ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF EXO] Impossible Miracle Love [คู่จิ้นตามใจฉัน]

    ลำดับตอนที่ #10 : [SF] Kris x Xiumin - Diary of our story

    • อัปเดตล่าสุด 26 มี.ค. 56


    Title: Diary of our story
    Pairing: Kris x Xiumin
    Author: BettyNoona
    Note: อยู่ๆก็แค่คิดถึง คริสหมินขึ้นมา อยู่ๆก็ขึ้นถึงภาพคริสหมินรูปนั้นขึ้นมา 
    Note2: http://upic.me/i/a9/a_dgbefcmaasykm.jpeg >////////////<






    สวัสดีเจ้าไดอารี่ที่รัก ... นี่ฉันซื้อแกมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะเลยนะ จงดีใจไว้ล่ะ ...
     
    ผมชื่อซิ่วหมิน หรือ คิมมินซอก จริงๆแล้วผมเป็นคนเกาหลีนะแต่ไปเรียนที่จีนก็เลยได้ชื่อจีนมาด้วย ที่มาเขียนนี่ไม่ใช่อะไรหรอกก็แค่อยากเขียนความทรงจำดีๆให้ใครบางคนล่ะมั้ง .. เขียนเองก็เขินเองว่ะ เอาเป็นว่า ครั้งแรกที่เราเจอกันนั้น วันไหนนายจำได้ป่ะ? คงไมได้ล่ะสิ ชิ! ก็นายมันขี้ลืมไงไอ้บ้า!
     

    วันที่ xx เดือน xx ปี xxxx
    วันนี้เป็นวันแรกที่ผมเหยียบพื้นดินประเทศจีน น่าตลกนะที่ผมไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรเลย เพราะผมกำลังกลัว กลัวว่าผมจะใช้ชีวิตอยู่ยังไงในแผ่นดินกว้างใหญ่ที่ไม่มีใครรู้จักผมได้ยังไง ผมมันก็แค่เด็กตัวคนเดียว มาเองด้วยความที่อยากมา แต่ก็ไม่ได้คิดเลยว่ามันจะลำบากมากหรือเปล่า
     
    สิ่งแรกหลังจากที่เข้าบ้านโฮสต์ที่ผมติดต่อไว้ก็คือ เดินสำรวจทางไปโรงเรียนใหม่พร้อมแผ่นที่เล็กๆที่คุณป้าเจ้าของบ้านใจดีเขียนมาให้ แม้จะสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ใช้ภาษามือกันเหนื่อยแต่ก็ได้แผ่นที่แผ่นเล็กๆมาล่ะเนอะ
     
    ตลอดระยะทางผมจะจดสิ่งที่เป็นจุดสำคัญแล้วจดลงในแผนที่นั้น จำไว้ทั้งในสมองและกระดาษ ผมก็เป็นคนแบบนี้ล่ะ แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่ผมไม่ได้จดลงกระดาษแต่เลือกที่จะจดจำใส่สมองไว้ก็คือ ผู้ชายร่างสูง ผิวขาวกับผมสีทองที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม
     
    เขาพูดภาษาจีนที่ผมฟังไม่ออกเมื่อเห็นผมทำหน้างงเขาก็เปลี่ยนจากภาษาจีนเป็นภาษาอังกฤษ 
     
    ‘คุณนั่งอยู่ที่โต๊ะผมนะ’ ห๊ะ??? ผมหันซ้ายหันขวา หรือว่าไอ้โต๊ะไม้ใต้ต้นไม้นี่จะเป็นที่ประจำหมอนี่? 
     
    ‘ผมล้อเล่นน่ะ’ พอเห็นผมทำหน้าเหรอหราก็เลยต้องเอ่ยสมทบอีก ‘จริงๆแล้วที่ตรงนี้เป็นที่ประจำพวกกลุ่มฉันเวลากินข้าวน่ะแต่ถ้านายจะนั่งก็นั่งได้นะ วันนี้ว่าง’ รอยยิ้มของเขาทำเอาผมตาพร่ามัวเลย
     
    ‘ขอบคุณ’ ผมตอบเขากลับไปเป็นภาษาจีน คำนี้ผมจำได้ จริงๆผมก็จำบทสนทนาสั้นๆได้อยู่หรอกนะ พวกสวัสดีครับ เท่าไหร่ครับ ขอบคุณครับ ขอโทษครับ 
     
    ‘นั่งด้วยคนนะ’ แล้วชายร่างสูงตรงข้ามก็ก้าวเข้ามานั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงข้ามผม 
     
    ‘นายชื่ออะไร’ น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถาม ปกติผมไม่ใช่คนที่จะสนิทชิดเชื้ออะไรกับใครง่ายๆหรอกนะ
     
    ‘มินซอก เรียกซิ่วหมินก็ได้’
     
    ‘อืม สวัสดีอีกครั้งมินซอก อู๋อี้ฟาน เรียกคริสก็ได้’
     
    นั่นคือครั้งแรกที่เราได้เจอกัน .. นายจำได้หรือเปล่านะ? จำได้หรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันจำไม่ลืมเลย
     
    ใบหน้าคมกับรอยยิ้มกว้าง ยิ้มทั้งปากและดวงตา เสียงทุ้มที่คอยสอนโน้นนี่นั่น และฝ่ามืออุ่นๆที่ยื่นมาช่วยจับไว้ตอนที่ฉันจะล้ม
     
    แค่นี้ฉันก็จำไม่ลืมหรอกนะ ^____________^
     

    วันที่ xx เดือน xx ปี xxxx
    หลังจากที่เรารู้จักกันนายก็ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน คอยสอนภาษาจีนให้ คอยอยู่เคียงข้างตลอด ช่วยเหลือกันตลอด จนบางทีก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่ตกลงผมรักไอ้บ้านั่นหรือเปล่า?? กลุ่มเพื่อนของคริสก็นิสัยดีและมีน้ำใจกันทั้งนั้น 
     
    หลายๆคนเริ่มแซวว่าผมกับคริสเป็นคู่รักกัน แม้ในเมืองจีนเรื่องแบบนี้จะเปิดกว้างแต่ผมก็ไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไหร่ ก็เราไมได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ไอ้คนตัวสูงก็มักจะโอบไหล่แล้วบอกว่า ‘ทำไม? อิจฉาเหรอ? โทษทีนะคนนี้ของกูว่ะพวก’ 
     
    ถึงจะมาอยู่ได้ไม่กี่อาทิตย์แต่ขอโทษนะ กูฟังภาษาจีนออกแล้วนะ!! ชัดป่ะมึง?
     
    คริสมักจะทีเล่นทีจริงจนบางทีผมก็หงุดหงิด นี่ผมเป็นอะไร? หรือคิมมินซอกผู้ที่เย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็งจะถูกพระอาทิตย์ที่แสนสดใสอย่างอู๋อี้ฟานละลายเสียแล้ว?
     
    พูดอะไรน้ำเน่าก็เป็นนะเรา หึหึ.. อผมเคยลองคิดเล่นๆว่าถ้าเราสองคนคบกันจริงๆ มันจะเป็นยังไงนะ
     
    มันคง.................................................
    .................................................
    …………………………..
    ……………………
    …………….
    ……...
    ….
    ..
     
    เป็นไปไม่ได้
     
    ก็แล้วจะจุดทำไมเยอะๆวะ? เอาน่าผมเป็นคนมีศิลปะในหัวใจ แต่ไม่เหมือนใครบางคนที่วาดกวางยังกลายเป็นควายได้ ผมล่ะอยากจะกราบมันสักที ผมยังจำวันนั้นได้
     
    วันนิทรรศการภาพวาดของมหาวิทยาลัยเป็นวันงานของมหาวิทยาลัยที่จะเป็นให้บุคคลทั้งภายในมหาวิทยาลัยและนอกเข้ามาเที่ยวชมได้และเพื่อนอีกคนของผมที่รู้จักกันเพราะเรียนเซ็คเดียวกับผมบ่อยๆ คนนั้นคือเสี่ยวเฟย และเขาก็เป็นนักวาดภาพของมหาวิทยาลัยด้วย ภาพผลงานของเขาก็จัดอยู่ในงานนิทรรศการ
     
    แน่นอนว่าผมต้องไปอยู่แล้วและพ่วงด้วยผู้ชายตัวสูงๆที่ทำหน้าบูดเดินตามต้อยๆ ก็บอกแล้วนะว่าไม่ต้องมาด้วย มาเองได้เจ้าตัวก็ไม่ยอม พอพามาแล้วก็เป็นแบบนี้อ่ะเออดี ไอ้หมาบ้า!
     
    ‘ก็งั้นๆ ไม่เห็นจะสวยตรงไหน’ คริสพูดขึ้นหลังจากที่ผมยืนดูภาพวาดสีน้ำมันของเสี่ยวเฟยอยู่นาน ภาพนั้นก็เป็นภาพวิวทุ่งหญ้าแต่สิ่งที่เรียกความสนใจจากผมมันไม่ใช่ท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ไม่ใช่แสงแดดอันอบอุ่นที่อาบไล้ ไม่ใช่ยอดหญ้าใบเขียวที่ลู่ไปตามลม แต่เป็นเงาของคนสองคนที่ยืนจูบกันอยู่ใต้ต้นไม้ตั้งหาก
     
    สัดส่วนแบบนั้นผมว่ามันคุ้นๆนะ
     
    ‘นายวาดเป็นหรือไง?’ ที่ถามนี่ไม่ใช่อะไร ไม่เคยเห็นหมอนี่พูดสักทีว่าตัวเองเก่งเรื่องศิลปะ แต่คริสก็เป็นคริสอยู่วันยังค่ำ
    ‘แน่นอน มาสิจะวาดให้ดู’ แล้วฝ่ามือใหญ่ที่อุ่นยิ่งกว่าพระอาทิตย์ดวงไหนๆก็กอบกุมมือของผมไว้แล้วพาผมไปด้วยกัน
     
    ใจเจ้าเอ๋ย ทำไมเจ้าถึงเต้นได้ถึงเพียงนี้
    ใจเจ้าเอ๋ย ลดแรงลงบ้างเสียเถิดก่อนที่คนเดินนำจะรู้ตัว
    ใจเจ้าเอ๋ย เจ้าอย่าเผลอใจให้มาก
    เพราะวันใดที่ใจข้านั้นเจ็บปวด เจ้าก็อาจจะเจ็บเจียนตาย
     
    แผ่นกระดาษสีขาวตรงหน้ากลับปรากฏภาพของอะไรสักอย่างที่ผมก็มองไม่ออก และดูว่าคนที่ภูมิใจเสียนักหนาจะยิ้มกว้างเมื่อผลงานออกมาสวยถูกใจ
     
    ‘นั่นตัวอะไร?’
    ‘กวางเรนเดียร์’
    ‘สาบานว่านั่นกวาง’
    ‘แน่นอน ระดับนี้สวยสุดแล้ว’
     
    แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ผมสามารถหัวเราะได้เพราะคริส โอ๊ย ขอปาดน้ำตาก่อน ยิ่งคิดถึงภาพวาดวันนั้นก็ยิ่งขำจนน้ำตาไหล
     
    ไอ้ที่บอกว่ากวางน่ะ ทำไมแม่งมีเขาวะ? ดูยังไงก็ควายชัดๆ!! (แต่ภาพนั้นตอนนี้มันก็ถูกใส่กรอบวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือนี่แหละ พ่อศิลปินเขานำเสนอมาก)
     

    วันที่ xx เดือน xx ปี xxxx
    ผมอยู่ที่นี่มาครบ 1ปีแล้ว แน่นอนว่าตอนนี้ระดับภาษาจีนของผมนั้นเรียกได้ว่าใครด่ามาผมสามารถสวดสรรเสริญมันได้ยาวไปถถึงโคตรเหง้า ก็มีติวเตอรืดีนี่เนอะ 
     
    วันนี้เป็นเหมือนเช้าวันอื่นๆที่ผมนั่งรอทุกคนอยู่ที่โต๊ะใต้ต้นไม้และจะมีใครอีกคนนั่งอยู่ข้างๆเสมอ ถ้าไม่อ่านหนังสือเขาก็จะฟุบหน้าหลับ แต่วันนี้ตัวเขากลับอุ่นๆผิดปกติยามที่ผมสัมผัสมือของเขา
     
    ‘คริสไม่สบายเหรอ? ไปห้องพยาบาลไหม’ ผมถามเขาเป็นภาษาจีน แน่นอนว่าพอผมมาอยู่ที่นี่ได้ไม่เท่าไหร่พวกก็เล่นคุยจีนกับโช้งเช้ง
     
    ‘ไม่ล่ะ นั่งอยู่นี่ดีกว่า’ คริสหน้าแดงเพราะพิษไข้แถมเสียงทุ้มก็ยิ่งแหบแห้งเข้าไปใหญ่ ผมก็ใช้หลังมือวัดไข้เขาอีกที
     
    ‘ไปเถอะเผื่อไข้มันจะขึ้น ฉันพาไปก็ได้นะ’ แต่คริสกลับส่ายหน้า
     
    ‘อยากอยู่กับนายตรงนี้มากกว่า’ ก็แล้วผมจะใจร้ายกับคนป่วยได้ยังไงล่ะเนอะ
     
    ‘เอาน้ำไหม กินอะไรหรือยัง ยาล่ะกินหรือยังฉันจะซื้อมาให้ก่อนดีไหม’ แต่คริสกับส่ายหน้าแล้วจับมือผมขึ้นมากุมไว้ที่อก เวลาคนป่วยไอ้อาการอ้อนๆนี่คงเป็นกันทุกคนสินะ
     
    ‘ขอนอนนะ’ ซึ่งผมก็พยักหน้ารับไปแต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อที่บอกว่านอนน่ะ คือนอนหนุนตักผม!!
     
    ‘ต้องหายไข้แน่ๆเลย’ แล้วเจ้าตัวก็ยิ้มแฉ่ง ตาหยีเป็นขีดเล็กๆ ผมชอบรอยยิ้มนี้ของเขานะ มันเหมือนเด็กตัวเล็กๆที่ขี้อ้อน
     
    แล้วเขาก็ไข้ขึ้นจริงๆ ซึ่งเหตุที่ทำให้เขาต้องไข้ขึ้นก็คือ ... เขาไปยืนต่อแถวเข้าคิวซ้อเค้กร้านที่ผมชอบมาให้
     
    บลูเบอร์รี่ชีสเค้ก ร้านดังที่เปิดร้านแค่สองชั่วโมงเค้กก็หมดแล้ว คริสไปยืนรอต่อแถวตั้งแต่ตีสามเพื่อที่จะซื้อเค้กมาให้ผม พวกคุณคิดว่าผมจะซึ้งมากไหมล่ะ?
     
    ก็นิดหน่อยนะแต่โกรธมากกว่า ทำไมเขาถึงไม่เป็นห่วงตัวเองนะ จะไปทำไมให้ลำบาก จริงๆไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ ทำเพื่อผมแล้วเขาก็ไข้ขึ้น มันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ แล้วผมจะรับเค้กของเขาได้ยังไงกัน แต่แล้วเสียงแห้งๆก็เอ่ยบอกผมถึงเหตุผล แค่ประโยคเดียวแต่ไม่รู้ทำไมผมก็น้ำตาไหลและร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของเขา
     
    ‘อยากทำให้ก็เพราะอยากให้ ที่อยากให้ก็เพราะว่าอยากให้ยิ้ม อยากให้ยิ้มก็เพราะว่าชอบ ชอบซิ่วหมินนะ ไม่สิอาจจะรักแล้วก็ได้’
     
    ไอ้บ้า!! อยากป่วยตายใช่ไหม!! ฮือ!! คิดแล้วก็น้ำตาจะไหลอีกแล้ว มันดูเป็นการบอกรักที่ไม่ค่อยโรแมนติกเท่าไหร่แต่ก็ทำให้หัวใจเต้นเร็วและอบอุ่นได้เสมอ
     
    ขอบคุณนะคริส ขอบคุณที่รักฉัน ขอบคุณจริงๆ
     

    วันที่ xx เดือน xx ปี xxxx
    เราไม่เคยทะเลาะกันเลย แน่นอนว่าคนที่ยอมลงให้ผมก็เป็นไอ้ผู้ชายตัวสูงคนนั้นนั่นล่ะ ก็ลองไม่ยอมสิ พ่อจะเสยให้กรามหักเลย!! เห็นอย่างนี้ก็ยูโด คาราเต้ มวยไทยนะจะบอกให้ ทั้งๆที่เราก็ไม่เคยทะเลาะกันแต่ทำไมวันนี้เราถึงทะเลาะกันได้นะ
     
    ทะเลาะกันเพราะคนอื่น... มันไม่ใช่เรื่องดีเลย
     
    ‘ทำไมนายถึงไม่ฟังฉัน ฉันไม่ได้มีอะไรกับเสี่ยวเฟยเลย!!’ เสียงของผมตะโกนลั่นอยู่หน้าตึกอะไรก็ไม่รู้ เพราะไอ้คนตัวสูงมันลากผมออกมาจากตึกศิลป์ พาไปไหนก็ไม่ได้สนใจ จะสนใจก็แค่อย่างเดียวคือแรงที่กำรอบข้อมือผม
     
    ‘ไม่มีแล้วไปยืนจูบกับมันทำไม’ ผมสะบัดมือให้หลุดแล้วก็ฟาดสองมือไปที่อกเขาแรงๆ
     
    ‘ไอ้บ้า! มันไม่ใช่แบบนั้น ฉันไม่ได้จูบกับเขา แกเอาตาส่วนไหนดูวะ!!’
     
    ‘ถ้าไม่ได้จูบแล้วที่เห็นคืออะไร ปล่อยให้มันจับมือถือแขนได้ยังไง นายเป็นแฟนฉันนะซิ่วหมิน!!!’ คริสคว้าต้นแขนผมแล้วบีบอย่างแรง เจ็บที่กายน่ะไม่เท่าไหร่ แต่เจ็บที่ใจนี่สิ นี่นายไม่เชื่อที่ฉันพูดเลยเหรอ?
     
    ‘ปล่อยฉันนะ!!! ฉันเป็นแฟนนายแล้วทำไมนายถึงไม่ฟังฉัน!! ฉันไม่ได้จูบกับเขา เขาแค่เอาเศษใบไม้ออกจากผมให้ นี่คิดว่าฉันจะร่านมากใช่ไหมห๊ะ!!!’ ผมสะบัดแขนเขาออกแล้วหมายว่าจะเดินหนีแต่เข้ากลับกอดผมไว้จากด้านหลัง
     
    ‘ขอโทษ ไม่ได้คิดแบบนั้นแต่ก็แค่หึงไม่อยากให้นายใกล้คนอื่น แล้วก็หวงไม่อยากให้ใครจับนาย’ แล้วพวกคุณว่าผมจะเป็นยังไงล่ะ? ก็ยิ้มแก้มแทบปริน่ะสิ
     
    ‘ก็ถ้าจะหึงจะหวงแบบนั้นน่ะ ทำไมไม่ตามติดตลอดทั้งวันเลยล่ะ’ คริสก้มลงแล้วพาดหน้าข้ามไหล่ผมมาแนบแก้มเขากับแก้มของผม
     
    ‘ก็ตามทุกฝีก้าวอยู่นี่ไงล่ะ แล้วเมื่อไหร่นายจะย้ายมาอยู่ที่ห้องฉันล่ะ’ คริสเคยชวนให้ผมย้ายไปอยู่ที่คอนโดเขาแทนการอยู่บ้านโฮสต์ แต่ผมว่ามันก็ไม่งามนะถ้าจะย้ายไปอยู่ด้วยกันนะ
     
    ‘นะ มาเถอะคราวนี้จะตามไม่ให้ห่างเลย’
     
    ‘พูดเหมือนปกติห่างฉันเลยเนอะ’ คริสหัวเราะเบาก่อนที่จะหมุนตัวผมให้หันไปหาเขา
     
    ‘ก็ยังห่างอยู่ดี ย้ายมาอยู่ด้วยกันเถอะจะได้อยู่ใกล้ๆกัน’ ไม่รู้หรอกว่าผมที่กลั้นยิ้มอยู่นั้นพยักหน้าตอบตกลงไปตอนไหน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่โดนอุ้มแล้วหมุนตัวนี่ล่ะ 
     
    อยากจะอ้วก... ไอ้บ้าหมุนมาได้ ไม่ใช่ม้าหมุนนะโว๊ย!!!
     

    วันที่ xx เดือน xx ปี xxxx
    วันนี้ วันที่โลกคงต้องจารึกว่า คิมมินซอก หรือ ซิ่วหมิน ผู้ที่กระแดะหนีไปเรียนจีนคนเดียว แม่งดังทั้งจังหวัด จะใครล่ะถ้าไม่ใช่ไอ้ตัวสูงหัวทองนั้น =_________=!! แม่งไม่สบอารมณ์โจ๋ พวกคุณคิดว่าไอ้การที่เดินไปไหนมาไหนแล้วถูกคนอื่นมองแล้วส่งรอยยิ้มมาให้นี่มันสนุก?
     
    แต่ขอบอกว่าคิมมินซอกคนนี้ไม่สนุกโว๊ย!!! ส่งรอยยิ้มาไม่เท่าไหร่ไอ้แววตาแบบส่อแววรู้ทันนั่นมันคืออะไรกัน!!!~ โอ๊ยยยยยยยยย แม่งก็แค่พลาดไปหน่อยเดียวเอง!!!
     
    ‘พวกมึงนี่สูงกันจังนะ แดกเสาไฟฟ้าไปกี่ต้นล่ะ’ ผมยื่นมองพวกมันที่กำลังจัดสูทให้เข้าที่ วันนี้เป็นวันเลี้ยงฉลอง แน่นอนมีปาร์ตี้ไนท์ด้วยเพราะฉะนั้นเราต้องแต่งตัวให้ดูดีเพื่อที่จะคว้ารางวัลชนะเลิศ
     
    ‘ก็แดกเยอะกว่ามึงนะ’ ชานเลี่ยตอบกลับมา นี่ถ้าไม่ติดว่ามันสูงพอๆกับคริสนะผมจะฟาดขาใส่แม่งให้รู้แล้วรู้รอด ชานเลี่ย คริส จื่อเทาสู่งไล่ๆกันในแก๊ง แล้วก็มี อี้ชิง ซื่อชุน ลู่หานที่สูงไล่กันแต่พวกมันก็สูงกว่าผมหมด เอาจริงๆผมสูงแค่อกคริสเอง ส่วนพวกอี้ชิง ซื่อชุน ลู่หานนี่ผมได้แค่หูล่างนะ =________= ทำไมออมม่าไม่ให้มาเยอะกว่านี้นะ
     
    ‘มึงอยากตายใช่ไหมชานเลี่ย?’
     
    ‘ไอ้เลี่ยอย่ามาว่าซิ่วหมินนะ ถึงจะเตี้ยก็น่ารักกลมกลิ้งนะเว๊ย!’ คริสเข้ามากอดโอ๋ผม ผมว่าประโยคมันดูทะแม่งๆนะ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าตกลงมันชมผมใช่ไหม?
     
    ‘ไปๆ เข้าข้างในเหอะ’
     
    แล้วพวกเราทั้งหมดก็เข้าตัวอาคารเพื่อไปร่วมงาม ง่ายๆว่า กินฟรีนั่นล่ะ อิอิ เปรมล่ะครับ
     
    แล้วสีสันของงานปาร์ตี้ไนท์คือการเล่นเกมชิงรางวัล แน่นอนพวกแม่งก็เล่ยทุกเกมนั่นแหละ ถ้าได้ของรางวัลก็เอามาแบ่งกัน แต่ไอ้เกมนี่แม่งกระชากใจว่ะ ใครเป็นคนคิดเนี่ยขอกระทืบสักทีดิ
     
    เกมจ้องตาบอกรัก
     
    แค่ชื่อเกมกูก็สยองแล้วเหอะ แล้วยิ่งไอ้ตัวสูงหัวทองยืนอยู่บนเวทีแล้วทำตาเชื่อมมาหานี่แม่งสยองเป็นเท่าตัวว่ะบอกตรงๆ
     
    ‘เราจะให้ผู้เข้าแข่งขันเลือกคู่ขึ้นมาอีกหนึ่งคนนะครับ’ ทันทีที่ได้ยินผมก็พยายามหาทางหนีออกจากงานนี้แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเมื่อเสียงทุ้มนั่นดังผ่านลำโพงออกมา
    ‘ผมเลือกซิ่วหมินครับ’
     
    แล้วด้วยเหตุนี้ผมถึงต้องมาอยู่ข้างมันและด้วยความสูงที่ต่างกันราวเสาไฟฟ้ากับตู้โทรศัพท์ (ตอม่อมันก็เตี้ยไปหน่อย สงสารตัวเอง) ก็มีตัวช่วยเสริมคือกล่องลังกระดาษซ้อนๆกัน อนาถว่ะแม่ง =_________=
     
    เกมนี้ต้องยืนจ้องตากันให้นานที่สุดก่อนที่คู่สุดท้ายที่เป็นผู้ชนะจะต้องบอกรักกันเพื่อเป็นการจบเกมและประกาศว่าตนเป็นผู้ชนะของเกมนี้ พอเสียงนกหวีดเริ่มผมก็ยืนขึ้นบนกล่องลังกระดาษ แต่เหมือนสมดุลจะไม่ค่อยดี ก็เลยได้อ้อนแขนยาวๆมาเกี่ยวเอวผมไว้
     
    ผมเงยหน้าขึ้นไปก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อใบหน้าคมเข้มของอีกฝ่ายอยู่ใกล้กันมากใกล้กันมากจนปลายจมูกแตะกัน ดวงตาคมดุของคริสคือสิ่งที่ดึงดูดผมแล้วตอนนี้มันก็ทำให้ผมตกใจและหลงอยู่ในห้วงสีดำนั้น
     
    ผมไม่รู้หรอกว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่คนต้องหน้าก็ยังประสานสายตาจ้องตากับผมอยู่ ใบหน้าคมระบายยิ้มส่วนผมก็ได้แต่ทำหน้าตกใจแบบเดิม ไม่สามารถจริงๆที่จปรับสีหน้าให้เหมือนเดิม ผมเห็นแววตาขบขันในนั้นก็ฟาดมือลงที่อกนั้นแรงๆสักที 
     
    เสียงทุ้มหัวเราะในลำคอเบาๆแต่ก็ขยับเกี่ยวเอวผมให้เข้าไปใกล้มากกว่าเดิม ผมจึงต้องเลื่อนสองมือที่เกาะยันไหล่มาเป็นดันอกของคนที่กำลังสนุกให้ถอยห่าง ตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าคู่อื่นแพ้กันไปหรือยัง แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ผมแพ้สายตานี้เอามากๆ
     
    ‘ซิ่วหมินครับ รักนะครับ’ เสียงนุ่มบอกเสียงหวานพร้อมกับเสียงนกหวีดที่ดังขึ้นว่าเราเป็นผู้ชนะ
     
    มันควรจะจบแค่นั้นใช่ไหม? 
     
    จริงๆมันควรจบแค่นั้นแต่คนตรงหน้าแม่งไม่ยอมจบ เอียงหน้ายื่นปากเข้ามาจูบผมเฉยเลย ดีพคิสด้วยล่ะ
     
    =_____________________= รู้หรือยังว่าทำไมผมถึงดังเหลือเกิน เหอๆๆ
     
    หลังจากงานวันนั้นก็เป็นช่วงสอบพอดี พอสอบเสร็จผมก็ต้องรีบบินกลับมาที่เกาหลีไม่ได้รอฟังผลประกาศจบการศึกษาหรอก เพราะว่าแม่ผมเกิดป่วยเข้าโรงพยาบาล 
     
    คุณคิดว่าชีวิตผมจะรันทด อีกฝ่ายจะตามมาไม่ได้ ความรักของเราจะจบลงอย่างนั้นหรือ? 
     
    เห๊อะ.. ทายผิด ก็มันนั่นล่ะที่บินกลับมากับผมซ้ำยังขอที่บ้านว่าจะมาอยู่ที่ไหนรอให้คุณป๊ามันที่ทำธุรกิจมาตั้งบริษัทที่เกาหลีอีก จะปักหลักลงฐานที่นี่เสียเลย เจ๋งป่ะล่ะ?
     
    โอ๊ะ ตอนนี้ก็ 5โมงเย็นแล้วนะ ใกล้ได้เวลาแล้วสิ จริงๆก็ยังมีอะไรอีกเยอะนะที่จะเขียน แต่เอาไปเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน นี่ก็ยาวมาครึ่งเล่มล่ะ สงสัยคงจะต้องให้ปีละเล่มเสียแล้วมั้ง คิๆ ของขวัญสุดพิเศษ ความทรงจำของเรา
     
    วันนี้วันอะไรน่ะเหรอ? ก็วันครบรอบที่ผมกับมันเป็นแฟนกันไง หวานป่ะล่ะ? อิจฉาไหมจ๊ะ?
     
    ถ้านายอ่านจนจบได้นะ ลองพลิกไปที่หน้าสุดท้ายของสมุดดูนะ :)
     
     
     

     
     
     
    “มินซอก ผมกลับมาแล้ว!!” เสียงทุ้มตะโกนเรียกจากด้านล่าง คนที่ยังนั่งเขียนอะไรยุกยิกก็รีบวางปากกาแล้วรีบลงไปด้านล่างทันที
     
    “กลับมาแล้วเหรอ เหนื่อยไหมกินน้ำก่อนนะค่อยมาทานข้าวกัน” มินซอกกำลังจะแยกไปที่ห้องครัวเพื่อรินน้ำเย็นมาให้แต่อ้อมแขนของคนเหนื่อยก็รั้งเอวกลมไว้เสียก่อน
     
    “ไม่ต้องครับ แค่นี้ก็หายเหนื่อยแล้ว” ว่าแล้วก็หอมแก้มกลมๆทั้งซ้ายและขวา มินซอกยืดตัวขึ้นจุ๊บที่ปลายกจมูกโด่งเบาๆ
     
    “ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสิแล้วค่อยลงมากินข้าวกันนะ” ตอบรับด้วยจูบหวานๆอีกหนึ่งทีก่อนที่คริสจะผละขึ้นด้านบนไป มินซอกก็เดินเลี่ยงไปที่ห้องครัวบอกให้แม่บ้านตั้งโต๊ะได้เลย
     
    คริสเปิดประตูห้องนอนเข้าไปก็เห็นสมุดวางไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ จะไม่สนใจหรอกถ้านั่นไม่ใช่ของมินซอก สองเท้าสาวเดินเข้าไปดูก่อนที่จะหยิบมันขึ้นมา รอยยิ้มค่อยๆถูกแต่งที่ใบหน้าหล่อเหลาก่อนที่เจ้าตัวจะหยิบปากกาด้านนั้นขึ้นมาเขียนต่อลงด้านท้าย
     
     
    ว๊า... อ่านด้านหลังแทนที่จะเป็นด้านหน้าก่อนเสียแล้วล่ะ ทำยังไงดีนะ?
     


     
    เราอาจจะไม่ได้รักกันหวานแหววเหมือนคู่อื่นทั่วไป
    เราอาจจะไม่ได้มีความทรงจำที่สุดวิเศษ
    เราอาจจะไม่ได้เป็นคนที่ต่างฝ่ายต่างชอบนิสัยกัน
    แต่เราก็รักและหากันจนเจอ
     
    บางทีฉันอาจจะเอาแต่ใจ
    บางครั้งฉันอาจจะอารมณ์เสียใส่นาย
    บางคราวฉันอาจจะทำให้นายหึง
    แต่ทุกครั้งฉันไม่เคยลืมว่าฉันรักนายนะ
     
    คริส.. นายไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตฉัน
    นายไม่ใช่ลมหายใจของฉัน
    นายไม่ใช่หัวใจของฉัน
    แต่นายเป็นเลือดที่หล่อเลี้ยงทุกอย่างในตัวฉัน
    คอยกอดฉันไว้ด้วยไออุ่นของนาย
    รักฉันด้วยใยของนาย
    นายเป็นสิ่งที่ฉันขาดไม่ได้
     
    สุขสันต์วันครบรอบของเรา
    รักนายมากนะ รักจนไม่รู้จะเขียนบอกยังไงดีแล้ว
    จะรักนายตลอดไป .... ซิ่วหมินของคริส (คนเดียวที่ฉันต้องการ)
     
    ปล. ตอนนี้หลุยส์ออกเซ็ทใหม่แล้ว ซื้อให้ฉันด้วยนะ รักนะ จุ๊บ~
     


     
    รักเหมือนกันนะครับ
    คริสของซิ่วหมิน (คนเดียวและตลอดไป)

    ปล. เงินเดือนยังไม่ออกครับ ฮ่าๆๆๆ


     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×