ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF EXO] Impossible Miracle Love [คู่จิ้นตามใจฉัน]

    ลำดับตอนที่ #2 : [SF] Luhan x Xiumin - Stoker

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.37K
      5
      13 ม.ค. 56

    Title: Stoker
    Pairing: Luhan x Xiumin
    Author: BettyNoona
    Note: ฟิคป่วงค่อดๆ มาได้ไงก็ไม่รู้ 55555






    ลู่หาน... เด็กหนุ่มมาดเซอร์ที่ผู้คนพบเห็นก็มักจะบอกว่า ชายหนุ่มคนนี้จะต้องเรียนอยู่คณะสถาปัตยกรรมแน่นอน แต่หารู้ไม่ว่า ผู้ชายรูปร่างเล็ก ผมสีทองหยักศกที่ดูยุ่งเหยิงตลอดเวลา สะพายย่ามเก่าๆ ยีนส์สีซีดกับผ้าใบสีหม่นนี้เรียนอยู่คณะนิเทศศาสตร์เอกการถ่ายภาพ

    ปลายเรียวนิ้วของลู่หานขยับดันแว่นกรอบดำขึ้นบนสันจมูกก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองฟ้าสีสดใส เรียวปากเล็กวาดรอยยิ้มอย่างถูกใจก่อนจะล้วงมือลงในย่ามเก่าๆที่สะพายอยู่ที่ไหล่ขวาหยิบกล้องโปรคู่ใจแสนแพงขึ้นมาเปิดแล้วเตรียมถ่ายท้องฟ้าสีฟ้าสวยที่ก้อนปุยขาวลอยเอื่อยเฉื่อย

    ปลายเรียวนิ้วกดชัตเตอร์รัวพร้อมกับเปลี่ยนมุมไปทางนั้นที ทางนี้ที เมื่อได้รูปจนพอใจลู่หานก็ลดกล้องลงก่อนที่จะกดดูรูปที่ตัวเองถ่าย แล้วปากเล็กๆก็วาดรอยยิ้มจนดันดวงตาให้ยิบหยี ก่อนที่ลู่หานจะยกกล้องขึ้นอีกครั้งแล้วมองถ่ายออกไปไกลๆ ร่างที่อยู่ในเฟรมตอนนี้เรียกให้ลู่หานยิ่งหมุนเลนส์ซูมให้ซูมเข้าไปอีก เมื่อรู้ว่าเป็นใคร คนที่แอบถ่ายรูปอยู่ไกลๆก็วาดรอยยิ้มอย่างถูกใจ

    “นึกว่าใคร เปาจื่อนี่เอง” ชื่อที่ลู่หานตั้งและเรียกสำหรับใครบางคน คนที่ทำให้ลู่หานต้องพกกล้องไปไหนมาไหนเสมอ คนที่ทำให้หัวใจของเสี่ยวลู่หานเต้นแรง

    ลู่หานมองรูปในกล้องด้วยรอยยิ้มแม้จะเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ก็ได้แค่มุมไกลๆ แล้วก็จะเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งแต่ ‘เปาจื่อ’ ก็หายไปจากสายตาเสียแล้ว ลู่หานยักไหล่ก่อนที่จะเดินต่อไปยังตึกคณะของตัวเอง ลู่หานไม่ชอบขึ้นลิฟต์เพราะมันไม่สุนทรีย์พอ เขานั้นชอบมาเดินๆ กระโดดๆขึ้นบันไดเสียมากกว่า เพราะฉะนั้นอย่าถามหาความรีบเร่งอะไรกับลู่หานเลย เด็กนิเทศก็ใช่ว่าจะติสท์ไม่เป็นนะครับ~

    บานประตูห้องเอกถ่ายภาพถูกผลักเข้าไปพร้อมกับทุกสายตาที่หันมองจ้องผู้มาใหม่ เพราะนี่เลยเวลาการประชุมของเอกถ่ายภาพไปครึ่งชั่วโมงแล้ว ลู่หานเอียงคอก่อนที่จะส่งยิ้มให้เพื่อนและรุ่นน้องทั้งหลายก่อนที่จะเดินเข้าไปนั่งอยู่ที่ประจำของตน หลังห้องชิดริมหน้าต่าง ที่นั่งที่ลมเย็นจะพัดผ่านตลอด

    “หนังสือพิมพ์เล่มสุดท้ายที่พวกรุ่นพี่ปีสี่ที่จะทำก่อนจบไปนั้นคือเจาะลึกแก๊งดาวเดือนของทุกคณะนะ ทั้งชีวิตประจำวันการเรียน กีฬาหรือแม้แต่เพื่อนรอบกาย” ลู่หานหันกลับมาสนใจหัวข้อการประชุมอีกครั้ง นี่คือสาเหตุที่พวกรุ่นพี่ปีสี่เรียกเหล่าเด็กคณะมารวมตัวกัน

    “ขอคณะวิศวะ” ลู่หานยกมือขึ้นแล้วเอ่ยแทรกขัดการประชุมของเพื่อนเอกเดียวกันเพราะลู่หานเองก็อยู่ปีสี่เช่นกัน ปีนี้เป็นปีจบของเขาเช่นกัน

    “เออๆ ตามใจ มาว่ากันต่อ....” แล้วลู่หานก็หันไปสนใจกับทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างต่อไป

    ...เราจะได้เจอกันแบบใกล้ชิดเสียทีนะเปาจื่อ...

    ดาวเดือนของคณะวิศวะที่ลู่หานเลือกที่จะทำน่ะประกอบไปด้วย เดือนอย่าง อู๋อี้ฟาน หรือ คริส หนุ่มต่างชาติเชื้อสายจีน และ คิมจงอิน หรือ ไค หนุ่มผิวสีแทนเสนเซ็กซี่สำหรับสาวๆ และเดือนอย่าง ปาร์คชานยอล ที่เป็นแฮปปี้ไวรัสของทุกคน และ โดคยองซู หนุ่มร่างเล็กสุดน่ารักด้วยดวงตาแสนกลมโต

    แต่คนที่ลู่หานกำลังให้ความสนใจอยู่นึ้ถึงกับต้องมาแอบอยู่หลังต้นไม้เพื่อแอบถ่ายรูปคนทั้งกลุ่มก็คือ ‘เปาจื่อ’ หรือ คิมมินซอก ชายร่างเล็กที่ค่อนข้างเอนไปทางอวบนิดๆ ใบหน้ากลมคล้ายซาลาเปาที่มักจะยิ้มเสมอ แม้จะไม่ใช่เดือนของคณะวิศวะแต่กลับน่ารักและน่าเอ็นดูสำหรับใครหลายคนและแน่นอนรวมไปถึงลู่หานด้วย

    “แม่งพลาดอีกแล้ว” ลู่หานสบถอย่างหัวเสียเมื่อพยายามที่จะตามถ่ายรูปมินซอกทีไรไม่เบลอจนมัวก็พลาดเหมือนครั้งนี้เสียทุกที ครั้งนี้ในรูปก็มองเห็นแค่แผ่นหลังของเพื่อนทั้งสี่คนที่เดินอยู่เคียงข้างกันแต่กลับเห็นมินซอกแค่แขนเพราะตัวกลมๆนั้นดันก้าวเท้าไปด้านข้างเพื่อนคุยกับเพื่อนตัวโตอย่างคริสและร่างสูงใหญ่นั้นก็บังเสียเกือบมิด

    “อ้าวไปไหนแล้ว” พอยกกล้องส่งอีกทีทั้งห้าคนก็หายไปเสียแล้ว ลู่หานเลยถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเก็บกล้องลงย่ามคู่ใจห่อนที่จะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ แผ่นหลังเล็กพิงลำต้นใหญ่ของต้นไม้ไว้แล้วปล่อยควันขาวให้ลอยฟุ้งในอากาศ กลิ่นหอมหวานๆที่ลอยละลิ่วขึ้นหมุ่นวนไปกับอากาศนั้นเป็นกลิ่นที่ลู่หานชอบ ชอบจนนึกไปถึงเปาจื่อของตัวเองว่าจะกลิ่นหวานเท่าบุหรี่ในมือนี้ไหมนะ

    “ไงไอ้ลู่” คนที่โดนเรียกว่าไอ้ลู่หันไปมองก่อนที่จะพบเข้ากับเพื่อนสนิทต่างคณะที่ยืนฉีกยิ้มเดินเข้ามาหา

    “ไงไอ้ฮุน มาทำอะไร?” เซฮุนไม่ตอบแต่ยกซองบุหรี่ให้อีกคนดู ลู่หานพยักน้ารับรู้ก่อนที่จะหันไปพ่นควันอีกทาง

    “เฮ้ยต่อบุหรี่หน่อยดิ” ลู่หานหันปลายบุหรี่มาทางเซฮุนที่ก้มลงใช้ปลายบุหรี่ที่ยังไม่ได้จุดจ่อใกล้กับปลายมวนของลู่หาน ทั้งสองดูดอัดนิโคตินเข้าปอดก่อนที่จะพ่นออกมา ปลายมวนบุหรี่ของเซฮุนติดไฟแล้ว

    “มายืนทำอะไรตรงนี้วะ มาแอบตามเปาจื่ออีกแล้วหรือไง” ลู่หานสะบัดสายตาเรียวดั่งลูกกวางหาเซฮุนที่หัวเราะร่า

    “ทำตัวเป็นสโตรกเกอร์ไปได้นะมึง” ลู่หานยักไหล่ก่อนจะอัดนิโคตินเข้าปอดอีกครั้งหนักๆแล้วพ่นออกมาให้ควันมันลอยอ้อยอิ่งอยู่ตรงหน้า

    “กูไม่ได้เป็นสโตรกเกอร์ .. ก็แค่อยากรู้จัก” เซฮุนเลิกคิ้วก่อนจะผลักหัวเพื่อนข้างกาย ลู่หานสะบัดสายตามองอีกครั้งก่อนจะชกเข้าไปที่ท้องของคนผลักหัวตัวเองไม่เบานัก

    “มึงอยากรู้จักก็เข้าไปคุยสิวะ มาทำลับๆล่อๆถ่ายรูปเขามาได้ตั้งหลายปี นี่มึงจะจบแล้วนะมึงยังไม่ไปแนะนำตัวกับเขาอีกเหรอว่ามึงน่ะตามถ่ายรูปเขาแทบจะทุกวัน”

    “ก็จบพร้อมกันกับมึงนั่นแหละ” เซฮุนยกยิ้มก่อนจะดูดปลายมวนครั้งสุดท้ายก่อนทิ้งมันลงในกระป๋องใบเล็กที่ลู่หานวางไว้ที่พื้น

    “มึงไม่อยากให้เขารู้จักมึงเหรอวะ? ไม่อยากให้รู้เหรอว่ามึงสนใจเขา บางทีมึงกับเขาอาจจะได้เป็นแฟนกันก็ได้นะ” ลู่หานยักไหล่ก่อนที่จะดูดมวนในปากหนักๆแล้วทิ้งลงที่เดียวกับเซฮุน

    “กูไม่ดีพอที่เขาจะชอบกูหรอก กูแค่อยากเห็นหน้าเขาทุกวันก็เท่านั้น” เซฮุนส่ายหน้าก่อนที่จะตบไหล่เพื่อนหนักๆแล้วขอตัวออกไปก่อนเพราะวันนี้คณะบริหารของเขามีเลี้ยงรวมรุ่นกัน

    เมื่อเหลือคนเดียวลู่หานก็หยิบกล้องขึ้นมาเปิดที่ปิดเลนส์ออกแล้วยกขึ้นถ่ายท้องฟ้าอย่างที่ตนชอบถ่ายเป็นประจำ อย่างแรกที่ลู่หานชอบถ่ายก็คือเปาจื่อ อย่างที่สองก็คงจะเป็นท้องฟ้าสีสดใสในแบบที่ตนชอบนั่นแหละ จริงๆแล้วลู่หานไม่ใช่คนที่ชอบจับกล้องเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะใครบางคนที่วาดรอยยิ้มแสนสดในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสแบบนี้ตั้งหากล่ะที่ทำให้ลู่หานอยากถือกล้องแล้วถ่ายรอยยิ้มแสนสดใสนั้นเก็บไว้

    แต่พอเอาเข้าจริงๆลู่หานกลับถ่ายรูปเปาจื่อของตนนั้นไม่เบลอก็พลาดตลอด ทั้งๆที่ฝีมือด้านการถ่ายรูปของลู่หานก็ไม่เป็นสองรองใคร แต่ดูท่าว่ามินซอกของตนนั้นจะโผล่มาแค่แขน ขา เส้นผม บางทีก็แค่กระเป๋าให้ลู่ห่านได้เอารูปพวกนั้นมารวมต่อกันเองเสียล่ะมั้ง

    ลู่หานมองรูปที่ตนถ่ายไว้บนบอร์ดเหนือโต๊ะเขียนหนังสือในห้องนอนแล้วก็ถอนหายใจ ทั้งรูปประจำวันก็ไม่เอาไหนแถมงานที่ต้องทำยังไม่ได้เดินหน้าเลยสักนิด!! ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะปิดไฟที่โต๊ะแล้วลุกขึ้นเดินไปทิ้งตัวลงนอนกับเตียง หรือสงสัยว่าจะต้องลุกแบบที่เซฮุนบอก? เดินเข้าไปโต้งๆเลยดีไหม? แต่เห็นติสท์แบบนี้ ลู่หานคนนี้ก็อายเป็นนะเออ~

    เช้าวันใหม่ที่ไม่ค่อยสดใสเอาซะเลยเพราะวันนี้ท้องฟ้าเป็นสีเทาขุ่น ลู่หานเพียงแค่มองท้องฟ้าแล้วเดินก้มหน้าลงเดินต่อไปเพื่อไปยังมหาวิทยาลัย เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัยได้ลู่หานก็ล้วงหยิบแว่นกรอบดำขึ้นออกจากย่ามมาแล้วสวมไว้เพื่อบดบังสายตา แว่นนี้ไม่ใช่แว่นสายตาแต่เป็นแว่นเลนส์ใสธรรมดาที่เจ้าตัวเอามาใส่เพื่อหลบสายตาของคนอื่นเท่านั้น

    โชคดีที่วันนี้กลุ่มดาวเดือนวิศวะมานั่งรวมกลุ่มกันที่โต๊ะหินอ่อนข้างทางเดินในมหาวิทยาลัย และแน่นอนต้องมีมินซอกรวมอยู่ด้วย ดาวและเดือนของคณะสามปีซ้อน (ซึ่งทั้งสี่ได้รับตำแหน่งตั้งแต่ปีสองยันปีสี่ที่เป็นปีสุดท้าย) กำลังนั่งคุยอะไรกันก็ไม่รู้แล้วหัวเราะเสียงดังลั่นจะมีก็แต่เปาจื่อของลู่หานคนเดียวที่นั่งเท้าคางทำหน้าหงิก ...วันนี้เปาจื่อดูอารมณ์ไม่ดีเหมือนท้องฟ้าเลย...

    ลู่หานเลือกที่จะเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อหลบหลังต้นไม้แล้วแอบถ่ายรูปกลุ่มนั้น คือก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะแอบทำไมทั้งๆที่คนของเอกถ่ายภาพมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปพูดคุยและขอสัมภาษณ์ลงหนังสือของทางมหาวิทยาลัยได้อยู่แล้ว แต่ลู่หานกลับไม่ค่อยได้เข้าไปเพราะจะส่งรุ่นน้องเข้าไปแทนส่วนตัวเขานั้นก็แอบถ่ายรูปของคนที่นั่งทำหน้าบูดอยู่ไกลๆ

    “เอ๊ะ?” ลู่หานร้องออกมาเมื่อเช็ครูปในกล้อง รูปที่ถ่ายให้เห็นทั้งโต๊ะเพื่อที่จะใช้เป็นรูปรวมกลุ่มนั้นถ้าสายตาของเสี่ยวลู่หานไม่ผิดพลาด ดวงตากวางเห็นดวงตาเรียวนั้นมองหันมาทางกล้องเขา เมื่อยิ่งกดซูมขยายรูปในกล้องดูก็ยิ่งแน่ใจว่าคิมมินซอกหันมองมาทางกล้องเขาแน่ๆ

    “ก็แค่บังเอิญล่ะมั้ง” ลู่หานยกกล้องขึ้นอีกครั้งหมายว่าจะถ่ายรูปอีกแต่ทั้งโต๊ะที่เคยนั่งหัวเราะกันอยู่ๆก็แอบกระซิบกระซาบแล้วหันมามองที่เขายืนอยู่ ใบหน้าเรียวหันมองซ้ายขวาหาว่าคนโต๊ะนั้นมองอะไร ด้านหลังของลู่หานเป็นสนามบอลที่นักกีฬาของมหาวิทยาลัยกำลังซ้อมกันอยู่และเจ้าตัวก็พยักหน้ารับกับตนเองว่าพวกนั้นกำลังมองไปที่ด้านหลังของเขานั่นเอง

    “ไอ้ลู่โว๊ยยยยยยยยยย!!” เสียงตะโกนเรียกดังๆที่มาพร้อมกับเจ้าตัวที่กำลังวิ่งมาแทบจะสุดชีวิต วิ่งมาหยุดยืนหอบหายใจอยู่ข้างๆ

    “อะไรของมึงโวยวายอะไรวะ” เซฮุนที่ยืนหอบยันขาของตัวเองมองหน้าเพื่อนพร้อมกับลากแขนลู่หานให้ไปด้วยกัน

    “ไอ้ห่าไปจ่ายค่าแท็กซี่ให้หน่อย กูลืมหยิบกระเป๋าเงินมา!!” แล้วลู่หานก็โดนลากออกไปยังหน้าประตูมหาวิทยาลัย ดวงตากวางหันกลับไปมองก็เห็นว่าทั้งโต๊ะนั้นลุกขึ้นเดินไปกันแล้ว เปาจื่อในสายตาของลู่หานวันนี้ดูอารมณ์ไม่ดีสุดๆเลย

    วันนี้คาบบ่ายลู่หานไม่มีเรียนแต่ก็ต้องรอเพื่อที่จะส่งมินซอกกลับบ้าน แม้จะแค่ยืนมองส่งอยู่ไกลๆก็ตามแต่วันนี้ลู่หานจะเดินตามมินซอกกลับบ้านดู เอาน่า สักครั้งในชีวิตกับการเป็นสโตรกเกอร์แบบที่ไอ้เซฮุนบอก ลู่หานหยิบกล้องลูกรักขึ้นมาเช็ดๆ ถูๆแล้วหมายว่าจะยกขึ้นถ่ายใบไม้ ใบหญ้าแถวใต้ต้นไม้ที่ตนมานั่งสิงสถิตอยู่แต่พอเงยหน้าและกล้องขึ้นก็พบเข้ากับส่วนนั้นของใครบางคนที่ไม่น่าจะมาลอยเด่นอยู่ตรงหน้าได้เลยนะ

    “หื้อ? คริสเหรอ?” สองมือลดกล้องลงแล้วเลิกสนใจเป้าตรงหน้าเงยขึ้นมองคนที่มายืนขวางหน้าอยู่ก่อนที่จะเลิกคิ้วว่าเดือนคณะสุดเท่มายืนอะไรตรงหน้า แล้วไม่เข้าเรียนหรือไง?

    “มาทำอะไร ไม่เรียนหรือไง?” คริสไม่ตอบแต่ยังคงยืนกอดอกทำหน้านิ่ง ขอโทษนะถ้าคิดว่าลู่หานคนนี้จะกลัว

    “นายชื่อลู่หานสินะ อยู่เอกถ่ายภาพ ถามอะไรหน่อยสิ” คริสไม่ตอบแต่กลับเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่ด้านล่างเสียงเรียบ ยังไม่ทันที่ลู่หานจะเอ่ยตอบรับเสียงเรียบนิ่งก็เอ่ยแทรกขึ้นมา

    “นายกับโอเซฮุน เดือนคณะบริหารเป็นอะไรกัน” ลู่หานขมวดคิ้วอย่างสงสัยแต่ก็ตอบคำถามออกไปด้วยเสียงนิ่งๆ

    “เพื่อนที่สนิทกันมาก อยู่ข้างบ้านกันมาตั้งแต่อนุบาล” แล้วรอยยิ้มทรงเสน่ห์ของคริสที่เป็นที่เลื่องลือก็ถูกส่งมาให้คนด้านล่างพร้อมกับแรงตบที่ไหล่เบาๆ

    “ดีมากๆ ขอให้สมหวังนะ” แล้วเจ้าตัวก็เดินจากไปทิ้งไว้แต่ความงงงวยของลู่หานที่ยังคงนั่งประมวลผลอยู่ที่เดิม

    “อะไรของมันวะ ท่าจะประสาท”

    ท้องฟ้ายามเย็นของวันนี้เป็นสีฟ้าสดใสแบบที่ลู่หานชอบ เจ้าตัวยกกล้องขึ้นถ่ายอีกครั้งก่อนที่จะวาดรอยยิ้มเมื่อมองรูปในกล้อง สีฟ้าสดใสกับรอยยิ้มของคนที่หัวเราะเสียงดังออกมาจากตึกเรียน ลู่หานที่ยืนอยู่หน้าตึกวิศวะยกกล้องขึ้นถ่าย และครั้งนี้รูปก็ชัดมากเสียด้วย

    มินซอกที่หันมาเห็นก็มองลู่หานที่ก้มหน้ามองรูปในกล้อง สองขาสั้นๆวิ่งเข้ามาหาคนที่ยืนก้มหน้าอยู่หน้าคณะก่อนที่จะสะกิดไหล่เรียก ลู่หานเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็ต้องตกใจที่เห็นใบหน้ากลมๆอยู่ห่างออกไปไม่ไกลดั่งเช่นทุกครั้งที่แอบมอง

    “นายถ่ายรูปเราเหรอ? เป็นสโตรกเกอร์เหรอ?” มินซอกหัวเราะคิกคักกับใบหน้าเหวอๆของอีกคน ลู่หานส่ายหน้าไปมาคล้ายปฏิเสธก่อนที่จะละล่ำละลักบอกเสียงดัง

    “เปล่านะ! อะไรใครเป็น ไม่มี๊~” มินซอกหัวเราะคิกคักแล้วชี้นิ้วไปหาคนที่อ้าปากกว้างทำหน้าตกใจ

    “ก็นายนั้นแหละ นายถ่ายเราทุกวันมาสามปีแล้วนะ เรารู้นะ” คราวนี้ลู่หานกระพริบตาปริบๆมองคนตรงหน้าที่ยิ้มกว้างเสียจนแก้มกลมๆนั้นดันดวงตาให้เรียวเล็ก

    “เปาจื่อรู้เหรอ??” มินซอกหัวเราะคิกคักแล้วคว้ากล้องของคนตรงหน้ามากดดู ก่อนที่จะหันกลับไปเรียกเหล่าเพื่อนๆที่ยังคงยืนเรียงหน้ากระดานห่างๆกับเขาคอยมองสังเกตการณ์

    “ชานยอลอา มาถ่ายรูปให้หน่อย~” ชานยอลเดินยิ้มกว้างๆมารับกล้องไปแล้วยืนเตรียมพร้อมถ่าย มินซอกย้ายไปยืนข้างลู่หานแล้วยกมือขึ้นกอดคอคนที่ยังทำหน้าเหวอให้เข้ามาแนบชิด

    “เซย์ชีสนะลู่หาน” คนที่ได้ยินชื่อของตนเองจากปากของเปาจื่อทำหน้าตกใจแล้วหันไปมองใบหน้าด้านข้างของมินซอกที่ยิ้มกว้างชูสองนิ้วให้เพื่อนตัวสูงถ่ายรูป

    “ถ้าอยากถ่ายรูปเรามาขอกันตรงๆก็ได้นะ” และเป็นอีกครั้งที่ลู่หานได้เห็นรอยยิ้มที่แสนสดใสเหมือนกับท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าสดใส

    “เฮ้ย!!! ไอ้เจ้าสโตรกเกอร์เป็นลมไปแล้วเว๊ย!!!!” แล้วชานยอลก็ร้องเรียกเพื่อนๆให้เข้ามาช่วยดูลู่หานที่เป็นลมหงายหลังไปด้วยเสียงหัวเราะ มินซอกลงนั่งยองๆข้างลู่หานที่หมดสติไปแล้วก็ยิ้มออกมาก่อนจะจิ้มแก้มของคนหมดสติเบาๆ ...คิดว่าสโตรกคนอื่นเป็นคนเดียวหรือไงเสี่ยวลู่หาน...











    แถมอีกสักนิด

    “เฮ้ยไอ้สโตรกเกอร์มันมาแอบถ่ายมินซอกอีกแล้วว่ะ” ไคเอ่ยขึ้นพร้อมกับพยักพเยิดหน้าไปทางต้นไม้ใหญ่

    “มันก็มาทุกวันนะเอาจริงๆ ไม่เข้าไปหามันวะไอ้มินซอก” ชานยอลถามพร้อมกับอ้าปากรับขนมที่เดือนคณะตัวสูงป้อนให้

    “ไม่ล่ะ ยังไม่ถึงเวลารุก” แล้วทุกคนก็หัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุข

    คิมมินซอกไม่ใช่คนโง่และคิมมินซอกก็ไม่ใช่คนที่จะไม่สนใจรอบข้าง มินซอกรู้ทุกอย่างนั่นล่ะว่าตัวเขาน่ะมีใครบางคนมาแอบตามถ่ายรูปอยู่นานมากแล้ว คนที่มินซอกเคยเจอโดยบังเอิญ คนที่มินซอกบังเอิญตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ ร่างเล็กที่ดูบอบบางแต่ทว่าแข็งแกร่ง ทรงผมสีทองที่ดูยุ่งตลอดเวลากับย่ามคู่ใจนั้น ทำเอามินซอกเผลอใจเต้นแรง

    หลังจากหายไปอยู่นานคนนี้ก็กลับมาพร้อมกับกล้องคู่ใจที่ตามถ่ายเขาไปทุกที่แต่ถ้าจะให้อ่อยมากไปกว่านี้ก็คงจะไม่ดี มินซอกเลยจัดการใช้รูปร่างเล็กของตัวเองให้เป็นประโยชน์โดยการหนีและใช้เพื่อนเป็นเกาะกำบังแกล้งใครอีกคนที่คอยตามถ่ายรูป

    มินซอกไม่ใช่คนที่จะอารมณ์เสียแต่หลังจากที่เห็นลู่หานกับเซฮุนคล้ายจะจูบกันที่ใต้ต้นไม้ มินซอกก็อารมณ์เสียมากจนเพื่อนๆอดทนไม่ไหวจึงส่งให้คนที่สูงที่สุดไปถาม เมื่อได้ใจความว่าทั้งสองไม่ได้เป็นอะไรกัน มินซอกก็วางแผนรุกใครอีกคนทันที

    “ลู่หานอา เป็นอะไรมากไหม?” เมื่อคนที่เป็นลมได้สติ คยองซูกับชานยอลก็ค่อยๆประคองให้ลู่หานให้ลุกขึ้นนั่งโดยมีมินซอกที่นั่งยองๆอยู่ข้างวาดรอยยิ้มให้กำลังใจเสียเต็มใบหน้าถามไถ่อาการ

    “เปาจื่อ...” รอยยิ้มสดใสจนจ้าตา สดใสเหมือนท้องฟ้าสีครามสวยที่มีก้อนปุยขาวลอยเอื่อยๆและคนที่มองเห็นรอยยิ้มแสนสว่างนั้นอยู่ใกล้.. ใกล้จนแทบจะสัมผัสได้ก็หมดสติไปอีกรอบ

    “เฮ้ย!!!!!!” มินซอกหัวเราะคิกคักกับคนตรงหน้าที่ดูท่าว่าจะติสท์ไม่ออกเสียแล้ว


    ...ฉันจับนายได้แล้ว เสี่ยวลู่หาน คิกๆ...




    …FIN…

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×