คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : JOURNEY 04
“โอ๊ะๆๆๆ สายแล้วๆๆๆ” ชานยอลรีบวิ่งออกจากห้องนอนทันที วันนี้พวกเรากำลังจะไปอัดเสียงเพลงในอัลบั้มกัน พี่จุนมยอนยืนทำหน้าดุอยู่กลางห้องพร้อมกับสองมือเท้าสะเอว บ่งบอกว่าถ้าเขาช้าอีกเพียงนาทีเดียวล่ะก็ปาร์คชานยอลเละเป็นโจ๊กแน่ๆ
“ชานยอล” เจ้าของชื่อรีบวิ่งดุ๊กดิ๊กเข้าไปกอดอ้อนหัวหน้าวงตัวขาวของตัวเองทันที
“พี่จุนมยอน~” จุนมยอนถอนหายใจแล้วส่ายหน้าไปมาก่อนที่จะยกมือลูบหัวน้องที่ซุกที่ไหล่เขาเบาๆ
“ไปๆรีบไปกันได้แล้ว ถ้าสายนะเดี๋ยวชานยอลจะได้ทำความสะอาดทั้งหอ” ชานยอลตะเบ๊ะทำท่ารับทราบแล้วก็วิ่งจู๊ดออกจากห้องไปเลย จุนมยอนยิ้มขำแล้วส่ายหน้าไปมาก่อนที่จะเดินออกจากห้องพักเป็นคนสุดท้าย
วันนี้พวกเขาทุกคนมาที่บริษัทกัน วันนี้จะอัดเพลงที่ใช้เปิดตัวกันดังนั้นวันนี้พวกเขาคงจะได้อยู่ในห้องอัดกันทั้งวันทั้งคืนแน่ๆ ทุกคนกำลังจมอยู่กับเนื้อเพลงในมือและก้มหน้าอยู่ในมุมของตัวเอง ชานยอลหลบมุมพยายามตั้งสมาธิและจำท่อนแร๊พของตัวเองไม่ให้พลาด เพราะเขาไม่อยากทำพลาดให้ต้องอัดใหม่หลายๆรอบมันกดดันเกินไป พอยิ่งกดดันการร้องเพลงต่อไปมันก็จะยิ่งเป๋และเขวไปเลย
เสียงของเทาที่ร้องแร๊พดังคลอขึ้นพร้อมกับชานยอลที่เริ่มร้องอีกรอบ ริมฝีปากสีสดหยุดเปล่งเสียงแล้วนึกไปถึงใครอีกคนที่มักจะมานั่งหัวชนกับเขาแล้วก็ร้องต่อเนื้อเพลงกัน พวกเขามักจะร้องด้วยกันแล้วก็คอยแก้ตรงนี้ ตรงนั้นของท่อนตัวเองเสมอ
นึกๆไปแล้วก็คิดถึงนะ ชานยอลสะบัดหัวไปมาไล่ภาพต่างๆในหัวออกไปให้หมดก่อนที่จะเริ่มร้องท่อนของตัวเองอีกครั้ง
การอัดเพลงวันนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี... เสียเมื่อไหร่กัน กว่าที่จะหลุดพ้นรอดออกจากห้องอัดมาได้ก็แทบจะสลบไสลกันไปตามๆกัน ก็หิวกันนะแต่ทว่าง่วงนอนมากกว่า ก็นี่มันจะเช้าวันใหม่อยู่มะรอมมะร่ออยู่แล้ว ไหนจะต้องตื่นแล้วมาซ้อมเต้นต่ออีก อยากจะเดินขึ้นไปนอนที่ห้องซ้อมเต้นกันเลยเถอะ ตื่นมาปุ๊บก็ซ้อมได้เลยปั๊บ!
พอลับมาถึงหอได้ชานยอลก็เดินไปทิ้งตัวลงดิ่งลงบนเตียงนอนของตัวเอง นอนเหยียดยาวนิ่งๆก่อนที่จะหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงออกมา ยังไม่ทันที่จะได้วางไว้ข้างหมอนมันก็ส่งเสียงเตือนว่ามีข้อความแชทส่งมา ชานยอลทำหน้าแปลกใจก่อนที่จะเลื่อนปลายนิ้วเปิดดูข้อความนั้น แล้วริมฝีปากก็วาดรอยยิ้มแทนที่ความสงสัย
...เพิ่งถึงหอใช่ไหม ฝันดีนะ...
ชานยอลมองตัวอักษรเหล่านั้นแล้วก็วาดรอยยิ้มออกมา เปลือกตาบางที่หนักอึ้งค่อยๆปิดลงมาแล้วสติก็ค่อยๆจมดิ่งลงสู่ห้วงนิทรา ทำไมคนนั้นถึงรู้นะว่าตัวเขาเพิ่งถึงหอ ทำไมถึงได้ส่งข้อความมาตอนนี้นะทั้งๆที่เมื่อคืนก็เพิ่งบินกลับบ้านเกิดแท้ๆ ทำไมกัน..
แต่ชานยอลไม่อยากหาคำตอบแล้ว จะรู้ก็แต่ว่าวันนี้คงได้นอนฝันดีอีกหนึ่งคืน
หลังจากที่ต้องตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงียด้วยฝีมือการมาปลุกของพี่จุนมยอนแล้ว ชานยอลก็ต้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปซ้อมเต้นกัน ไม่นานทุกคนก็พร้อมกันที่ห้องซ้อม เมื่อคนพร้อม ครูสอนเต้นพร้อมจะมัวรอช้าอยู่ใยก็ซ้อมเต้นกันเถอะ!!
สายตาที่มุ่งมั่นมองไปด้านหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนเงา เด็กหนุ่มทุกคนกำลังวาดลวดลายท่วงท่าอย่างสวยงามและพร้อมเพรียง เสียงเพลงที่เปิดจากเครื่องเล่นนั้นก็เป็นจังหวะสนุกสนาน ท่าเต้นก็เป็นท่าสนุกสนานที่สามารถแสดงถึงศักยภาพของเด็กกลุ่มนี้ ทั้งการร้องและการเต้น
หลังจากการซ้อมมาราธอนจบลงทุกคนก็หามุมสงบแล้วทิ้งดิ่งตัวเองลงนอนกับพื้นเพื่อพักให้หายเหนื่อยก่อนที่จะต้องลุกขึ้นมาซ้อมเต้นกันต่อ ชานยอลเดินไปหาสอง พี่ใหญ่ที่นั่งพิงกระจกแล้วก็คุยกันถึงเรื่องว่าวันหยุดหน้าจะไปซื้อของที่ร้านไหนดี ร่างโปร่งบางเดินไปลงนั่งข้างลู่หานเพราะด้านของมินซอกติดกำแพงแทรกตัวเข้าไปไม่ได้
“ไงไอ้ตัวแสบเต้นผิดหลายรอบเลยนะเราน่ะ” ลู่หานมองหางตาใส่เข้าให้ ชานยอลก็ได้แต่ยิ้มแหะๆเพราะตัวเขาก็เต้นผิดบ่อยจนต้องเริ่มใหม่หลายรอบอยู่เหมือนกัน ก็มันยากจำไม่ได้นินา~
“พี่ลู่หานก็~~” ชานยอลยู่ปากใส่ ลู่หานก็หัวเราะ มินซอกชะโงกหน้ามามองแล้วยิ้มให้
“ถ้ารอบนี้มีผิดอีกล่ะก็....” แค่มินซอกทิ้งเสียงไว้แบบนั้นชานยอลก็รู้สึกได้ถึงลางร้ายแล้วสิเนี่ย
“พี่มินซอกอ่ะ” เด็กตัวโตก็ยิ่งทำหน้ามุ่ย มินซอกเอื้อมตัวมาขยี้ผมชานยอลเบาๆ
“มีอะไรหรือเปล่าเนี่ย หรือจะให้ไปสอนภาษาจีนอีก” ลู่หานถาม ชานยอลส่ายหน้า
“ก็ไม่ใช่หรอกพี่ ยังอ่านไม่จบเลยเวลาน้อยคนมันหล่อก็งี้~” ชานยอลเสยผมแล้วทำหน้าเก๊กหล่อจนลู่หานทนไม่ไหวผลักหัวเข้าให้หนึ่งที โอเซฮุนก็โวยวายเสียงดังมาจากอีกฟากห้องว่าทำพี่ชานยอลเขาได้ไง ฝากด้วยอีกที ไอ้เด็กนี่นิ!!!
“แล้วมีอะไร” ชานยอลเลิกเล่นแล้วทำสีหน้าจริงจังจนลู่หานกับมินซอกสงสัย
“ผมอยากถามอ่ะและผมหวังว่าพี่จะตอบนะ”
“ถ้าตอบได้นะ” ลู่หานยิ้ม
“จริงๆผมอยากจะถามนานแล้วแหละแต่ผมว่าถามตอนนี้อ่ะดีแล้ว... พี่โกรธ พี่คริสไหม” พอได้ยินชื่อบุคคลที่สี่ที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ลู่หานกับมินซอกก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปนิดหน่อย
“เฮ้อ... โกรธไหมก็นิดหน่อยแต่ถ้าเป็นตอนนี้อาจจะไม่โกรธแล้วก็ได้ล่ะมั้ง” ลู่หานถอนหายใจเสียยืดยาว
“พี่ยกโทษให้เขาแล้วเหรอ” ลู่หานยิ้มแล้วยื่นมือไปขยี้ผมชานยอลแรงๆ
“พี่ก็ไม่ได้โกรธมากขนาดนั้นถึงกับจะต้องยกโทษให้กันนะ พี่ก็แค่เข้าใจล่ะมั้ง” ลู่หานไหวไหล่
“จริงๆแล้วพี่รู้ใช่ไหม” แต่คำถามนี้ลู่หานไม่ตอบ พอชานยอลเลื่อนสายตาไปมองที่มินซอกพี่ใหญ่ของวงก็ไม่มีคำตอบให้เช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้นผมจะถือว่ามันคือคำตอบว่าใช่นะ แล้วพี่ยังติดต่อเขาอยู่ไหม” ลู่หานยิ้มแล้วพยักหน้ายอมรับ ชานยอลถอนหายใจ .. ว่าแล้วเชียว
“ผมก็โกรธนะ” อยู่ๆจื่อเทาก็เดินมาทิ้งตัวลงนอนหนุนขาของลู่หานเสียอย่างนั้น ถ้าไปนอนหนุนพี่มินซอกคงโดนบ่น ถ้าเป็นพี่ชานยอลก็คงโดนแกล้งแน่ๆ แต่พี่ลู่หานก็โดนแกล้งเหมือนกัน .. เอาน่าค่าเท่ากัน
“จื่อเทา” มินซอกใช้สายตาห้ามปราม เพราะมันคงจะไม่เหมาะที่จะมาว่าหรือพูดถึงคนนั้นที่อยู่ในบทสนทนาแค่ชื่อ น้องเล็กคนนี้ตัวอันตรายในเรื่องความปากไวและความงอแงเลย จื่อเทาหันไปทำหน้ามุ่ยใส่พี่ใหญ่
“ก็บอกเฉยๆว่าโกรธ ตอนนี้ก็ยังไม่หายหรอกแค่น้อยใจเฉยๆแต่ก็โอเคดี” จื่อเทายิ้มให้ชานยอล
“พูดงงๆนะไอ้นี่” ชานยอลยื่นมือไปตีไหล่น้องเบาๆ
“พี่ชานยอลคิดถึงพี่คริสใช่ไหมล่ะ” น้ำเสียงของเทาที่ใช้คุยเป็นปกติก็เลยทำให้ทั้งห้องซ้อมหันมาสนใจพวกเขา ตอนที่ชานยอลคุยกับลู่หานก็ใช่เสียงเบาๆคุยกันก็เพราะกลัวว่าคนอื่นๆจะรู้สึกไม่ดีเอา
“ทำนองนั้นมั้ง” เทายิ้มแล้วเลื่อนมือไปลูบสร้อยข้อมือของคริสที่ข้อมือของ ชานยอลเบาๆ เขาจำเครื่องประดับของคนนั้นได้ทุกชิ้นและเขาก็รู้ว่าอะไรบ้างที่ชานยอลเอาไปใช้
“ผมก็คิดถึงเขาเหมือนกัน” แม้ไม่ต้องมีประโยคใดขยายความ ความหมายของมันก็ชัดเจน
ทั้งห้องซ้อมดั่งตกอยู่ในภวังค์ ไม่มีใครพูดอะไรต่อจากประโยคของเทา ไม่มีใครเริ่มสานต่อบทสนทนาที่ค้างไว้อยู่สักคน บาดแผลที่มันตกสะเก็ดพอสะกิดอีกครั้งมันก็รู้สึก
ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บแต่ทว่าเราก็รับรู้ว่าเรายังมีความรู้สึกและบาดแผลนั้นจะย้ำเตือนเราถึงเรื่องราวของมัน
ชานยอลมองไปรอบๆห้องแล้วก็ก้มหน้าลง เขารู้ว่าทุกคนก็ยังคงคิดถึง ยังคงหวนนึกถึงความทรงจำเก่าๆที่เรามีร่วมกันมา แม้จะรู้สึกเสียดแทงแต่ทว่ามันก็ยังคงหวานละมุน สายสัมพันธ์มันตัดกันไม่ขาดหรอก ชานยอลเชื่อแบบนี้
“เอ้านั่งนิ่งกันหายเหนื่อยแล้วสินะ ลุกมาซ้อมต่อเร็วๆ” เสียงของครูสอนเต้นดังขึ้น ทุกคนหันไปโอดโอยใส่
“โห่ ชอนแซงนิม!!”
“หรือจะเพิ่มอีกสักชั่วโมงหนึ่งดี?” เด็กทุกคนรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งมายืนประจำที่ทันที ริมฝีปากติดอยู่บนใบหน้าที่แสดงว่าสะใจนิดๆที่ขู่ให้พวกทโมนกลัวกันได้
และแล้วการซ้อมก็ดำเนินต่อไป
ชานยอลที่มองเงาในกระจกมองทุกคนที่กำลังซ้อมท่าเต้นกันก็หวนนึกไปถึงใครอีกคนที่ชอบบ่นทุกทีเวลามีซ้อมเต้น ชอบทำตัวขี้เกียจจะซ้อมทุกที แต่พอเวลาเปิดเพลงขึ้นมากลับซ้อมเต้นพร้อมคนอื่นอย่างแข็งขัน อยู่ดึกหรือจะเลยไปยันเช้าก็ไม่มีบ่น นึกแล้วก็ขำจนหลุดหัวเราะออกมา
“ตลกเหรอชานยอล วันนี้อยู่คลาสพิเศษนะชานยอล” เสียงเพลงที่ถูกปิดกะทันหันพร้อมกับบน้ำเสียงเข้มดุของครูสอนเต้นทำเอาชานยอลทำหน้าหงอย
“ชอนแซงนิมอ่ะ~~”
“ถึงจะทำหางลู่หูตกก็ไม่ลดโทษให้หรอกนะ”
อยู่ๆชานยอลก็นึกถึงคำถามหนึ่งที่เคยนึกถามตัวเองเมื่อนานมาแล้วขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีเขาคนนั้นแล้วตัวเองจะหายหวาดกลัวจากฝันร้ายพวกนั้นได้อย่างไรกัน ตอนแรกชานยอลก็ไม่มีคำตอบให้ตัวเองหรอก ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้และไม่ต้องไปหาคำตอบเพราะเขาจะมีอ้อมแขนและความอ่อนโยนคอยปลอบประโลมเสมอ แต่ทว่าเมื่อความอบอุ่นและความอ่อนโยนหายไปเขาก็กลัวกับการที่จะต้องฝันร้ายแล้วตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่ตัวคนเดียวโดยที่ไม่มีคนให้พึ่งพิง
คืนนี้อยู่ๆชานยอลก็สะดุ้งตื่นจากฝันร้าย หัวใจที่อยู่ในอกเต้นรัวเร็วจนแทบจะหลุดออกมาเต้นอยู่นอกอกได้อยู่แล้ว หยาดเหงื่อซึมตามไรผม อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศไม่ได้ทำให้คนที่เพิ่งตื่นจากฝันที่น่าหวาดกลัวนั้นเย็นลงได้เลย เจ้าตัวยกมือขึ้นทาบที่หน้าอกแล้วพยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ค่ำคืนนี้เขาฝันร้ายจนสะดุ้งตื่นขึ้นมาเป็นครั้งแรก รอบกายที่ว่างเปล่าไม่ได้ทำให้เจ้าตัวเบาใจเลยสักนิด สิ่งที่ทำให้นึกถึงคนๆนั้นก็คือมือถือลูกรักที่วางนอนอยู่ข้างๆหมอน
...พี่ ผมฝันร้าย...
ไม่เกินอึดใจก็มีข้อความตอบกลับมา
...ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวมันก็ดีเอง หลับซะฝันดีนะ...
...ทำไมตอบไว...
...พี่หยิบมือถือพอดีน่ะ กำลังเตรียมตัวเก็บของจะบินไปปักกิ่ง...
...ถ่ายหนังอีกแล้วเหรอ...
...หลายอย่างด้วยแหละ คงไปอยู่ปักกิ่งนานเลย...
...อยากกินหม้อไฟจัง...
...ฮ่าๆๆ แล้วพี่จะพามากินนะ...
...คนโกหก ผมยังไม่เคยได้กินหม้อไฟเลยสักที...
...คราวนี้พี่จะพาไปกินให้ได้นะ นอนได้แล้วฝันดีนะไอ้เด็กดื้อ...
...เดินทางดีๆนะครับพี่...
...ขอบใจ...
ชานยอลมองบทสนทนาเหล่านั้นแล้วก็วาดรอยยิ้มแต้มบนใบหน้า วางมือถือเก็บลงที่เดิมก่อนที่เปลือกตาบางจะปิดลงอีกครั้ง ตอนนี้เจ้าตัวได้คำตอบของคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวแล้ว คำตอบที่ก็ไม่ต่างจากจากที่เคยคิดสักเท่าไหร่
ถ้าไม่มีพี่ผมก็ไม่หายกลัวฝันร้ายหรอก ... พี่คริส
เขาคนนั้นที่อยู่ไกลกำลังจะมีทัวร์แฟนมีทติ้งรอบประเทศจีนและฮ่องกงอีกแล้วพร้อมกับถ่ายหนังไปด้วย และตอนนี้ได้ยินว่ากำลังเตรียมมินิอัลบั้มใหม่อีก ยังไม่นับเพลงประกอบละครที่เพิ่งถูกปล่อยออกมาอีก เรียกได้ว่างานเยอะไม่ต่างอะไรกับทางฝั่งนี้เลย
ไหนพวกเขากำลังคัมแบ็คสเตรจกันอยู่ ไหนจะมีโปรเจ็คร่วมกับรุ่นพี่ในค่าย งานเดี่ยวของแต่ละคน นี่ยังไม่ได้นับรวมอีเวนท์อีกนะ เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีเวลาพักเลย อีกไม่กี่อาทิตย์ก็ต้องบินไปที่ประเทศอื่นพบปะกับแฟนๆเพื่องานแฟนมีทติ้งเช่นกัน แล้วก็มีตารางที่จะไปถ่ายโฟโต้บุคที่ต่างประเทศกันอีกรอบ
ปลายนิ้วเลื่อนผ่านข่าวในหน้าจอไปเรื่อยๆไม่ได้จดจ่อหรือสนใจกับข่าวไหนเป็นพิเศษ เมื่อไม่มีอะไรทำชานยอลก็ยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปตัวเองเก็บไว้ก่อนเพราะใกล้จะถึงเวลาขึ้นแสดงบนเวทีแล้วก็กลัวว่าตัวเองจะช้าให้ทีมงานและคนอื่นๆรอ วันนี้พวกเขามางานประกาศผลรางวัลกัน งานนี้จัดขึ้นในประเทศแต่ก็ไม่ได้ทำให้ชานยอลเลิกสอดส่ายสายตามองคนใครสักคนจากคนนับพันนับหมื่นได้เลย ใครบางคนที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นี่
ที่ว่างบนเวทีที่เคยเป็นอุปสรรคมานานนับปี ชานยอลก็ยังคงมองพื้นที่ว่างข้างตัวอยู่ ยังคงเผลอหันไปมองและก้าวขาถอยไปชนกับความว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม มันยังแก้ไม่ได้และคงจะแก้ไม่หาย แต่ถึงแม้จะมองไม่เห็นใคร ทางด้านขวามือตัวเองจะมองไม่เห็นใครอีกแล้วเขาก็ไม่รู้สึกเจ็บกับมันอีกแล้ว ไม่ใช่เพราะลืมแต่เพราะรู้ว่ายังไงเขาก็จะยังยืนอยู่ตรงนี้ ยืนอยู่ตรงที่ที่เป็นของเขาเสมอ
ถึงแม้ตัวจะไม่ได้อยู่แต่ชานยอลก็สัมผัสได้ว่าที่ข้างๆยังมีเขาอยู่เสมอ
พื้นที่ว่างที่เหลือเว้นว่างเอาไว้ให้ก็ยังคงอบอุ่นเสมอ เวลาที่จะต้องอยู่บนเวทีแล้วไม่มีคนข้างตัวนั้นทั้งคำพูดและสัมผัสที่จำได้ก็จะคอยโอบล้อมและย้ำเตือนเสมอ ปาร์คชานยอลเวลาที่อยู่บนเวทีแล้วยังคงสามารถยิ้มได้ พูดคุยและเล่นกับคนอื่นหรือแฟนๆได้ก็เพราะถ้อยคำบางประโยคที่ยังวนเวียนอยู่ในหัว คนๆนั้น.. คนที่เป็นเจ้าของที่ว่างข้างตัวนั้นยังไม่ได้หายไปไหน .. เขาอยู่ตรงนี้ แม้ว่าจะมองไม่เห็นก็ตาม
ดูเหมือนหลอกตัวเองนะแต่เขาคิดแบบนี้ และมันก็ทำให้ตัวเขายิ้มๆได้ ปาร์คชานยอลเหมือนคนบ้าไปเสียแล้วแต่ทว่ากลับมีความสุขกับความคิดเหล่านั้น เพราะมันเป็นความสุข เป็นความทรงจำ และเป็นความจริงที่ใครบางคนยังอยู่กับเขาไม่ได้ไปไหน
แล้วเขาจะคิดตัดรอนความทรงจำที่แสบอบอุ่นและพื้นที่ว่างข้างกายไปทำไมกัน
“หยุดนะจะทำอะไรถอยไป!!” เสียงของหญิงสาวดังแหวกขึ้นในยามค่ำคืนเงียบสงัด อีกฝ่ายที่เป็นผู้ชายตัวใหญ่คล้ายกับคนที่ไม่ประสงค์ดีนักย่างสามขุมเข้าหาเธอ หญิงสาวที่หวาดกลัวก้าวถอยหลังหนีอย่างหวาดหวั่นเพราะคนตรงหน้าของเธอคงไม่ประสงค์ดีแน่ๆ
“จะโวยวายไปทำไมกัน” น้ำเสียงคุกคามเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับก้าวเข้ามาประชิดตัวเธออย่างรวดเร็ว ฝ่ามือแข็งแรงกำรอบข้อมือของเธอแน่นแล้วกระชากตัวแทบจะปลิวลอยให้เข้ามาหา
“ปล่อยฉันนะ!!!” พยายามแล้วที่จะสะบัดข้อมือให้หลุดจากการคุมคามนี้ แต่แรงของหญิงสาวอย่างเธอจะไปสู้แรงของผู้ไม่ประสงค์ดีตัวใหญ่กว่าเธอแทบจะสองเท่านี้ได้อย่างไรกัน
“หุบปากแล้วมากับฉัน!” หญิงพยายามที่จะดิ้นรนและหลีกหนีแต่ทว่าก็ไม่สำเร็จ
“ปล่อยนะ ปล่อยฉันนะ!!”
“เฮ้ยจะทำอะไรน่ะ!!!” ในจังหวะที่คนทั้งสองกำลังยื้อยุดฉุกกระชากกันอยู่นั้น คนที่เพิ่งผ่านมาเห็นเหตุการณ์เข้าก็ตะโกนออกไปแล้วรีบวิ่งเข้ามาช่วยหญิงสาวคนนั้น พอเข้ามาประชิดตัวได้ก็จัดการดึงหญิงสาวออกแล้วผลักคนร้ายให้ถอยห่าง
“อย่าแส่หาเรื่องได้ไหมห๊ะ!!” แล้วทั้งสองก็พุ่งเข้าหากันก่อนที่จะฟาดดวลหมัดกัน กำปั้นหนักๆฟาดเข้าใส่แก้มของผู้ร้ายแล้วจัดการยันมันให้ออกห่าง ร่างของมันคนนั้นล้มลงกองกับพื้นก่อนที่จะต้องหงายหลังเพราะโดนตามมารุมสวนหมัดใส่
“เรารีบหนีกันเถอะ!” เมื่ออีกฝ่ายสลบไปฝ่ามือใหญ่ก็หันมาคว้ามือของหญิงสาวที่ยืนสั่นอย่างหวาดกลัวแล้วพาวิ่งหนีออกไป
“คัท!!” สิ้นเสียงคัทจากที่บรรยากาศเมื่อครู่เงียบงันก็ตกอยู่ในช่วงชุลมุนและเสียงจอแจทันที ทีมงานทุกคนต่างเข้ามาดูแลนักแสดง
“ชานยอลทำได้ดีมากเลยนะ” พี่สต๊าฟที่ดูแลชานยอลยกนิ้วให้พร้อมกับยื่นแก้วน้ำให้ ชานยอลค้อมหัวลงแล้วยิ้มร่าเริง
“ก็คนมันหล่อนี่พี่จะให้ทำยังไงได้” ชานยอลทำวีไลน์ที่คางแล้วยิ้มกว้างจนพี่สต๊าฟหัวเราะตาม
“หล่อจ๊ะหล่อ ไปพักก่อนซ็ทฉากใหม่เสร็จเดี๋ยวจะเรียกมาเข้าคิวนะ”
“รับทราบครับ ขอบคุณครับ” ค้อมตัวลงอีกทีก่อนที่จะเดินไปพักในสถานที่พักนักแสดง เมื่อเข้ามาก็เห็นนักแสดงคนอื่นนั่งอยู่ก่อนแล้ว ชานยอลก็ยิ้มทักทายคนอื่นไปรอบๆก่อนที่จะไปนั่งอยู่ตรงมุมส่วนตัว
ชานยอลล้วงมือถือของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดเข้าเช็คข่าวตามปกติ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรมากเสียงข้อความแชทเข้าก็ดังขึ้น พอกดเข้าไปดูก็ยิ่งแปลกใจ ไม่ใช่แปลกใจชื่อคนส่งแต่แปลกใจกับเนื้อหานั้นมากกว่า
...วันนี้ถ่ายฉากบู๊เหรอ ไม่พลาดคิวใช่ไหม...
บางทีชานยอลก็คิดนะว่าทำไมอีกฝ่ายถึงรู้ว่าเขาทำอะไร มีญาณทิพย์หรือยังไงกัน?
...รู้ได้ไงอ่ะ...
...ไม่บอก ฮ่าๆๆ ว่าแต่แสดงบทบู๊มันไม่หนักไปใช่ไหม...
...ไม่หรอก สนุกดี...
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะวีดีโอคอลไปหาแล้ว แต่ตอนนี้แค่คุยกันผ่านตัวอักษรก็พอแล้ว ไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นหรอกว่าตอนที่คุยกันแล้วตัวเขาทำหน้าแบบไหน เพราะฉะนั้นตั้งแต่คราวนั้นเขาก็ไม่เคยวีดีโอคอลไปหาอีกฝ่ายอีกเลย
...ระวังด้วยล่ะ ดูคิวดีๆนะอย่าให้พลาดเจ็บตัว...
...รู้แล้ว ว่าแต่พี่ก็เหมือนกันเถอะทำงานก็ทำหน้าตาให้มันดีๆหน่อย เก๊กอยู่ได้...
...นั่นธรรมชาตินะ ก็คนมันหน้าตาดี...
...ผมหล่อกว่าพี่อีก!...
“ชานยอลเดี๋ยวเตรียมเข้าฉากด้วยนะ” พี่ทีมงานคนเดิมเดินมาบอก ชานยอลก็หัวไปยิ้มให้ว่ารับรู้แล้ว
...ผมไปทำงานต่อแล้วนะพี่...
...ตั้งใจทำงานนะ...
มองบทสนทนาอีกครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกงตามเดิม คุยกันวันละนิด นานๆคุยกันทีก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้ไม่ได้ไปไหน และชานยอลเองก็พอใจกับทุกๆอย่างในตอนนี้
ริมฝีปากอิ่มวาดรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับเดินไปเข้าฉากที่เซ็ทเรียบร้อยแล้ว บทวันนี้ทั้งวันก็จะเป็นคิวบู๊เสียส่วนใหญ่ แต่ปาร์คชานยอลน่ะไม่ถอยอยู่แล้ว!! นอกจากจะเป็นแร๊พเปอร์สุดเท่แล้ว เขาก็จะเป็นนักแสดงมากฝีมือให้ได้อีกด้วย!
คนมันหน้าตาดีทำอะไรๆก็ดูดีไปเสียหมด!!
ชานยอลกำลังเครียด .. ไม่ได้เครียดเรื่องอะไรหรอกแต่ที่เครียดคือแบบทดสอบที่พี่ลู่หานยื่นมาให้นี่ล่ะ ตั้งใจว่าจะทดสอบเสียหน่อยว่าลูกศิษย์ที่สอนไปเนี่ยเรียนรู้ไปถึงไหนแล้ว และที่ชานยอลกำลังเครียดก็คือตัวเขาไม่ได้ทบทวนหรืออ่านหนังสือเลยมาเป็นอาทิตย์แล้วเพราะทุกวันเขาต้องไปถ่ายละคร พอมองหน้าลู่หานแล้วได้รอยยิ้มกลับมามันก็เลยชวนให้ขนลุกพิลึก
ลู่หานจะรู้หรือเปล่านะว่าเวลาตัวเองทำหน้าและยิ้มแบบนี้ มันดูน่ากลัวจนสยองเลยแหละ โน้ตที่ลู่หานสอดไว้ในแบบทดสอบคือ เสร็จเมื่อไหร่ค่อยๆเอามาให้ตรวจดู ถ้าทดสอบผ่านเดี๋ยวจะมีอะไรมาให้ทำ อาจารย์ร้ายกาจและโหดร้าย!!! ทำได้ก็แค่โวยวายในใจเท่านั้นแหละ
อยากจะขอความช่วยเหลือไปหาพี่ชายอีกคนก็โดนดักทางไว้ว่าห้ามขอความช่วยเหลือใครเด็ดขาด เอ้านี่มันอะไรกัน! ปาร์คชานยอลโดนจัดการเสียแล้วสิเนี่ย
ชานยอลที่กะว่าคืนนี้จะลองทำแบบทดสอบของลู่หานดูก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้มีถ่ายละครแต่เช้าเลยก่อนที่จะไปอัดรายการในช่วงเย็น ทุกคนกำลังทำงานหนักเผื่อใครอีกคนด้วย คนที่เคยบอกว่าถ้าไม่ได้เป็นสมาชิกแล้วจะเป็นแฟนคลับ ตอนแรกที่ได้ยินก็ขำๆ หัวเราะกันไป แต่พอมาตอนนี้ก็ขำไม่ออกเสียแล้ว และคนที่พูดประโยคนั้นก็ทำตัวเป็นแฟนคลับเหลือเกิน นี่กำลังชั่งใจอยู่ว่าเขาเป็นแฟนคลับหรือซาแซงกันแน่ ทำไมดูรู้เรื่องเขาไปเสียหมด
“ชานยอลทำอะไรอยู่วะน่ะ” แบคฮยอนส่งเสียงถามเพราะเห็นรูมเมทตัวสูงเดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง เขายังไม่นอนก็เลยได้ยินเสียงมันเดินรอบห้องนี่ล่ะ
“แหวนหายอ่ะ” ชานยอลขมวดคิ้วมุ่นแล้วเงยหน้าขึ้นพูดกับแบคฮยอนที่ทำหน้าตกใจ
“อ้าวเฮ้ยจริงดิ ไปลืมไว้ที่ไหนหรือเปล่า” ถ้าบอกว่าของหายในห้อง เปอร์เซ็นต์การหาเจอแทบจะเทียบเท่ากับศูนย์เลยนะนั่น
“ไม่รู้ ผมจำไม่ได้” ชานยอลพยายามนึกแล้วแต่ก็นึกไม่ออก จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไปถอดไว้หรือวางไว้ตรงไหน แหวนวงนี้ที่เขามักจะสวมติดนิ้วไว้แทบจะตลอดเวลา มันหายไปไหนได้อย่างไรกัน!
ชานยอลพยายามค้นหาในกระเป๋าสะพายที่ใช้ ตามโต๊ะเครื่องแป้ง ใต้เตียง ในตู้เสื้อผ้าก็แล้วแต่ไม่มี สิ่งที่คิดได้ตอนนี้ก็คือมันต้องหายไปแล้วแน่ๆ ตัวเขาสะเพร่าจนทำแหวนวงสำคัญหายไปได้อย่างไรกัน ม่านน้ำตาคลอหน่วยอยู่ที่ดวงตากลม ถ้าเป็นของเขาเองแล้วหายจะไม่รู้สึกอะไรเลยแต่นี่เป็นแหวนของใครบางคนที่ตัวเขาเอามาใส่ มันเหมือนเครื่องราง เป็นเหมือนของสำคัญแล้วมาหายไปแบบนี้ ตัวเขาใจไม่ดีเลยให้ตายสิ
ภายในห้องถูกดับไฟจนเหลือแต่แสงสลัวจากด้านนอกที่สาดเข้ามาด้านใน ชานยอลนอนนิ่งๆอยู่บนเตียงไม่กล้าที่จะเอ่ยบอกกับเจ้าของแหวนวงนั้นตัวจริง แค่จะกดพิมพ์ข้อความยังไม่กล้าเลยแล้วจะให้ตัวเขากล้าพูดอะไรได้กันเล่า ทั้งโกรธตัวเอง ทั้งกลัวว่าพี่จะดุ เห็นแบบนี้ชานยอลก็โดนคนเป็นพี่ดุบ่อยจะตาย เคยโดนดุจนตัวเขาน้อยใจมาแล้วด้วย ถ้าตอนนี้โดนอีกต้องใจเสียแน่ๆเลย
“ชานยอล” เสียงทุ้มที่ไม่ได้ยินนานนับปีดังลอดออกมาจากลำโพงมือถือ เจ้าตัวมองที่หน้าจอแล้วก็ได้แต่มึนงงว่าตัวเองกดโทรไปหาอีกฝ่ายตอนไหน
“พี่คริส” ชานยอลยกมือถือมาแนบหูแล้วก็เอ่ยเรียกชื่อออกไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังยังไงก็ดูไม่ดีเลยสักนิด อีกฝ่ายก็ร้อนรนทำอะไรไม่ถูกตามไปด้วย
“เป็นอะไร มีอะไรไหนบอกพี่สิชานยอล”
“ผมทำแหวนหาย” ปลายสายลอบถอนหายใจเพราะตัวเขาก็คิดว่ามันจะเป็นเรื่องร้ายแรง คนที่เคยลั่นวาจา(ในคลิปเสียงเมื่อนาน)มาแล้วว่าจะไม่โทรหาเพราะไม่อยากได้ยินเสียงเขาอีกอยู่ๆก็โทรมาหาแบบนี้ เล่นเอาใจเสียไปเลย
“แหวนอะไร? วงไหนของพี่สไตล์ลิสเหรอ?” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างนุ่มนวลเพราะรู้ว่าปลายสายน่ะคงจะใจเสียน่าดูเพราะชานยอลเคยทำของพี่สไตล์ลิสหายมาแล้ว แล้วก็โดนดุไปยกใหญ่เลย
“ไม่ใช่... แหวนของพี่” ชานยอลตอบกลับเสียงเบา
“ของพี่? อ๋อ.. ไม่เป็นไรไปหยิบวงอื่นก็ได้นิ ไม่หวงหรอก” ชานยอลแบะปาก
“ไม่เอา! ก็ผมชอบนิ” ผมชอบวงนี้เพราะพี่ชอบมัน!! คิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป
“ถ้าหาไม่เจอก็ไม่เป็นไรนะ วงที่เราเคยซื้อด้วยกันก็มีนิไม่เป็นไรหรอก” คริสตอบกลับเสียงนุ่ม ก็แหวนวงนั้นตัวเขากับคนที่บอกว่าทำหายไปเลือกมาด้วยกันนินะ
“แต่ผมชอบมัน”
“พี่รู้ แต่ถ้ามันหายไปแล้วก็ไม่เป็นไรไว้เราค่อยไปซื้อด้วยกันใหม่นะ” ชานยอลอยากจะอ้าปากเถียงให้ขาดใจแต่ก็หยุดตัวเองไว้ได้ทัน ทำได้แค่ส่งเสียงรับในลำคอเท่านั้น
“นอนซะไอ้ตัวยุ่ง ฝันดีนะ”
“ฝันดีเหมือนกัน”
อีกฝ่ายวางสายไปแล้วแต่ชานยอลยังคงนอนนิ่งไม่ยอมหลับสักที เขารู้ว่าเจ้าของมันคงจะไม่ถือสาหาความเพราะยังไงตัวเขาก็ยึดมาแล้วแต่ทว่าคนที่ถือสาน่ะมันตัวเขาต่างหาก แหวนวงนั้นแทบจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้รู้สึกถึงไออุ่นจากใครบางคนได้เลยด้วยซ้ำ แล้วพอมาหายไปแบบนี้เขาจะทำอย่างไรเล่า?
ช่วงเช้าที่ชานยอลไปถ่ายละครด้วยท่าทีเซื่องซึมจนทีมงานและสต๊าฟคนอื่นพากันสงสัย ว่าเพราะเหตุใดแฮปปี้ไวรัสปาร์คชานยอลที่มักจะสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะถึงได้ทำหน้าหงอยได้ถึงเพียงนั้น แม้ว่าชานยอลจะอยู่ในอาการจิตตกนั้นเจ้าตัวก็ยังคงทำหน้าที่ได้อย่างดี แม้ว่าหลังกล้องจะทำหน้าหงอยและมีอะไรให้คิดไม่ตกก็ตามแต่เมื่ออยู่ต่อหน้ากล้องความทุกข์ใจเหล่านั้นก็จะถูกสลัดทิ้งไปและมีรอยยิ้มมาประดับบนใบหน้าแทน
หลังจากที่เคลียร์คิวถ่ายละครช่วงเช้าเสร็จชานยอลก็รีบขึ้นรถไปยังสถานที่ใช้อัดรายการทันที พอไปถึงก็เหลือสมาชิกอีกไม่กี่คนที่กำลังนั่งรอการแต่งหน้าอยู่ ชานยอลรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมานั่งรอให้พี่สไตล์ลิสแต่งหน้าให้ พี่ใหญ่ของวงเดินเข้ามานั่งลงข้างๆชานยอลพร้อมกับแบมือส่งสิ่งที่อยู่ในมือให้ชานยอล พอได้เห็นว่าเป็นอะไรเจ้าตัวก็ทำตาโตตกใจมองมันแล้วรีบตะครุบไว้ กลัวว่ามินซอกจะเอาคืนและกลัวว่ามันจะหายไปอีก
“พี่เจอมันกลิ้งตกอยู่ที่โซฟา” เพราะเมื่อคืนชานยอลไปที่หอของฝั่งเอ็มแล้วก็เล่นซนกับจื่อเทาจนทำแหวนหลุดจากนิ้ว พอลู่หานให้แบบทดสอบเสร็จก็ลืมไปเลยว่าแหวนตัวเองหาย
“ขอบคุณครับพี่มินซอก” ชานยอลมองแหวนในมือแล้วก็สวมไว้ที่นิ้วตามเดิม มินซอกยิ้มแล้วลูบหัวน้องเบาๆ
“ไม่เป็นไร ถ้ารู้ว่าโทรไปร้องไห้งอแงกับเขาจะรีบเอาไปคืนให้แต่เช้าแล้ว” ชานยอลทำหน้าตกใจมองมินซอกที่ยังคงยิ้มหวานละมุน
“พี่รู้ได้ยังไง” แต่มินซอกไม่ตอบ กลับทิ้งเพียงร้อยยิ้มหวานแล้วลุกขึ้นเดินออกไปหาลู่หานเพื่อบอกว่าเขาคืนแหวนให้ชานยอลแล้วเท่านั้น ชานยอลเองก็ได้แต่มองตามพี่ใหญ่ก่อนที่จะก้มลงมองเรียวนิ้วที่มีแหวนวงสำคัญสวมอยู่
เดี๋ยวรอให้แต่งหน้าเสร็จก่อนเถอะจะถ่ายรูปอัพลงอินสตราแกรม .. แต่ก่อนอื่นก็ต้องบอกเจ้าของแหวนตัวจริงก่อนว่าเขาหาเจอแล้ว อีกฝ่ายยังไม่ตอบเขาคิดว่าคงกำลังทำงานอยู่นั่นแหละ แต่ก็ช่างเถอะตอนนี้แฮปปี้ไวรัสกำลังยิ้มกว้างอารมณ์ดีกลับมาเป็นแฮปปี้ไวรัสที่พร้อมจะแพร่กระจายความสุขให้ทุกคนแล้ว
ความคิดเห็น