ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [SF] Luhan x Xiumin - A Time for us
Title: A Time for us
Pairing: Luhan x Xiumin
Author: BettyNoona
Note: ลืมใส่หัวเรื่อง 555555 เราชอบนะ เราเข้าใจล่ะทำไมทุกคนถึงบอกว่าหน่วง อ่านเองอีกรอบก็น้ำตาไหล ขนาดเราแต่งไปน้ำตายังซึมไป มันแว่บเข้ามาเอง อิอิ ดีใจนะที่ทุกคนชอบตอนแรกนึกว่าจะไม่มีใครชอบซะแล้วก็เล่นหน่วงซะขนาดนี้ 55555
Note 2: คนนั้นที่หมินไปอยู่ด้วย คุณคิดว่าใครก็คนนั้นล่ะจ้า~
เห็นว่ากระแสลู่หมินดี อิอิ
_______________________
เสียงรองเท้าหนังที่เหยียบย่ำไปตามทางที่ลาดด้วยซีเมนต์ดังเสียงดังเป็นจังหวะตามจังหวะการเดิมก่อนที่เสียงนั้นจะหายไปเมื่อผู้สวมใส่เหยียบย่ำลงบนพื้นหญ้า บานประตูไม้ของโบสถ์แห่งนี้ค่อยๆเปิดด้วยสองมือที่ผลักมันออก เสียงจังหวะการเดินดังอีกครั้งยามที่รองเท้าคู่นั้นกระทบลงกับพื้นกระเบื้องที่เย็นเหยียบ ร่างเล็กที่สวมชุดสูทดำค่อยๆเดินผ่านเก้าอี้ไม้ยาวที่วางเป็นระเบียบสองฝั่งเข้าไป ก่อนที่จะเลี้ยวเข้าไปนั่งทางฝั่งซ้ายแถวที่สาม
นัยน์ตาเล็กมองไปยังองค์ปั้นของพระผู้เป็นเจ้าก่อนที่จะโน้มตัวลงพาดมือทั้งสองข้างที่ประสานกันไว้ที่พนักพิงของเก้าอี้ด้านหน้า เปลือกตาปิดลงพร้อมกับที่โน้มตัวไปข้างหน้าวางหน้าผากบนสองมือที่ประสานกันไว้ เรียวปากได้รูปค่อยวาดรอยยิ้มก่อนที่จะเอ่ยสวดคำอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า
“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า... ได้โปรด”
เอ่ยขออ้อนวอนอยู่นาน เอ่ยขอซ้ำไปซ้ำมา .. หวังแค่เพียงว่าบทขอนี้จะทำให้เขาและใครบางคนได้พบกันอีก หวังว่าเขาจะทำตามสัญญา เปลือกตาบางค่อยๆลืมขึ้นก่อนที่จะมองไปยังองค์ปั้นตรงหน้าพร้อมกับวาดรอยยิ้มแล้วจึงยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยก็ยังมีเวลานั่งรอคนที่มักจะมาสายตลอดเวลาได้อีกสองชั่วโมงก่อนที่จะถึงมื้อเที่ยงละนะ
ลูกแก้วสีนิดกวาดมองไปรอบๆโบสถ์แห่งนี้ที่ตัวเขาไม่ได้มานานแล้ว นานมากจนแทบจะลืมไปแล้วว่าโบสถ์นี้สวยงามเพียงใด กระจกหลากสีที่ถูกประดับเป็นเรื่องราวของพระผู้เป็นเจ้า ของตกแต่งชิ้นเล็กชิ้นน้อยรอบๆสถานที่ภาวนา แท่นสีขาวอันใหญ่และที่วางเชิงเทียนช่างแกะสลักได้สวยงามเหลือเกิน เรียวปากเล็กค่อยๆวาดรอยยิ้มเมื่อสถานที่แห่งความทรงจำนี้ยังคงเหมือนเดิม ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่ตัวเขาเอง สถานที่ในความทรงจำ สถานที่ของสองเรา
...วันแรกที่พบกัน...
“เอ๊ะ?” ส่งเสียแปลกใจพร้อมกับมองผ้าเช็ดหน้าที่ถูกยื่นมาตรงหน้า รอยยิ้มของคนที่มอบมันให้ช่างดูแสบตาเสียจนคนมองต้องหยีตามอง
“รับไปสิ มีเรื่องไม่สบายใจเหรอ?” พยักหน้ารับเบาๆก่อนที่จะเอื้อมมือหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมาแต่คนให้กลับเบนมือออกแล้วซับเช็ดน้ำตาที่ไหลกลิ้งผ่านแก้มใสให้แทน
“นายชื่ออะไร ฉันชื่อลู่หานนะ” บอกชื่อพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูแล้วน่ารักน่าชังเสียเหลือเกิน มือข้างที่ถือผ้าเช็ดหน้าก็ยังคงซับหยดน้ำตาที่ไหลรินออกจากดวงหน้าใสให้
“มินซอก คิมมินซอก” ลู่หานยิ้มแล้วดึงแก้มของเพื่อนใหม่เบาๆ
“เราเป็นเพื่อนกันนะ” ไมรู้เพราะอะไรแต่มินซอกกลับยิ้มแล้วพยักหน้ารับ ลู่หานเองก็ยิ้ม ถ้ารอยยิ้มของลู่หานแลดูน่ารัก รอยยิ้มของมินซอกในสายตาของลู่หานกลับน่ารักมากกว่าเขาหลายสิบล้านเท่า!!
“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจเหรอ? บอกได้ไหม” เมื่อเห็นว่าน้ำตาของอีกฝ่ายเหือดแห้งไปหมดแล้วลู่หานก็เอ่ยถามถึงเหตุที่ต้องให้เพื่อนใหม่ตัวกลมของเขามานั่งร้องไห้ที่โบสถ์แห่งนี้ โบสถ์นี้ลู่หานชอบมากเลยนะขอบอก~
“ก็พี่ชายฉันกำลังจะไปเรียนต่อต่างประเทศน่ะ ฉันอยากไปด้วยแต่ว่าพี่ฉันก็ไม่ยอม” เมื่อพูดถึงเรื่องไม่สบายใจมินซอกก็ทำหน้าเศร้าอีกครั้ง ลู่หานยิ้มแล้วดึงเพื่อนใหม่ตัวกลมเข้ามากอดพร้อมกับลูบหลังเบาๆ
“เพราะพี่ชายมินซอกเป็นห่วงมินซอกยังไงล่ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องร้องไห้นะ” ไม่รู้ทำไมมินซอกถึงได้พยักหน้ารับกับคำพูดนั้น รู้สึกดีกับน้ำเสียงนุ่มๆและอ้อมกอดที่โอบกอดอยู่นี้ ทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อสิบนาทีที่แล้วนี่เอง
“ถ้ามินซอกร้องไห้อีกบอกนะเดี๋ยวเราจะให้ของวิเศษ รับรองมินซอกหยุดร้องไห้แน่ๆ” มินซอกมองหน้าของคนที่บอกว่าจะให้ของวิเศษแล้วก็เอียงคอสงสัย ลู่หานยิ้มก่อนที่จะประคองแก้มกลมไว้ก่อนจะจุ๊บแก้มใสๆไปข้างละหนึ่งที มินซอกเบิกตากกว้างมองเพื่อนใหม่ที่จุ๊บแก้มเขาเร็วๆด้วยสายตาตื่นตกใจ
“เห็นไหมล่ะ~ มินซอกหยุดร้องไห้แล้ว” ลู่หานหัวเราะเสียงดังก่อนที่จะต้องเปลี่ยนมาคอหลบฝ่ามือที่ฟาดลงมาหา
“ลู่หานบ้า!! ไม่คุยด้วยแล้ว” แล้วมินซอกก็ลุกขึ้นเดินหนีออกจากไปจากโบสถ์
“มินซอกไปไหน เราไปด้วย!!!” และตามด้วยลู่หานที่วิ่งตามไป
การเจอกันครั้งแรกก็น่าประทับใจอยู่นะ ถ้าไม่ติดว่าลู่หานชอบกวนประสาทเขามากล่ะก็นะ..
ลู่หานเพื่อนชาวจีนของมินซอก ชอบแหย่มินซอกเล่นเป็นที่สุดแต่ทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกัน เรียนด้วยกันและคอยเหย้าแหย่กันตั้งแต่วันแรกที่พบเจอ เรียวปากเล็กวาดยิ้มเมื่อนึกถึงครั้งเก่าวันวาน ปลายเรียวนิ้วลูบไล้จี้รูปลูกกุแจบนคอเบาๆ ของขวัญชิ้นแรกที่ได้รับในวันเกิด สร้อยสองเส้นที่คู่กัน ต้องอยู่ด้วยกันถึงจะมีความหมาย
“มินซอก~~ วันนี้วันเกิดมินซอกใช่ไหมล่ะ นี่ๆลู่หานเอาเค้กมาด้วย” บานประตูห้องนอนของมินซอกถูกเปิดออกพร้อมกับลู่หานที่เดินเข้ามาพร้อมกับเค้กก้อนเล็กในมือ มินซอกหันไปมองคนที่ถือวิสาสะเดินเข้ามาโดยที่ไม่เคาะประตูก่อนที่จะเดินไปรับเค้กก้อนนั้นมาวางไว้บนโต๊ะตัวเล็กที่พื้น
“ขอบคุณนะลู่หาน ไม่เห็นต้องลำบากเลยยังไงก็แค่วันธรรมดา” ลู่หานยู่หน้าก่อนที่จะใช้สองมือช้อนแก้มกลมๆของเพื่อนไว้
“มันไม่ใช่วันธรรมดานะแต่เป็นวันเกิดของมินซอกตั้งหาก มันคือวันพิเศษของเรา” มินซอกมองอีกคนอย่างสงสัยกับคำว่าเราของลู่หานเสียเหลือเกิน
“ก็มินซอกเป็นของคนิเศษ แน่นอนว่าวันนี้จะต้องเป็นวันสำคัญของฉันด้วย” ลู่หานหัวเราะคิดคักอย่างชอบใจก่อนที่จะส่งส้อมให้มินซอกและเริ่มกินเค้กกัน
“อ๊ะ ลืมไปเลยมินซอกไม่อธิษฐานก่อนเหรอ?” มินซอกส่ายหน้าไปมาก่อนที่จะตัดชิ้นเค้กช็อคโกแลตชิ้นโตเข้าปากไป
“ไม่ล่ะ ก็คนในคำอธิษฐานอยู่กับเราแล้วนิ จะต้องขอพรอีกทำไม?” ลู่หานหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างชอบใจก่อนที่จะล้วงหยิบกล่องเล็กๆในกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นส่งให้มินซอก
“นี่ของขวัญสำหรับมินซอก” เจ้าของวันเกิดเอื้อมมือไปรับกล่องเล็กนั้นมาเปิดก่อนที่จะทำตาโต
“ขอบคุณนะ... สร้อยนี่ สวยจังเลย ว่าแต่ทำไมมีสองเส้นล่ะ” มินซอกดึงสร้อยออกมาจากกล่องและก็พบว่ามันมีสองเส้น เส้นหนึ่งจี้เป็นรูปลูกกุญแจและอีกเส้นเป็นรูปแม่กุญแจ
“ก็เส้นหนึ่งของมินซอก อีกเส้นเป็นของเราไง” ลู่หานดึงสร้อยรูปลูกกุญแจมาแล้วปลดตะขอสวมให้เจ้าของวันเกิดก่อนที่จะชูอีกเส้นที่เป็นรูปแม่กุญแจ
“อันนี้ของเราเอง ใส่ให้หน่อยสิมินซอก” มินซอกปลดตะขอแล้วเอื้อมมือไปใส่สร้อยให้ ลู่หานกอดเอวของเพื่อนไว้ก่อนที่จะซบหน้าลงกับไหล่ของมินซอก
“สุขสันต์วันเกิดนะ เป็นเปาจื่อที่น่ารักของเราตลอดไปเลยนะ” มินซอกหัวเราะคิกคักก่อนที่จะผละลู่หานออก
“ทำไมจี้ของสร้อยถึงเป็นลูกกุญแจกับแม่กุญแจล่ะ”
“ก็มินซอกเป็นลูกกุญแจที่จะไขใจเราไง เราเป็นของมินซอกนะ” แล้วลู่หานก็หัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นว่าแก้มใสๆของเพื่อนแดงเรื่อ
“เอาดีๆสิ” ลู่หานจับมือของมินซอกมาลูบหลังมือก่อนที่จะเอามาแนบกับแก้มของตัวเอง
“ก็ลูกกุญแจกับแม่กุญแจเป็นของคู่กัน ก็เหมือนกับที่เปาจื่อกับเสี่ยวลู่คู่กันไง” มินซอกอมยิ้มแล้วยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บเบาๆที่เรียวปากของอีกคน
“ขอบคุณนะเสี่ยวลู่” ลู่หานยิ้มร่าแล้วกอดเพื่อนตัวกลมก่อนที่จะแกล้งโดยการฉกหอมแก้มข้าวขวาที ข้างซ้าย เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังลั่นประสานกันในห้องเล็กนี้ๆ อบอุ่นและหวานอบอวลจนลืมนึกคิดถึงสิ่งอื่นใด
มินซอกและลู่หานยังคงอยู่ด้วยกัน อยู่เคียงข้างกัน เรียนด้วยกัน นอนด้วยกัน และมีเรื่องก็พึ่งพาปรึกษากัน อยู่ใกล้กันเกินไปจนคิดเกินเลย... หยดน้ำตาไหลรินจากดวงตาเล็กเป็นสาย ภาพรูปปั้นขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่นไหวและมัวด้วยหยาดน้ำที่คลอขังในตา ฟันขาวขบริมฝีปากไว้เพื่อกลั้นเสียงสะอื้นก่อนที่จะก้มหน้าลงซบกับฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวเองแล้วปล่อยเสียงสะอื้นออกมา
ถ้าวันนั้นเพียงแต่ฉุกใจคิดสักนิด แล้วเอ่ยบอกคำว่า ‘รัก’ ออกไป ก็คงไม่ต้องเจ็บแบบนี้ เจ็บจนถึงทุกวันนี้เพื่อไม่อาจก้าวข้ามคำว่าเพื่อนรักขึ้นมาเป็นคนรักได้
“ลู่หานเป็นอะไร” มินซอกลงหนังที่โต๊ะหินอ่อนพร้อมกับหนังสือภาษาศาสตร์เล่มโตที่เพิ่งขอยืมมาจากห้องสมุดมหาวิทยาลัย
“เซ็งอ่ะมินซอก ลู่หานเซ็งมาก” มิกซอกขำคิกคักเมื่อได้ยินคำตอบจากปากของเพื่อน
“เซ็งอะไรล่ะบอกมาสิหรือลู่หานอยากกินเนื้อย่างอีก? เย็นนี้เราไปกันอีกก็ได้นะเดี๋ยวมินซอกพาไป” ลู่หานเท้าคางด้วยสองแขนที่เท้าไว้กับโต๊ะหินอ่อนก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เปล่าหรอกแต่เย็นนี้เราไปกินเนื้อย่างกันก็ได้” ลู่หานเอื้อมมือออกไปหยิกแก้มเนียนของเพื่อนตรงหน้า
“ลู่หานเป็นอะไร บอกมินซอกมา” เปาจื่อของลู่หานพองแก้มออก ปลายนิ้วของลู่หานเปลี่ยนจากหยิกแก้มเนียนเป็นลูบแก้มป่องนั้นแทน
“ก็แค่รู้สึกเหงาอ่ะอยากได้แฟนสักคน” มินซอกมองอีกคนก่อนที่จะก้มหน้าหลบสายตาพราวระยับที่มองมา
“ละ...แล้วจะทำไงล่ะ” ลู่หานยิ้มกว้างแล้วเอ่ยพูดเสียงใส
“ถ้าใครบอกรักฉันคนแรก ฉันจะขอคนนั้นเป็นแฟนเลย~ … มินซอกไม่บอกรักลู่หานหน่อยเหรอ?” มินซอกเงยหน้าขึ้นแล้วลุกขึ้นโน้มตัวไปฟาดไหล่ของคนชอบแกล้งแรงๆ
“ไม่คุยกับลู่หานแล้ว ชอบแกล้งกันอยู่เรื่อย!!”
ใครละจะรู้ว่าลู่หานเอาจริง .. ถ้าเพียงแต่วันนั้นมินซอกเอ่ยบอกคำในใจที่แอบเก็บไว้อยู่นานออกไปก็คงจะดีกว่านี้ วันนั้นลู่หานเซ้าซี้เอ่ยถามตลอดช่วงเย็นและก่อนนอน แต่มินซอกก็เขินอายเกินกว่าที่จะพูดมันออกไป ไม่รู้ว่าลู่หานพูดเล่นหรือพูดจริงกันแน่ แม้แววตาจริงจังที่ส่งมาให้แม้จะแว่บเดียวแล้วก็ฉายแววซุกซนเหมือนเดิมก็ตาม
พลาด.. มินซอกรู้ตัวว่าพลาดมาก พลาดที่วันนั้นไม่กล้าพูดอะไรออกไป
“มินซอก!!” ลู่หานกระโดดเข้ามาพร้อมกับสองมือที่จับเข้าที่ไหล่เล็กของคนตรงหน้าที่ก้มหน้าอ่านหนังสือเรียนอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนประจำ
“อื้อ.. ลู่หาน” เอ่ยตอบรับแต่สายตาก็ยังไม่ยอมละจากหน้าหนังสือ ลู่หานยู่หน้าแล้วละสองมือกอดโอบรอบคอของมินซอกไว้
“นี่ๆมินซอกฉันมีใครที่จะแนะนำให้มินซอกรู้จักด้วยนะ” ลู่หานแนบแก้มตัวเองเข้ากับแก้มกลมๆของมินซอก เจ้าตัวเอื้อมมือขึ้นลูบกลุ่มผมสีทองยุ่งๆของลู่หานเบาๆ
“ใครเหรอ?” ลู่หานละอ้อมแขนออกก่อนที่จะหายไปจากการป้วนเปี้ยนเขา มินซอกเลยต้องหันกลับไปมองด้านหลัง ถ้ามินซอกรู้ว่าหันกลับไปแล้วจะเจ็บขนาดนี้ มินซอกจะไม่หันกลับไปมองเลย ลู่หานที่ยืนข้างหญิงสาวตัวเล็กและแขนที่เคยโอบกอดเขาตอนนี้แปรเปลี่ยนไปโอบกอดเธอเสียแล้ว
“นี่ยูอึนมี แฟนฉันล่ะ” มินซอกรู้สึกว่าตัวเองลำคอแห้งผาก ดวงตาเรียวเล็กเบิกกว้างกับคำแนะนำให้ตนรู้จักกับหญิงสาวคนนั้น
“อะ... อ่า คิมมินซอกเพื่อนลู่หานครับ” มินซอกก้มหัวลงทักทายกลับเมื่อหญิงสาวคนนั้นก้มหัวลงให้เขา
“เพื่อนที่ไหน เพื่อนรักคนสำคัญต่างหาก!”
ก็แค่เพื่อนคนสำคัญ .. แต่ก็ไม่ใช่ คนรักที่สุดของนายอยู่ดี ลู่หาน
มินซอกรู้ว่าที่ลู่หานคบกับหญิงสาวคนนั้นเพราะหญิงสาวคนนั้นมาแอบรักและลู่หานที่ยังว่างอยู่ก็เลยลองคบกับเธอไป ตอนแรกก็ว่าจะเล่นๆและมินซอกก็คิดว่าไม่นานลู่หานกับเธอก็คงจะเลิกกัน ........... แต่มินซอกคิดผิด ลู่หานกับเธอไม่เคยเลิกกัน ซ้ำร้ายยังจะรักกันมากเสียด้วย รักกันจนเพื่อนรักอย่างเขาเป็นส่วนเกิน..
ในตอนแรกทั้งสามคนก็มักจะไปเที่ยวด้วยกันเสมอ มือข้างหนึ่งของลู่หานมักจะโอบเอวเธอและอีกข้างก็จะจับมือของมินซอกเสมอแต่พักหลังๆมานี้ลู่หานกลับไม่จับมือของเขาอีกเลย มินซอกต้องถอยเท้าลงไปด้านหลังแล้วเดินตามลู่หานไปช้าๆ พื้นที่ข้างกาย อ้อมแขนของลู่หาน รอยยิ้มกว้างๆที่ลู่หานเคยมอบให้แต่มินซอก บัดนี้กลับไม่ใช่ของเขาคนเดียวอีกแล้ว..
“อึก.. บ้าชะมัด ร้องไห้ทำไมนะเรา” ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กที่แม้ว่าจะได้รับมาเมื่อนานหลายปีแล้วก็ตาม แต่มันกลับยังสะอาดและหอมน้ำยารีดอ่อนๆ ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้คนได้รับไม่เคยใช้มันเลยสักครั้ง ไม่แม้แต่จะใช้ซับน้ำตาของตัวเองเสียด้วยซ้ำแต่ครั้งนี้ความเสียใจที่พุ่งแล่นริ้วขึ้นในใจกลับเรียกให้ต้องยกผ้าเช็ดหน้านั้นเช็ดน้ำตาของตัวเอง นัยน์ตาเรียวเล็กที่แดงเรื่อมองผ้าเช็ดหน้าในมือแล้วก็รู้สึกเจ็บที่อกด้านซ้ายจนต้องยกมือขึ้นกุมไว้
วันที่มินซอกรู้ตัวว่าตนนั้นก้าวผิดทาง พลาดแล้วซึ่งทุกอย่างก็เมื่อตอนที่ลู่หานเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มกว้างเสียจนดวงตาโตคล้ายลูกกวางนั้นยิบหยี แก้มของลู่หานซับสีเลือดเสียจนแดงจัดไปทั่งใบหน้า มินซอกยิ้มเมื่อวันนี้เพื่อนที่อยู่ข้างกันมานานหลายปีและก็ยุ่งวุ่นวายกับงานเสียจนหาเวลาว่างไม่ค่อยจะมี นัดให้ตนออกมาแล้วบอกว่าจะพาเที่ยวทั้งวัน ..แค่เราสองคน..
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรเลยการ์ดสีชมพูก็ถูกยื่นมาให้ มินซอกปรายสายตามองก่อนที่จะใจหล่นวูบไปทั้งดวง นัยน์ตาสีนิดสั่นระริกยามจ้องที่ตัวอักษรสีดำบนหน้าการ์ด ...การ์ดเชิญร่วมงานแต่งงาน... ลู่หานยังคงพูดอะไรไม่รู้อีกหลายประโยค เยอะแยะไปหมดแต่ตอนนี้หูของมินซอกกลับไม่ได้ยินอะไรอีกเลย
“มินซอก เฮ้ยังฟังอยู่หรือเปล่า” ลู่หานโบกมือไปมาตรงหน้าของมินซอกที่ก้มลงมองการ์ดนั้นไม่ละสายตา มินซอกเงยหน้าขึ้นมองหยดน้ำตาที่คลอขัง ลู่หานดึงเพื่อนเข้ามากอดปลอบ
“ไม่ต้องกลัวนะมินซอก ยังไงเราก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไปนะ ฉันไม่มีวันทิ้งนายหรอก” มินซอกปล่อยสะอื้นกับไหล่ของลู่หาน หมดกันแล้ว จบกันแล้ว หมดสิ้นทุกอย่าง สองมือของมินซอกกอดลู่หานแน่นซึ่งคนโดนกอดเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน สองมือคอยลูบหลังปลอบประโลมเพื่อนตัวกลมที่สะอื้นไห้กอดเขาไม่ยอมปล่อย
“ขอโทษนะลู่หาน” มินซอกเอ่ยหลังจากที่กอดคนข้างกายปล่อยโฮเสียนาน ลู่หานยิ้มแล้วลูบผมของมินซอกเบาๆ
“ไม่เป็นไร เปาจื่อของเสี่ยวลู่น้อยใจเหรอ? ไม่เป็นไรนะเพราะยังไงเสี่ยวลู่ก็จะอยู่กับเปาจื่อนะ จะอยู่ด้วยกันไปจนตายเลย~” มินซอกยิ้มรับกับคำพูดนั้นก่อนที่จะกอดเพื่อนอีกคนไว้แล้วหลับตาลงซึมซับความอบอุ่นจากคนๆนี้ที่ยังคงลูบผมเขาสลับกับจูบขมับเขาบ้าง
“ฉันรักนายนะเสี่ยวลู่” แม้จะรู้ว่าสายไปแต่ก็อยากบอก แม้ว่าใครอีกคนจะคิดเป็นอื่นก็ตามที
“เสี่ยวลู่ก็รักเปาจื่อนะ เปาจื่อคือคนสำคัญของเสี่ยวลู่นะ” แต่ก็ไม่ใช่คนรักใช่ไหมเสี่ยวลู่ .. เปาจื่อเจ็บมาก เจ็บที่หัวใจ
“อื้อ.. เสี่ยวลู่ก็เป็นคนที่สำคัญมากกับเปาจื่อนะ” ลู่หานยิ้มกว้างแล้วผละมินซอกออกก่อนที่จะส่งจุ๊บเบาๆที่กลีบปากสีแดงเรื่อนั่น
“มินซอกต้องมางานแต่งเรากับอึนมีนะ” มินซอกไม่ต้องแต่กอดลู่หานแน่นๆ กอดไว้แล้วจดจำทุกสัมผัส เก็บเกี่ยวทุกไออุ่นที่เคยเป็นของเขา เก็บความทรงจำที่มีร่วมกันให้ลึกสุดใจ
ใช่แล้ว เพื่อนรักของมินซอกแต่งงานแล้วกับผู้หญิงคนนั้นที่พามาแนะนำ แต่งงานเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่งงานกับที่โบสถ์แห่งนี้ โบสถ์แห่งความทรงจำของเราสองคน ... วันงานแต่งมินซอกก็ไม่ได้ไปร่วมงาน หลังจากวันที่ได้รับการ์ดมามินซอกก็ไม่เจอลู่หานอีกเลย แม้ว่าวันนั้นลู่หานจะรอดแล้วรอเล่าเพื่อนรักคนสำคัญก็ไม่มางานแต่งงาน.. และหายจากกันไปเลย จนล่วงเลยเข้าสู่ปีที่สาม
“อึก.. ขอโทษนะลู่หานแต่ฉันไม่กล้าพอที่จะมางานแต่งของนาย ขอโทษ” มินซอกก้มหน้าลงซบเข้ากับสองมือที่รองรับน้ำตา ตอนนี้คนตัวกลมไม่กลั้นเสียงสะอื้นอีกแล้ว
“ขอโทษ.. ลู่หาน ขอโทษ” มินซอกยังคงนั่งก้มหน้าลงกับฝ่ามือสะอื้นไห้จนตัวโยน ไม่ได้สนใจเสียงประตูโบสถ์ที่เปิดเข้ามา ชายร่างเล็กในชุดสูทขาวเดินเข้ามานั่งข้างๆมินซอก
“ขอโทษนะมินซอกรอนานหรือเปล่า ในที่สุดนายก็มาจนได้.. ฉันรอนายนานมากเลยนะมินซอก สามปีแล้วนะที่นายจากฉันไป” มินซอกยังคงไม่สนใจเสียงข้างกายได้แต่นั่งก้มหน้าร้องไห้ ลู่หานวางมือลงบนกลุ่มผมนิ่มก่อนที่จะลูบมันเบาๆ มินซอกค่อยๆเงยหน้าขึ้นจากสองมือที่รองรับน้ำตาแล้วหันมองที่ข้างกาย หยดน้ำตายังคงไหลริน
“อย่าร้องไห้เลยนะ” ลู่หานยังคงลูบผมนิ่มเบาๆแต่มินซอกกลับสะอื้นจนตัวโยนอีกครั้ง
นานพอดูว่าที่มินซอกจะเลิกสะอื้นไห้ มินซอกมองตรงไปยังองค์พระผู้เป็นเจ้าตรงหน้าอีกครั้งก่อนที่จะประสานมือไว้ที่หน้าอก เปลือกตาบวมช้ำปิดลงอ้วนวอนกับพระผู้เป็นเจ้า ลู่หานเองก็ทำเช่นเดียวกัน ทั้งสองนั่งเคียงข้างกันแล้วประสานมือไว้ สายลมอุ่นๆพัดผ่านคนทั้งสองไปคล้ายกับจะตอบรับคำอ้อนวอนนั้น มินซอกลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆโบสถ์แห่งนี้อีกครั้ง
มินซอกหมุนตัวหมายว่าจะเดินออกไปแต่ลู่หานยังยืนอยู่ข้างกายไม่ยอมเดินไปไหน หยดน้ำตาไหลกลิ้งอีกครั้ง ก้อนเนื้อในอกมันเต้นอย่างเจ็บปวด มินซอกก้มหน้าลงซบไหล่ของอีกคนอย่างพอดิบพอดีแล้วร้องไห้อีกครั้ง สองมือของลู่หานยังคงกอดแล้วลูบแผ่นหลังที่สะท้านไหวนั้น มินซอกคงรู้สึกเสียใจมากจริงๆกับการที่ทิ้งให้ลู่หานอยู่คนเดียว สองมือของมินซอกยกขึ้นปิดหน้าแล้วกลั้นเสียงสะอื้นอีกครั้ง
“เสี่ยวลู่ เปาจื่อขอโทษ เปาจื่นรักเสี่ยวลู่จริงๆ รักในแบบที่มากกว่าเพื่อน ขอโทษที่ไม่ยอมบอก”
“เปาจื่อ เสี่ยวลู่ก็รักเปาจื่อมากกว่าเพื่อนเหมือนกัน ขอโทษที่ไม่ทำอะไรให้ชัดเจนมากกว่านี้ ขอโทษที่ทำให้เปาจื่อเจ็บปวด”
ไม่นานมินซอกก็ผละอ้อมแขนอุ่นนั่นออกแล้วเดินเลยผ่านไปอย่างไม่สนใจลู่หานเลยสักนิด มินซอกเดินก้มหน้าปาดเช็ดน้ำตา รู้ตัวว่าผิดแต่ก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่ายังไงลู่หานก็ไม่ใช่คนที่ตนจะอยู่เคียงข้างได้อีกแล้ว มินซอกผลักบานประตูออกไปจากโบสถ์ทิ้งเรื่องราวความเศร้าไว้ด้านหลัง
ด้านนอกโบสถ์คือโลกใบใหม่ แสงแดดอุ่นๆที่สาดไล้มาเรียกรอยยิ้มเล็กๆจากมินซอกได้ไม่ยากเลย ลู่หานที่เดินตามมาก็วาดรอยยิ้มเช่นกัน ลู่หานเคยบอกมินซอกไปหรือยังนะว่ารอยยิ้มของมินซอกน่ะน่ารักและทำให้โลกสดใสได้จริงๆ
มินซอกก้าวเท้าเดินโดยมีลู่หานเดินตามอยู่ด้านหลัง ทุกครั้งมินซอกมักจะเดินตามหลังลู่หานเสมอแต่ครั้งนี้ลู่หานของเดินตามินซอกบ้าง เดินแอบมองรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าน่ารักนั่น รู้สึกสุขใจที่ได้เห็นคนที่รักอยู่ในสายตา ตอนที่มินซอกเดินตามหลังเขานั้นคงจะเจ็บปวดน่าดูสินะเพราะลู่หานเดินกับคนรัก... ขอโทษนะมินซอก
สองมือเล็กผลักบานประตูเหล็กดัดสีดำที่ขึ้นสนิทเข้าไปเบาๆ มองกวาดไปยังสนามพื้นหญ้าตรงหน้าที่กว้างใหญ่ มินซอกค่อนๆเดินไปตามทาง ทุกๆย่างที่ก้าวเดินบาดลึกในหัวใจเสียเหลือเกิน รองเท้าหนังสีดำเงามันค่อยๆย่ำลงบนทางหินที่ปูไว้เป็นทางเดิน หญ้าสีเขียวชอุ่มที่บ่งบอกว่าสถานที่นี้ได้รับการดูแลอย่างดีมากจริงๆ ลึกเข้าไปด้านในที่มีเนินเล็กๆที่ปกคลุมไปด้วยหญ้าสีเขียว ต้นไม้น้อยใหญ่ตามรายทางไมได้ทำให้มินซอกที่กลั้นก้อนสะอื้นลงคอได้เชยชมความอุดมสมบูรณ์ของมันเลย
เมื่อเดินพ้นเนินเล็กๆนั้นก็เจอแนวหินที่เรียงรายอย่างเป็นแถวระเบียบ มินซอกและลู่หานเดินเข้าไปด้านในสุดที่เป็นสถานที่โล่งๆ หยดน้ำตาที่คิดว่าหมดไปแล้วค่อยๆก่อตัวและไหลริน ก้อนสะอึกที่กลั้นไว้ก็ไหลขึ้นจุกคอก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นอย่างไม่อายใครอีกแล้ว สองเท้ายืนหยุดที่แท่นหินใหญ่แท่นเดียวที่ตั้งตระหง่านอยู่ทางด้านหลังนี้ สองขาค่อยๆทรุดลงคุกเข่าตรงหน้าแท่นหินนั้น
“เสี่ยวลู่ เปาจื่อมาแล้วนะ... ขอโทษที่เพิ่งจะมาเอาป่านนี้ สามปีแล้วสินะที่ฉันหนีหน้านาย” นัยน์ตาเล็กที่คลอฉ่ำไปด้วยม่านน้ำทอดมองแท่นหินนั้นอย่างอ่อนโยนพร้อมกับมือที่ลูบไล้ไปมาบนหินแสนเย็นเหยียบนั้น
“วันแต่งงานของนายฉันหนีไปอยู่อังกฤษมา ฉันตัดขาดทุกสิ่งอย่างที่จะทำให้ฉันรับรู้เรื่องของนาย สองปีของการแต่งงานของนาย นายน่าจะมีความสุขนะแล้วออกตามหาฉันทำไม.. ถ้าไม่ทำนายก็คงไม่... อึก.. ไม่ตายหรอก ลู่หาน”
หลังจากงานแต่งของลู่หานที่ไม่มีมินซอกแล้ว ลู่หานก็พยายามตามหามินซอกในทุกๆที่เคยไป เคยไปตามแล้วก็กลับไปตามอีกเผื่อว่ามินซอกอาจจะย้อนกลับไป ลู่หานทั้งต้องรับหน้าที่ผู้บริหารต่อจากคุณพ่อที่สละตำแหน่งเพื่อให้ลูกชาขึ้นนั่งแทนที่ ทั้งงานที่บริษัทเอย ออกตามหามินซอกเอยจนแทบจะไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นแล้ว ชีวิตคู่ก็แทบจะไม่ราบรื่นเลย ขนาดคืนเข้าหอลู่หานยังมานั่งอยู่ในโบสถ์ที่ใช้แต่งงานเพื่อรอมินซอกทั้งคืน
หยดน้ำตาหยดลงกระทบผิวหินตรงหน้า มินซอกปาดเช็ดน้ำตาก่อนที่จะมองหินที่แกะสลักชื่อของเพื่อนเอาไว้ด้วยหัวใจสั่นไหว ถ้าตัวเขาไม่หนีไป ถ้าเพียงแต่วันนั้นยอมมาลู่หานก็คงไม่ออกตามหาเขาเสียเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้ แทบจะไม่ได้กิน ไม่ได้นอน ในคืนหนึ่งเมื่อหนึ่งปีที่แล้วลู่หานที่แอบสืบเบอร์ติดต่อมินซอกได้ก็แทบจะกลั้นความดีใจไว้ไม่ไหว ส่วนหนึ่งก็เพราะได้เพื่อนในคณะช่วย อาจจะไม่สนิทกันเหมือนลู่หานกับมินซอกแต่ก็สนิทกันพอตัว ก่อนที่จะได้ต่อสายหากันร่างกายที่สะสมความเหนื่อยล้าและทรุดโทรมก็แสดงผล ลู่หานช็อคหัวใจล้มเหลวกะทันหัน เสี่ยวลู่ของเปาจื่อสิ้นลมหายใจก่อนที่จะได้ทันฟังเสียง ...ฮัลโหล... ของมินซอกเสียด้วยซ้ำ
“อึก.. นายมันโง่ลู่หาน!! ตามหาฉันทำไม!! ใครสั่งให้นายตามหา นายรู้ไหมว่าฉันทำใจให้เลิกคิดถึงนายน่ะมันนานแค่ไหนแล้วทำไมนายทำแบบนี้ นายเลือกเธอแล้ว นายจะรั้งฉันไว้ทำไมกัน!!!!” มินซอกโน้มตัวลงปล่อยโฮกับแท่นหินเรียบๆที่วางคล้ายฐานให้แท่นหินใหญ่
“นายมันโง่ นายมันบ้า ...... แต่ฉันก็คงจะบ้าและโง่ที่เลิกรักนายไม่ได้” มินซอกลุกขึ้นนั่งตัวตรงก่อนที่จะลูบไล้หินแท่นใหญ่นั้น ตังอักษรภาษาอังกฤษที่แกะสลักลงแท่นั้น ปลายเรียวนิ้วลากสัมผัสอย่างแผ่วเบา เรียวปากเล็กค่อยๆวาดรอยยิ้มแต่รอยยิ้มนั้นกลับดูไม่ได้เอาเสียเลย
“ตลอดหนึ่งปีมานี่นายอยู่ที่นี่คนเดียวเหงาไหมเสี่ยวลู่ ฉันเพิ่งรู้ข่าวนายเมื่อสองวันก่อนฉันถึงเพิ่งได้กลับมาเกาหลีขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ” มินซอกล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาวางบนแผ่นหินเรียบๆที่วางอยู่ชิดหัวเข่าของตน สองมือเอื้อมขึ้นปลดตะขอสร้อยคอออกแล้ววางมันลงบนผ้าเช็ดหน้าก่อนที่จะล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูทด้านในหยิบกระดาษโน๊ตสีเหลืองแผ่นเล็กออกมามองมันอีกครั้งก่อนที่จะสอดมันไว้กับผ้าเช็ดหน้า
“ฉันเอาของทั้งหมดมาคืนนาย ต่อจากนี้จะไม่มีเปาจื่อของเสี่ยวลู่อีกแล้วนะ ... วันนี้ตอนบ่ายฉันจะบินไปอยู่ที่แคนาดาและจะไม่กลับมาอีก.. นายฟังฉันอยู่ใช่ไหมลู่หาน ต่อจากนี้... เราไม่รู้จักกันแล้วนะ ขอโทษที่ต้องทำตัวไม่ดีแต่....” มินซอกค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วโน้มตัวลงมาฝากรอยสัมผัสไว้กับแผ่นหินนั้น แผ่นหินเย็นเหยียบ มินซอกรู้สึกว่ามันเย็นไปทั้งหัวใจ สายลมอ่อนๆที่พัดผ่านมาคล้ายกับจะบอกอะไรสักอย่างแต่มินซอกก็ไม่อาจเข้าใจ
“มินซอกครับ ได้เวลาแล้วนะ!!” เสียงเรียกตะโกนมาจากเนินเขานั้นดูท่าว่าเขาคงจะมาถึงนานแล้ว มินซอกหันไปมองชายในสูทดำที่ยืนโบกมือให้
“รู้แล้วเดี๋ยวไปนะ!! ลู่หานฉันต้องไปแล้วนะ ไม่ต้องคุ้มครองฉัน ไม่ต้องทำอะไรเพื่อฉันแล้ว .. นายทำให้ฉันมากเกินพอแล้ว เราควรที่จะปล่อยกันและกันสักที” มินซอกยิ้มส่งท้ายก่อนที่จะถอยๆก้าวถอยหลังออกมามองป้ายหินนั้นให้เต็มตาครั้งสุดท้าย แล้วสลักลึกลงในหัวใจ รอยสลักสีดำตรงหน้าที่เขียนว่าลู่หานเป็นภาษาอังกฤษ สลักรอยลึกลงในหัวใจ
“ขอโทษแต่ฉันจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ชีวิตที่ไม่มีนาย .... ลาก่อน” แล้วมินซอกก็หมุนตัวเดินจากไปทันก่อนที่น้ำตาหยดสุดท้ายจะรินไหล ขอโทษที่เห็นแก่ตัวแต่ฉันจะปล่อยตัวเองให้จมปรักกับคนที่ไม่ได้รักฉันเกินเพื่อนอีกไม่ได้แล้ว บางทีคนเราก็ต้องทำอะไรที่ขัดกับความจริงในใจ แม้จะเจ็บปวดก็ตามที
ถ้ามินซอกสัมผัสได้ ถ้ามินซอกเพียงแต่จะมองเห็นเงาสีขาวจางๆที่ยืนร้องไห้อยู่ข้างแผ่นหินใหญ่นั้นตลอดเวลา เงาสีขาวจางๆที่ยืนมองมินซอกเดินไปกับคนอื่นด้วยน้ำตา ถ้าตอนนั้นลู่หานยอมเป็นคนก้าวข้ามฐานะเพื่อนกันมาเป็นคนรักนั้นเสียเอง เรื่องราวคงจะไม่เป็นแบบนี้ด้วยความคิดที่ว่าไม่ว่ายังไงเขาก็ยังคงมีมินซอกอยู่เคียงข้าง ไม่ว่ายังไงเปาจื่อก็จะอยู่กับเสี่ยวลู่ตลอดไป แต่มันก็ไม่ใช่แบบนั้น.. และไม่มีวันใช่อีกต่อไป.. บางทีความสัมพันธ์ของเราอาจจะจบกันตั้งแต่วันที่ลู่หานแนะนำหญิงสาวให้มินซอกรู้จักแล้วก็เป็นได้
“เปาจื่ออย่าไป... มินซอกอย่าไป.. ฉันรักนาย” เมื่อรู้ตัวในวันที่สาย เมื่อรู้ซึ้งแล้วถึงความในใจแต่ข้อความกลับส่งไปไม่ถึงร่างที่เดินห่างออกไปทุกที.. ทุกที… ทุกที... เงาสีขาวจางๆค่อยๆเลือนหายพร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลริน ลมบางค่อยๆพัดใบกระดาษสีเหลืองที่ถูกสอดไว้ในผ้าเช็ดหน้าเบาๆ ใบกระดาษแผ่นเล็กที่มีลายมือกลมๆที่คุ้นเคยจรดไว้อยู่ ข้อความในกระดาษที่มาจากใจแต่ส่งไปไม่ถึงร่างที่นอนสงบนิ่งใต้พื้นดินนี้
...เปาจื่อจะเป็นของเสี่ยวลู่ตลอดกาล...
Pairing: Luhan x Xiumin
Author: BettyNoona
Note: ลืมใส่หัวเรื่อง 555555 เราชอบนะ เราเข้าใจล่ะทำไมทุกคนถึงบอกว่าหน่วง อ่านเองอีกรอบก็น้ำตาไหล ขนาดเราแต่งไปน้ำตายังซึมไป มันแว่บเข้ามาเอง อิอิ ดีใจนะที่ทุกคนชอบตอนแรกนึกว่าจะไม่มีใครชอบซะแล้วก็เล่นหน่วงซะขนาดนี้ 55555
Note 2: คนนั้นที่หมินไปอยู่ด้วย คุณคิดว่าใครก็คนนั้นล่ะจ้า~
เห็นว่ากระแสลู่หมินดี อิอิ
_______________________
เสียงรองเท้าหนังที่เหยียบย่ำไปตามทางที่ลาดด้วยซีเมนต์ดังเสียงดังเป็นจังหวะตามจังหวะการเดิมก่อนที่เสียงนั้นจะหายไปเมื่อผู้สวมใส่เหยียบย่ำลงบนพื้นหญ้า บานประตูไม้ของโบสถ์แห่งนี้ค่อยๆเปิดด้วยสองมือที่ผลักมันออก เสียงจังหวะการเดินดังอีกครั้งยามที่รองเท้าคู่นั้นกระทบลงกับพื้นกระเบื้องที่เย็นเหยียบ ร่างเล็กที่สวมชุดสูทดำค่อยๆเดินผ่านเก้าอี้ไม้ยาวที่วางเป็นระเบียบสองฝั่งเข้าไป ก่อนที่จะเลี้ยวเข้าไปนั่งทางฝั่งซ้ายแถวที่สาม
นัยน์ตาเล็กมองไปยังองค์ปั้นของพระผู้เป็นเจ้าก่อนที่จะโน้มตัวลงพาดมือทั้งสองข้างที่ประสานกันไว้ที่พนักพิงของเก้าอี้ด้านหน้า เปลือกตาปิดลงพร้อมกับที่โน้มตัวไปข้างหน้าวางหน้าผากบนสองมือที่ประสานกันไว้ เรียวปากได้รูปค่อยวาดรอยยิ้มก่อนที่จะเอ่ยสวดคำอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า
“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า... ได้โปรด”
เอ่ยขออ้อนวอนอยู่นาน เอ่ยขอซ้ำไปซ้ำมา .. หวังแค่เพียงว่าบทขอนี้จะทำให้เขาและใครบางคนได้พบกันอีก หวังว่าเขาจะทำตามสัญญา เปลือกตาบางค่อยๆลืมขึ้นก่อนที่จะมองไปยังองค์ปั้นตรงหน้าพร้อมกับวาดรอยยิ้มแล้วจึงยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยก็ยังมีเวลานั่งรอคนที่มักจะมาสายตลอดเวลาได้อีกสองชั่วโมงก่อนที่จะถึงมื้อเที่ยงละนะ
ลูกแก้วสีนิดกวาดมองไปรอบๆโบสถ์แห่งนี้ที่ตัวเขาไม่ได้มานานแล้ว นานมากจนแทบจะลืมไปแล้วว่าโบสถ์นี้สวยงามเพียงใด กระจกหลากสีที่ถูกประดับเป็นเรื่องราวของพระผู้เป็นเจ้า ของตกแต่งชิ้นเล็กชิ้นน้อยรอบๆสถานที่ภาวนา แท่นสีขาวอันใหญ่และที่วางเชิงเทียนช่างแกะสลักได้สวยงามเหลือเกิน เรียวปากเล็กค่อยๆวาดรอยยิ้มเมื่อสถานที่แห่งความทรงจำนี้ยังคงเหมือนเดิม ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่ตัวเขาเอง สถานที่ในความทรงจำ สถานที่ของสองเรา
...วันแรกที่พบกัน...
“เอ๊ะ?” ส่งเสียแปลกใจพร้อมกับมองผ้าเช็ดหน้าที่ถูกยื่นมาตรงหน้า รอยยิ้มของคนที่มอบมันให้ช่างดูแสบตาเสียจนคนมองต้องหยีตามอง
“รับไปสิ มีเรื่องไม่สบายใจเหรอ?” พยักหน้ารับเบาๆก่อนที่จะเอื้อมมือหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมาแต่คนให้กลับเบนมือออกแล้วซับเช็ดน้ำตาที่ไหลกลิ้งผ่านแก้มใสให้แทน
“นายชื่ออะไร ฉันชื่อลู่หานนะ” บอกชื่อพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูแล้วน่ารักน่าชังเสียเหลือเกิน มือข้างที่ถือผ้าเช็ดหน้าก็ยังคงซับหยดน้ำตาที่ไหลรินออกจากดวงหน้าใสให้
“มินซอก คิมมินซอก” ลู่หานยิ้มแล้วดึงแก้มของเพื่อนใหม่เบาๆ
“เราเป็นเพื่อนกันนะ” ไมรู้เพราะอะไรแต่มินซอกกลับยิ้มแล้วพยักหน้ารับ ลู่หานเองก็ยิ้ม ถ้ารอยยิ้มของลู่หานแลดูน่ารัก รอยยิ้มของมินซอกในสายตาของลู่หานกลับน่ารักมากกว่าเขาหลายสิบล้านเท่า!!
“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจเหรอ? บอกได้ไหม” เมื่อเห็นว่าน้ำตาของอีกฝ่ายเหือดแห้งไปหมดแล้วลู่หานก็เอ่ยถามถึงเหตุที่ต้องให้เพื่อนใหม่ตัวกลมของเขามานั่งร้องไห้ที่โบสถ์แห่งนี้ โบสถ์นี้ลู่หานชอบมากเลยนะขอบอก~
“ก็พี่ชายฉันกำลังจะไปเรียนต่อต่างประเทศน่ะ ฉันอยากไปด้วยแต่ว่าพี่ฉันก็ไม่ยอม” เมื่อพูดถึงเรื่องไม่สบายใจมินซอกก็ทำหน้าเศร้าอีกครั้ง ลู่หานยิ้มแล้วดึงเพื่อนใหม่ตัวกลมเข้ามากอดพร้อมกับลูบหลังเบาๆ
“เพราะพี่ชายมินซอกเป็นห่วงมินซอกยังไงล่ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องร้องไห้นะ” ไม่รู้ทำไมมินซอกถึงได้พยักหน้ารับกับคำพูดนั้น รู้สึกดีกับน้ำเสียงนุ่มๆและอ้อมกอดที่โอบกอดอยู่นี้ ทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อสิบนาทีที่แล้วนี่เอง
“ถ้ามินซอกร้องไห้อีกบอกนะเดี๋ยวเราจะให้ของวิเศษ รับรองมินซอกหยุดร้องไห้แน่ๆ” มินซอกมองหน้าของคนที่บอกว่าจะให้ของวิเศษแล้วก็เอียงคอสงสัย ลู่หานยิ้มก่อนที่จะประคองแก้มกลมไว้ก่อนจะจุ๊บแก้มใสๆไปข้างละหนึ่งที มินซอกเบิกตากกว้างมองเพื่อนใหม่ที่จุ๊บแก้มเขาเร็วๆด้วยสายตาตื่นตกใจ
“เห็นไหมล่ะ~ มินซอกหยุดร้องไห้แล้ว” ลู่หานหัวเราะเสียงดังก่อนที่จะต้องเปลี่ยนมาคอหลบฝ่ามือที่ฟาดลงมาหา
“ลู่หานบ้า!! ไม่คุยด้วยแล้ว” แล้วมินซอกก็ลุกขึ้นเดินหนีออกจากไปจากโบสถ์
“มินซอกไปไหน เราไปด้วย!!!” และตามด้วยลู่หานที่วิ่งตามไป
การเจอกันครั้งแรกก็น่าประทับใจอยู่นะ ถ้าไม่ติดว่าลู่หานชอบกวนประสาทเขามากล่ะก็นะ..
ลู่หานเพื่อนชาวจีนของมินซอก ชอบแหย่มินซอกเล่นเป็นที่สุดแต่ทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกัน เรียนด้วยกันและคอยเหย้าแหย่กันตั้งแต่วันแรกที่พบเจอ เรียวปากเล็กวาดยิ้มเมื่อนึกถึงครั้งเก่าวันวาน ปลายเรียวนิ้วลูบไล้จี้รูปลูกกุแจบนคอเบาๆ ของขวัญชิ้นแรกที่ได้รับในวันเกิด สร้อยสองเส้นที่คู่กัน ต้องอยู่ด้วยกันถึงจะมีความหมาย
“มินซอก~~ วันนี้วันเกิดมินซอกใช่ไหมล่ะ นี่ๆลู่หานเอาเค้กมาด้วย” บานประตูห้องนอนของมินซอกถูกเปิดออกพร้อมกับลู่หานที่เดินเข้ามาพร้อมกับเค้กก้อนเล็กในมือ มินซอกหันไปมองคนที่ถือวิสาสะเดินเข้ามาโดยที่ไม่เคาะประตูก่อนที่จะเดินไปรับเค้กก้อนนั้นมาวางไว้บนโต๊ะตัวเล็กที่พื้น
“ขอบคุณนะลู่หาน ไม่เห็นต้องลำบากเลยยังไงก็แค่วันธรรมดา” ลู่หานยู่หน้าก่อนที่จะใช้สองมือช้อนแก้มกลมๆของเพื่อนไว้
“มันไม่ใช่วันธรรมดานะแต่เป็นวันเกิดของมินซอกตั้งหาก มันคือวันพิเศษของเรา” มินซอกมองอีกคนอย่างสงสัยกับคำว่าเราของลู่หานเสียเหลือเกิน
“ก็มินซอกเป็นของคนิเศษ แน่นอนว่าวันนี้จะต้องเป็นวันสำคัญของฉันด้วย” ลู่หานหัวเราะคิดคักอย่างชอบใจก่อนที่จะส่งส้อมให้มินซอกและเริ่มกินเค้กกัน
“อ๊ะ ลืมไปเลยมินซอกไม่อธิษฐานก่อนเหรอ?” มินซอกส่ายหน้าไปมาก่อนที่จะตัดชิ้นเค้กช็อคโกแลตชิ้นโตเข้าปากไป
“ไม่ล่ะ ก็คนในคำอธิษฐานอยู่กับเราแล้วนิ จะต้องขอพรอีกทำไม?” ลู่หานหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างชอบใจก่อนที่จะล้วงหยิบกล่องเล็กๆในกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นส่งให้มินซอก
“นี่ของขวัญสำหรับมินซอก” เจ้าของวันเกิดเอื้อมมือไปรับกล่องเล็กนั้นมาเปิดก่อนที่จะทำตาโต
“ขอบคุณนะ... สร้อยนี่ สวยจังเลย ว่าแต่ทำไมมีสองเส้นล่ะ” มินซอกดึงสร้อยออกมาจากกล่องและก็พบว่ามันมีสองเส้น เส้นหนึ่งจี้เป็นรูปลูกกุญแจและอีกเส้นเป็นรูปแม่กุญแจ
“ก็เส้นหนึ่งของมินซอก อีกเส้นเป็นของเราไง” ลู่หานดึงสร้อยรูปลูกกุญแจมาแล้วปลดตะขอสวมให้เจ้าของวันเกิดก่อนที่จะชูอีกเส้นที่เป็นรูปแม่กุญแจ
“อันนี้ของเราเอง ใส่ให้หน่อยสิมินซอก” มินซอกปลดตะขอแล้วเอื้อมมือไปใส่สร้อยให้ ลู่หานกอดเอวของเพื่อนไว้ก่อนที่จะซบหน้าลงกับไหล่ของมินซอก
“สุขสันต์วันเกิดนะ เป็นเปาจื่อที่น่ารักของเราตลอดไปเลยนะ” มินซอกหัวเราะคิกคักก่อนที่จะผละลู่หานออก
“ทำไมจี้ของสร้อยถึงเป็นลูกกุญแจกับแม่กุญแจล่ะ”
“ก็มินซอกเป็นลูกกุญแจที่จะไขใจเราไง เราเป็นของมินซอกนะ” แล้วลู่หานก็หัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นว่าแก้มใสๆของเพื่อนแดงเรื่อ
“เอาดีๆสิ” ลู่หานจับมือของมินซอกมาลูบหลังมือก่อนที่จะเอามาแนบกับแก้มของตัวเอง
“ก็ลูกกุญแจกับแม่กุญแจเป็นของคู่กัน ก็เหมือนกับที่เปาจื่อกับเสี่ยวลู่คู่กันไง” มินซอกอมยิ้มแล้วยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บเบาๆที่เรียวปากของอีกคน
“ขอบคุณนะเสี่ยวลู่” ลู่หานยิ้มร่าแล้วกอดเพื่อนตัวกลมก่อนที่จะแกล้งโดยการฉกหอมแก้มข้าวขวาที ข้างซ้าย เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังลั่นประสานกันในห้องเล็กนี้ๆ อบอุ่นและหวานอบอวลจนลืมนึกคิดถึงสิ่งอื่นใด
มินซอกและลู่หานยังคงอยู่ด้วยกัน อยู่เคียงข้างกัน เรียนด้วยกัน นอนด้วยกัน และมีเรื่องก็พึ่งพาปรึกษากัน อยู่ใกล้กันเกินไปจนคิดเกินเลย... หยดน้ำตาไหลรินจากดวงตาเล็กเป็นสาย ภาพรูปปั้นขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่นไหวและมัวด้วยหยาดน้ำที่คลอขังในตา ฟันขาวขบริมฝีปากไว้เพื่อกลั้นเสียงสะอื้นก่อนที่จะก้มหน้าลงซบกับฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวเองแล้วปล่อยเสียงสะอื้นออกมา
ถ้าวันนั้นเพียงแต่ฉุกใจคิดสักนิด แล้วเอ่ยบอกคำว่า ‘รัก’ ออกไป ก็คงไม่ต้องเจ็บแบบนี้ เจ็บจนถึงทุกวันนี้เพื่อไม่อาจก้าวข้ามคำว่าเพื่อนรักขึ้นมาเป็นคนรักได้
“ลู่หานเป็นอะไร” มินซอกลงหนังที่โต๊ะหินอ่อนพร้อมกับหนังสือภาษาศาสตร์เล่มโตที่เพิ่งขอยืมมาจากห้องสมุดมหาวิทยาลัย
“เซ็งอ่ะมินซอก ลู่หานเซ็งมาก” มิกซอกขำคิกคักเมื่อได้ยินคำตอบจากปากของเพื่อน
“เซ็งอะไรล่ะบอกมาสิหรือลู่หานอยากกินเนื้อย่างอีก? เย็นนี้เราไปกันอีกก็ได้นะเดี๋ยวมินซอกพาไป” ลู่หานเท้าคางด้วยสองแขนที่เท้าไว้กับโต๊ะหินอ่อนก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เปล่าหรอกแต่เย็นนี้เราไปกินเนื้อย่างกันก็ได้” ลู่หานเอื้อมมือออกไปหยิกแก้มเนียนของเพื่อนตรงหน้า
“ลู่หานเป็นอะไร บอกมินซอกมา” เปาจื่อของลู่หานพองแก้มออก ปลายนิ้วของลู่หานเปลี่ยนจากหยิกแก้มเนียนเป็นลูบแก้มป่องนั้นแทน
“ก็แค่รู้สึกเหงาอ่ะอยากได้แฟนสักคน” มินซอกมองอีกคนก่อนที่จะก้มหน้าหลบสายตาพราวระยับที่มองมา
“ละ...แล้วจะทำไงล่ะ” ลู่หานยิ้มกว้างแล้วเอ่ยพูดเสียงใส
“ถ้าใครบอกรักฉันคนแรก ฉันจะขอคนนั้นเป็นแฟนเลย~ … มินซอกไม่บอกรักลู่หานหน่อยเหรอ?” มินซอกเงยหน้าขึ้นแล้วลุกขึ้นโน้มตัวไปฟาดไหล่ของคนชอบแกล้งแรงๆ
“ไม่คุยกับลู่หานแล้ว ชอบแกล้งกันอยู่เรื่อย!!”
ใครละจะรู้ว่าลู่หานเอาจริง .. ถ้าเพียงแต่วันนั้นมินซอกเอ่ยบอกคำในใจที่แอบเก็บไว้อยู่นานออกไปก็คงจะดีกว่านี้ วันนั้นลู่หานเซ้าซี้เอ่ยถามตลอดช่วงเย็นและก่อนนอน แต่มินซอกก็เขินอายเกินกว่าที่จะพูดมันออกไป ไม่รู้ว่าลู่หานพูดเล่นหรือพูดจริงกันแน่ แม้แววตาจริงจังที่ส่งมาให้แม้จะแว่บเดียวแล้วก็ฉายแววซุกซนเหมือนเดิมก็ตาม
พลาด.. มินซอกรู้ตัวว่าพลาดมาก พลาดที่วันนั้นไม่กล้าพูดอะไรออกไป
“มินซอก!!” ลู่หานกระโดดเข้ามาพร้อมกับสองมือที่จับเข้าที่ไหล่เล็กของคนตรงหน้าที่ก้มหน้าอ่านหนังสือเรียนอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนประจำ
“อื้อ.. ลู่หาน” เอ่ยตอบรับแต่สายตาก็ยังไม่ยอมละจากหน้าหนังสือ ลู่หานยู่หน้าแล้วละสองมือกอดโอบรอบคอของมินซอกไว้
“นี่ๆมินซอกฉันมีใครที่จะแนะนำให้มินซอกรู้จักด้วยนะ” ลู่หานแนบแก้มตัวเองเข้ากับแก้มกลมๆของมินซอก เจ้าตัวเอื้อมมือขึ้นลูบกลุ่มผมสีทองยุ่งๆของลู่หานเบาๆ
“ใครเหรอ?” ลู่หานละอ้อมแขนออกก่อนที่จะหายไปจากการป้วนเปี้ยนเขา มินซอกเลยต้องหันกลับไปมองด้านหลัง ถ้ามินซอกรู้ว่าหันกลับไปแล้วจะเจ็บขนาดนี้ มินซอกจะไม่หันกลับไปมองเลย ลู่หานที่ยืนข้างหญิงสาวตัวเล็กและแขนที่เคยโอบกอดเขาตอนนี้แปรเปลี่ยนไปโอบกอดเธอเสียแล้ว
“นี่ยูอึนมี แฟนฉันล่ะ” มินซอกรู้สึกว่าตัวเองลำคอแห้งผาก ดวงตาเรียวเล็กเบิกกว้างกับคำแนะนำให้ตนรู้จักกับหญิงสาวคนนั้น
“อะ... อ่า คิมมินซอกเพื่อนลู่หานครับ” มินซอกก้มหัวลงทักทายกลับเมื่อหญิงสาวคนนั้นก้มหัวลงให้เขา
“เพื่อนที่ไหน เพื่อนรักคนสำคัญต่างหาก!”
ก็แค่เพื่อนคนสำคัญ .. แต่ก็ไม่ใช่ คนรักที่สุดของนายอยู่ดี ลู่หาน
มินซอกรู้ว่าที่ลู่หานคบกับหญิงสาวคนนั้นเพราะหญิงสาวคนนั้นมาแอบรักและลู่หานที่ยังว่างอยู่ก็เลยลองคบกับเธอไป ตอนแรกก็ว่าจะเล่นๆและมินซอกก็คิดว่าไม่นานลู่หานกับเธอก็คงจะเลิกกัน ........... แต่มินซอกคิดผิด ลู่หานกับเธอไม่เคยเลิกกัน ซ้ำร้ายยังจะรักกันมากเสียด้วย รักกันจนเพื่อนรักอย่างเขาเป็นส่วนเกิน..
ในตอนแรกทั้งสามคนก็มักจะไปเที่ยวด้วยกันเสมอ มือข้างหนึ่งของลู่หานมักจะโอบเอวเธอและอีกข้างก็จะจับมือของมินซอกเสมอแต่พักหลังๆมานี้ลู่หานกลับไม่จับมือของเขาอีกเลย มินซอกต้องถอยเท้าลงไปด้านหลังแล้วเดินตามลู่หานไปช้าๆ พื้นที่ข้างกาย อ้อมแขนของลู่หาน รอยยิ้มกว้างๆที่ลู่หานเคยมอบให้แต่มินซอก บัดนี้กลับไม่ใช่ของเขาคนเดียวอีกแล้ว..
“อึก.. บ้าชะมัด ร้องไห้ทำไมนะเรา” ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กที่แม้ว่าจะได้รับมาเมื่อนานหลายปีแล้วก็ตาม แต่มันกลับยังสะอาดและหอมน้ำยารีดอ่อนๆ ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้คนได้รับไม่เคยใช้มันเลยสักครั้ง ไม่แม้แต่จะใช้ซับน้ำตาของตัวเองเสียด้วยซ้ำแต่ครั้งนี้ความเสียใจที่พุ่งแล่นริ้วขึ้นในใจกลับเรียกให้ต้องยกผ้าเช็ดหน้านั้นเช็ดน้ำตาของตัวเอง นัยน์ตาเรียวเล็กที่แดงเรื่อมองผ้าเช็ดหน้าในมือแล้วก็รู้สึกเจ็บที่อกด้านซ้ายจนต้องยกมือขึ้นกุมไว้
วันที่มินซอกรู้ตัวว่าตนนั้นก้าวผิดทาง พลาดแล้วซึ่งทุกอย่างก็เมื่อตอนที่ลู่หานเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มกว้างเสียจนดวงตาโตคล้ายลูกกวางนั้นยิบหยี แก้มของลู่หานซับสีเลือดเสียจนแดงจัดไปทั่งใบหน้า มินซอกยิ้มเมื่อวันนี้เพื่อนที่อยู่ข้างกันมานานหลายปีและก็ยุ่งวุ่นวายกับงานเสียจนหาเวลาว่างไม่ค่อยจะมี นัดให้ตนออกมาแล้วบอกว่าจะพาเที่ยวทั้งวัน ..แค่เราสองคน..
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรเลยการ์ดสีชมพูก็ถูกยื่นมาให้ มินซอกปรายสายตามองก่อนที่จะใจหล่นวูบไปทั้งดวง นัยน์ตาสีนิดสั่นระริกยามจ้องที่ตัวอักษรสีดำบนหน้าการ์ด ...การ์ดเชิญร่วมงานแต่งงาน... ลู่หานยังคงพูดอะไรไม่รู้อีกหลายประโยค เยอะแยะไปหมดแต่ตอนนี้หูของมินซอกกลับไม่ได้ยินอะไรอีกเลย
“มินซอก เฮ้ยังฟังอยู่หรือเปล่า” ลู่หานโบกมือไปมาตรงหน้าของมินซอกที่ก้มลงมองการ์ดนั้นไม่ละสายตา มินซอกเงยหน้าขึ้นมองหยดน้ำตาที่คลอขัง ลู่หานดึงเพื่อนเข้ามากอดปลอบ
“ไม่ต้องกลัวนะมินซอก ยังไงเราก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไปนะ ฉันไม่มีวันทิ้งนายหรอก” มินซอกปล่อยสะอื้นกับไหล่ของลู่หาน หมดกันแล้ว จบกันแล้ว หมดสิ้นทุกอย่าง สองมือของมินซอกกอดลู่หานแน่นซึ่งคนโดนกอดเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน สองมือคอยลูบหลังปลอบประโลมเพื่อนตัวกลมที่สะอื้นไห้กอดเขาไม่ยอมปล่อย
“ขอโทษนะลู่หาน” มินซอกเอ่ยหลังจากที่กอดคนข้างกายปล่อยโฮเสียนาน ลู่หานยิ้มแล้วลูบผมของมินซอกเบาๆ
“ไม่เป็นไร เปาจื่อของเสี่ยวลู่น้อยใจเหรอ? ไม่เป็นไรนะเพราะยังไงเสี่ยวลู่ก็จะอยู่กับเปาจื่อนะ จะอยู่ด้วยกันไปจนตายเลย~” มินซอกยิ้มรับกับคำพูดนั้นก่อนที่จะกอดเพื่อนอีกคนไว้แล้วหลับตาลงซึมซับความอบอุ่นจากคนๆนี้ที่ยังคงลูบผมเขาสลับกับจูบขมับเขาบ้าง
“ฉันรักนายนะเสี่ยวลู่” แม้จะรู้ว่าสายไปแต่ก็อยากบอก แม้ว่าใครอีกคนจะคิดเป็นอื่นก็ตามที
“เสี่ยวลู่ก็รักเปาจื่อนะ เปาจื่อคือคนสำคัญของเสี่ยวลู่นะ” แต่ก็ไม่ใช่คนรักใช่ไหมเสี่ยวลู่ .. เปาจื่อเจ็บมาก เจ็บที่หัวใจ
“อื้อ.. เสี่ยวลู่ก็เป็นคนที่สำคัญมากกับเปาจื่อนะ” ลู่หานยิ้มกว้างแล้วผละมินซอกออกก่อนที่จะส่งจุ๊บเบาๆที่กลีบปากสีแดงเรื่อนั่น
“มินซอกต้องมางานแต่งเรากับอึนมีนะ” มินซอกไม่ต้องแต่กอดลู่หานแน่นๆ กอดไว้แล้วจดจำทุกสัมผัส เก็บเกี่ยวทุกไออุ่นที่เคยเป็นของเขา เก็บความทรงจำที่มีร่วมกันให้ลึกสุดใจ
ใช่แล้ว เพื่อนรักของมินซอกแต่งงานแล้วกับผู้หญิงคนนั้นที่พามาแนะนำ แต่งงานเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่งงานกับที่โบสถ์แห่งนี้ โบสถ์แห่งความทรงจำของเราสองคน ... วันงานแต่งมินซอกก็ไม่ได้ไปร่วมงาน หลังจากวันที่ได้รับการ์ดมามินซอกก็ไม่เจอลู่หานอีกเลย แม้ว่าวันนั้นลู่หานจะรอดแล้วรอเล่าเพื่อนรักคนสำคัญก็ไม่มางานแต่งงาน.. และหายจากกันไปเลย จนล่วงเลยเข้าสู่ปีที่สาม
“อึก.. ขอโทษนะลู่หานแต่ฉันไม่กล้าพอที่จะมางานแต่งของนาย ขอโทษ” มินซอกก้มหน้าลงซบเข้ากับสองมือที่รองรับน้ำตา ตอนนี้คนตัวกลมไม่กลั้นเสียงสะอื้นอีกแล้ว
“ขอโทษ.. ลู่หาน ขอโทษ” มินซอกยังคงนั่งก้มหน้าลงกับฝ่ามือสะอื้นไห้จนตัวโยน ไม่ได้สนใจเสียงประตูโบสถ์ที่เปิดเข้ามา ชายร่างเล็กในชุดสูทขาวเดินเข้ามานั่งข้างๆมินซอก
“ขอโทษนะมินซอกรอนานหรือเปล่า ในที่สุดนายก็มาจนได้.. ฉันรอนายนานมากเลยนะมินซอก สามปีแล้วนะที่นายจากฉันไป” มินซอกยังคงไม่สนใจเสียงข้างกายได้แต่นั่งก้มหน้าร้องไห้ ลู่หานวางมือลงบนกลุ่มผมนิ่มก่อนที่จะลูบมันเบาๆ มินซอกค่อยๆเงยหน้าขึ้นจากสองมือที่รองรับน้ำตาแล้วหันมองที่ข้างกาย หยดน้ำตายังคงไหลริน
“อย่าร้องไห้เลยนะ” ลู่หานยังคงลูบผมนิ่มเบาๆแต่มินซอกกลับสะอื้นจนตัวโยนอีกครั้ง
นานพอดูว่าที่มินซอกจะเลิกสะอื้นไห้ มินซอกมองตรงไปยังองค์พระผู้เป็นเจ้าตรงหน้าอีกครั้งก่อนที่จะประสานมือไว้ที่หน้าอก เปลือกตาบวมช้ำปิดลงอ้วนวอนกับพระผู้เป็นเจ้า ลู่หานเองก็ทำเช่นเดียวกัน ทั้งสองนั่งเคียงข้างกันแล้วประสานมือไว้ สายลมอุ่นๆพัดผ่านคนทั้งสองไปคล้ายกับจะตอบรับคำอ้อนวอนนั้น มินซอกลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆโบสถ์แห่งนี้อีกครั้ง
มินซอกหมุนตัวหมายว่าจะเดินออกไปแต่ลู่หานยังยืนอยู่ข้างกายไม่ยอมเดินไปไหน หยดน้ำตาไหลกลิ้งอีกครั้ง ก้อนเนื้อในอกมันเต้นอย่างเจ็บปวด มินซอกก้มหน้าลงซบไหล่ของอีกคนอย่างพอดิบพอดีแล้วร้องไห้อีกครั้ง สองมือของลู่หานยังคงกอดแล้วลูบแผ่นหลังที่สะท้านไหวนั้น มินซอกคงรู้สึกเสียใจมากจริงๆกับการที่ทิ้งให้ลู่หานอยู่คนเดียว สองมือของมินซอกยกขึ้นปิดหน้าแล้วกลั้นเสียงสะอื้นอีกครั้ง
“เสี่ยวลู่ เปาจื่อขอโทษ เปาจื่นรักเสี่ยวลู่จริงๆ รักในแบบที่มากกว่าเพื่อน ขอโทษที่ไม่ยอมบอก”
“เปาจื่อ เสี่ยวลู่ก็รักเปาจื่อมากกว่าเพื่อนเหมือนกัน ขอโทษที่ไม่ทำอะไรให้ชัดเจนมากกว่านี้ ขอโทษที่ทำให้เปาจื่อเจ็บปวด”
ไม่นานมินซอกก็ผละอ้อมแขนอุ่นนั่นออกแล้วเดินเลยผ่านไปอย่างไม่สนใจลู่หานเลยสักนิด มินซอกเดินก้มหน้าปาดเช็ดน้ำตา รู้ตัวว่าผิดแต่ก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่ายังไงลู่หานก็ไม่ใช่คนที่ตนจะอยู่เคียงข้างได้อีกแล้ว มินซอกผลักบานประตูออกไปจากโบสถ์ทิ้งเรื่องราวความเศร้าไว้ด้านหลัง
ด้านนอกโบสถ์คือโลกใบใหม่ แสงแดดอุ่นๆที่สาดไล้มาเรียกรอยยิ้มเล็กๆจากมินซอกได้ไม่ยากเลย ลู่หานที่เดินตามมาก็วาดรอยยิ้มเช่นกัน ลู่หานเคยบอกมินซอกไปหรือยังนะว่ารอยยิ้มของมินซอกน่ะน่ารักและทำให้โลกสดใสได้จริงๆ
มินซอกก้าวเท้าเดินโดยมีลู่หานเดินตามอยู่ด้านหลัง ทุกครั้งมินซอกมักจะเดินตามหลังลู่หานเสมอแต่ครั้งนี้ลู่หานของเดินตามินซอกบ้าง เดินแอบมองรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าน่ารักนั่น รู้สึกสุขใจที่ได้เห็นคนที่รักอยู่ในสายตา ตอนที่มินซอกเดินตามหลังเขานั้นคงจะเจ็บปวดน่าดูสินะเพราะลู่หานเดินกับคนรัก... ขอโทษนะมินซอก
สองมือเล็กผลักบานประตูเหล็กดัดสีดำที่ขึ้นสนิทเข้าไปเบาๆ มองกวาดไปยังสนามพื้นหญ้าตรงหน้าที่กว้างใหญ่ มินซอกค่อนๆเดินไปตามทาง ทุกๆย่างที่ก้าวเดินบาดลึกในหัวใจเสียเหลือเกิน รองเท้าหนังสีดำเงามันค่อยๆย่ำลงบนทางหินที่ปูไว้เป็นทางเดิน หญ้าสีเขียวชอุ่มที่บ่งบอกว่าสถานที่นี้ได้รับการดูแลอย่างดีมากจริงๆ ลึกเข้าไปด้านในที่มีเนินเล็กๆที่ปกคลุมไปด้วยหญ้าสีเขียว ต้นไม้น้อยใหญ่ตามรายทางไมได้ทำให้มินซอกที่กลั้นก้อนสะอื้นลงคอได้เชยชมความอุดมสมบูรณ์ของมันเลย
เมื่อเดินพ้นเนินเล็กๆนั้นก็เจอแนวหินที่เรียงรายอย่างเป็นแถวระเบียบ มินซอกและลู่หานเดินเข้าไปด้านในสุดที่เป็นสถานที่โล่งๆ หยดน้ำตาที่คิดว่าหมดไปแล้วค่อยๆก่อตัวและไหลริน ก้อนสะอึกที่กลั้นไว้ก็ไหลขึ้นจุกคอก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นอย่างไม่อายใครอีกแล้ว สองเท้ายืนหยุดที่แท่นหินใหญ่แท่นเดียวที่ตั้งตระหง่านอยู่ทางด้านหลังนี้ สองขาค่อยๆทรุดลงคุกเข่าตรงหน้าแท่นหินนั้น
“เสี่ยวลู่ เปาจื่อมาแล้วนะ... ขอโทษที่เพิ่งจะมาเอาป่านนี้ สามปีแล้วสินะที่ฉันหนีหน้านาย” นัยน์ตาเล็กที่คลอฉ่ำไปด้วยม่านน้ำทอดมองแท่นหินนั้นอย่างอ่อนโยนพร้อมกับมือที่ลูบไล้ไปมาบนหินแสนเย็นเหยียบนั้น
“วันแต่งงานของนายฉันหนีไปอยู่อังกฤษมา ฉันตัดขาดทุกสิ่งอย่างที่จะทำให้ฉันรับรู้เรื่องของนาย สองปีของการแต่งงานของนาย นายน่าจะมีความสุขนะแล้วออกตามหาฉันทำไม.. ถ้าไม่ทำนายก็คงไม่... อึก.. ไม่ตายหรอก ลู่หาน”
หลังจากงานแต่งของลู่หานที่ไม่มีมินซอกแล้ว ลู่หานก็พยายามตามหามินซอกในทุกๆที่เคยไป เคยไปตามแล้วก็กลับไปตามอีกเผื่อว่ามินซอกอาจจะย้อนกลับไป ลู่หานทั้งต้องรับหน้าที่ผู้บริหารต่อจากคุณพ่อที่สละตำแหน่งเพื่อให้ลูกชาขึ้นนั่งแทนที่ ทั้งงานที่บริษัทเอย ออกตามหามินซอกเอยจนแทบจะไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นแล้ว ชีวิตคู่ก็แทบจะไม่ราบรื่นเลย ขนาดคืนเข้าหอลู่หานยังมานั่งอยู่ในโบสถ์ที่ใช้แต่งงานเพื่อรอมินซอกทั้งคืน
หยดน้ำตาหยดลงกระทบผิวหินตรงหน้า มินซอกปาดเช็ดน้ำตาก่อนที่จะมองหินที่แกะสลักชื่อของเพื่อนเอาไว้ด้วยหัวใจสั่นไหว ถ้าตัวเขาไม่หนีไป ถ้าเพียงแต่วันนั้นยอมมาลู่หานก็คงไม่ออกตามหาเขาเสียเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้ แทบจะไม่ได้กิน ไม่ได้นอน ในคืนหนึ่งเมื่อหนึ่งปีที่แล้วลู่หานที่แอบสืบเบอร์ติดต่อมินซอกได้ก็แทบจะกลั้นความดีใจไว้ไม่ไหว ส่วนหนึ่งก็เพราะได้เพื่อนในคณะช่วย อาจจะไม่สนิทกันเหมือนลู่หานกับมินซอกแต่ก็สนิทกันพอตัว ก่อนที่จะได้ต่อสายหากันร่างกายที่สะสมความเหนื่อยล้าและทรุดโทรมก็แสดงผล ลู่หานช็อคหัวใจล้มเหลวกะทันหัน เสี่ยวลู่ของเปาจื่อสิ้นลมหายใจก่อนที่จะได้ทันฟังเสียง ...ฮัลโหล... ของมินซอกเสียด้วยซ้ำ
“อึก.. นายมันโง่ลู่หาน!! ตามหาฉันทำไม!! ใครสั่งให้นายตามหา นายรู้ไหมว่าฉันทำใจให้เลิกคิดถึงนายน่ะมันนานแค่ไหนแล้วทำไมนายทำแบบนี้ นายเลือกเธอแล้ว นายจะรั้งฉันไว้ทำไมกัน!!!!” มินซอกโน้มตัวลงปล่อยโฮกับแท่นหินเรียบๆที่วางคล้ายฐานให้แท่นหินใหญ่
“นายมันโง่ นายมันบ้า ...... แต่ฉันก็คงจะบ้าและโง่ที่เลิกรักนายไม่ได้” มินซอกลุกขึ้นนั่งตัวตรงก่อนที่จะลูบไล้หินแท่นใหญ่นั้น ตังอักษรภาษาอังกฤษที่แกะสลักลงแท่นั้น ปลายเรียวนิ้วลากสัมผัสอย่างแผ่วเบา เรียวปากเล็กค่อยๆวาดรอยยิ้มแต่รอยยิ้มนั้นกลับดูไม่ได้เอาเสียเลย
“ตลอดหนึ่งปีมานี่นายอยู่ที่นี่คนเดียวเหงาไหมเสี่ยวลู่ ฉันเพิ่งรู้ข่าวนายเมื่อสองวันก่อนฉันถึงเพิ่งได้กลับมาเกาหลีขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ” มินซอกล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาวางบนแผ่นหินเรียบๆที่วางอยู่ชิดหัวเข่าของตน สองมือเอื้อมขึ้นปลดตะขอสร้อยคอออกแล้ววางมันลงบนผ้าเช็ดหน้าก่อนที่จะล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูทด้านในหยิบกระดาษโน๊ตสีเหลืองแผ่นเล็กออกมามองมันอีกครั้งก่อนที่จะสอดมันไว้กับผ้าเช็ดหน้า
“ฉันเอาของทั้งหมดมาคืนนาย ต่อจากนี้จะไม่มีเปาจื่อของเสี่ยวลู่อีกแล้วนะ ... วันนี้ตอนบ่ายฉันจะบินไปอยู่ที่แคนาดาและจะไม่กลับมาอีก.. นายฟังฉันอยู่ใช่ไหมลู่หาน ต่อจากนี้... เราไม่รู้จักกันแล้วนะ ขอโทษที่ต้องทำตัวไม่ดีแต่....” มินซอกค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วโน้มตัวลงมาฝากรอยสัมผัสไว้กับแผ่นหินนั้น แผ่นหินเย็นเหยียบ มินซอกรู้สึกว่ามันเย็นไปทั้งหัวใจ สายลมอ่อนๆที่พัดผ่านมาคล้ายกับจะบอกอะไรสักอย่างแต่มินซอกก็ไม่อาจเข้าใจ
“มินซอกครับ ได้เวลาแล้วนะ!!” เสียงเรียกตะโกนมาจากเนินเขานั้นดูท่าว่าเขาคงจะมาถึงนานแล้ว มินซอกหันไปมองชายในสูทดำที่ยืนโบกมือให้
“รู้แล้วเดี๋ยวไปนะ!! ลู่หานฉันต้องไปแล้วนะ ไม่ต้องคุ้มครองฉัน ไม่ต้องทำอะไรเพื่อฉันแล้ว .. นายทำให้ฉันมากเกินพอแล้ว เราควรที่จะปล่อยกันและกันสักที” มินซอกยิ้มส่งท้ายก่อนที่จะถอยๆก้าวถอยหลังออกมามองป้ายหินนั้นให้เต็มตาครั้งสุดท้าย แล้วสลักลึกลงในหัวใจ รอยสลักสีดำตรงหน้าที่เขียนว่าลู่หานเป็นภาษาอังกฤษ สลักรอยลึกลงในหัวใจ
“ขอโทษแต่ฉันจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ชีวิตที่ไม่มีนาย .... ลาก่อน” แล้วมินซอกก็หมุนตัวเดินจากไปทันก่อนที่น้ำตาหยดสุดท้ายจะรินไหล ขอโทษที่เห็นแก่ตัวแต่ฉันจะปล่อยตัวเองให้จมปรักกับคนที่ไม่ได้รักฉันเกินเพื่อนอีกไม่ได้แล้ว บางทีคนเราก็ต้องทำอะไรที่ขัดกับความจริงในใจ แม้จะเจ็บปวดก็ตามที
ถ้ามินซอกสัมผัสได้ ถ้ามินซอกเพียงแต่จะมองเห็นเงาสีขาวจางๆที่ยืนร้องไห้อยู่ข้างแผ่นหินใหญ่นั้นตลอดเวลา เงาสีขาวจางๆที่ยืนมองมินซอกเดินไปกับคนอื่นด้วยน้ำตา ถ้าตอนนั้นลู่หานยอมเป็นคนก้าวข้ามฐานะเพื่อนกันมาเป็นคนรักนั้นเสียเอง เรื่องราวคงจะไม่เป็นแบบนี้ด้วยความคิดที่ว่าไม่ว่ายังไงเขาก็ยังคงมีมินซอกอยู่เคียงข้าง ไม่ว่ายังไงเปาจื่อก็จะอยู่กับเสี่ยวลู่ตลอดไป แต่มันก็ไม่ใช่แบบนั้น.. และไม่มีวันใช่อีกต่อไป.. บางทีความสัมพันธ์ของเราอาจจะจบกันตั้งแต่วันที่ลู่หานแนะนำหญิงสาวให้มินซอกรู้จักแล้วก็เป็นได้
“เปาจื่ออย่าไป... มินซอกอย่าไป.. ฉันรักนาย” เมื่อรู้ตัวในวันที่สาย เมื่อรู้ซึ้งแล้วถึงความในใจแต่ข้อความกลับส่งไปไม่ถึงร่างที่เดินห่างออกไปทุกที.. ทุกที… ทุกที... เงาสีขาวจางๆค่อยๆเลือนหายพร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลริน ลมบางค่อยๆพัดใบกระดาษสีเหลืองที่ถูกสอดไว้ในผ้าเช็ดหน้าเบาๆ ใบกระดาษแผ่นเล็กที่มีลายมือกลมๆที่คุ้นเคยจรดไว้อยู่ ข้อความในกระดาษที่มาจากใจแต่ส่งไปไม่ถึงร่างที่นอนสงบนิ่งใต้พื้นดินนี้
...เปาจื่อจะเป็นของเสี่ยวลู่ตลอดกาล...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น