้ผมกังวลกับเรื่องการเต้นนี่ที่สุดแล้ว ผมไม่มั่นใจเลยให้ตายสิ แต่ตอนที่กำลังยืนก้มหน้าทำสมาธิให้ใจนิ่งอยู่นั้น อยู่ๆสองมือก็ตะปบเข้ามาที่ไหล่
     
     
    “มาทำอะไรอยู่ตรงนี้น่ะ” คริสที่เห็นชานยอลมายืนหลบอยู่คนเดียวก็เลยเดินเข้ามาหา
     
    “โอ๊ยพี่ตกใจหมดเลย!” ชานยอลที่สะดุ้งโหยงหันไปทำหน้างอใส่ ดีนะที่ไม่ตะโกนว่าผีหลอกออกไปด้วยน่ะ เสียฟอร์มคนหล่อหมดพอดี
     
    “ก็แล้วมายืนทำอะไรตรงนี้”
     
    “มาทำสมาธิดิพี่ ตื่นเต้นจะตายอยู่แล้วเนี่ย” ชานยอลกระโดดไปมาแล้วก็ลูบหน้าอกตัวเองด้วย เผื่อว่ามันอาจจะทำให้ใจเย็นลงได้ แต่ก็เปล่าเลยตื่นเต้นหนักกว่าเดิมเสียอีก
     
    “ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีเอง” คริสยื่นมือมาขยี้ผมของชานยอลพร้อมกับยักคิ้วให้ ชานยอลได้แต่มองพี่ชายตรงหน้าด้วยตาปริบๆ
     
    แต่มันก็น่าแปลกนะที่ตัวเขาเองก็ใจเย็นลงได้จริงๆ
     
     
     
    การถ่ายทำเอ็มวีในส่วนของการถ่ายรวมนั้นผ่านพ้นไปด้วยดี ตอนนี้กำลังเป็นส่วนของฝั่งเอ็ม.. เอ๊ะผมบอกหรือยังว่าวงของเราแบ่งเป็น 2ฝั่ง มีฝั่งเค(เกาหลี)และเอ็ม(จีน) พวกเราจะต้องโปรโมททั้งในเกาหลีและจีน งานยากตรงที่ผมกับพี่คริสโดนจับแยกกันนี่ล่ะ
     
    ฝั่งเคของผมมีคนเกาหลี 6คน ส่วนฝั่งโน้นมีคนจีน 4คนและคนเกาหลีอีก 2คน พี่คริสเป็นตุ้ยจาง(หัวหน้า)ของทีมฝั่งโน้น แน่นอนว่าทีมฝั่งผมก็ต้องเป็นพี่จุนมยอนแน่ๆอยู่แล้ว ด้วยความที่เทรนมานานสุดและหน้าแก่สุด(เซฮุนแซวพี่จุนมยอนแล้วมันก็โดนพี่จุนมยอนลงโทษไปหนึ่งที) พี่จุนมยอนยังเป็นลีดใหญ่ด้วยนะ ก็สมควรแล้วล่ะ
     
    ตอนที่กำลังเลือกว่าจะให้ใครเป็นหัวหน้าวงนั้น แน่นอนว่าคนที่ผมเสนอก็ต้องเป็นพี่คริสนั่นแหละ คนๆนี้น่ะเหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้าสุดแล้ว พี่ชายผมน่ะดีที่สุดแล้วก็เก่งที่สุดนะ จริงๆแล้วผมก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าไม่ว่าจะให้เลือกอะไรผมก็มักจะเลือกพี่คริสเสมอ ถ้าพี่มินซอกไม่เป็นคนเดินมาแซวผมหลังจากที่เราเดบิวต์กันนานแล้ว พอผมลองนึกย้อนกลับไป.. มันก็จริงแหะ 
     
    พวกคุณว่าที่ผมพูดมาน่ะมันจริงไหมล่ะ? ก็คนๆนี้น่ะทั้งใจดี ดูแลทุกคนได้ อ่อนโยนแล้วก็เท่สุดๆไปเลย 
     
    อะไรๆของปาร์คชานยอลก็เป็นพี่คริสทั้งนั้นนั่นแหละ (คำกล่าวนี้เซฮุนเคยว่าผมเอาไว้)
     
    หลังจากที่การถ่ายทำเอ็มวีเสร็จสิ้นแล้วพวกเราก็ต้องกลับมาซ้อมที่ห้องซ้อมอีกเพราะใกล้จะถึงวันเดบิวต์แล้ว พวกเราจะผิดพลาดไม่ได้และพวกเราก็ไม่ยอมให้มันล่มด้วยแน่นอน หลังจากที่ซ้อมกันเสร็จพวกเราก็แยกย้ายกันกลับ แต่พี่คริสกับผมก็ยังอยู่ในห้องเป็นคนสุดท้ายอยู่ดีเพราะครูบอกให้อยู่ซ้อมต่ออีกนิดก่อน ดังนั้นตอนนี้ก็เลยเหลือเราแค่สองคน
     
    ผมสังเกตเห็นว่าช่วงนี้พี่เขาดูเครียดๆยังไงก็ไม่รู้ อยากจะถามแต่ก็ไม่กล้า แต่พอเห็นเขาหยิบมือถือขึ้นมาเลื่อนๆกดๆแล้วก็พอจะเข้าใจ หรือบางทีอาจจะคิดถึงบ้านนะ? อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ อย่างที่บอกไปพี่เขาก็ไม่ค่อยจะโทรกลับไปหาคุณแม่สักเท่าไหร่ เขากลัวว่าเขาจะเหงามากกว่าเดิม ผมก็ไม่รู้จะช่วยยังไง เรื่องครอบครัวเราก็ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งมากหรอกนะผมว่า
     
     
    “พี่ไปกับผมไหม?” ชานยอลหันไปถาม คริสหันมาเลิกคิ้วใส่แล้วเก็บมือถือลงกระเป๋า
     
    “ไปไหมล่ะ?” ไม่ตอบก็เค้นเอาคำตอบอีก ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังเดินออกจากตัวตึก
     
    “ไปไหน ถ้าไปหาอะไรกินก็ได้อยู่แต่ไม่ไปแม่น้ำฮันนะง่วงมากๆ” ชานยอลหันไปทำหน้ามุ่ยใส่เด็กอนามัยที่นอนเลยเวลาหน่อยก็ง่วงงาวหาวนอน
     
    “ตกลงไปนะ รับรองว่ามีของกินแล้วก็ได้นอนแน่ๆ” ถึงจะยังสงสัยแต่คริสก็โดนชานยอลลากขึ้นแท็กซี่ไปแล้ว ถึงคริสจะถามชานยอลก็ไม่ตอบหรอกว่าไปไหน
     
     
    ไม่นานก็มาถึงบ้านผมจนได้ ก่อนที่จะถึงบ้านก็ส่งข้อความบอกคุณแม่ไว้แล้วว่าจะพาพี่คริสไปให้เห็นหน้าเห็นตาแล้วก็ให้คุณแม่ทำอะไรให้กินด้วยเพราะหิวมากๆ พอลงจากรถได้ผมว่าเขาคงรู้แล้วล่ะว่าที่นี่คือที่ไหน ถูกแล้ว.. บ้านผมเอง~
     
    พอเดินเข้าประตูบ้านไปกลิ่นหอมๆของอาหารก็ลอยมาเลย ผมล่ะอยากจะลอยตามกลิ่นไปจริงๆ ถึงอาหารที่ไหนจะอร่อยนะผมว่าฝีมือคุณนายปาร์คของผมนี่ล่ะอร่อยที่สุดแล้ว!! เพราะเวลากลับบ้านมาผมก็มักจะเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ที่บ้านฟัง ยิ่งคุณพ่อนะทำเหมือนไม่ค่อยอยากรู้หรอกแต่ก็นั่งฟังจนจบทุกที น่ารักล่ะซี๊~ พ่อผมเองครับ~
     
     
    “มากันแล้วเหรอเสร็จพอดีเลยมานั่งๆ คริสคงหิวแย่เลยใช่ไหมจ๊ะมากินเลยๆ” คนที่โดนเรียกชื่อทำหน้างง ก็เขายังไม่ได้พูดอะไรเลยนอกจากทักทายเจ้าของบ้าน
     
    “แล้วพี่ไม่อยู่เหรอ” ชานยอลลงนั่งประจำที่แล้วดึงให้คริสมานั่งข้างๆกันก่อนที่จะมองซ้ายมองขวาหาพี่สาวของตัวเอง
     
    “ไปบ้านเพื่อนน่ะ” พอคุณแม่ตอบชานยอลก็มุ่ยหน้าใส่เลย เดี๋ยวก่อนนะกินเสร็จจะโทรไปโวยวายให้หูชาเลย!!
     
    “อร่อยไหมจ๊ะคริส” คริสยิ้มแล้วพยักหน้า
     
    “อร่อยมากครับ”
     
    “ขอบใจนะที่ช่วยดูแลชานยอลให้ ถ้าซนถ้าดื้อก็บอกแม่นะเดี๋ยวจะไปจัดการให้” คุณนายยิ้มร่าเลยแต่ชานยอลนี่สิทำหน้างอใส่ซะแล้ว
     
    “คุณแม่อ่ะ!” ทั้งคริสและคุณนายปาร์คก็หัวเราะกัน
     
    “ไม่หรอกครับผมต่างหากที่ได้ชานยอลช่วย แถมยังช่วยฝึกภาษาเกาหลีผมอีกด้วย”
     
    “ยังไงก็ฝากดูแลด้วยนะ แม่ได้ยินว่าคริสเก่งภาษานินายังไงก็ฝากดูให้ด้วยนะได้ยินว่าต้องไปประเทศอื่นอีก”
     
    “ไม่มีปัญหาครับ”
     
     
    แล้วแม่กับพี่คริสก็คุยกันสนุกจนลืมผมที่เป็นลูกไปเลย แต่ผมก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ก็จะไม่ให้ปล่อยได้ยังไงกันล่ะ คนที่นั่งข้างๆผมเขายิ้มอารมณ์ดีซะขนาดนั้น แต่ก็ใช่ว่าเขาจะมีความสุขเต็ม 100%หรอกนะ เพราะยังไงซะครอบครัวคนอื่นก็ไม่เหมือนครอบครัวของเราเองหรอก
     
    หลังจากที่กินข้าวกันอิ่มแล้วผมก็พาพี่เขาขึ้นไปที่ห้องนอนของผม ตอนแรกก็ว่าจะเล่นเกมกันก่อนนั่นแหละแต่คิดอีกทีเหนื่อยมากขอนอนดีกว่า อาบน้ำเสร็จก็เตรียมตัวนอนได้ ผมอาบน้ำคนแรกก็เลยมานอนรอที่เตียงก่อน เอาจริงๆคือใกล้จะหลับแล้วล่ะ พี่คริสมานอนข้างๆ ผมรู้สึกแต่ไม่ได้ลืมตาขึ้นไปมองหรอกนะ พออาบน้ำเสร็จมาเจออากาศเย็นกับที่นอนสบายๆมันก็ทำให้อยากจะเข้าสู่นิทราไปเสียแล้ว
     
     
    “ขอบใจนะ” อยู่ๆเสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นมา ชานยอลที่นอนหลับตาก็ยิ้มแล้วส่งเสียงรับในคอกลับไป
     
    “พี่สนุกมากที่ได้มาบ้านนาย” 
     
    “อืม.. ถ้าพี่อยากมาก็มาอีกได้นะ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” ชานยอลตอบกลับไปด้วยเสียงที่เริ่มจะงัวเงีย
     
    “มาได้จริงอ่ะ”
     
    “ถ้าพี่อยากมา” แล้วชานยอลก็พลิกตัวไปทางคริสแล้วก็ขยับตัวขึ้นไปนอนหนุนอกคริสซะเลย พูดมากไม่ให้เขาได้นอนดีนัก คริสที่เห็นแบบนั้นก็หัวเราะแล้วขยี้ผมน้องเบาๆ
     
    “เออนอนซะไอ้เด็กน้อย”
     
     
    แล้วจากนั้นก็เป็นไปตามที่พูด พี่เขาก็มาบ่อยจริงๆนั่นแหละจนตอนนี้สนิทกับคุณพ่อคุณแม่ผมไปเรียบร้อยแล้ว สงสัยตระกูลปาร์คมีลูกชายคนใหม่ลืมคนเก่าไปแล้วมั้งเนี่ย (เดินไปนั่งเขี่ยพื้นที่มุมห้อง) บางวันที่เราไม่รู้จะไปไหนก็กลับมานั่งกินหม้อไฟที่บ้านผม บางทีเราไปกินชาบูกันแล้วก็กลับไปนั่งเล่นเกมต่อที่บ้านผม ผมว่าผมกำลังจะทำสัญญาเก็บค่าเช่าที่กับเขาดีไหม? 
     
    จริงสิ.. ผมเพิ่งนึกได้เรื่องหนึ่ง อันนี้เขาเล่าให้ผมฟัง ในช่วงแรกที่เขาไปบ้านของผมเขาก็ไม่ค่อยจะเจอกับพี่สาวผมเท่าไหร่หรอกเพราะพี่ผมพอเวลามืดหน่อยเขาก็อยู่ในห้องทำงานของเขาไป มีอยู่วันหนึ่งพี่คริสนอนที่หอแต่ผมนอนที่บ้าน เขามาที่ตึกแล้วก็เห็นว่าผมกำลังเดินมาอีกทาง ตอนแรกก็ไม่ได้เอะใจอะไรแม้จะสงสัยว่าทำไมใส่กางเกงขาสั้นจัง
     
    พอเดินเข้ามาใกล้ๆก็เลยรู้สึกว่าทำไมชานยอลตัวเล็กลง หรือตาฟาดหรือยังไงกำลังงงกับตัวเองอยู่ คนนั้นหยิบมือถือขึ้นมาทำท่าจะกดโทรออก คริสก็แตะที่ไหล่ของคนนั้นพอเธอหันมาก็ยิ่งงงหนัก ก็หน้าน่ะใช่ชานยอลแล้วทำไมไอ้การแต่งตัว ส่วนสูงหรือแม้แต่ทรงผมมันแปลกๆไป
     
     
    “ชานยอลมาทำอะไรตรงนี้แล้วนี่...” คริสขมวดคิ้วทำหน้างง ชานยอลตัวเล็กก็หัวเราะเบาๆ ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรเลยประตูก็เลื่อนเปิดออกพร้อมกับชานยอลตัวจริงที่เดินลัลล้าออกมาหา
     
    “พี่มาแล้วเหรอ ไหนขนมๆๆ อ้าวพี่คริส” คริสก็ได้แต่มองสองพี่น้องแล้วก็ทำตาปริบๆ
     
     
    พอรู้ว่าเป็นพี่สาวผมเขาก็ก้มหัวขอโทษที่เสียมารยาทไป พี่ยูราเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกเขาใจดีจะตาย~ สวยอีกต่างหากนะ หลังจากนั้นเขาก็มาบอกผมว่าเขากำลังงงอยู่ว่าผมมีแฝดหรือยังไงทำไมหน้าเหมือนกัน เหมือนจับผมใส่วิกผมยาวเลย ฟังแล้วก็ขำ ถือเป็นเรื่องโจ๊กๆที่ถ้าผมเล่าให้ใครฟังทุกคนก็ต้องขำอ่ะ
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×