ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Special] KrisYeol : Memorable Journey

    ลำดับตอนที่ #10 : JOURNEY 02

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ย. 57


    ไหนๆก็หาเวลาว่างได้แล้วก็ลงให้จบเลยก็แล้วกัน >____<

    การทำบุญในเดือนเกิดคริสยอลนั้นสิ้นสุดสิ้นเดือนพฤศจิกานี้นะคะ ยังสอบถามและร่วมทำบุญกันได้อยู่ รายละเอียดอยู่ที่ตอน1นะคะ

    มาร่วมทำบุญส่งความรักในเด็กๆในเดือนแห่งรักของคริสยอลกัน..




    ______________________________






    ใครบางคนกำลังจะเริ่มถ่ายหนังใหม่อีกแล้ว ดูๆแล้วฝั่งนั้นก็โดนทาบทามหนังเยอะอยู่เหมือนกัน ไหนจะงานร้องเพลง งานเดินสาย โน้นนี่นั่นอีกเยอะแยะจนตัวเขาก้าวตามไม่ทัน ความคิดที่เคยผุดขึ้นมาในหัวว่าถ้าเราเดินตามเขาทันบางทีเราอาจจะเดินไปพร้อมกันก็ได้.. ช่างน่าขันชะมัด ก็พอจะรู้ว่าปาร์คชานยอลน่ะเป็นคนชอบให้ความหวังตัวเอง แต่เขาก็หวังไว้แบบนั้นจริงๆ
     
    ตอนนี้ทางฝั่งนี้ก็มีทั้งการแสดงโชว์ เดินสายถ่ายละคร ถ่ายหนัง ละครเวที พิธีกรรายการเพลง ไหนจะกำลังได้รับทาบทามให้เป็นดีเจรายการวิทยุอีกล่ะ วงที่เขาอยู่ก็งานยุ่งและรัดตัวไม่ต่างกัน เราทุกคนกำลังเดินตามความฝันของตัวเอง กำลังพยายามทำความฝันของเราให้เป็นจริง แม้ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนแต่เราก็จะสู้ต่อไป หนทางข้างหน้ามันเป็นของเราและเราเป็นคนกำหนดมัน เพราะฉะนั้นคงหวนกลับมามองข้างหลังไม่ได้อีกแล้ว
     
    แต่บางครั้งบางคราชานยอลก็ยังคงหันมองกลับไปข้างหลัง หันมองไปด้านข้างและด้านหน้าเพื่อมองหาใครบางคน
     
    “พวกเราจะมียูนิตอีกแล้ว” สิ้นเสียงจุนมยอนทุกคนก็ทำหน้างง
     
    “ยูนิตอะไรอีกอ่ะพี่ รอบที่แล้วก็คริสต์มาสกับปีใหม่ไปแล้วนะรอบนี้วาเลนไทน์เหรอ” เซฮุนเอ่ยถามโดยที่จื่อเทาเป็นลูกคู่
     
    “ถูกแผงเลย” จุนมยอนยิ้ม
     
    “ก็จะต้อนรับวาเลนไทน์แสนหวานไง เดี๋ยวก็มีซัมเมอร์อีกนะ”
     
    “คงมีวินเตอร์ด้วยล่ะสิ” มินซอกถาม จุนมยอนก็หันมามองแล้วยิ้มให้
     
    “ทำนองนั้นแหละเป็นการทำยูนิตรวมกับพวกรุ่นพี่คนอื่นๆในค่าย โปรโมทเทศกาลไงจะต้องสนุกแน่ๆ” จุนมยอนหัวเราะมีความสุข คนอื่นก็ยิ้มกันไป
     
    ทุกคนกำลังคุยกันว่ายูนิตที่ว่านี้จะเป็นยังไง อยากจะทำแบบไหนบ้าง แต่     ชานยอลที่นั่งเท้าคางกำลังคิดไปถึงงานประกาศรางวัลในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า งานที่พวกเขาจะต้องไปที่จีนกันอีกแล้ว บ้านเกิดของใครสักคน ถ้าได้ไปอีกพวกเขาจะได้เจอกันหรือเปล่านะ ถึงแม้ว่าหลายๆครั้งที่ไปอยู่ที่ประเทศเดียวกันแล้วแต่ก็ไม่เคยได้เจอกันเลยสักที
     
    ไม่ได้อยากเจออะไรมากมายนักหรอก .. แต่ถ้าได้เจอกันก็ดี


     
    บางครั้งการที่เราได้อยู่กับสิ่งใดหรือคนใดนานๆ มันก็จะกลายเป็นความผูกพันโดยที่ไม่รู้ตัว เหมือนกับที่ดวงตากลมของร่างโปร่งบางนี้ที่คอยแต่จะมองหาใครบางคนอยู่ร่ำไป บางครั้งก็ยังคิดถึงและนึกไปว่าเขายังอยู่ข้างกายจนเผลอหันไปมองทุกครั้งไป
     
    เกมบางเกมที่เราเคยเล่นด้วยกันหรือแม้แต่ช่วยกันเล่นก็ยังคงเป็นเกมที่ชานยอลยังเล่นอยู่ ถ้าเบื่อเกมใหม่ๆเขาก็จะกดเข้าเกมนี้ที่เราเคยเล่นด้วยกัน บางครั้งก็ลืมไปว่าข้างกายไม่มีใครนั่งที่เก้าอี้ตัวประจำอีกแล้ว บางทีก็เลยเผลอเอ่ยถามแล้วส่งมือถือที่ขึ้นจอว่าเกมโอเวอร์ไปทุกที ไม่ใช่จำไม่ได้แต่มันยังเป็นความเคยชินที่ยังติดอยู่ภายใน
     
    “พี่ผม...” ชานยอลเอี้ยวตัวไปทางเก้าอี้ว่างข้างตัวแล้วก็เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่มีคนนั่งอยู่ ตัวเขาเป็นแบบนี้หลายครั้งจนพวกพี่ๆอยากจะอุ้มเขาไปส่งที่โรงพยาบาลเสียแล้ว เขาก็ไม่ได้อยากจะเป็นแบบนี้แต่มันก็เคยชินไงจนไม่รู้จะเลิกอย่างไรดี
     
    เวลาที่ชานยอลเล่นเกมไม่ผ่านก็แค่หันไปหาคนข้างตัวแล้วมือถือในมือก็จะถูกดึงเอาไปเล่นเองจนผ่านด่านนั้นไป ก็ยังสงสัยจนถึงทุกวันนี้ว่าเกมนี้แม้ว่าตัวของชานยอลจะเล่นวนมากี่ครั้งก็ไม่เคยผ่านด่านนี้ได้เลยสักครั้ง จะต้องให้คนเป็นพี่ได้เล่นให้เสียทุกที แม้ว่าคริสจะเคยสอนให้เล่นผ่านด่านนี้แล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมชานยอลถึงไม่เคยเล่นผ่านด้วยตัวเองได้เลย
     
    หรือเกมนี้จะเป็นเกมของเราสองคนกัน....?
     
    “อะไรพี่เล่นเกมไม่ผ่านเหรอ” เซฮุนถลามานั่งลงที่เก้าอี้อีกด้านของชานยอลแล้วยิ้มกว้างพร้อมกับดึงมือถือนั้นมาดู
     
    “แค่นี้เองมันต้องแบบนี้เลย!” เซฮุนจัดการเล่นเกมด่านนั้นเอง ชานยอลก็หันมองน้องที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกมในมืออย่างมุ่งมั่น นี่ถ้าเป็นหนังการ์ตูนในดวงตาของเจ้ามักเนคงมีไฟลุกโชนด้วยเป็นแน่
     
    “โอ๊ะ!” เซฮุนร้องพร้อมกับหน้าจอที่ขึ้นว่า GAME OVER ชานยอลชะโงกหน้าเข้ามาดูแล้วก็หัวเราะหึหึใส่
     
    “เกมนี้มันยากเล่นเกมนี้ดีกว่า~” แล้วเซฮุนก็จัดการกดออกจากเกมแล้วกดเข้าเกมใหม่ที่ตัวเขากับชานยอลเคยแข่งกันเก็บเลเวล
     
    “ไอ้เซฮุนเอ๋ย!” ชานยอลผลักหัวน้องเบาๆ เซฮุนก็หันมาทำหน้าบึ้งใส่ก่อนที่จะหันกลับมาเล่นเกมต่ออย่างเอาจริงเอาจัง โอเซฮุนก็เป็นซะแบบนี้
     
    “ขอบใจ” ชานยอลยิ้มบาง เซฮุนที่ได้ยินคำนั้นก็วาดรอยยิ้มทั้งๆที่ยังก้มหน้าเล่นเกมอยู่ ไม่ต้องสื่อสารกันให้มากไปกว่านี้เราก็รับรู้กันดี
     
    “ทุกคนเตรียมตัวสแตนด์บายค่ะ!!” เสียงของสต๊าฟดูคิวดังขึ้นทุกคนที่หยุดกิจกรรมที่ทำอยู่แล้วลุกขึ้นเตรียมเดินไปเตรียมตัวข้างเวที
     
    การที่จะต้องบินไปทำงานที่จีนนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่หรือเป็นเรื่องที่น่าจะต้องตกใจอะไร เพราะตั้งแต่เดบิวต์กันมาพวกเขาก็บินไปจีนอย่างกับเป็นบ้านหลังที่สองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่จะบินมางานรับรางวัลสักงานก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่สิ่งที่ทำให้ชานยอลรู้สึกใจเต้นและประหม่าก็เพราะงานที่มานี้เป็นงานที่บ้านเกิดของใครสักคน และใครคนนั้นก็มีชื่อเข้าชิงรางวัลที่งานนี้ด้วย
     
    ชานยอลดูลุกลี้ลุกลน รู้สึกเหมือนสมาธิไม่อยู่กับตัวเลยสักนิดจนมินซอกและ    จุนมยอนต้องคอยสะกิดเอาบ่อยๆ ก็รู้ว่ามันต้องทำงานและต้องคอยมีสมาธิกับงานแต่ทว่ามันก็รู้สึกอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ พวกเราไม่ได้เจอกันมาก็ตั้งนานแล้วก็แค่รู้สึกดีถ้าเราจะได้เจอกัน ไม่ต้องพูดคุยแต่แค่เห็นหน้ากันก็พอแล้ว
     
    ในงานนี้พวกเขาจะขึ้นแสดงสามเพลงและรอประกาศผลรางวัล ในขณะที่รออยู่นั้นชานยอลก็เหลือบมองไปรอบด้าน ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันมอง คนๆนั้นไม่ได้มางานนี้ ไม่ใช่เพราะไม่มีชื่อเข้าชิงแต่ทว่าเขาบินไปถ่ายหนังที่ประเทศอื่น ถึงจะรู้แต่ก็ยังหวัง .. หวังลมๆแล้งๆ แต่ทว่าเขาก็ยังหวัง
     
    ไม่เจอวันนี้.. วันหน้าก็อาจจะเจอกันก็ได้ ถ้าในหน้าแชทของเขายังขึ้นคำว่าอ่านแล้วหรือยังคงมีประโยคโต้ตอบกลับมา ตัวเขาก็จะไม่เลิกหวัง .. ชานยอลกับเพื่อนสมัยเรียนเคยทะเลาะกันต่อให้ผ่านไปสิบปีเขาก็ยังคงรอเพื่อนคนนั้นเสมอ แม้ตอนนี้พวกเขาทั้งสองจะไม่ได้อยู่ใกล้กันแล้วแต่พวกเขาก็ได้คุยกันแล้ว ถ้าเขารอไม่ช้าไม่นานมันก็ต้องสมหวัง
     
    ปาร์คชานยอลก็แค่เชื่อตัวเองมากกว่าพรหมลิขิตบันดาลชักพาเหล่านั้น ต่อให้ต้องรออีกนานแค่ไหนเขาก็จะรอ เพราะเรามีเรื่องที่จะต้องสะสางกันอีกยาว
     

    ...ถ้าวันนี้ได้เจอกันก็คงจะดี...
     
    ...ทำไมเหรอ?...
     

    ชานยอลมองมือถือในมือตัวเองแล้วก็ได้แต่ทำหน้าไม่เข้าใจ เพราะอะไรถึงมีข้อความตอบกลับมาไวเกินไป ไม่สิ.. ต้องบอกว่าทำไมถึงมีข้อความตอบกลับ
     

    ...คิดถึงมั้ง เปล่าหรอกก็แค่มีเรื่องอยากคุยด้วย พร้อมหรือยัง?...
     
    ...ยังไม่ตอบได้ไหม...
     
    ...แล้วเมื่อไหร่จะตอบ เดือนหน้า? อีกปี? 10ปี? 20ปี?...
     
    ...ชานยอลมีเหตุผลหน่อยสิ...
     
    ...แล้วพี่มีเหตุผลงั้นสิ? ก็พูดมาสิเหตุผลของพี่น่ะ...
     
    ...ถ้าทำตัวแบบนี้พี่จะไม่คุยด้วยแล้วนะ...
     
    ...แล้วที่ผ่านมาผมคุยกับใคร พี่หรือตัวเอง?...
     
    ...ปาร์คชานยอล...
     
    ...คริส...
     
    ...ถ้าแบบนี้พี่ไม่คุยด้วยแล้วนะ...
     
    ...แล้วผมผิดหรือไง พี่ยังไม่เคยคุยกับผมเลยสักครั้ง ไม่พูดไม่บอกอะไรเลยแล้วยังจะมาบอกผมว่าผิดอีกเหรอ ตลกมากหรือไง ทีพี่ยังปรึกษาคนอื่นได้ทำไมผมพี่ถึงจะปรึกษาบ้างไม่ได้แค่อยากถามว่าทำไม มันตอบยากนักเหรอ...
     
    ...พี่จะตอบแต่ไม่ใช่ตอนนี้ที่เรากำลังอารมณ์ไม่ดีได้ไหม...
     
    ...จะตอนไหนผมก็อารมณ์ไม่ดีทั้งนั้นแหละ อยากให้อารมณ์ดีก็พูดมาสิ ถ้าพูดไม่ได้ก็ไม่ต้องพูดอีกเลย...
     
    ...ขอโทษ...
     

    หยดน้ำอุ่นหยดลงบนหน้าจอที่สว่างอยู่นี้แล้วไหลไปตามหน้าจอจนทำให้ตัวอักษรนั้นไม่ชัดเจนและในสายตาของคนมองภาพตรงหน้าก็พร่าเลือน ชานยอลใช้หลังมือปาดไล่ความพร่ามัวนั้นทิ้งเสียก่อนที่จะกดพิมพ์ข้อความตอบก่อนที่จะรีบยัดมันไว้ใต้หมอนเพราะกลัวว่าใครจะรู้ว่าเขาติดต่อกับคนๆนั้น
     
    อย่างน้อยเขาก็ไม่อยากมานั่งตอบคำถามอะไรมากมายนักหรอก และตัวเขาก็คิดว่าเขาคงไม่ใช่คนเดียวที่ติดต่อกับอีกฝ่ายหรอกมั้ง
     

    ...ผมเป็นน้องพี่ไม่ใช่เหรอ พี่ไม่คิดถึงผมบ้างเหรอ...
     
    ...คิดถึงสิ แต่พี่ยังพูดตอนนี้ไม่ได้เอาไว้ให้พร้อมกว่านี้ก่อนได้ไหม...
     

    ชานยอลออกจากห้องไปแล้วเหลือไว้ก็แต่หน้าจอมือถือที่ส่องแสงสว่างอยู่ใต้หมอนหนุนใบใหญ่ ไม่ได้สนใจหรือใส่ใจอะไรหลังจากที่ตัวเองกดส่งข้อความไปแล้ว ถ้าใครอีกคนจะรู้สึกไม่ดีแบบเขาก็ควรมารู้สึกไม่ดีเหมือนกัน .. หรือบางทีเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันอาจจะกลับตาลปัตร

     

    ก็แค่ความรู้สึกนึกคิดแบบเด็กๆ ก็แค่อยากให้ใครอีกคนรู้สึกเหมือนกัน เป็นเหมือนกัน คิดถึงเหมือนกัน และเสียใจเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาอยากจะอยู่ด้วยกันอีกหรือเปล่า
     
    เส้นทางการเดินทางของเราตอนแรกมันเริ่มต้นด้วยถนนเพียงสายเดียว เป็นเส้นถนนตรงๆที่มีอุปสรรคมาขว้างกั้นแต่เราสองคนก็จับมือและผ่านมันไปได้หลุมแล้วหลุมเล่า เราเดินจับมือกันและเดินไปด้วยกันบนเส้นทางนี้ แต่แล้วอยู่ดีๆถนนของเรามันแบ่งแยกเป็นสองสายได้อย่างไรกัน? เส้นทางของเรากลายเป็นเส้นขนานกันตั้งแต่เมื่อไหร่
     

    เส้นทางที่เรายังเดินจับมือไปด้วยกันแต่บัดนี้กลับกลายเป็นว่ามันเป็นเส้นสองเส้นที่ขนานกันไปแล้วอย่างนั้นหรือ แม้ว่าเส้นตรงจะทอดยาวขนานกันไปแต่จุดสิ้นสุดของมันเล่าคงไม่ใช่ปลายสุดทางที่ทั้งสองเส้นจะกลับมารวมกันได้อีก เส้นขนานก็คือเส้นขนานที่วางพาดเคียงคู่กัน เรายังเคยมองกัน พูดคุยและหัวเราะด้วยกันได้ ยังคงจับมือกันและมองเห็นกัน แต่ตอนนี้เราสองคนกลับไกลห่างกัน
     


    จะมีทางไหนนะ.. ที่จะทำให้เราไม่ไกลห่างกัน

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×