ลำดับตอนที่ #13
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : [SF] ความบังเอิญ
หลังจากที่ตื่นมากลางดึกก็นอนไม่หลับอีกเลย ;A; เลยมานั่งเขียนฟิคก็ได้ ไม่แคร์ 55555
สารร่างแทบแหลกแต่ก็ไม่ยอมนอนนะจ๊ะะะะะะะะะะะ
ความบังเอิญ ก็คือ ความบังเอิญ ไม่มีเหตุผลอื่นใด บางทีที่คิดว่าใช่ มันก็อาจจะไม่ใช่ก็ได้....
#ม่าอัลไลตอนเช้าตรู่?
คิดถึงกันม๊ายยยยยยยยยยยยยยย ขอเสียงโหน๊ยยยยยยยยยยยยยยย
_________________________________________________________
ความบังเอิญบนโลกใบนี้ ... มันมีอยู่จริง ใครหลายคนอาจจะไม่คาดคิดแต่มันก็มีอยู่จริง
ใครหลายคนอาจจะไม่เคยสัมผัสมันแต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีอยู่จริง...
ปาร์คชานยอลเด็กเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่กำลังพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงได้ ชานยอลไม่ใช่เด็กหัวดีเท่าไหร่นัก แต่ในเมื่อที่บ้านยื่นข้อเสนอมาให้ว่าถ้าเขาสอบเข้าที่นี่ไม่ติดก็เตรียมตัวโดนเตะออกจากบ้านได้เลย.. นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมปาร์คชานยอลถึงต้องทำตัวเป็นหนอนหนังสือแบบนี้ทั้งๆที่ปกติแล้วเขาก็เด็กวัยรุ่นทั่วไปที่กิน เที่ยว เล่น เปรี้ยว ซ่าส์
สถานที่หนึ่งที่ชานยอลมักจะใช้โดยสารเป็นประจำคือ ‘รถไฟใต้ดิน’ เขาต้องใช้ในการสัญจรไปไหนต่อไหน เพราะสถานที่เรียนพิเศษของเขานั้นต้องนั่งรถไฟใต้ดินไป ชานยอลยืนเกาะเสาอยู่ที่มุมประตูมุมหนึ่งพร้อมกับสมุดช็อทโน้ตในมือ ดวงตากลมใต้กรอบแว่นสีดำกวาดไล่อ่านมันทุกตัวอักษรและจำมันไว้ในสมองให้มากที่สุด เพราะวันนี้เขามีเทสที่เรียนพิเศษและแน่นอนว่าเจาจะพลาดไม่ได้
สถานที่เรียนพิเศษก็เหมือนทั่วๆไปคือมีเด็กมาเข้าเรียนเยอะแยะเต็มไปหมด มากหน้าหลายตาแต่ชานยอลก็ไม่ได้สนใจที่จะสนิทกับใครเป็นพิเศษ เพราะอย่างที่บอกว่าถึงเด็กจะเยอะแยะแต่เขาก็มาเรียนพิเศษกันทั้งนั้น ชานยอลนั่งอยู่หลังห้องมุมซ้ายสุดของห้อง นั่นคือโต๊ะประจำของชานยอล
“หิวแล้วสิเนี่ย” ชานยอลบิดขี้เกียจแล้วก็บ่นงึมงำเบาๆหลังจากที่ส่งกระดาษคำตอบของการเทสในห้องเรียนพิเศษไปแล้ว แม้ว่าเขาจะหิวแค่ไหนแต่เขาก็ต้องกลับไปกินข้าวบ้านอยู่ดี ไม่ใช่เพราะงกหรอกแต่ชานยอลขี้เกียจยืนรอเข้าคิวต่างหากล่ะ
ชานยอลอาศัยเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินอีกครั้ง เขาก็คงยืนเกาะเสาอยู่ที่มุมประตูเช่นเดิม มือก็กางช็อทโน้ต ดวงตากลมก็ไล่อ่านตัวหนังสือที่ไม่ค่อยจะเป็นระเบียบเท่าไหร่ของตัวเอง ก็เป็นแบบนี้แทบจะทุกวัน หลังจากเรียนเสร็จเขาก็ต้องมาเรียนพิเศษต่อเพื่อที่จะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ตั้งใจไว้ให้ได้ การตั้งใจเรียนเป็นสิ่งที่ยากลำบากสำหรับเขา แต่ก็เอาเถอะในเมื่อเขาตั้งใจอะไรก็คงเป็นไปได้นั่นแหละ เหมือนคำกล่าวที่ว่า ไม่มีอะไรล้มเหลวถ้าเราตั้งใจ
ด้วยความสูงของเขาทำให้ในกรอบตาของชานยอลมองเห็นเจ้าของเรือนผมสีสว่างที่ยืนอยู่อีกฝากของรถไฟนี้ แม้ว่าผู้คนจะแออัดแค่ไหนก็ตาม เจ้าของเรือนผมสีอ่อนนั้นเองก็ก้มหน้าอ่านหนังสือในมือเช่นกัน คาดว่าคงจะเป็นเด็กเตรียมสอบเหมือนเขานั่นล่ะ ชานยอลละสายตาจากคนนั้นก่อนที่จะก้มหน้าลงอ่านหนังสือในมือต่อ...
โอเซฮุนเด็กเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังที่หัวดีทั้งด้านการเรียนและกีฬา มันไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าจะเห็นเซฮุนเอาแต่ขลุกอยู่กับหนังสือแม้ว่าเวลาว่างๆของเขาจะใช้ไปกับการเล่นกีฬาก็ตาม เซฮุนมักจะสอบได้อยู่ในอันดับต้นๆเสมอ แม้ว่าจะไม่ต้องอ่านหนังสือแต่เขาก็สามารถสอบผ่านไปได้อย่างสบายๆ แต่ก็อย่างว่านั่นล่ะ.. ทำไมเขาจะต้องไม่อ่านด้วยล่ะ? ไม่อยากมาเสียใจทีหลังว่า รู้งี้อ่านหนังสือดีกว่าจะได้คะแนนที่ดีกว่านี้
สถานที่หนึ่งที่เซฮุนมักจะใช้โดยสารเป็นประจำคือ ‘รถไฟใต้ดิน’ เพราะบ้านของเขาอยู่ใกล้กับรถไฟใต้ดินและก็สถานที่เรียนพิเศษก็สามารถนั่งรถไฟใต้ดินไปได้ เซฮุนไม่ค่อยชอบนั่งรถโดยสารประจำทางสักเท่าไหร่หรอก มันดูแออัดและจำกัดพื้นที่เกินไป เขาไม่ชอบแต่ถ้าเป็นรถไฟนั้นมันทำให้เขาได้ใช้เวลาในการพักสายตาไปกับการมองผู้คนที่ต่อยาวไปอีกโบกี้ได้ไม่ยากเลย
ด้วยความที่เขาชอบมองผู้คนไปเรื่อยนั้นก็ทำให้สายตาของเซฮุนไปปะทะกับเจ้าของเรือนผมสีดำเข้มที่ยืมก้มหน้าอ่านสมุดในมืออย่างตั้งใจ เจ้าของเรือนผมสีดำนั้นตัวสูงชนิดที่ว่าถ้ายืนอยู่คนละโบกี้มองมาก็เห็น เซฮุนยืนอยู่คนละฝั่งและเยื้องกันนั่นทำให้เขามองเห็นคนนั้นที่ยืนก้มหน้าอ่านหนังสือได้ถนัดนักล่ะ คนในกรอบตาเขาดูดียามที่ใบหน้านั้นแสดงความตั้งใจออกมา ก็เลย.. เผลอยิ้มออกไปโดยไม่รู้ตัว
“สามทุ่มแล้วเหรอเนี่ย” เซฮุนมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตัวเองก่อนที่จะถอนหายใจ คืนนี้เขาก็อดดูรายการตลกที่เขาชอบอีกแล้วสินะ บ่นเสียดายได้เพียงนิดก็ถึงสถานีที่เขาจะต้องลงแล้ว เซฮุนเดินออกจากประตูมายังสถานี และเขาก็ไม่ได้สนใจเจ้าของเรือนผมสีเข้มนั้นอีกเลย ว่าจะยังอยู่ในขบวนรถไฟหรือลงสถานีเดียวกันกับเขา
ชีวิตของเซฮุนก็วนเวียนอยู่แค่นี้เนี่ยแหละในช่วงเตรียมสอบแบบนี้น่ะ โรงเรียน ที่เรียนพิเศษ บ้าน วนอยู่แบบนี้แทบจะทุกวัน แต่ในเมื่อเขาตั้งใจแล้วว่าเขาจะต้องสอบให้ติดในมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งนี้เท่านั้น และมันก็คงเป็นเรื่องดีอยู่แล้วที่เซฮุนนั้นหัวดีอยู่แล้ว เซฮุนยกสองมือขึ้นประสานเหนือหัวแล้วบิดไล่ความเมื่อยที่สะสมมาแทบจะทั้งวันทิ้งไป พอตัวเขาได้มาเดินอยู่ในซอยเงียบๆ ที่สว่างด้วยแสงไฟจากเสาไฟข้างทางแล้วมันก็พาลให้เขานึกไปถึงใบหน้าที่ดูดีของคนๆนั้น
แต่จะว่าไปเซฮุนน่ะเห็นคนนี้มานานแล้วนะแต่ก็แค่พวกเขาสองคนไม่รู้จักกันและไม่เคยได้ทักทายกัน เรียนอยู่คนละโรงเรียน บ้านก็ไม่ได้อยู่ละแวกเดียวกัน แล้วก็ไม่รู้ว่าที่เรียนพิเศษของคนนั้นจะใช่ที่เดียวกันเขาหรือเปล่า แต่จะคิดไปก็เท่านั้น ก็ตอนนี้เขายังคงเป็นคนแปลกหน้าบนรถไฟใต้ดินที่เดินสวนผ่านกันเท่านั้น
วันนี้ชานยอลมีเรียนพิเศษเหมือนเช่นทุกวันแต่เขาทำเวรหลังเลิกเรียนอยู่คนเดียวเพราะโดนทโทษที่แอบหลับในห้องเรียน และนั่นมันก็ทำให้เขาช้า เวลาเริ่มเรียนพิเศษก็กระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยๆ ชานยอลก็เลยต้องใช้สองขายาวๆของตัวเองให้ประโยชน์เพื่อที่จะไปเข้าเรียนให้ทัน ด้วยความที่รีบนั้นก็ไม่ได้ทำให้ชานยอลระวังตัวอะไรคนรอบข้างเลย เขาจึงไม่เห็นว่าในขณะที่เขาจะวิ่งไปขึ้นรถไฟขบวนที่เคลื่อนเข้ามาจอดพอดีนั้น ข้างหน้าเขามีคนเดินขวางทางอยู่
“อ๊ะ!!” ชานยอลชนคนที่เดินนำหน้าจนคนนั้นเซถลาไปด้านหน้า ชานยอลที่อยู่ด้านหลังก็เกี่ยวเอวของคนที่จะล้มไว้ เมื่อคนนั้นหันมามองด้านหลังชานยอลก็รู้แล้วว่าคนนี้คือคนที่เขาเห็นบ่อยๆเวลามาขึ้นรถไฟใต้ดินนี้
“ขอโทษครับ ผมรีบมากไปหน่อย” ชานยอลปล่อยมือที่กอดเขาไว้ออก อีกฝ่ายส่งยิ้มสวยกลับมาให้
“ไม่เป็นไรครับ” ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มหูนั้นก็ทำให้ชานยอลลืมไปแล้วว่าตัวเองนั้นกำลังรีบ
“อ๊ะ ขอตัวก่อนนะผมรีบ” แล้วชานยอลที่ได้ยินเสียงเตือนของรถไฟก็รีบผละตัวออกมาทันทีเพื่อที่จะรีบไปขึ้นให้ทันรถไฟขบวนนั้น เมื่อชานยอลขึ้นไปได้บานประตูก็ปิดโดยอัตโนมัติ เจ้าตัวหันกลับไปมองก็เห็นว่าคนๆนั้นมายืนรออยู่ที่หลังเส้นเหลืองเพื่อที่จะโดยสารขบวนถัดไปแล้ว
ด้วยความบังเอิญเพียงแว่บเดียวที่ดวงตาของทั้งคู่ประสานกัน รอยยิ้มที่ริมฝีปากก็ถูกแต้มขึ้นบางๆจากคนทั้งสอง มอบให้แก่กันจนรถไฟขบวนนั้นเคลื่อนผ่านไป...
ชานยอลเกือบมาไม่ทันเข้าเรียนแน่ะแต่ก็มาได้อย่างหวุดหวิด วันนี้อาจารย์แจกใบคะแนนคืนแบะสอนย้ำเรื่องในข้อสอบ มันก็ไม่ได้น่าเบื่อและก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นัก.. เมื่อนึกถึงรอยยิ้มสวยๆนั้นที่ส่งมาให้ มันก็ทำให้คนนั่งเบื่อกับการเรียนนี้ได้มีเรื่องดีๆให้ได้นึกถึง บางทีเขาก็ไม่เข้าใจว่าบนโลกที่แสนจะบิดเบี้ยวใบนี้ มันมักจะมีเรื่องไม่คาดฝันเสมอแต่ชานยอลก็ไม่เคยเจอและไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับเขามากกว่า
บางทีเรื่องบังเอิญมันก็ไม่มีเหตุผลมากนักหรอก... ก็แค่เรื่องบังเอิญหนึ่งเรื่องบนโลกใบนี้... ที่จะทำให้อนาคตเปลี่ยนแปลงก็ได้
เมื่อเลิกคลาสแล้วชานยอลก็ได้แต่ทำหน้าเซ็งล่ะทีนี้ เพราะวันนี้พ่อ แม่กับพี่ชายของเขาไม่อยู่บ้านบอกให้เขาหากินมื้อเย็นเอาเองแล้วก็ล็อคบ้านให้ดีๆด้วย สงสัยเย็นนี้คงต้องกินข้าวคนเดียวซะแล้วมั้งน่ะ กวาดของบนโต๊ะลงกระเป๋าลวกๆก่อนที่จะสะพายเป้ใบเก่งไว้ที่หลังแล้วก็เดินออกจากห้องเรียนไป วันนี้ทุกคลาสเลิกเรียนพร้อมกันหมดเลย ซึ่งเป็นเรื่องแปลกเพราะปกติจะเลิกเลื่อมล้ำกันหมด สงสัยอาจารย์สอนพิเศษอาจจะมีนัดสังสรรค์กันก็ได้นะ
“เฮ้ยเซฮุนจะกลับบ้านแล้วเหรอน่ะ” เสียงเรียกดังๆนั่นทำให้ชานยอลหันไปมอง และมันก็ทำให้เจอกับเจ้าของเรือนผมสีอ่อนและเป็นคนเดียวกับที่เขาชนก่อนที่จะขึ้นรถไฟนั้นเดินออกมาจากห้องเรียนข้างๆ เจ้าของชื่อหันไปมองก่อนที่จะยกยิ้มให้
“อืม ที่บ้านไม่มีคนอยู่ต้องรีบกลับบ้านน่ะ ไปล่ะ” เซฮุนยกมือลาเพื่อน พอหันกลับมาก็เจอเข้ากับเจ้าของร่างสูงผมสีเข้มที่ชนเขา
“อ้าว / อ้าว” ทั้งสองเอ่ยทักก่อนที่จะส่งยิ้มให้กัน เหมือนว่าโลกมันกลมมาก.. ซึ่งจริงๆโลกก็กลมอยู่แล้วนั่นล่ะ
“นายชื่ออะไร / นายชื่ออะไร” ทั้งสองที่ถามขึ้นมาพร้อมกันอีกก็หัวเราะ และเป็นเซฮุนที่แนะนำตัวก่อน
“ฉันชื่อเซฮุน นายล่ะ”
“ชานยอล... เมื่อกี้ได้ยินว่านายอยู่บ้านคนเดียวเหรอ?” พอพูดถึงอยู่คนเดียวเซฮุนก็กรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่ายก่อนที่จะพยักหน้าเบาๆ
“ใช่ ที่บ้านไปทำธุระน่ะเลยทิ้งฉันไว้ที่บ้านคนเดียว”
“เหมือนกันเลย... ถ้างั้นไปกินข้าวด้วยกันไหม? ไหนๆก็ต้องกลับบ้านไปอยู่คนเดียวแล้วอ่ะ” เซฮุนทำท่าคิดสักนิด ก่อนที่จะส่งยิ้มนำไปก่อน
“ก็เอาสิ” แล้วทั้งสองก็เดินออกจากที่เรียนพิเศษไปด้วยกัน
เรื่องบังเอิญ... มันไม่เหตุผล ไม่มีตรรกะ ไม่มีอะไรทั้งนั้น ก็แค่เรื่องบังเอิญ ของเราสองคนที่ได้มาพบเจอกัน
เรื่องบังเอิญ... ก็แค่เรื่องบังเอิญหนึ่งเรื่องในโกลกกว้างใหญ่นี้ ก็แค่เรื่องของคนสองคนที่โชคชะตานำพาให้มาเจอกัน
เรื่องบังเอิญ... ก็คือเรื่องบังเอิญของชานยอลและเซฮุน
“รอนานหรือเปล่าอ่ะ” ชานยอลที่รีบวิ่งมาเอ่ยถามกับเซฮุนที่มายืนรออยู่ที่หน้าทางเข้าสถานทีรถไฟใต้ดิน เซฮุนยิ้มรับก่อนที่จะส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่นิ รอแปบเดียวเอง ไปกันเถอะ” แล้วทั้งสองก็เดินลงไปยังสถานีรถไฟใต้ดินด้วยกัน
ไม่ต้องแค่เดินสวนกัน ไม่ต้องเดินผ่านกันโดยที่ไม่รู้จักกันอีกแล้ว ไม่ต้องมองกันไปมาด้วยความไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว
เพราะตอนนี้เรื่องความบังเอิญของปาร์คชานยอลและโอเซฮุนกำลังเรียงร้อยเป็นเรื่องใหม่.. ให้ได้พบเจอทุกวัน
สารร่างแทบแหลกแต่ก็ไม่ยอมนอนนะจ๊ะะะะะะะะะะะ
ความบังเอิญ ก็คือ ความบังเอิญ ไม่มีเหตุผลอื่นใด บางทีที่คิดว่าใช่ มันก็อาจจะไม่ใช่ก็ได้....
#ม่าอัลไลตอนเช้าตรู่?
คิดถึงกันม๊ายยยยยยยยยยยยยยย ขอเสียงโหน๊ยยยยยยยยยยยยยยย
_________________________________________________________
ความบังเอิญบนโลกใบนี้ ... มันมีอยู่จริง ใครหลายคนอาจจะไม่คาดคิดแต่มันก็มีอยู่จริง
ใครหลายคนอาจจะไม่เคยสัมผัสมันแต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีอยู่จริง...
ปาร์คชานยอลเด็กเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่กำลังพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงได้ ชานยอลไม่ใช่เด็กหัวดีเท่าไหร่นัก แต่ในเมื่อที่บ้านยื่นข้อเสนอมาให้ว่าถ้าเขาสอบเข้าที่นี่ไม่ติดก็เตรียมตัวโดนเตะออกจากบ้านได้เลย.. นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมปาร์คชานยอลถึงต้องทำตัวเป็นหนอนหนังสือแบบนี้ทั้งๆที่ปกติแล้วเขาก็เด็กวัยรุ่นทั่วไปที่กิน เที่ยว เล่น เปรี้ยว ซ่าส์
สถานที่หนึ่งที่ชานยอลมักจะใช้โดยสารเป็นประจำคือ ‘รถไฟใต้ดิน’ เขาต้องใช้ในการสัญจรไปไหนต่อไหน เพราะสถานที่เรียนพิเศษของเขานั้นต้องนั่งรถไฟใต้ดินไป ชานยอลยืนเกาะเสาอยู่ที่มุมประตูมุมหนึ่งพร้อมกับสมุดช็อทโน้ตในมือ ดวงตากลมใต้กรอบแว่นสีดำกวาดไล่อ่านมันทุกตัวอักษรและจำมันไว้ในสมองให้มากที่สุด เพราะวันนี้เขามีเทสที่เรียนพิเศษและแน่นอนว่าเจาจะพลาดไม่ได้
สถานที่เรียนพิเศษก็เหมือนทั่วๆไปคือมีเด็กมาเข้าเรียนเยอะแยะเต็มไปหมด มากหน้าหลายตาแต่ชานยอลก็ไม่ได้สนใจที่จะสนิทกับใครเป็นพิเศษ เพราะอย่างที่บอกว่าถึงเด็กจะเยอะแยะแต่เขาก็มาเรียนพิเศษกันทั้งนั้น ชานยอลนั่งอยู่หลังห้องมุมซ้ายสุดของห้อง นั่นคือโต๊ะประจำของชานยอล
“หิวแล้วสิเนี่ย” ชานยอลบิดขี้เกียจแล้วก็บ่นงึมงำเบาๆหลังจากที่ส่งกระดาษคำตอบของการเทสในห้องเรียนพิเศษไปแล้ว แม้ว่าเขาจะหิวแค่ไหนแต่เขาก็ต้องกลับไปกินข้าวบ้านอยู่ดี ไม่ใช่เพราะงกหรอกแต่ชานยอลขี้เกียจยืนรอเข้าคิวต่างหากล่ะ
ชานยอลอาศัยเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินอีกครั้ง เขาก็คงยืนเกาะเสาอยู่ที่มุมประตูเช่นเดิม มือก็กางช็อทโน้ต ดวงตากลมก็ไล่อ่านตัวหนังสือที่ไม่ค่อยจะเป็นระเบียบเท่าไหร่ของตัวเอง ก็เป็นแบบนี้แทบจะทุกวัน หลังจากเรียนเสร็จเขาก็ต้องมาเรียนพิเศษต่อเพื่อที่จะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ตั้งใจไว้ให้ได้ การตั้งใจเรียนเป็นสิ่งที่ยากลำบากสำหรับเขา แต่ก็เอาเถอะในเมื่อเขาตั้งใจอะไรก็คงเป็นไปได้นั่นแหละ เหมือนคำกล่าวที่ว่า ไม่มีอะไรล้มเหลวถ้าเราตั้งใจ
ด้วยความสูงของเขาทำให้ในกรอบตาของชานยอลมองเห็นเจ้าของเรือนผมสีสว่างที่ยืนอยู่อีกฝากของรถไฟนี้ แม้ว่าผู้คนจะแออัดแค่ไหนก็ตาม เจ้าของเรือนผมสีอ่อนนั้นเองก็ก้มหน้าอ่านหนังสือในมือเช่นกัน คาดว่าคงจะเป็นเด็กเตรียมสอบเหมือนเขานั่นล่ะ ชานยอลละสายตาจากคนนั้นก่อนที่จะก้มหน้าลงอ่านหนังสือในมือต่อ...
โอเซฮุนเด็กเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังที่หัวดีทั้งด้านการเรียนและกีฬา มันไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าจะเห็นเซฮุนเอาแต่ขลุกอยู่กับหนังสือแม้ว่าเวลาว่างๆของเขาจะใช้ไปกับการเล่นกีฬาก็ตาม เซฮุนมักจะสอบได้อยู่ในอันดับต้นๆเสมอ แม้ว่าจะไม่ต้องอ่านหนังสือแต่เขาก็สามารถสอบผ่านไปได้อย่างสบายๆ แต่ก็อย่างว่านั่นล่ะ.. ทำไมเขาจะต้องไม่อ่านด้วยล่ะ? ไม่อยากมาเสียใจทีหลังว่า รู้งี้อ่านหนังสือดีกว่าจะได้คะแนนที่ดีกว่านี้
สถานที่หนึ่งที่เซฮุนมักจะใช้โดยสารเป็นประจำคือ ‘รถไฟใต้ดิน’ เพราะบ้านของเขาอยู่ใกล้กับรถไฟใต้ดินและก็สถานที่เรียนพิเศษก็สามารถนั่งรถไฟใต้ดินไปได้ เซฮุนไม่ค่อยชอบนั่งรถโดยสารประจำทางสักเท่าไหร่หรอก มันดูแออัดและจำกัดพื้นที่เกินไป เขาไม่ชอบแต่ถ้าเป็นรถไฟนั้นมันทำให้เขาได้ใช้เวลาในการพักสายตาไปกับการมองผู้คนที่ต่อยาวไปอีกโบกี้ได้ไม่ยากเลย
ด้วยความที่เขาชอบมองผู้คนไปเรื่อยนั้นก็ทำให้สายตาของเซฮุนไปปะทะกับเจ้าของเรือนผมสีดำเข้มที่ยืมก้มหน้าอ่านสมุดในมืออย่างตั้งใจ เจ้าของเรือนผมสีดำนั้นตัวสูงชนิดที่ว่าถ้ายืนอยู่คนละโบกี้มองมาก็เห็น เซฮุนยืนอยู่คนละฝั่งและเยื้องกันนั่นทำให้เขามองเห็นคนนั้นที่ยืนก้มหน้าอ่านหนังสือได้ถนัดนักล่ะ คนในกรอบตาเขาดูดียามที่ใบหน้านั้นแสดงความตั้งใจออกมา ก็เลย.. เผลอยิ้มออกไปโดยไม่รู้ตัว
“สามทุ่มแล้วเหรอเนี่ย” เซฮุนมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตัวเองก่อนที่จะถอนหายใจ คืนนี้เขาก็อดดูรายการตลกที่เขาชอบอีกแล้วสินะ บ่นเสียดายได้เพียงนิดก็ถึงสถานีที่เขาจะต้องลงแล้ว เซฮุนเดินออกจากประตูมายังสถานี และเขาก็ไม่ได้สนใจเจ้าของเรือนผมสีเข้มนั้นอีกเลย ว่าจะยังอยู่ในขบวนรถไฟหรือลงสถานีเดียวกันกับเขา
ชีวิตของเซฮุนก็วนเวียนอยู่แค่นี้เนี่ยแหละในช่วงเตรียมสอบแบบนี้น่ะ โรงเรียน ที่เรียนพิเศษ บ้าน วนอยู่แบบนี้แทบจะทุกวัน แต่ในเมื่อเขาตั้งใจแล้วว่าเขาจะต้องสอบให้ติดในมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งนี้เท่านั้น และมันก็คงเป็นเรื่องดีอยู่แล้วที่เซฮุนนั้นหัวดีอยู่แล้ว เซฮุนยกสองมือขึ้นประสานเหนือหัวแล้วบิดไล่ความเมื่อยที่สะสมมาแทบจะทั้งวันทิ้งไป พอตัวเขาได้มาเดินอยู่ในซอยเงียบๆ ที่สว่างด้วยแสงไฟจากเสาไฟข้างทางแล้วมันก็พาลให้เขานึกไปถึงใบหน้าที่ดูดีของคนๆนั้น
แต่จะว่าไปเซฮุนน่ะเห็นคนนี้มานานแล้วนะแต่ก็แค่พวกเขาสองคนไม่รู้จักกันและไม่เคยได้ทักทายกัน เรียนอยู่คนละโรงเรียน บ้านก็ไม่ได้อยู่ละแวกเดียวกัน แล้วก็ไม่รู้ว่าที่เรียนพิเศษของคนนั้นจะใช่ที่เดียวกันเขาหรือเปล่า แต่จะคิดไปก็เท่านั้น ก็ตอนนี้เขายังคงเป็นคนแปลกหน้าบนรถไฟใต้ดินที่เดินสวนผ่านกันเท่านั้น
วันนี้ชานยอลมีเรียนพิเศษเหมือนเช่นทุกวันแต่เขาทำเวรหลังเลิกเรียนอยู่คนเดียวเพราะโดนทโทษที่แอบหลับในห้องเรียน และนั่นมันก็ทำให้เขาช้า เวลาเริ่มเรียนพิเศษก็กระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยๆ ชานยอลก็เลยต้องใช้สองขายาวๆของตัวเองให้ประโยชน์เพื่อที่จะไปเข้าเรียนให้ทัน ด้วยความที่รีบนั้นก็ไม่ได้ทำให้ชานยอลระวังตัวอะไรคนรอบข้างเลย เขาจึงไม่เห็นว่าในขณะที่เขาจะวิ่งไปขึ้นรถไฟขบวนที่เคลื่อนเข้ามาจอดพอดีนั้น ข้างหน้าเขามีคนเดินขวางทางอยู่
“อ๊ะ!!” ชานยอลชนคนที่เดินนำหน้าจนคนนั้นเซถลาไปด้านหน้า ชานยอลที่อยู่ด้านหลังก็เกี่ยวเอวของคนที่จะล้มไว้ เมื่อคนนั้นหันมามองด้านหลังชานยอลก็รู้แล้วว่าคนนี้คือคนที่เขาเห็นบ่อยๆเวลามาขึ้นรถไฟใต้ดินนี้
“ขอโทษครับ ผมรีบมากไปหน่อย” ชานยอลปล่อยมือที่กอดเขาไว้ออก อีกฝ่ายส่งยิ้มสวยกลับมาให้
“ไม่เป็นไรครับ” ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มหูนั้นก็ทำให้ชานยอลลืมไปแล้วว่าตัวเองนั้นกำลังรีบ
“อ๊ะ ขอตัวก่อนนะผมรีบ” แล้วชานยอลที่ได้ยินเสียงเตือนของรถไฟก็รีบผละตัวออกมาทันทีเพื่อที่จะรีบไปขึ้นให้ทันรถไฟขบวนนั้น เมื่อชานยอลขึ้นไปได้บานประตูก็ปิดโดยอัตโนมัติ เจ้าตัวหันกลับไปมองก็เห็นว่าคนๆนั้นมายืนรออยู่ที่หลังเส้นเหลืองเพื่อที่จะโดยสารขบวนถัดไปแล้ว
ด้วยความบังเอิญเพียงแว่บเดียวที่ดวงตาของทั้งคู่ประสานกัน รอยยิ้มที่ริมฝีปากก็ถูกแต้มขึ้นบางๆจากคนทั้งสอง มอบให้แก่กันจนรถไฟขบวนนั้นเคลื่อนผ่านไป...
ชานยอลเกือบมาไม่ทันเข้าเรียนแน่ะแต่ก็มาได้อย่างหวุดหวิด วันนี้อาจารย์แจกใบคะแนนคืนแบะสอนย้ำเรื่องในข้อสอบ มันก็ไม่ได้น่าเบื่อและก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นัก.. เมื่อนึกถึงรอยยิ้มสวยๆนั้นที่ส่งมาให้ มันก็ทำให้คนนั่งเบื่อกับการเรียนนี้ได้มีเรื่องดีๆให้ได้นึกถึง บางทีเขาก็ไม่เข้าใจว่าบนโลกที่แสนจะบิดเบี้ยวใบนี้ มันมักจะมีเรื่องไม่คาดฝันเสมอแต่ชานยอลก็ไม่เคยเจอและไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับเขามากกว่า
บางทีเรื่องบังเอิญมันก็ไม่มีเหตุผลมากนักหรอก... ก็แค่เรื่องบังเอิญหนึ่งเรื่องบนโลกใบนี้... ที่จะทำให้อนาคตเปลี่ยนแปลงก็ได้
เมื่อเลิกคลาสแล้วชานยอลก็ได้แต่ทำหน้าเซ็งล่ะทีนี้ เพราะวันนี้พ่อ แม่กับพี่ชายของเขาไม่อยู่บ้านบอกให้เขาหากินมื้อเย็นเอาเองแล้วก็ล็อคบ้านให้ดีๆด้วย สงสัยเย็นนี้คงต้องกินข้าวคนเดียวซะแล้วมั้งน่ะ กวาดของบนโต๊ะลงกระเป๋าลวกๆก่อนที่จะสะพายเป้ใบเก่งไว้ที่หลังแล้วก็เดินออกจากห้องเรียนไป วันนี้ทุกคลาสเลิกเรียนพร้อมกันหมดเลย ซึ่งเป็นเรื่องแปลกเพราะปกติจะเลิกเลื่อมล้ำกันหมด สงสัยอาจารย์สอนพิเศษอาจจะมีนัดสังสรรค์กันก็ได้นะ
“เฮ้ยเซฮุนจะกลับบ้านแล้วเหรอน่ะ” เสียงเรียกดังๆนั่นทำให้ชานยอลหันไปมอง และมันก็ทำให้เจอกับเจ้าของเรือนผมสีอ่อนและเป็นคนเดียวกับที่เขาชนก่อนที่จะขึ้นรถไฟนั้นเดินออกมาจากห้องเรียนข้างๆ เจ้าของชื่อหันไปมองก่อนที่จะยกยิ้มให้
“อืม ที่บ้านไม่มีคนอยู่ต้องรีบกลับบ้านน่ะ ไปล่ะ” เซฮุนยกมือลาเพื่อน พอหันกลับมาก็เจอเข้ากับเจ้าของร่างสูงผมสีเข้มที่ชนเขา
“อ้าว / อ้าว” ทั้งสองเอ่ยทักก่อนที่จะส่งยิ้มให้กัน เหมือนว่าโลกมันกลมมาก.. ซึ่งจริงๆโลกก็กลมอยู่แล้วนั่นล่ะ
“นายชื่ออะไร / นายชื่ออะไร” ทั้งสองที่ถามขึ้นมาพร้อมกันอีกก็หัวเราะ และเป็นเซฮุนที่แนะนำตัวก่อน
“ฉันชื่อเซฮุน นายล่ะ”
“ชานยอล... เมื่อกี้ได้ยินว่านายอยู่บ้านคนเดียวเหรอ?” พอพูดถึงอยู่คนเดียวเซฮุนก็กรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่ายก่อนที่จะพยักหน้าเบาๆ
“ใช่ ที่บ้านไปทำธุระน่ะเลยทิ้งฉันไว้ที่บ้านคนเดียว”
“เหมือนกันเลย... ถ้างั้นไปกินข้าวด้วยกันไหม? ไหนๆก็ต้องกลับบ้านไปอยู่คนเดียวแล้วอ่ะ” เซฮุนทำท่าคิดสักนิด ก่อนที่จะส่งยิ้มนำไปก่อน
“ก็เอาสิ” แล้วทั้งสองก็เดินออกจากที่เรียนพิเศษไปด้วยกัน
เรื่องบังเอิญ... มันไม่เหตุผล ไม่มีตรรกะ ไม่มีอะไรทั้งนั้น ก็แค่เรื่องบังเอิญ ของเราสองคนที่ได้มาพบเจอกัน
เรื่องบังเอิญ... ก็แค่เรื่องบังเอิญหนึ่งเรื่องในโกลกกว้างใหญ่นี้ ก็แค่เรื่องของคนสองคนที่โชคชะตานำพาให้มาเจอกัน
เรื่องบังเอิญ... ก็คือเรื่องบังเอิญของชานยอลและเซฮุน
“รอนานหรือเปล่าอ่ะ” ชานยอลที่รีบวิ่งมาเอ่ยถามกับเซฮุนที่มายืนรออยู่ที่หน้าทางเข้าสถานทีรถไฟใต้ดิน เซฮุนยิ้มรับก่อนที่จะส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่นิ รอแปบเดียวเอง ไปกันเถอะ” แล้วทั้งสองก็เดินลงไปยังสถานีรถไฟใต้ดินด้วยกัน
ไม่ต้องแค่เดินสวนกัน ไม่ต้องเดินผ่านกันโดยที่ไม่รู้จักกันอีกแล้ว ไม่ต้องมองกันไปมาด้วยความไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว
เพราะตอนนี้เรื่องความบังเอิญของปาร์คชานยอลและโอเซฮุนกำลังเรียงร้อยเป็นเรื่องใหม่.. ให้ได้พบเจอทุกวัน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น