ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Episode 1 : One moment in time 3
มาแล้วค่ะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะ >/////< หนีไปจัดการชีวิตตัวเองมา
จริงๆว่าจะลงตะกะเมื่อคืนล่ะ แต่เขียนไม่เสร็จ 555 มัวแต่นั่งเก็บรูปแล้วก็นั่งดูเอ็มวีคอบจับผิด(?)แต่ละคนอยู่ 555555
แหะๆๆ โดนทวงฟิคซึ่งๆหน้าเลย คุๆๆ
ดูแล้วทุกคนชอบแนวพรีเลียดเนอะ งั้นจบโปรเจ็คนี้เราจะแต่งพรีเลียดเรื่องยาวให้สักเรื่อง เอาไหมคะ? ถามความเห็นๆ
ข่าวดี นูนามีเฟสบุคแล้วววววววววววววว เย้!!! >< หลังจากโดนด่าให้มีอยู่นาน 5555 (บอกทำไม ใครถามเนี่ย 5555)
___________________
...ทุกภพ ทุกชาติ ข้าจักรักเจ้ามิเปลี่ยนแปลง เราจักอยู่ด้วยกันมิแยกจากไม่ว่าจะภพภูมิไหน ข้าจักตามเจ้าไปทุกภพชาติ...
จริงๆว่าจะลงตะกะเมื่อคืนล่ะ แต่เขียนไม่เสร็จ 555 มัวแต่นั่งเก็บรูปแล้วก็นั่งดูเอ็มวีคอบจับผิด(?)แต่ละคนอยู่ 555555
แหะๆๆ โดนทวงฟิคซึ่งๆหน้าเลย คุๆๆ
ดูแล้วทุกคนชอบแนวพรีเลียดเนอะ งั้นจบโปรเจ็คนี้เราจะแต่งพรีเลียดเรื่องยาวให้สักเรื่อง เอาไหมคะ? ถามความเห็นๆ
ข่าวดี นูนามีเฟสบุคแล้วววววววววววววว เย้!!! >< หลังจากโดนด่าให้มีอยู่นาน 5555 (บอกทำไม ใครถามเนี่ย 5555)
___________________
อี้ฟานเดินผ่านเหล่าทหารที่ยืนรักษาการณ์หน้าประตูจวนเข้าไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง สีหน้าของบุตรชายเจ้าของจวนแลดูเคร่งเครียดยิ่งนัก ทุกจังหวะก้าวเดินนั้นลงหนักคล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มเดินเข้าไปยังด้านในของจวนที่พักไปยังศาลาเรือนรับรอง ภายในศาลาเรือนรับรองที่สร้างขึ้นแม้จะไม่วิจิตรบรรจงคล้ายกับศาลาที่เมืองจีน แต่ทว่าก็ดูหรูหราไม่น้อย
ขุนนางกรมการปกครองบิดาของตนกำลังนั่งเล่นหมากรุกกับหัวหน้ากรมการปกครอง เสียงหัวเราะอย่างขบขันดังมาถึงบุตรชายที่กำลังก้าวเดินเข้าไป เหล่าทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังต่างก็ขยับตัวตรงและทำความเคารพ บิดาหันมองก่อนจะหัวเราะแล้วกวักมือเรียกบุตรชายให้เข้าไปหา
“ว่าอย่างไรเล่าอี้ฟาน เข้ามาๆลูกรักของข้า ลูกชายที่ข้าภูมิใจ ฮ่าๆ” ภาษาที่ตนฟังเข้าใจเรียกให้ชายหนุ่มเงยหน้ามองบิดาที่เรียกตน อี้ฟานก้าวเดินเข้ามาในศาลาด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
“ภาษาถิ่นของที่นี่เจ้าเรียนรู้ไปมากเท่าไหนแล้ว อี้ฟาน” แม้จะคลาแคลงใจแต่ก็ตอบคำถามของบิดาไป
“ข้าแค่สื่อสารได้เพียงเล็กๆ น้อยๆเท่านั้น” อู๋เฉินฟางหัวเราะเสียงดังอย่างถูกใจพร้อมกับใช้หมากของตัวเองกินขุนของอีกฝ่าย และรุกฆาต!
“ดีมาก ตั้งใจเรียนรู้ให้มากๆเข้าไว้ จะได้ง่ายต่อการทำงานใหญ่ ต้องขอบคุณเจ้าเด็กหนุ่มคนนั้นนะ หึหึ”
“ท่านพ่อ ... ท่านคิดจักทำการใด” บิดาหันมามองใบหน้าของลูกชายก่อนจะที่จะหัวเราะเสียงดังลั่น และหัวหน้ากรมที่นั่งตรงข้ามกันก็หัวเราะสมทบ
“ข้าจะทำสิ่งใดน่ะหรือ หึหึ ข้าก็คิดที่จะยึดครอบบ้านเมืองนี้เพื่อขยายอาณาเขตของเมืองของเราอย่างไรเล่าเจ้าลูกชาย”
“ไม่ได้นะท่านพ่อ!!! บ้านเมืองนี้ไม่ใช่ของเราแต่เดิมเราจักทำแบบนั้นไม่ได้ ข้าไม่ยอม” ดวงตาเฉียบคมของบิดามองจ้องบุตรชายอย่างขึงโกรธ
“เจ้ามีสิทธิ์หรืออำนาจใดที่จักไม่ยอมในเรื่องนี้ ประสงค์นี้เป็นขององค์จักรพรรดิเจ้ากล้าขัดหรือ อู๋อี้ฟาน” บุตรชายไม่เอ่ยตอบสิ่งใดออกไป เพียงแค่จ้องนัยน์ตาของผู้เป็นบิดา นัยน์คมเฉี่ยวทั้งสองคู่มองฟาดฟันกันอย่างไม่มีใครยอมละลาวาศอกแล้วก็เป็นบิดาที่เบือนสายตาหลบไปก่อน ปิดเปลือกตาอย่างเหนื่อยใจแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะหัวเราะเสียงดังลั่น
“เจ้าจักต่อต้านราชวงศ์ด้วยเพียงเพราะเจ้าเด็กหนุ่มนั่นใช่หรือไม่อี้ฟาน เจ้าถึงกล้าเหิมเกริมกับข้าเช่นนี้!!!!!!” สุรเสียงก้องกังวานตะโกนเสียงดังจนเหล่าทหารยามสะดุ้งอย่างตกใจ หัวหน้ากรมก็ปลีกตัวหนีพร้อมกับสั่งให้ทหารออกไปจากศาลา และบัดนี้ก็เหลือแต่เพียงบิดาและบุตรชายเท่านั้น
“นกน้อยของข้าไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่าเอาเขามาเกี่ยวข้อง” บิดาหัวเราะเสียดังลั่น
“นกน้อยหรือ? ช่างน่าขันเสียจริง! เจ้าคิดที่จักต่อต้านองค์จักรพรรดิใช่หรือไม่อี้ฟาน เจ้าก็รู้ถึงบทลงโทษของพวกคิดกบฏ เจ้าอยากโดนโทษประหารใช่หรือไม่!!!” อี้ฟานเพียงแค่ส่งยิ้มให้
“แม้ว่าข้าจักตัวตาย ข้าก็มิกลัวอันใดแต่ข้าละอายที่ยึดของของที่ไม่ใช่ของเรามาเพื่อเสริมอำนาจให้ยิ่งใหญ่ขึ้นแบบผิดๆเยี่ยงนี้!”
“ละอายหรือ? หึหึ ช่างน่าขันยิ่งนัก มันคือสัจจะธรรมของโลกมนุษย์ของผู้ที่ด้อยกว่าจะตกอยู่ในกำมือของผู้ที่เข้มแข็งมากกว่า เจ้าไม่รู้หรือ!!!” เฉินฟางฟาดมือลงกับโต๊ะไม้จนตารางหมากรุกขยับและตัวหมดล้มกระจัดกระจาย
“ข้าไม่สนใจ ข้ารักแผ่นดินนี้พอๆกับที่ข้ารักเมืองจีน” บิดาสะบัดหน้าหันมามองบุตรชายที่อวดดีกล้าต่อปากต่อคำ
“เจ้ารักแผ่นดินนี้หรือเจ้าเด็กหนุ่มนั่นกันแน่อี้ฟาน หึหึ ข้าจะบอกอะไรให้ถือว่าเจ้ายังเป็นบุตรของข้าอยู่ อีกไม่นานองค์จักรพรรดิจะส่งเหล่าทหารมายึดครองแผ่นดินนี้และไล่ต้อนชาวเมืองให้กลับไปเป็นทาสที่เมืองจีนของเรา ... รวมทั้งนกน้อยของเจ้าด้วย” ดวงตาเรียวเบิกกว้างกับสิ่งที่ได้ยินจากปากของบิดาตน
“ไม่ได้นะท่านพ่อ อย่าทำอะไรบ้านของนกน้อยเลย ข้าขอร้องต่อให้ท่านจะประหารข้า ข้าก็ยอม” เฉินฟางเรียงตัวหมากที่กระจัดกระจายบนกระดานหมากรุกมาเรียงใหม่ก่อนจะใช้ตัวขุนกวาดต้อนทุกตัวให้ล้มแล้ววางตัวขุนหนึ่งเดียวลงบนกระดาน
“ผู้ที่อ่อนแอกว่าย่อมเป็นเพียงฝุ่นธุลี” อี้ฟานหมุนตัวกลับหมายจะเข้าเตือนภัยชาวเมืองทั้งหลายให้หนี
“ถ้าเจ้าไปบอกพวกชาวบ้านพวกนั้นแล้วล่ะก็ ข้าจะให้ทหารจับนกน้อยของเจ้าเข้าซ่องที่เมืองของเราเสีย” สองเท้าที่กำลังก้าวเดินหยุดก้าวทันที สองมือกำแน่นเพื่อระงับอารมณ์ฉุนเฉียว เพราะไม่ว่าอย่างไรคนที่เอ่ยวาจาแสนร้ายกาจนั่นคือก็บิดาผู้ให้กำเนิดตน อี้ฟานออกก้าวเดินอีกครั้งไม่สนต่อเสียงเกรี้ยวกราดจากด้านหลังที่ดังก้องสะท้อนไปทั่วทั้งจวนพัก
“ถ้าเจ้าก้าวออกจากจวนข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว เจ้ากับข้าขาดกัน!!!!!” ข้าขอโทษ ข้ามิอาจทนเห็นนกน้อยของข้าต้องห่างจากกายข้าได้แม้เพียงเสี้ยว
“ไอ้ลูกอกตัญญู!!!!!!!”
เด็กหนุ่มที่หมกตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมออกไปไหน แม้จะยอมทานอาหารฝีมือมารดาแต่ก็น้อยเสียจนนางยังนึกกังวล สองมือกอดเข่าที่ยกขึ้นชัน หยดน้ำตาไหลรินอาบเนื้อผ้าไหมชุดฮั่นฝูของคุณชายที่นำมาสวมคลุมไหล่แม้จะไม่อบอุ่นและไม่เหลือร่องรอยไออุ่น ก็ตาม แต่อย่างน้อยก็เหมือนมีคุณชายอยู่ใกล้ๆ
สามวันที่พรากจากกัน สามวันแล้วอี้ฟานไม่ยอมกลับมา ไปอยู่ที่ไหนเด็กหนุ่มก็มิอาจรู้ หยดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าที่ซึมผ่านผ้าเนื้อลื่นยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของเด็กหนุ่มที่มีต่อคุณชายต่างเมือง เมื่อยามที่อ้อมแขนที่คอยปกป้องมาตลอดได้อันตรธานไป หัวใจก็ถูกกระชากออกจากอกไปด้วย เสียงสะอื้นไห้ดังแผ่วจากกลีบบุปผาช้ำ พวงแก้มขาวนวลกลับซีดเซียว ปลายจมูกและรอบดวงตาแดงจัด
มารดาเปิดประตูพร้อมกับยกโต๊ะอาหารเข้ามา นางเลือกที่จะทำของบำรุงร่างกายทั้งไก่ต้มโสม ยาหม้อต้มและของแห้งที่บุตรรักของตนชอบ แต่ชานยอลกลับมองมันแล้วส่ายหน้าหมายว่าไม่อยากที่จะทานอะไรเลยแม้แต่น้อย แม้ว่านางจะพยายามป้อนก็ตามแต่เด็กหนุ่มก็เบี่ยงตัวหนี
“เสี่ยวเหนี่ยว” เพียงแค่เสียงเรียกหน้าประตูเด็กหนุ่มก็ถลาลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปจากห้องนอน
“ข้ากลับมาแล้ว” แล้วนกน้อยก็โผบินเข้าสู่อ้อมอกนายของมันอีกครั้ง อี้ฟานปลอบประโลมนกน้อยตัวสั่นเทาในอ้อมแขน เสียงสะอื้นไห้ที่ได้ยินพาลให้หัวใจของคุณชายเจ็บปวด
“เจ้าหายไปไหนมา!! เจ้าทิ้งข้าไปได้อย่างไร คนใจร้าย!!!” สองมือทุบอกของคนที่ทิ้งขวางตนอย่างแรง หยดน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มและซึมเข้าเนื้อผ้านั้นทำให้หัวใจของชายหนุ่มแตกสลาย
“อย่าร้องไห้เลย ข้ากลับมาแล้ว” ภาษาถิ่นตนที่เข้าใจเรียกให้คนที่กำลังร้องไห้เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าคมสันต์ส่งรอยยิ้มมาให้
“คนใจร้าย!!!” กรีดร้องอีกครั้งทั้งน้ำตาก่อนที่จะซุกหน้าลงกับไหล่กว้างของคนกอด เพียงไม่นานร่างที่สะอื้นก็เงียบเสียงลง เจ้านกน้อยที่อยู่อย่างเดียวดายแสนเหนื่อยล้ากำลังนิทราอยู่ในอ้อมแขนที่โอบกอดปกป้องให้ปลอดภัยและสานไออุ่นให้เต็มทั้งดวงใจ
“คุณชายอี้ฟาน เข้ามาข้างในก่อนเถอะเจ้าค่ะ” มารดาของเด็กหนุ่มกวักมือเรียกพร้อมกับเปิดประตูค้างไว้ให้ อี้ฟานสอดมือเข้ารองใต้หัวเข่าแล้วอุ้มนกน้อยขึ้นแนบอก นกน้อยของข้าตัวเบาถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
เมื่อเข้ามาในห้องแล้วมารดาก็ปูฟูกนอนให้ ชายหนุ่มค่อยๆตระกองวางร่างเล็กให้ลงนอนบนฟูกแต่ทว่าสองมือของชานยอลกลับกำชุดของอี้ฟานไว้เสียแน่นไม่ยอมปล่อย คุณชายเลยต้องเปลี่ยนเป็นนั่งแล้วให้นกน้อยพิงอกนอนนิทรา สองมือสอดกอดช่วงเอวของคนที่หลับตาพริ้ม กลีบปากสีอ่อนวาดระบายยิ้มบางๆอย่างสุขใจ
เมื่อจัดท่าทางให้เด็กขี้แยได้นอนเรียบร้อยแล้วคุณชายก็ล้วงมือในฮั่นฝูสีเข้มหยิบพับกระดาษส่งให้มารดาของคนในอ้อมแขน นางรับมามองก่อนจะค่อยๆคลี่ออก นัยน์ตาเหนื่อยล้าไล่อ่านตัวอักษรที่พอจะอ่านเข้าใจแม้จะไม่ทั้งหมดแต่ก็พอจะจับใจความได้ มือที่มีริ้วรอยชรายกขึ้นปิดปากอย่างตกใจกับเนื้อหาในจดหมายที่กำลังอ่านอยู่นี้
จับได้ใจความว่า ชาวบ้านนั้นต่างครหาว่าบ้านหลังนี้คิดกบฏต่อบ้านเมืองแผ่นดินนี้ ซึ่งนางรู้อยู่แล้วแต่เรื่องต่อจากนี้สิที่ทำให้นางตกใจเสียจนเงยหน้ามองคุณชายที่ตีสีหน้าเคร่งเครียดไม่สมกับเป็นคุณชายที่ยิ้มง่ายเลยแม้แต่น้อย ข้อความที่บอกว่าองค์ราชาจากเมืองจีนจะเข้ามายึดครองเมืองและจับชาวเมืองไปเป็นเชลยนั้นมันไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิดเดียว
นางดึงแผ่นกระดาษที่อ่านจบแล้ววางลงบนพื้นก็พบกับกระดาษอีกแผ่นที่เขียนเพียงแค่ข้อความสั้นๆที่ได้ใจความ นางวางกระดาษแผ่นนั้นลงก่อนจะมองลูกชายของตนที่บัดนี้กำลังนอนหลับอย่างเป็นสุขในอ้อมกอดของผู้อื่น เรียวปากแห้งผากวาดรอยยิ้มบางๆก่อนจะเอ่ยบอกพร้อมทำท่าทางให้คุณชายจากต่างเมืองเข้าใจ
“ข้าไม่ไปหรอก” นางชี้ที่ตัวเองก่อนจะส่ายหน้า “พวกเจ้าไปกันเถิด” ชี้ไปคุณชายต่างเมืองและบุตรชายออกไปยังด้านนอก ซึ่งอี้ฟานก็เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายถ่ายทอดมา
“ไม่ได้ ข้าจะพาท่านไปด้วย ท่านคือคนสำคัญของเสี่ยวเหนี่ยว” ถ้อยประโยคที่เป็นภาษถิ่นนี้นางเข้าใจ แต่นางมิอาจเข้าใจคำว่าเสี่ยวเหนี่ยวแต่นางก็รู้ว่าคุณชายนั้นหมายถึงใคร บุตรชายของตนที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม
“ข้าว่าท่านนั่นล่ะที่จะปกป้องบุตรชายจอมดื้อรั้นของข้าได้ เพราะฉะนั้น .. พาลูกรักของข้าหนีไปเสียเถิด” นางย้ำอีกครั้งด้วยการชี้นิ้วแล้วบอกให้อี้ฟานพาชานยอลไป แม้ว่าอี้ฟานจะไม่ยอมแต่สายตาที่เด็ดเดี่ยวของนางก็ทำให้ใจอ่อน ชายหนุ่มล้วงหยิบใบกระดาษแผ่นเล็กออกจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้นาง นางเพียงแค่คลี่อ่านแล้วระบายยิ้มบางๆก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องนอนของบุตรรักไป ทิ้งให้ทั้งคู่ได้ใช้เวลาร่วมกัน
ชานยอลลืมตาตื่นขึ้นในอ้อมกอดของอี้ฟาน อ้อมกอดเดิมที่อบอุ่นและปลอดภัยแต่เพียงไม่นานแก้มขาวก็ร้อนผ่าวและแดงสีเรื่อเมื่อนึกถึงภาพที่ตนวิ่งเข้าไปกอดและร้องไห้ต่อหน้าคนต่างเมืองนี้ วันเวลาที่เคลื่อนผ่านไป ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ผสานแน่นเฟ้นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว และเด็กหนุ่มก็ไม่รู้สึกตัวว่าตนนั้นไม่เป็นตัวของตัวเองตั้งแต่เมื่อใด
บานประตูห้องค่อยๆเลื่อนเปิดออกพร้อมกับมารดาที่โผล่ใบหน้าเข้ามาดู เมื่อเห็นว่าบุตรของนางตื่นแล้วก็กวักมือให้ออกมาด้านนอก ชานยอลลุกจากอ้อมกอดของคุณชายที่ยังคงนอนหลับอยู่ เมื่อออกมานอกห้องมารดาก็ยืนรออยู่ก่อนแล้ว เด็กหนุ่มเดินเข้าไปกอดเอวมารดาของตนไว้หมายจะขอโทษกับกิริยาที่ปฏิบัติออกไปแบบนั้นแต่มารดากลับเอ่ยถ้อยประโยคที่ทำให้ความคิดของเด็กหนุ่มหมุนเสียจนมึน
“เจ้าหนีไปกับคุณชายเสียเถอะชานยอล” เด็กหนุ่มมองใบหน้าของมารดาด้วยความไม่เข้าใจและก่อนที่หยดน้ำตาของบุตรรักจะไหลรินนางก็เอ่ยขยายความนั้น
“คุณชายบอกว่าอีกไม่นานองค์ราชาจากเมืองจีนจะมาจับพวกเราไปเป็นเชลยที่นั่น คุณชายเลยจะพาเจ้าหนีไปอยู่ที่เมืองอื่น”
“แล้วท่านแม่ล่ะ ถ้าท่านแม่ไม่ไปข้าก็ไม่ไป!” นางจับมือของบุตรชายขึ้นมากุมแล้วส่งรอยยิ้มที่สวยที่สุดให้เด็กหนุ่ม
“ข้าไปมิได้ บ้านหลังนี้พ่อเจ้าเป็นคนสร้างแล้วข้าจักทิ้งที่นี่ไปได้อย่างไร ชานยอลเจ้ารักคุณชายมิใช่หรือ? ไปอยู่ที่เมืองใหม่แล้วเริ่มชีวิตใหม่กับคุณชายเสียเถิด” ชานยอลส่ายหน้า น้ำตาคลอรอบดวงตา
“ถ้าท่านแม่ไม่ไปกับข้า ต่อให้ข้าตายหรือต้องพรากจากคุณชายข้าก็จักไม่ไปที่ใดทั้งนั้น” ฝ่ามือหยาบเพราะตรากตำจากการทำงานอย่างลำบากไล้ผิวแก้มเนียนของบุตรชาย
“ชานยอล ตอบคำถามของข้า เจ้ารักคุณชายอี้ฟานมากไหม” ผิวแก้วขาวค่อยๆเรื่อสีแดง เด็กหนุ่มก้มหน้าลงต่ำซ่อนความเขินอายจากสายตาของมารดา
“ตอบข้ามาเถิด” เด็กหนุ่มพยักหน้าเป็นคำตอบ นางวาดรอยยิ้มให้ลูกชายที่กล้ายอมรับความรู้สึกที่แท้จริงในใจ
“แท้จริงแล้ว คุณชายจะส่งข้ากับชินนาไปยังอีกเมืองตามหลังพวกเจ้าไปอีกสามวัน ใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะที่ห่างไกลออกไปแล้วคุณชายจะพาเจ้ามาพบข้าเมื่อเรื่องทุกอย่างเรียบร้อย”
“จริงหรือท่านแม่” นางพยักหน้าแล้วส่งยิ้มให้
“แล้วข้ากับคุณชายต้องไปเมื่อไหร่กัน”
“อีกเจ็ดวันข้างหน้า”
แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาดึกสงัดแล้วแต่ทว่าชานยอลกลับนอนไม่หลับได้แต่เดินไปเดินมาอยู่หน้าบ้านเพื่อรอให้อี้ฟานกลับมา หลังจากวันนั้นคุณชายก็ออกจากบ้านไปทุกเช้าและกลับมาตอนใกล้ฟ้าสางทุกวัน ใบหน้าของเด็กหนุ่มฉายแววกังวลถึงอีกคนเหลือเกิน จะไปที่ไหน จะไปทำอะไรชานยอลก็ไม่เคยรับรู้ว่าตอนนี้คุณชายกำลังทำการณ์สิ่งใด
คุณชายอี้ฟานที่เดินกลับมาพร้อมกับคนขายอุปกรณ์เครื่องเขียนจากเมืองจีนเห็นร่างขาวในชุดฮั่นฝูที่ตนเตรียมไว้ให้ทุกเช้าเดินวนไปเวียนมาอยู่หน้าบ้าน คุณชายไล่ให้คนขายเครื่องเขียนที่เดินมาส่งกลับไปก่อน ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาก็เป็นจังหวะที่ชานยอลเดินวกกลับมาพอดี เด็กหนุ่มตีสีหน้ายุ่งเข้ามาหาพร้อมกับทุบไปที่อกของคนเพิ่งกลับมาแรงๆ
“ข้าเจ็บนะ เจ้าเป็นห่วงข้าหรือเจ้านกน้อย?” อี้ฟานจับสองมือที่ทุบอกของตนไว้แล้วพาเจ้านกน้อยกลับเข้าบ้าน
“เจ้าไปทำอะไรที่ไหนมา ทำไมถึงไม่บอกข้า!!” อี้ฟานใช้หลังมือไล้แก้มใสแผ่วเบา
“รออีกนิดนะแล้วข้าจะบอกเจ้าเอง เชื่อใจข้านะนกน้อยของข้า” ชานยอลมองใบหน้าที่ยิ้มแป้นแล้นแล้วก็นึกโกรธต่อไม่ลง แค่กลับมาอย่างปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว หมู่นี้หัวใจของชานยอลนั้นเต้นด้วยจังหวะแปลกๆ มันทั้งหวั่นไหวและวูบโหวงด้วยความกลัวแต่ก็ไม่รู้ว่ากลัวด้วยเพราะเหตุอันใด
“ดึกแล้วนอนเถอะ” อี้ฟานดับเทียนไขเล่มน้อยที่ให้แสงสลัวก่อนจะลงนอนเคียงข้างเด็กหนุ่มที่มองมาตาแป๋ว
“นอนได้แล้ว หว่านอัน(ฝันดี) เสี่ยวเหนี่ยว” อี้ฟานบรรจงจุมพิตที่หน้าผากมน เปลือกตาบางปิดลงรับสัมผัสอุ่นเมื่อริมฝีปากละออกชานยอลก็ลืมตาขึ้นมองเห็นใบหน้าที่ส่งรอยยิ้มมาให้ลางๆ เด็กหนุ่มฝากรอยสัมผัสที่กลีบปากที่คอยส่งรอยยิ้มมาให้เสมอก่อนจะรีบพลิกตัวหันหลังให้
“แนกุมกวอ (ฝันถึงข้านะ)” เรียวปากของอี้ฟานยิ่งยกขึ้นยิ้มอย่างมีความสุขมากขึ้นไปอีก ราตรีกาลนี้ทั้งคู่ก็ได้นิทราบนฟูกนอนเดียวกันและจะตื่นมาในตอนเช้าด้วยกัน .... และในอ้อมกอดของกันและกัน
ใบหน้าที่มีริ้วรอยตามวัยของขุนนางกรมการปกครองอู๋เฉินฟางพยักหน้ารับกับคำบอกเล่าของทหารที่ใช้ให้ไปสืบเรื่องราวของบุตรชาย หัวคิ้วขมวดมุ่นอย่างคลาแคลงใจและนัยน์ตาก็วาวโรจน์อย่างโกรธเกรี้ยวที่เรื่องราวของบุตรชายไม่เป็นไปตามที่หวัง
“เจ้าคิดจะหันหลังให้ข้าจริงๆหรืออู๋อี้ฟาน เจ้าลูกอกัตญญู” กำปั้นใหญ่ทุบลงบนโต๊ะเสียงดังอย่างโมโหโกธา เฉินฟางกำมือแน่นเสียจนมือทั้งมือแดงและสั่น ใบหน้านามนี้ไม่มีใครกล้าเข้าหน้าสักคน
“ตามดูไอ้คนทรยศนั่นไว้ ก่อนที่ทหารองครักษ์จักมาจากเมืองจีนต้องอย่าให้มันทั้งสองคลาดสายตา ข้าจักจับเจ้าเด็กนั่นไปถวายตัวให้องค์จักรพรรดิของเรา จับตาดูพวกมันไว้” เหล่าทหารทำได้แค่เพียงน้อมรับคำสั่งเท่านั้น
“บุตรชายของข้า ข้าไม่มีวันยกให้เจ้าหรอก ไอ้เด็กชั้นต่ำ!!” เฉินฟางประสานมือทั้งสองข้างไว้บนโต๊ะก่อนจะใช้สายตาวาวโรจน์มองตรงไปยังด้านหน้า
...ข้าจักไม่มีวันเสียบุตรชายของข้าและจักมิยอมเสียหน้าด้วยการปล่อยให้แผ่นดินนี้เป็นของคนอื่น ปาร์คชานยอล เจ้าเด็กชั้นต่ำที่สมควรตาย ข้าจักปลิดชีวิตเจ้าอย่างไรดีให้สาสมกับความอัปยศนี้...
หลังจากตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดอบอุ่นที่โอบกอดไว้แนบชิด ชานยอลก็ลุกขึ้นเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดของบ้านเมืองนี้ เมื่ออยู่ในบ้านชานยอลจะสวมเครื่องแต่งกายที่อี้ฟานเตรียมไว้ให้ทุกเช้าแต่เมื่อจะออกนอกบ้านเด็กหนุ่มจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่ทุกครั้ง เพื่อไม่ให้ใครได้ว่ากล่าวได้อีก
อี้ฟานที่นอนมองเด็กหนุ่มเปลี่ยนเครื่องแต่งกายวาดรอยยิ้มขึ้น ไม่ว่าเจ้านกน้อยจะแต่งกายด้วยชุดไหน เจ้านกน้อยก็สวยงามราวกับนางธิดาจากสรวงสวรรค์ ชานยอลที่จัดชุดแต่งกายเรียบร้อยเมื่อหันมาก็ต้องสะดุ้งกับคนที่คิดว่ายังนอนหลับอยู่บนฟูกแต่กลับมายืนซ้อนอยู่ด้านหลังของตนตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่อาจรู้ได้ แก้มขาวเรื่อสีอีกครั้ง เด็กหนุ่มก้มหน้าลงชิดอกของคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
ชายหนุ่มแย้มยิ้มก่อนจะล้วงมือหยิบของบางอย่างในอกเสื้อของตนออกมา ปลดมวยผมของคนที่ก้มหน้าหลบออกก่อนจะม้วนด้วยปลายปิ่นสีทองแล้วเกล้าขึ้นมวยเสียบไว้กับเส้นผมสลวย ส่วนหัวของปิ่นทองนั้นเป็นรูปมังกรในท่วงท่าที่สวยงาม ในบ้านเมืองจีนนั้นผู้ที่จะใช้ปิ่นปักผมลายมังกรได้จะมีแค่เหล่าเชื้อพระวงศ์เท่านั้น ส่วนพวกขุนนางที่ได้รับปิ่นจากองค์จักรพรรดินีก็จะได้รับเป็นของขวัญที่ทำตามคำบัญชาของนางเป็นอย่างดีและอู๋อี้ฟานก็เช่นกัน ปิ่นปักผมอันนี้เป็นของพระราชทานให้บุตรขุนนางที่จงรักภักดีและทำภารกิจที่นางมอบหมายให้ลุล่วงได้เป็นอย่างดี ปิ่นชิ้นนี้คือของรักของหวงขององค์จักรพรรดินีเลยก็ว่าได้
“ขอบคุณขอรับ” ชานยอลคลำปิ่นปักผมก่อนจะเอ่ยขอบคุณเสียงเบา
“เจ้าสวยมาก นกน้อยของข้า” อี้ฟานก้มหน้าลงหมายจะฝากสัมผัสไว้ที่กลีบบุปผาแสนยั่วเย้าแต่ทว่าประตูห้องกลับเปิดออกขัดขึ้นเสียก่อน
“ท่านพี่ ท่านแม่เรียกให้ออกไปด้านนอกเจ้าค่ะ” ชานยอลเดินออกมาพร้อมกับอี้ฟานที่เดินตามหลังมา ชินนาเดินเข้าไปแอบอยู่ด้านหลังของมารดา
“พวกเจ้ามาที่นี่ทำไมกัน มีเรื่องอันใดหรือ?” อี้ฟานเอ่ยถามเหล่าทหารของบิดาตนที่มายืนอยู่ตรงหน้า
“พวกข้ามาพาตัวคุณชายกลับจวนขอรับ ได้โปรดไปกับพวกข้าเถิด” ชานยอลมองบทสนทนาตรงหน้าที่ไม่เข้าใจสักประโยค แต่เด็กหนุ่มรับรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
“ข้าไม่กลับ พวกเจ้าไปบอกท่านพ่อของเราเถิดว่าเราจักอยู่ที่นี่” เหล่าทหารมองหน้ากันก่อนจะคุกเข่าลง
“ได้โปรดเถิดขอรับ กลับไปกับพวกข้าเถิดพวกข้ารับคำสั่งมาว่าต้องพาคุณชายกลับไปด้วยให้ได้”
“ข้าไม่กลับ พวกเจ้าไปบอกท่านพ่อข้าตามที่ว่าข้า” เหล่าทหารมองหน้ากันก่อนจะชักดาบออกมาจ่อไว้ที่คอของอี้ฟาน ชานยอลและมารดาไว้
“ถ้าท่านไม่ไปข้าจักต้องตัดหัวคนพวกนี้ไปให้ท่านพ่อของท่านแทน ได้โปรดเถอะขอรับ” อี้ฟานยกมือขึ้น เหล่าทหารก็ละดาบออก ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาชานยอลที่ยืนตัวสั่นเทาอย่างหวาดกลัว หยดน้ำตาเม็ดงามไหลรินผ่านเนื้อแก้มไป อี้ฟานเช็ดหยดน้ำตานั้นด้วยปลายนิ้วก่อนจะปฏิญาณว่าตนจะไม่ทำให้นกน้อยแสนรักต้องหลั่งน้ำตาอีก
“ข้าจะรีบกลับมา อย่ากังวลไปเลย” เอ่ยบอกด้วยภาษาถิ่นนี้ก่อนจะเดินนำเหล่าทหารไป
“เดี๋ยวสิ อี้ฟานกลับมาก่อน!!!!” เป็นครั้งแรกที่นกน้อยยอมเรียกชื่อของชายหนุ่ม แต่ชายหนุ่มก็ไม่หันกลับมา เด็กหนุ่มทรุดตัวลงร้องไห้กับพื้นโดยมีมารดาและน้องสาวกอดปลอด เสียใจที่ช่วยอะไรไมได้เลย นี่เราจักต้องพลัดพรากกันอีกกี่ครั้งกี่ครากัน
“ท่านน้าขายเครื่องเขียน!” คนที่แอบดูเหตูการณ์อยู่ไม่ห่างค่อยๆออกจากที่กำบังพร้อมกับเดินเข้ามาหาเด็กหนุ่ม
“ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวข้าจักไปช่วยคุณชายเอง เจ้าห้ามออกจากบ้านเป็นอันขาด” ก่อนที่ร่างนั้นจะเดินจากไป ชานยอลลุกขึ้นคว้าแขนเสื้อของอีกคนไว้
“ได้โปรท่านน้าบอกข้าเถิด คุณชายของท่านคิดการณ์สิ่งใดกันแล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น” มองหน้าเด็กหนุ่มที่น่าสงสารอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจแล้วยอมเล่าความจริง
“ความจริงก็คือ... คุณชายเตรียมการณ์ที่จะพาเจ้าและครอบครัวของเจ้าหนีไปจากบ้านเมืองนี้ก่อนที่ทหารขององค์จักรพรรดิจักมาจับพวกเจ้าไปเป็นเชลย ข้าว่าพวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อมเพราะเราอาจจักต้องอพยพกันเร็ววันนี้” ชานยอลที่ได้ยินความจริงก็ยิ่งน้ำตาซึม นึกเป็นห่วงคุณชายจากต่างเมืองยิ่งนัก
“ทำไมคุณชายของท่านน้าถึงต้องพาพวกข้าหนีด้วย ทั้งๆที่ภัยมันถึงตัวคุณชายก่อนพวกข้าเสียอีก” ท่านน้าขายเครื่องเขียนยิ้มแล้วมองปิ่นปักผมทองลายมังกรบนศีรษะของเด็กหนุ่มผู้โชคดีตรงหน้า
“ปิ่นปักผมทองของเจ้าเป็นของขวัญจากองค์จักรพรรดินีมอบให้แก่เหล่าข้าราชบริพาลที่ปฏิบัติงานได้สำเร็จลุล่วง เป็นของสูงศักดิ์ เป็นของพระราชทานที่จะไม่มอบให้แก่ใครใดๆ ... แต่บัดนี้มันกลับปักผมเจ้าอยู่ เจ้าคิดว่าทำไมคุณชายอี้ฟานถึงมอบมันให้แก่เจ้า” ฝ่ามือหยาบแตะลงที่บ่าเล็กของชานยอลแล้วตบเบาๆ
“ข้าว่าเจ้ารู้คำตอบอยู่แก่ใจเจ้าดี ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปช่วยคุณชายก่อน ไม่ช้าข้าจักกลับมาพร้อมกับคุณชาย”
แม้ว่าท่านน้าขายเครื่องเขียนจะเดินจากไปนานแล้วแต่ชานยอลกลับยืนอยู่ที่เดิม มือเล็กเอื้อมสัมผัสปิ่นปักผมก่อนที่จะวาดรอยยิ้มขึ้นมา คำพูดในวันที่ขี่ม้าเข้าไปในป่านั้นดังสะท้อนก้องอยู่ภายในหัวใจ คำสั้นๆเพียงหนึ่งคำที่ทำให้อุ่นวาบไปทั้งหัวใจ ........ซารังแฮ........
“ทำไมท่านพ่อทำกับข้าแบบนี้!!!” เมื่อเจอใบหน้าสูงวัยของบิดา อี้ฟานก็เอ่ยคำถามขึ้น เฉินฟางยกมือขึ้นไล่เหล่าทหารให้ออกไปจากซาลาที่ตนใช้พักผ่อน
“ทำไมข้าจักทำไม่ได้ ก็ข้าเป็นพ่อของเจ้า” น้ำเสียงเหยียบเย็นที่หนาวไปถึงขั้วหัวใจดังลอดออกมา
“แต่ก็มิใช่การเอาดาบจ่อคอใครแบบนี้ ท่านบอกจะตัดพ่อตัดลูกกับข้าแล้วใยจักต้องเรียกตัวข้ากลับมาอีก” เฉินฟางยกมุมปากขึ้นยิ้ม ถึงเรียวปากจะยิ้มแต่ทว่าดวงตากลับไม่ได้ยิ้มเลยแม้แต่น้อย
“แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังเป็นจ้าวชีวิตของเจ้า อู๋อี้ฟาน” ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้บิดาของตนที่นั่งเล่นหมกรุกในกระดานคนเดียว
“ท่านพ่อไม่ใช่จ้าวชีวิตข้า แต่เป็นข้าตั้งหากที่เป็นจ้าวชีวิตของตัวเอง!!!” เฉินฟางตบโต๊ะเสียงดังอย่างโกรธเกี้ยว
“เพราะไอ้เด็กชั้นต่ำนั่นใช่หรือไม่ที่ทำให้เจ้าแข็งข้อกับข้าถึงเพียงนี้!!!!! อู๋อี้ฟาน เจ้าจงอย่าลืมว่าชีวิตนี้ข้าให้เจ้าได้ ข้าก็เอามันคืนได้เช่นกัน!!!”
“ท่านไม่มีสิทธิ์!! ชีวิตเป็นของข้า หัวใจก็เป็นของข้าและนกน้อยก็เป็นของข้า ข้าจักมิยอมให้ท่านพ่อได้แตะต้องนกน้อยของข้าเป็นอันขาด!!!” เฉินฟางวางหมกไว้ที่กระดานของฝั่งตรงข้ามก่อนจะหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างสนุกสนาน อี้ฟานที่มองดูอยู่ก็คล้ายว่าจักไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดบิดาที่ตนรักและเคารพถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้
“หึหึหึหึ.... เจ้ามิยอมหรือ? เดี๋ยวเจ้าก็รู้” ดวงตาที่ปราดมองมาทำเอาอี้ฟานกลัวจับใจ
“ท่านพ่อ ท่านจักทำสิ่งใด” เอ่ยปาดถามคล้ายวิงวอนร้องขอชีวิต แต่เพชฌฆาตกลับได้สนใจไม่
“อีกไม่กี่เพลาเหล่าทหารขององค์จักรพรรดิจะมาถึงเมืองนี้และจักกวาดต้อนชาวเมืองทั้งหลายไปยังบ้านเมืองของเรา เจ้าไม่มีทางขัดคำบัญชาของฝ่าบาทได้หรอก ตัดใจเสียเถอะ” คล้ายว่าเหมือนมีน้ำเย็นๆสาดเข้าใส่อี้ฟานที่ยืนเบิกตากว้างอย่างตกใจ ไม่จริง ข้าคาดการณ์ผิดไปหรือนี่!?
“ว่าอย่างไรเล่าอี้ฟาน หึหึ เจ้าจักช่วยนกน้อยของเจ้าเยี่ยงไรดีหนอ~~” เฉินฟางยังคงเดินตาหมากไปเรื่อยๆและกินหมากเบี้ยของฝ่ายตรงข้ามจนเกือบจะหมดสิ้น อี้ฟานเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะหยิบตัวขุนของฝ่ายตรงข้ามแล้วข้ามไปวางแทนตำแหน่งของตัวขุนของบิดาตน
“ข้าก็จักรุกฆาตและจักอยู่กับนกน้อยของข้า” ทิ้งไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินออกมา แต่สองเท้าก็ต้องหยุดก้าวเมื่อถ้อยคำของบิดาตนเอ่ยออกมา
“เจ้ารู้หรือไม่ลูกรักของข้า ก่อนที่เรือของเหล่าทหารขององค์จักพรรดิจักมาถึงที่นี่ ข้าได้ส่งเรือมาเพื่อเอาตัวเจ้ากลับอีกมินานก็คงจักเทียบท่าแล้ว” แล้วเสียงหัวเราะของเฉินฟางก็ดังไปทั่ว
“ทหารจับตัวคุณชายไปไว้ยังเรือนเก็บของด้านหลัง!!!!”
“ไม่นะท่านพ่อ ท่านอย่าทำแบบนี้กับข้า ข้าจักไม่ต่อต้านท่านก็ได้แต่อย่าส่งข้ากลับ อย่าทำร้ายนกน้อยของข้า” แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือเสียงหัวเราะของบิดาเท่านั้น
บานประตูเก่าของเรือนเก็บของด้านหลังจวนพักถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของคุณชายอี้ฟานที่ถูกจับโยนเข้าไปด้านใน ด้านในยังพอมีแสงจากหน้าต่างลอดเข้ามาแต่ถ้าถึงยามมืดเมื่อไหร่ที่นี่ก็จักมืดสนิทไร้แสงสว่างใดๆ อี้ฟานเดินวนไปเวียนมาเพื่อหาทางออกจากเรือนเก็บของนี้ ตนจักต้องไปพาเด็กหนุ่มหนี แต่จักให้ทำอย่างไรทั้งทหารที่คุมเข้มอยู่ด้านหน้าและคงจักมิยอมให้ตนนั้นออกไปง่ายๆ
เสียงนกร้องดังเป็นจังหวะที่คุ้นเคยอี้ฟานค่อยๆเดินตามหาต้นกำเนิดเสียงนั้น ก่อนจะพบเข้ากับบานหน้าต่างเล็กๆด้านหลังกองฟางที่วางทับซ้อนกันอยู่ ดวงตาของคนขายเครื่องเขียนมองลอดเข้ามาสบกับดวงตาของอี้ฟานที่มองตอบอย่างโล่งอก
“นกน้อยของท่านปลอดภัยดี ข้าบอกให้เตรียมตัวเก็บของเตรียมหนีแล้วขอรับ” อี้ฟานวาดรอยยิ้มอย่างถูกใจที่ได้ยินประโยคนี้
“แล้วข้าจักออกไปเช่นไร อีกไม่กี่เพลาท่านพ่อจักส่งข้ากลับเมืองจีนไปกับเรือและเหล่าทหารขององค์จักรพรรดิก็จักมาเทียบท่าเสียแล้ว” ดวงตาของคุณชายแสนเศร้ายิ่งนัก กลับจับใจว่านกน้อยของตนจะบินหนีไม่พ้นกรงขังนั่น
“ท่านไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้าจักไปไหว้วานพวกผองให้ช่วยเหลือเอง เมื่อทุกอย่างพร้อมข้าจักกลับมาช่วยท่านออกไปจากที่นี่ในเร็ววัน” แล้วคนขายเครื่องเขียนก็ค่อยๆหลบจากไป ด้านหลังของบ้านก็คือป่ารกที่ไม่ติดกับอาณาบริเวณใดๆและผู้คนอาศัยก็มิใคร่สนใจ ดังนั้นจึงไม่มีใครเห็นว่าคุณชายแอบติดต่อกับใคร
“ข้าก็หวังเพียงว่าท่านจะกลับมาช่วยข้าได้ทันก่อนที่ท่านพ่อจะส่งข้ากลับ”
เจ้านกน้อย ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน ถ้าข้าออกไปจากที่นี่ได้ ข้าขอสัญญาว่าข้าจักมิแยกจากเจ้าอีกแล้ว ทุกภพทุกชาติข้าจักขอตามติดเจ้าไปแม้นจะไม่ได้ครองคู่กัน แต่ข้าก็จักรักเจ้ามิเปลี่ยนแปลง
การผูกมัดของคำมั่นสัญญาได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในภพชาตินี้ .... แม้นว่าจักมิมีผู้ใดล่วงรู้อนาคตแต่คำอธิษฐานก็สัมฤทธิ์ แม้นจักไม่ได้ครองคู่กันในชาตินี้แต่ภาพชาติต่อๆไปคนทั้งสองจักต้องเวียนว่ายมาบรรจบพบกันด้วยแรงมั่นอธิษฐาน คำสัญญานี้มิเปลี่ยนแปลงแม้ว่าผู้ให้คำมั่นจักลืมมัน เส้นด้ายที่ผูกมัดไว้รอบตัวก็จัดตามติดในทุกภพ ทุกชาติไป
ทั้งสองแม้นว่าจักอยู่กันคนละที่แต่คำมั่นสัญญากลับเป็นคำขอเดียวกัน รักแท้ได้พานมาพบเจอคล้ายดั่งปลายสุดเส้นด้ายได้ต่อหลอมรวมกันเป็นเส้นเดียวกันและหลอมมัดคนทั้งสองเข้าไว้ด้วยกันด้วยแรงปรารถนา
...ทุกภพ ทุกชาติ ข้าจักรักเจ้ามิเปลี่ยนแปลง เราจักอยู่ด้วยกันมิแยกจากไม่ว่าจะภพภูมิไหน ข้าจักตามเจ้าไปทุกภพชาติ...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น