ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Special] KrisYeol : Memorable Journey

    ลำดับตอนที่ #11 : JOURNEY 03

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ย. 57



    หลังจากที่ทำงานหนักมาทั้งอาทิตย์ก็ได้วันหยุดมาหนึ่งวัน ชานยอลกลับบ้านไปนอนเล่นกับพี่สาวที่วันนี้เสร็จงานไวแล้วรีบกลับมาหาเจ้าน้องชายตัวป่วนที่โทรไปงอแงอยากกินขนมให้ซื้อมาให้ด้วย เจ้าตัวกำลังนอนคว่ำเหยียดยาวอ่านหนังสือที่ลู่หานซื้อมาฝาก หนังสือเรียนภาษาจีนพร้อมกับคำอธิบายที่ลู่หานตั้งใจเขียนโน้ตไว้ให้
     
    ชานยอลแอบเรียนภาษาจีนมาได้สักพักแล้ว อาจารย์ที่สอนชานยอลจะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่ลู่หาน จำได้ว่าตอนที่เดินไปบอกให้พี่คนรองของวงสอนภาษาจีนให้นั้น      ลู่หานไม่ได้มีสีหน้าแปลกใจเลยสักนิดแต่กลับยื่นหนังสือเรียนที่เหมือนจะเตรียมไว้ให้มาทางเขาก็เท่านั้น พอหันไปมองพี่ใหญ่ก็ได้แค่รอยยิ้มที่ส่งมาให้ ไม่มีใครไขข้อข้องใจและชานยอลก็ไม่คิดที่จะถามหาความ
     
    ถ้าถามว่าทำไมเขาจะต้องเรียนทั้งๆที่ไปถึงประเทศเขาก็จะมีล่ามให้อยู่แล้ว คำตอบคือก็แค่ไม่ชินมั้ง จะรอล่ามมันก็ไม่ทันใจ เรียนเองซะเลยดีกว่า แต่ดูเหมือนว่าความคิดนั้นจะหนักหนาเอาการอยู่ ชานยอลไม่ใช่คนหัวดีกับภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาบ้านเกิด กว่าจะเรียนรู้และจำได้แต่ละตัวเรียกว่ายากเอาการอยู่ กว่าที่จะฟังรู้เรื่องโดยที่ไม่ต้องพึ่งล่ามก็คงจะอีกหลายปีดีดักน่ะสิ
     
    “พี่สาวคำนี้ใช้ยังไง สอนหน่อยไม่เข้าใจ” ชานยอลเงยหน้าจากหน้าหนังสือไปหาพี่สาวคนสวยที่นั่งอ่านนิตยสารอยู่บนโซฟา ยูราเงยหน้าขึ้นมองน้องแล้วยิ้มให้
     
    “ไหนมาดูสิ” เธอวางนิตยสารลงข้างตัวแล้วขยับตัวลงมานั่งพับเพียบข้างๆน้องแล้วมองหน้าหนังสือ เธอก็ไม่ได้เก่งภาษานี้สักเท่าไหร่แต่ในเมื่อน้องอยากเรียนเธอก็จะเรียนด้วย เพื่อที่จะได้คอยช่วยน้องชาย
     
    “อ๊า.. สบาย~” พอพี่สาวลงมานั่งใกล้ๆชานยอลก็ขยับตัวไปนอนหนุนตักทันที   ยูราที่เสียรู้น้องชายก็หัวเราะแล้วดีดหน้าผากน้องไปเบาๆ จริงๆแล้วชานยอลก็แค่อยากพักเท่านั้นแหละแต่นอนเกยแขนตัวเองนานๆมันก็เมื่อยน่ะสิก็เลยอยากได้หมอนนิ่มๆมาหนุนนอนก็เท่านั้นเอง
     
    “เป็นไงบ้าง ช่วงนี้โอเคดีใช่ไหม” น้ำเสียงหวานเอ่ยถามน้องชานยอลที่นอนหนุนตักพร้อมกับเรียวนิ้วที่สางเส้นผมนิ่มที่ต้นขาเล่น
     
    “ก็ดีแหละ ถึงจะทำงานหนักแต่ปาร์คชานยอลก็ยังหล่ออยู่!” ว่าแล้วก็ยิ้มกว้างพร้อมชูสองนิ้วให้ด้วย ยูราหัวเราะเบาๆ
     
    “สบายดีก็ดีแล้ว เรื่องอะไรๆที่มันปวดหัวนักก็ไม่ต้องไปคิดมันนะ” ยูราก้มหน้าลงมองน้องชายแล้วส่งยิ้มหวานละมุนให้
     
    เธอรู้ว่าน้องชายของเธอคิดยังไง เด็กน้อยตัวกลม ตากลมและแก้มกลม เวลาที่ติดใคร อ้อนใครได้และเขาคนนั้นยอมทำตามใจก็จะตามเขา อ้อนเขาและติดเขาไปเสียหมด เวลาที่กลับมาบ้านจะมีมุมประจำของชานยอลและคริสคือมุมใกล้ๆโซฟากับโต๊ะตัวเล็กที่ทั้งสองคนชอบนั่งกินขนมดูทีวีกัน เธอเองก็สังเกตว่าโต๊ะตัวนั้นไม่ได้ใช้งานอีกเลย และบางครั้งน้องชายของเธอก็เผลอหันไปมองที่ตรงนั้นแล้วนิ่งงันเสมอ
     
    ภายในบ้านของเรามักจะมีเรื่องราวและความทรงจำมากมาย ชานยอลไม่ใช่คนขี้ขลาดที่จะไม่กล้านอนห้องตัวเองแต่เวลาที่ได้เข้าไปแล้วมันก็ทำให้เธอนึกเศร้าใจทุกครั้ง น้องชายคนน่ารักที่แสนร่าเริงของเธอทำไมถึงได้แต่นั่งนิ่งๆอยู่บนเตียงแบบนั้นกันล่ะ เธอรู้ว่าชานยอลน่ะรักคริสมากแค่ไหน เพราะตัวเองไม่มีพี่ชายไงขนาดลูกพี่ลูกน้องหรือแม้แต่แฟนของเธอเอง ชานยอลก็เข้าหา เข้ามาอ้อนให้ตามใจแล้วก็รักพี่ชายที่เอาใจเหล่านั้น
     
    เด็กที่ชอบให้คนมาเอาใจ เด็กที่น่ารักและชอบอ้อนคนที่ตัวเองรัก เอาแต่นั่งนิ่งๆแล้วมันก็ทำให้เธอนึกเศร้าตามไปด้วย

    “ก็...” ก็ไม่ได้อยากจะคิดหรอก คิดในใจนะแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
     
    “ลุกได้แล้วจะนอนก็ขึ้นไปนอนบนโซฟาดีๆเลย หนักชะมัดเลยเนี่ย” ยูรายิ้ม    ตัดบท ชานยอลก็กอดอกทำหน้ามุ่ย
     
    “ไม่ไปหรอกจะนอนตรงนี้เนี่ยแหละ!” แล้วชานยอลก็ทำตามคำพูดโดยการหลับตาลง แล้วพี่สาวที่ตามใจน้องมาทั้งชีวิตจะทำอะไรได้นอกเสียจากนั่งให้น้องนอนหนุนตักต่อไป
     
    “ชานยอล.. พี่ไม่รู้นะว่าตอนนี้เรากับคริสเป็นยังไงแต่อย่าโกรธเขาเลย ใช้เหตุผลคุยกับเขานะ โกรธไปตัวเองก็ไปพาลใส่เซฮุนเอาอีก” ถ้าบอกว่ายูรารู้จักคริสแล้วทำไมเธอจะไม่รู้จักโอเซฮุนที่ชานยอลประคบประหงมคอยดูแลตั้งแต่ตัวยังน้อยจนตอนนี้ตัวโตสูงเกินเธอไปแล้ว
     
    “เซฮุนมาฟ้องพี่เหรอ” ชานยอลลืมตาแล้วมุ่ยหน้าใส่ ยูราหัวเราะเบาๆ
     
    “ไม่ได้ฟ้องหรอก ก็แค่เล่าสู่กันฟังเจ้าตัวเขาว่ามาแบบนี้น่ะ” ชานยอลมุ่ยหน้าแล้วคาดโทษไอ้เด็กแสบไว้ในใจ
     
    “คนเราทุกคนมีเหตุผลเป็นของตัวเอง ไม่มีใครเข้าใจเหตุผลของคนอื่นได้เต็มร้อยหรอกนะ บางครั้งเหตุผลของเราอาจจะไม่ใช่สำหรับคนอื่นก็ได้และในอีกกรณีหนึ่งเราก็มีสิทธิ์ที่จะพูดหรือไม่พูดมันให้คนอื่นฟังก็ได้ ถ้าอยากรู้ก็แค่รอจนกว่าที่เขาพร้อมจะพูดมัน”
     
    “แต่ผมอยากรู้นิ”
     
    “บางทีเหตุผลมันก็ยากที่จะพูดออกไปนะ บางครั้งเหตุผลก็ไม่ใหญ่ไปกว่าความเชื่อใจหรอก” ชานยอลมองสบตาของพี่สาว ดวงตาที่ถอดแบบมาเหมือนกัน แต่แล้วตัวเขาก็เลือกที่จะปิดเปลือกตาลง ฝ่ามือเล็กอุ่นๆลูบกลุ่มผมของน้องชายเบาๆ
     

    ...บางครั้งเหตุผลก็ไม่ใหญ่ไปกว่าความเชื่อใจหรอก...
     


    อย่างนั้นหรือ......?
     


    นอกจากที่จะเรียนภาษาจีนแล้ว ตัวเขาก็ยังไม่เว้นว่างจากการเขียนไดอารี่ เขียนเล่าบรรยายไปเรื่อยๆ ขอให้ได้เขียนแม้วันหนึ่งจะเขียนได้แค่ไม่กี่บรรทัดก็ตาม ไหนจะทั้งอ่านบทละคร ซ้อมเต้น ไปออกงานแสดง เยอะแยะไปหมดจนยี่สิบสี่ชั่วโมงในหนึ่งวันก็ไม่เพียงพอสำหรับปาร์คชานยอล
     
    กลับเข้าหอพักได้ชานยอลก็เดินไปทิ้งตัวดิ่งลงที่โซฟาทันที ตามมาด้วยเซฮุนที่ทิ้งตัวลงนั่งที่พื้นหลังพิงโซฟาที่ชานยอลนอน ส่วนคนอื่นก็แยกย้ายกันเข้าห้องจะเหลือก็แต่คู่หูคู่ทะเลาะกันนี่ล่ะที่ยังกองเอกเขนกอยู่นอกห้อง เซฮุนนั่งพิงโซฟาแล้วก็พาดหัวพิงลงไปที่ช่วงลำตัวของชานยอล ฝ่ามือของคนเป็นพี่ยกขึ้นขยี้ผมน้องเบาๆ
     
    “เหมือนพรุ่งนี้จะว่างถึงบ่าย ไปหอโน้นกันไหม?” เซฮุนถาม
     
    “ไปทำไม”
     
    “ก็ว่าจะไปหาพี่ลู่หานอ่ะ พี่จะไปเปล่าไปส่งหน่อยดิ” เหมือนจะถามแต่มันก็คือการบังคับกลายๆใช่หรือไม่โอเซฮุน
     
    “เออๆ ไปก็ไปแต่ไปบอกพี่จุนมยอนก่อนเลย” แล้วเซฮุนก็วิ่งไปเคาะห้องพี่ใหญ่ทันที ชานยอลถอนหายใจเพราะเขาไม่ได้ไปหอนั้นนานแล้ว ไม่ได้เข้าไปที่ห้องของคนนั้นนานแล้วด้วยน่ะสิ รู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้
     
    “พี่ไม่อยู่.. ผมจะขนทุกอย่างกลับมาใช้เองเลยคอยดู ชานยอลมองแหวนที่นิ้วแล้วก็ยู่ปากใส่ ถ้าตรงหน้าเป็นคนที่นึกถึงก็คงจะหัวเราะแล้วก็ต้องยื่นมือมาเคาะหัวแน่ๆเลย
     
    ห้องที่ชานยอลเข้ามานั้นก็ยังคงเป็นห้องเดิมและสภาพข้าวของยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่จะครบไหมอันนี้ก็ไม่อาจจะรู้ได้ แต่ถ้าถามว่าชานยอลยกเค้าของในห้องนี้มากี่ชิ้นก็นับไม่ได้เหมือนกัน ร่างโปร่งบางทิ้งตัวลงนอนลงบนเตียงที่ยังคงมีตุ๊กตารายล้อมพร้อมกับคว้าตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวหนึ่งมากอดแนบอก
     
    เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว ตัวเขาก็โกรธมานานแล้ว และฝ่ายนั้นก็คงจะหนักใจมานานแล้วเช่นกัน ถ้าตัวเขาจะลดความโกรธลงแล้วพยายามทำความเข้าใจอย่างที่พี่สาวเขาเคยพูดไว้ บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้นะ อาจจะไม่ได้ดีสำหรับฝ่ายนั้นแต่มันก็น่าจะดีสำหรับตัวเขาเอง ยิ่งถือไว้มาก ยิ่งคิดวกวนมากๆเขาก็เหนื่อย ถ้าเขาทำตัวให้เข้าใจ บางทีอะไรๆมันอาจจะดีมากขึ้นก็ได้
     
    ทำเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เวลาที่เราสองคนโกรธกัน คนเป็นพี่ก็มักจะใจอ่อน ยิ้มแล้วเข้ามาแกล้งแหย่ แกล้งอ้อนให้เขาหัวเราะและยอมคืนดีด้วยทุกที .. ถ้ากลับกันครั้งนี้ชานยอลจะเป็นคนทำบ้าง อะไรๆมันก็คงจะดีขึ้น อาจจะไม่ดีสำหรับคนอื่นแต่ก็ดีสำหรับตัวเอง
     

    ...พี่ไม่อยู่ตุ๊กตาพี่ผมขอนะ...
     

    ชานยอลนอนกลิ้งบนเตียงพร้อมกับกดพิมพ์ข้อความส่งหาใครอีกคนไปด้วย
     

    ...เฮ้ยไม่ได้นะ ห้าม!!...
     
    ...ไม่สนอ่ะ จะเอา ขอบคุณครับ!!...
     
    ...ชานยอลหยุดเดี๋ยวนี้!!...
     
    ...ขนไปแล้วขนไปเลย ไม่เอากลับมาที่เดิมนะบอกไว้ก่อน...
     
    ...ชานยอลหยุดนะ!! วางลงคืนไว้ที่เดิมเลย...
     
    ...ไม่อ่ะ อยากได้คืนก็มาขนเอาเอง...
     
    ...เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อยนะปาร์คชานยอล!...
     

    ริมฝีปากอิ่มวาดรอยยิ้มกับบทสนทนาหน้าจอ เหมือนเมื่อครั้งก่อนที่เรายังคงใกล้ๆกันเลย เราสองคนก็มักเถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้ พิมพ์ไปก็ยิ้ม ก็หัวเราะกันแบบนี้ แม้จะไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะหัวเราะเหมือนเขาหรือเปล่าก็ตามทีเถอะแต่มันก็ยังดีกว่าที่เขาพยายามแก้สถานการณ์ระหว่างเราคนเดียว อีกฝ่ายก็พยายามที่จะช่วยทำให้มันกลับมาเหมือนเดิมเช่นกัน
     
    อย่างน้อยเขาก็ยังคุยเล่นกับใครอีกคนได้โดยที่ไม่ต้องคอยเฝ้าแต่ถามว่าเมื่อไหร่เขาจะตอบคำถามเหล่านั้นที่ค้างคาใจ รอให้ถึงเวลาและทีของมัน เราอาจจะได้คำตอบโดยที่ไม่ต้องร้องขอเลยก็เป็นได้ การที่เราต้องห่างกันไกลตัวเขาเองจะคิดว่าเรากำลังแยกกันทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ กำลังก้าวเดินไปข้างหน้าในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย กำลังพยายามทำความฝันให้เป็นรูปเป็นร่าง แม้จะไม่ใช่ฝันและจุดเดียวกัน แต่ปลายทางก็คือความสำเร็จและความยินดีเหมือนกัน
     

    ...ชานยอล ขอเวลาพี่นะแล้วพี่จะเล่าให้ฟัง...
     

    บทสนทนาที่หยุดไปครู่ใหญ่ถูกทำลายด้วยข้อความของคริส ชานยอลยิ้มกับหน้าจอแล้วกอดเจ้าตุ๊กตาที่อกให้แน่นขึ้นอีกนิด
     

    ...ไว้พร้อมค่อยเล่าก็ได้ แต่ตอนนี้ผมยังไม่อยากฟัง ผมจะรอพี่กลับบ้านนะ...
     

    บ้านที่ชานยอลหมายความถึง คริสก็คงจะพอเข้าใจ
     

    ...พี่อาจจะสัญญาไม่ได้ แต่รอรับด้วยนะ...
     

    ชานยอลที่เห็นประโยคเดิมๆก็หุบรอยยิ้ม ใบหน้าน่ารักที่เจือด้วยรอยยิ้มจางหายเหลือแค่ใบหน้านิ่งเฉย รูปประโยคเหมือนเดิมแต่ทว่าคนพูดกลับไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว มันจะยังหมายความตามเดิมอยู่หรือเปล่านะ
     

    ...เอาของฝากด้วย ไปถ่ายหนังที่ไหนก็ซื้อของฝากทุกที่เลยนะ...
     

    ถึงในใจจะยังคงร้อนรุ่มไปด้วยคำถามมากมายที่อัดแน่น แต่ชานยอลก็เลือกที่จะกดมันไว้แล้วต่อบทสนทนานั้นตามเดิม
     

    ...เก็บภาษีย้อนหลังนะ...
     
    ...ผมรู้ว่าพี่ไม่เก็บหรอกอย่ามาหลอกชานยอลคนหล่อคนนี้ซะให้ยาก...
     

    การโกหกว่าตัวเองไม่เป็นอะไรทั้งๆที่ข้างในเจ็บปวดนี่มันเจ็บจริงๆ ปลายนิ้วกดพิมพ์ประโยคหนึ่งก่อนที่จะลบมันทิ้งแล้วก็จัดการพิมพ์ประโยคใหม่ส่งไปแทน
     

    ...พี่เจ็บไหม... ...ทำงานเหนื่อยไหมพี่ ไปพักเถอะไม่กวนแล้ว...
     
    ...ไม่กวนหรอก เราล่ะทำงานเหนื่อยไหม...
     

    เขายังดูเหมือนคนเดิมแต่ทำไมเรากลับรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนเดิมที่เคยรู้จัก คริสก็ยังเป็นคริส อู๋อี้ฟานก็ยังคงเป็นอู๋อี้ฟาน แต่ทำไมตัวเขากลับรู้สึกว่าเหมือนไม่เคยรู้จักเขาเลยสักนิด เขาเหมือนไม่ใช่คนที่จะมองเห็นและไม่ใช่คนที่จับต้องได้อีกแล้ว ทั้งๆที่ก็เขาเป็นคนเดิม ทำไมกันนะ..
     
    คิดมากปวดหัวก็ปล่อยวางเถอะปาร์คชานยอล
     


    แล้วชานยอลก็ปล่อยวางจริงๆ

     

     

    “คัท!!!” สิ้นเสียงของผู้กำกับ เหล่านักแสดงที่เมื่อครู่ยังแสดงท่าทางต่อหน้ากล้องก็มีทีท่าผ่อนคลายขึ้น เหล่าทีมงามต่างก็เข้าไปดูแลนักแสดง และคนบอกบทก็เดินตรงเข้าไปหาชานยอลที่กำลังดื่มน้ำจากทีมงานที่ส่งมาให้
     
    “ชานยอลเดี๋ยวไปพักก่อนนะ ถ้าถึงคิวแล้วเดี๋ยวพี่ไปเรียก” เธอยิ้มให้ ชานยอลก็หันมายิ้มแล้วโค้งตัวลง
     
    “ขอบคุณครับ งั้นผมไปพักก่อนนะครับ” ค้อมหัวลงต่ำอีกครั้งก่อนที่จะเดินไปพักในสถานที่พักนักแสดง
     
    ในสถานที่พักนี้มีตัวเขาอยู่คนเดียวพร้อมกับขนมและน้ำดื่มรายรอบ ชานยอลเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆโต๊ะวางขนมแล้วก็ได้แต่มองมันสักแปบก่อนที่จะหยิบขนมมาแกะกิน แม้ว่าวันเวลาจะผ่านไปในหัวของเขาก็ยังคงวนเวียนไปถึงใครสักคน ถ้าเป็นครั้งก่อนชานยอลคงปิดกั้นทุกความคิดและพยายามที่จะไม่คิดถึงมันอีก แต่ตอนนี้เขาก็แค่ปล่อยมันเลยตามเลย
     
    ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ภาพความทรงจำที่เคยมีใครอีกคนอยู่หรือแม้แต่เรื่องราวความคุ้นชินต่างๆก็ยังคงอยู่กับเขาเสมอ นี่มันผ่านไปกี่วัน กี่อาทิตย์ กี่เดือนกันแล้วนะ แต่ตัวเขาก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ยังคงยึดติดอยู่กับภาพวันเดิมๆ ถ้าเลือกได้..  ปาร์คชานยอลก็ไม่ปล่อยมือจากภาพเหล่านั้นหรอก
     
    ปลายนิ้วสไลด์ที่หน้าจอเพื่อเช็คข่าวตามกิจวัตรประจำ ปลายหัวคิ้วขมวดเมื่อเห็นข่าวที่ไม่ค่อยดีของคนที่อยู่ไกลกัน ถึงเนื้อข่าวจะเป็นเรื่องที่ดูไม่ร้ายแรงเท่าไหร่แต่มันก็ไม่น่าจะส่งผลดีกับเจ้าตัวเลยด้วยซ้ำ อยากจะโทรไปหา อยากจะส่งข้อความหาแต่ชานยอลก็หยุดทุกความคิดนั้นเอาไว้เสีย
     
    วันสุดท้ายที่พวกเขาคุยกันคือเมื่อสามอาทิตย์ก่อน ไม่ใช่เพราะว่าความรู้สึกน้อยใจกลับมาแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะชานยอลเองที่อยากจะอยู่กับตัวเอง ยังอยากที่จะลุกขึ้นด้วยตัวเอง เพราะตอนนี้ตัวเขาคล้ายกับนั่งรอฝ่ามือใหญ่คู่นั้นให้มาฉุดลุกขึ้นยืนเหมือนทุกครั้ง ยิ่งนั่งรอเท่าไหร่ความรู้สึกเก่าๆมันก็ยิ่งไหววนเวียน ตัวเขาอยากลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินด้วยตัวเอง
     
    เหมือนที่ปาร์คยูราเคยส่งข้อความมาหาตอนที่ชานยอลส่งข้อความไปงอแงใส่ คนเราควรที่จะลุกและก้าวเดินต่อไปด้วยตัวเอง ถ้าเรายังรอคนมาคอยฉุดให้ลุกบางทีมันคงสายเกินเวลา ตัวเขายังอยากเข้มแข็งให้มากกว่านี้ ยังอยากยืนบนเวทีแล้วไม่รู้สึกเหงาอีก ยังอยากร้องท่อนแร๊พของตัวเองแล้วจะไม่พาลไปคิดถึงใครอีกคน อยากอยู่กับภาพทรงจำเก่าๆนั้นและยิ้มไปกับมัน ไม่ใช่รู้สึกแค่เจ็บปวดใจ
     
    ปาร์คชานยอลอยากเติบโตอย่างเข้มแข็ง แม้จะไร้คนคอยประคองก็ตามที
     
    ข่าวที่ว่านั้นดูเหมือนข่าวซุบซิบทั่วไปซึ่งถ้ามองดีๆมันก็แค่ข่าวกอสซิบที่อาจจะเป็นข่าวกุขึ้นมาก็เป็นได้ แต่สำหรับชานยอลแล้วตัวเขารู้สึกไม่ดีเลย เพราะรู้ว่าพี่ชายคนนี้ของเขาจะต้องคอยตามอ่านข้อความและความคิดเห็นของทุกคนที่มีต่อตัวเขา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนคริสก็ยังคงเป็นแบบเดิมและเขาก็มั่นใจมากว่าข่าวครั้งนี้คนเป็นพี่ต้องคอยตามอ่านแน่ๆ
     
    เอ.. หรือจะแอบลองไปเขียนให้กำลังใจดี ก็น่าลองนะขนาดเขาคนนั้นบางครั้งยังแอบไปแสดงความคิดเห็นร่วมกับแฟนๆหรือแอบมาให้กำลังสมาชิกโดยที่ทุกคนไม่รู้เลยแต่ปาร์คชานยอลรู้นะ ก็ทุกการกระทำน่ะมีชานยอลแอบร่วมอยู่ด้วยทุกเรื่องนั่นแหละ
     
    ในเมื่อตัดสินใจแบบนั้นก็เลยแอบไปแสดงความคิดเห็นไว้หนึ่งข้อความ จริงๆก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรหรอกก็แค่ไปให้กำลังใจ ...สู้นะ เชื่อใจคุณนะ... อาจจะเป็นข้อความเล็กๆก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะเห็นไหมแต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ยังไงก็ได้บอกไปแล้ว ริมฝีปากอิ่มวาดรอยยิ้มเต็มแก้ม เช็คโน้นนี่อีกนิดหน่อยชานยอลก็ลุกไปเข้าห้องน้ำก่อนที่จะไปเข้าฉากถ่ายละครอีกครั้ง
     
    กว่าที่จะถ่ายเสร็จคิวของวันนี้ก็ล่วงเลยเข้าวันใหม่ไปเสียแล้ว ชานยอลกำลังเดินกลับหอเพราะวันนี้ถ่ายใกล้ๆกับทางลัดที่ลัดเลาะกับหอพักได้ พรุ่งนี้มีคิวถ่ายตอนบ่ายและตอนมืดจะต้องเข้าตึกเพื่อที่จะไปซ้อมเต้นอัลบั้มใหม่ที่ใกล้จะถึงช่วงคัมแบ็คแล้ว ไม่ว่าจะคัมแบ็คตอนไหนแฟนๆทุกคนก็ยังคงให้กำลังใจและต้อนรับเป็นอย่างดีเสมอ เขาก็จะตอบแทนด้วยการทำงานหนักและพยายามทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด
     
    สองเท้าหยุดนิ่งอยู่กับที่เมื่อตัวเองเดินมาถึงทางเข้าสวนริมแม่น้ำฮันที่เขามักจะใช้เส้นทางนี้เพราะมันใกล้กับที่ๆเขาชอบไปนั่งเล่นและอยู่ใกล้กับทางเดินผ่านหอด้วย ดวงตากลมมองเข้าไปด้านใน มองสถานที่ที่เขาไม่ได้มานานแล้วไม่รู้ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนกัน เขาควรที่จะก้าวเข้าไปในที่นี้หรือเปล่า สถานที่แห่งความทรงจำที่แสนดีและอบอุ่นของเรา เขาควรเข้าไปสัมผัสไออุ่นจางๆของมันอยู่หรือเปล่า
     
    ร่างโปร่งบางทรุดลงนั่งยังที่เดิมและเป็นที่ประจำของตัวเอง นั่งมองไปเรื่อยๆไม่ได้จับจุดที่ใดเป็นพิเศษ รอบข้างยังดูไม่เปลี่ยนไป ตัวเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงแต่สิ่งที่ขาดคือคนข้างกาย บางทีพวกเรายังคงเหมือนเดิมแม้ว่าโลกจะหมุนไปแต่เราก็ยังคงเดิม และยังคงเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
     
    แสงสว่างจากหน้าจอมือถือสว่างวาบขึ้น ชานยอลกำลังนั่งสไลด์ข้อความและเช็คข่าวอย่างเช่นทุกที แต่แล้วก็ต้องไปสะดุดกับข้อความอะไรบางอย่างที่พอมองแล้ว อ่านให้ละเอียดแล้วริมฝีปากสีสดก็วาดรอยยิ้มขึ้นมาเอง รู้สึกเหมือนที่ว่างข้างกายถูกเติมเต็ม รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นรอบกาย
     

    Mr_凡先生 ขอบคุณที่เชื่อใจครับ
     

    ก็ไม่รู้หรอกว่าบอกใครบ้างแต่ก็ติ๊ต่างว่ามีตัวเองรวมอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน      ปาร์คชานยอลก็ไปให้กำลังใจแล้วก็บอกเชื่อใจมาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นขอแอบเนียนคิดว่าเขาอ่านข้อความแล้วก็แล้วกันเนอะ.. ชานยอลมองหน้าจอแล้วก็วาดรอยยิ้มอย่างสุขใจ ในใจก็เต้นรัวอย่างอิ่มเอม
     

     

    ตัวเขายังเหมือนเดิม ... เหมือนที่เขาคนนั้นก็ยังเป็นคนเดิม
     

     

    ที่ถึงแม้เราจะมองไม่เห็นกัน แต่เราก็รับรู้ว่าคนๆนั้นยังอยู่เสมอ

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×