ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Special] KrisYeol : Memorable Journey

    ลำดับตอนที่ #8 : Memory 07

    • อัปเดตล่าสุด 21 ต.ค. 57


    รายละเอียดการจอง ดูเลขบัญชีให้ถูกต้องอีกทีนะคะ พอดีว่าเราเพิ่งเปลี่ยนบัญชีใหม่ไปค่ะ ^^

    มาร่วมทำบุญและมอบสิ่งดีๆส่งต่อให้เด็กๆกันนะคะ ^^


    21.03 น. - อัพเพิ่มอีกนิดนึงค่ะ


    ____________________________________________




    “ชานยอลไม่เป็นไรใช่ไหม” ชานยอลถูกปลุกขึ้นกลางดึกก็เห็นคุณชินซองอูยืนอยู่ข้างเตียงพร้อมกับลูบหัวเขาเบาๆ
     
     
    คุณชินซองอูคือรูมเมทของผมในรายการ Roommate ผมถ่ายรายการนี้มาสักพักแล้วทำให้ไม่ค่อยได้นอนกับสมาชิกในวงสักเท่าไหร่ เพราะผมจะต้องมานอนที่บ้านรูมเมทนี้และถ่ายรายการไปด้วย หลังจากเสร็จสิ้นตารางงานของวงแล้วผมก็ต้องกลับมานอนทีนี่ และก็ทำให้ผมไม่ค่อยได้ไปหอฝั่งเอ็มหรือแม้กระทั่งหอฝั่งเคเอง
     
     
    “ผมโอเค” ชานยอลค่อยๆลุกขึ้นนั่ง คุณชินลงนั่งที่เตียงของชานยอลแล้วยิ้มให้ก่อนที่จะยื่นมือไปตบเบาๆที่หัวของชานยอลอย่างเอ็นดู คุณชินซองอูดูแลชานยอลอย่างกับลูกในอกจนทำให้ชานยอลมองเพื่อนร่วมห้องคนนี้เป็นดั่งพ่อและเพื่อน คุณชินซองอูคล้ายกับพ่อของเขาจริงๆ และก็คล้ายกับใครบางคนเช่นกัน
     
    “ถ้าโอเคทำไมถึงตาแดงแบบนี้ล่ะ” คุณชินระบายยิ้มอ่อนโยน ชานยอลหันหน้าไปทางอื่นเพราะเขาไม่สามารถปฏิเสธมันได้เลย 
     
     
    หลังจากวันนั้น.. วันที่ข่าวของพี่คริสออกเรื่องสัญญาจากทางค่ายและนั่นก็เป็นวันที่ผมไม่สามารถที่จะติดต่อใครอีกคนได้เลย ไม่ว่าจะส่งข้อความ โทรไปหาหรือจะวีดีโอคอลไปก็ไม่สามารถที่จะติดต่อเขาได้เลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หรือทำไม และมันเกิดอะไรถึงได้เป็นแบบนี้
     
    ผมจำวันนั้นได้ดีหลังจากที่มีข่าวออกมาแล้ว ทุกคนต่างก็ช็อคกันไปตามๆกัน อีกไม่เท่าไหร่ก็จะถึงวันคอนเสิร์ตของเราอยู่แล้ว แล้วอยู่ๆใครอีกคนที่เป็นส่วนหนึ่งหายไป ทุกอย่างกำลังทลายลงไม่เท่ากับเนื้อข่าวที่พวกเราได้อ่านกันได้เช้าวันนั้นหรอก 
     
    จื่อเทาโวยวายเป็นภาษาจีนที่ผมฟังไม่ออก พี่อี้ชิงได้แต่นั่งนิ่งๆแต่มองก็รู้ว่าโกรธมาก พี่ลู่หานที่นั่งอยู่กับพี่มินซอกทำหน้านิ่งที่มองดูก็รู้ว่าโกรธจนแทบสติจะหลุดอยู่แล้ว ฝั่งเคไม่มีใครโวยวายแต่ดูก็รู้ว่าทุกคนกำลังโกรธมาก โกรธที่เขาอยู่ๆก็หายไปแล้ว โกรธที่เขาไม่ยอมบอกอะไรพวกเราเลย พวกเราไม่เคยมีตัวตนกับเขาเลยหรืออย่างไรกัน? 
     
    หลังจากที่รู้ข่าวผมพยายามติดต่อเขาแต่ติดต่อไม่ได้ ยิ่งการติดต่อไร้ผลผมก็ยิ่งโมโห ยิ่งโกรธ ทำไมเขาถึงไม่พูด ไม่เล่าและไม่กล่าวอะไรกับผมเลย วันนั้นที่สัญญาว่าจะกลับมาก็หลอกลวงกันสินะ ปาร์คชานยอลคนโง่เอ๋ย.. โง่ซ้ำมาแล้วกี่ครั้งกันนะ
     
    หลังจากที่ติดต่อเขาไม่ได้ โทรหาก็ไม่ติดผมก็เลยจัดการพิมพ์ส่งข้อความไปให้เขา ไม่สนด้วยว่าอีกฝ่ายจะอายุมากกว่า เป็นพี่ เป็นเพื่อน หรืออะไรก็ตามแต่ ผมรู้แค่ว่าตอนนั้นผมโกรธมากรัวพิมพ์ต่อว่าต่อขานเขาเป็นชุดใหญ่ พอพิมพ์ไม่ทันก็กดอัดเสียงแล้วส่งไปให้ ไม่สนใจว่าคำเหล่านั้นจะหยาบคายแค่ไหน รู้แค่ว่ายิ่งพูด ยิ่งระบายก็ยิ่งเจ็บ
     
    แต่ไม่มีอะไรตอบกลับมาเลยสักนิด แม้แต่กดอ่านก็ไม่มีขึ้นให้เห็น เขาลืมผม เลิกใส่ใจผมไปแล้วอย่างนั้นหรือ? พี่คริสลืมชานยอลแล้วจริงๆเหรอ
     
    คำถามที่ไม่มีคนตอบ แต่ก็อยากที่จะรู้คำตอบของมัน
     
     
    “ผมไม่รู้.. ไม่รู้ว่าเป็นอะไรด้วยซ้ำ” คุณชินยิ้มบางแล้วลูบหัวชานยอลไม่หยุด
     
    “ถ้าไม่รู้ก็ไม่ต้องไปหามัน” ชานยอลหันกลับไปมองหน้าคุณชินที่ยังคงยิ้มอ่อนโยนให้ ฝ่ามือใหญ่อบอุ่นก็ลูบหัวเขาไม่ละออก
     
    “แต่ผมก็อยากรู้” ชานยอลตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบา ตอนนี้เป็นเวลานอนซึ่งกล้องทุกตัวคงไม่จับจ้องมาที่พวกเขาและถึงจะยังบันทึกอยู่ก็คงไม่มีใครเอามันมาออกอากาศหรอก คุณชินยิ้มแล้วขยับตัวออกห่างนิดหน่อย
     
    “แต่มันก็เจ็บใช่ไหม” ชานยอลก้มหน้าลงแล้วพยักหน้ารับ 
     
    “ติดต่อเขาไม่ได้เหรอ” ชานยอลเงยหน้าขึ้นมอง คุณชินยังคงยิ้มให้อยู่ คุณชินรู้ว่าชานยอลเป็นอะไรและเขาก็รู้ว่าสาเหตุมาจากไหน ในช่วงแรกที่เราจะได้มาเป็นรูมเมทกันนั้น เราทั้งสองคนก็เลยนั่งผลัดกันทำความรู้จักอีกฝ่าย ชานยอลก็เล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง และคุณชินก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้จักพวกนักร้องเสียหน่อย เขาจำได้ว่าในชื่อหลายๆชื่อที่ชานยอลเล่านั้น ชื่อของใครบางคนถูกพูดถึงบ่อยที่สุด
     
    “ครับ ไม่รู้ว่าทำไม” เพราะอะไร และเหตุใดมันถึงได้เป็นแบบนี้
     
    “เสียใจมากไหม?” ชานยอลพยักหน้า
     
    “รู้สึกเจ็บใช่ไหม” ชานยอลเงยหน้าขึ้นแล้วพยักหน้า
     
    “รู้สึกเหมือนโดนหักหลังใช่ไหม?” ชานยอลยังไม่ตอบคำถามนั้น ฟันขาวกัดริมฝีปากก่อนที่จะก้มหน้าลงแล้วพยักหน้ารับเบาๆ
     
    “แล้วคิดถึงเขาไหม” ชานยอลเงยหน้าสบตาของคุณชินแล้วพยักหน้ารับ คุณชินระบายยิ้มกว้างแล้วเอื้อมมือไปตบบ่าชานยอลเบาๆ
     
    “เชื่อใจเขาใช่ไหม” ชานยอลพยักหน้าอีกครั้ง “ก็แล้วไม่เห็นจะต้องหาคำตอบของคำถามนั้นเลยนิ”
     
    “ทำไมครับ” คุณชินยิ้มกว้างแล้วเลื่อนมือลงไปตบที่อกซ้ายของชานยอลเบาๆ
     
    “เขาอยู่ตรงนี้.. เชื่อใจเขาสิ” แล้วเลื่อนมือขึ้นไปตบที่หัวเบาๆ “และตรงนี้.. เขายังอยู่กับเราเสมอ”
     
    “พี่...” แล้วชานยอลก็ร้องไห้ออกมา นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดเรื่องมาเลยที่ชานยอลได้ร้องไห้ออกมาจริงๆสักที คุณชินกอดเด็กตรงหน้าแล้วก็ลูบหลังปลอบเด็กอนุบาลขี้แยไว้แนบอก
     
    “เขาไม่ได้หายไปไหน เขาอยู่กับเรา ถ้าเราเชื่อใจเขา เขาก็จะอยู่กับเราเสมอ” ถ้อยคำเหล่านั้นมันเหมือนกับน้ำที่ชโลมหัวใจของผม คลายความกลัวของผมลงไปได้บางส่วน
     
     
    คำพูดนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของผมไม่จางหาย
     
    ชื่อๆหนึ่งวนเวียนอยู่ในหัวของผม จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยไปหาและได้นั่งพูดคุยกัน คนๆนั้นให้เบอร์ติดต่อไว้แต่ผมไม่เคยคิดที่จะโทรไปรบกวนเลยสักครั้งเนื่องด้วยความสนิทสนมของเราไม่มากเท่าที่ควรและคงจะไม่สามารถโทรไปคุยเล่นกันได้ขนาดนั้น ชื่อนั้นวนเวียนในหัว เขาเป็นเพื่อนสนิทของคนนั้น และแน่นอนว่าเขาจะต้องรู้ว่าคนๆนั้นเป็นอะไร หรือบางทีน่าจะรู้เหตุผลที่มันออกมาแบบนี้
     
    ถึงจะดูเสียมารยาทแต่ครั้งนี้ผมจะลองเสี่ยงดู ปลายนิ้วกดโทรออกไปหาใครอีกคน รอสายอยู่ครู่เดียวปลายสายก็กดรับ แม้จะรู้สึกว่าปากคอสั่นแต่ก็ต้องเอ่ยถามออกไป
     
     
    “ฮัลโหล ชานยอลเหรอ?”
     
    “ครับพี่ ผมรบกวนพี่ไหม ถามอะไรได้หรือเปล่า” ปลายสายส่งเสียงหัวเราะมาเบาๆ
     
    “ถามมาสิเด็กน้อย” คุณเคลวินชินมักจะเรียกชานยอลแบบนี้เสมอ
     
    “พี่คริสเขา...” พยายามแล้วที่จะกลั้นเสียงสะอื้นแต่ปลายสายก็ยังได้ยินอีกจนได้ ชานยอลพูดไม่ออกและปลายสายก็ไม่ได้คิดที่จะขัดแทรกคำถามนั้น แต่นานจนแล้วจนรอดก็ได้ยินแต่เสียงสะอื้นนั้นที่ฟังดูแล้วปวดในอกชอบกล
     
    “...ชานยอลเชื่อใจมันหรือเปล่า” ชานยอลพยักหน้า ลืมไปเสียสิ้นว่ากำลังคุยกับอีกฝ่ายผ่านทางโทรศัพท์มือถือ
     
    “ถ้าเชื่อใจมันก็ลองเชื่อใจดูนะ” น้ำเสียงของอีกฝ่ายนุ่มนวลและอ่อนโยน ในหัวมโนภาพว่าถ้าชายผู้นี้อยู่ตรงหน้าก็จะได้รับรอยยิ้มละมุนส่งมาให้ เหมือนครั้งที่ตัวเขาเคยไปหาคนๆนี้
     
    “ครับ..” ตอบรับกลับเสียงเบา และชานยอลยังคงสะอื้นอยู่แบบนั้นและอีกฝ่ายก็ไม่คิดที่จะตัดสายทิ้ง ยังคงนั่งฟังเสียงสะอื้นนั้นและนั่งเป็นเพื่อนอีกฝ่าย
     
    ถ้าทุกคนบอกให้เชื่อใจ ... เขาก็จะลองเชื่อใจดู
     
    แต่ตอนนี้เขาเสียใจมากเกินกว่าที่จะเชื่อใจอะไรได้อีก
     
     
    ช่วงนี้ผมกลับบ้านบ่อยมาก หลังจากซ้อมเสร็จหรือหมดตารางงาน หรือกำลังว่างผมจะกลับบ้านและไปที่ร้านของแม่ประจำ ส่วนร้านของพ่อนั้นไม่ค่อยได้ไปหรอกเพราะคุณชายปาร์คบอกว่าไม่ต้องมานะไอ้ลูกชาย มาทีไรพ่อดูไม่หล่อที่สุดไปถนัดตาเลย พ่อผมเป็นคนตลกมากครับ แน่นอนถึงผมจะหล่อที่สุดในโลก คนที่หล่อตีคู่มากับผมก็ต้องคุณชายปาร์คอยู่แล้ว~
     
    วันนี้ผมขอกลับมานอนบ้านเพราะอยากเจอพี่สาวสุดที่รักของผม เธอทำงานเป็นผู้ประกาศข่าวฝึกหัดตามที่เธอใฝ่ฝัน อีกไม่นานผมเชื่อว่าเธอจะได้เป็นผู้ประกาศข่าวที่เก่งที่สุด! ทั้งในโลกและของผมแน่นอน ผมก็เคยถามว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมไปทำตามฝันทั้งๆที่เธอสามารถทำมันสำเร็จได้แน่นอน ทำไมถึงต้องรอ 
     
    เธอตอบว่าเธออยากผลักดันให้ผมทำตามความฝันให้ได้เสียก่อน ความฝันของเธอน่ะเมื่อไหร่ก็ได้ขอแค่น้องชายได้ทำตามความฝันก่อนก็พอแล้ว
     
    พี่สาวของผม พี่ยูราของผม ผู้หญิงของผม คนที่ผมรักจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ตอนนี้ผมอยากเจอและอยากคุยกับเธอมากจริงๆ วันนี้ผมก็เลยขอกลับบ้านไปนอนกอดเธอสักคืน แม้พี่ยูราจะสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรให้มากความ เธอยังคงยิ้มแล้วกอดผมด้วยแขนเล็กๆของเธอ 
     
    ที่นี่คือบ้านของผม.. แต่ในบางมุมของบ้านกลับยังมีภาพของใครบางคนที่มาที่นี่บ่อยๆ มานอนด้วยกัน มานั่งเล่นเกมกัน มากินข้าวที่นี่ด้วยกัน และนอนคุยกันจนเกือบเช้า ใครบางคนที่ผมก็ไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกไหม 
     
    วันนี้ผมมาเพื่อมานอนกับพี่สาวสุดที่รัก แน่นอนว่าในสายตาของเธอมีคำถามที่อยากจะถามอยู่มากมายแต่เธอก็ไม่ถาม ยังคงนั่งลูบหัว ลูบแขน จับมือผมไม่ห่าง เธอคงรู้เรื่องราวแล้วแน่ๆว่าผมมาหาเธอทำไม ก็แหงล่ะพี่สาวผมน่ะนักข่าวที่สวยที่สุดเชียวนะ!
     
     
    “ช่วงนี้.. โอเคดีนะ” ยูราที่ตัวเล็กกว่าชานยอลช้อนตามองหน้าน้องชายตัวเอง ที่มองยังไงเธอก็ว่ามันไม่โอเค ทั้งดวงตาเศร้า ทั้งตาแดงๆนั่นอีก
     
    “ก็โอเคแหละ” ตอบกลับไปเบาๆ
     
    “ก็ดีแล้ว พี่รู้เรื่องแล้วไม่ต้องเล่าหรอกถ้าไม่สบายใจก็โทรมานะ” รอยยิ้มของพี่สาวช่างเหมือนกับน้ำเย็นที่ลูบหัวใจที่ร้อนรุ่ม
     
    “โทรทำไมก็อยู่ด้วยกันนี่ไง” ยูราหัวเราะแล้วตีมือน้องเบาๆ
     
    “เดี๋ยวจะโดนตีนะชานยอล” ชานยอลหัวเราะ ยูราก็หัวเราะ
     
    “พี่คิดถึงเขาไหม? ... พี่ก็เจอเขาบ่อยเหมือนกันนิ” พอยูราทำหน้าสงสัย ชานยอลก็อธิบายความเพิ่ม
     
    “ก็คิดถึงนะเขาเป็นเด็กดี พี่เชื่อว่าทุกๆเรื่อง ทุกๆการกระทำมันต้องมีเหตุผล”
     
    “แต่ทำไมเขาถึงไม่พูดให้ผมฟังล่ะ” ยูราแย้มยิ้มสวยแล้วจับฝ่ามือใหญ่ของน้องชายมาจับด้วยสองมือ
     
    “เจ้าน้องชาย.. ทุกเรื่องมันมีเหตุผลของมันแต่ก็ใช่ว่าเราจะบอกเหตุผลนั้นๆให้ทุกคนฟังได้หรอกนะ บางทีเจ้าตัวอาจจะยังไม่รู้หรือแม้แต่ไม่สามารถเล่าได้ก็ได้ ชานยอลเข้าใจที่พี่พูดไหม”
     
    “แต่..” ด้วยเพราะยังมีความขัดแย้งในหัวก็เลยส่งเสียงขัด แต่ดวงตาสวยที่เหมือนกันกับของตนเองจ้องมองอย่างดุๆเลยทำให้ชานยอลได้แต่เงียบเสียงลง 
     
    “ไว้ให้มันเงียบๆแล้วลองคิดดูนะ พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ” แล้วยูราก็ลุกขึ้นเดินจากไปปล่อยให้ชานยอลยังนั่งอยู่ที่เตียงของเธอ ชานยอลรู้ว่าคำว่า ‘เงียบ’ ของเธอหมายถึงอะไร แต่เมื่อไหร่ล่ะที่มันจะเงียบ แค่นี้เขาก็อยากจะบ้าตายอยู่แล้ว
     
     
    เราต้องซ้อมหนักขึ้นมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว ด้วยเพราะบล็อกกิ้งทุกอย่างต้องถูกเปลี่ยน รวมถึงวีซีอาร์แทบทุกตัวที่เปลี่ยนได้ วันแรกที่มีข่าวทุกคนหัวเสีย หัวฟัดหัวเหวี่ยงกันทุกคนเมื่อรู้ว่าจะต้องทำทุกอย่างใหม่หมด ทุกอย่างที่กำลังจะสมบูรณ์ครบ 100% จะต้องพังลงและเริ่มใหม่จาก 0 
     
    ที่เราต้องซ้อมหนักขึ้น คิดถึงการซ้อมครั้งนี้ให้มากขึ้นก็เพราะเราอยากทำให้คอนเสิร์ตแรกของเราประทับใจทุกคน นั่นคือส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเราก็แค่หลอกให้ตัวเองลืมใครบางคนที่เคยมีอยู่ก็เท่านั้น
     
    ผมกำลังนั่งไถหน้าจอเพื่อหาและอ่านข่าวไปตามเรื่องตามราว จนมาเจอข่าวหนึ่งที่ผมอ่านไม่ออกหรอกเพราะลิงค์ต้นฉบับมันคือภาษาจีนและแน่นอนที่ผมจะอ่านไม่ออกสักตัว อยากรู้เหลือเกินว่ามันคืออะไร มีรูปเขาคนนั้นที่ไม่ได้เจอกันนานด้วย จะให้ใครช่วยดีล่ะ พี่อี้ชิง? เขาคงจะช่วยหรอก จื่อเทา? รายนี้ไม่ดีแน่ พี่ลู่หาน? ถึงจะนิ่งแต่รู้เลยว่าโกรธมาก พี่มินซอก? คนนี้เข้าท่าถึงจะภาษาจีนไม่ได้ระดับดีแต่ก็พออ่านประโยคสั้นๆได้
     
    ผมจึงเดินถือมือถือไปหาเขาที่กำลังนั่งดูทีวีพร้อมกับกินมื้อเช้าอยู่ เมื่อคืนผมมานอนที่หอพักนี้ ถ้าถามว่ามาทำไม.. คำตอบคือผมเองก็ไม่รู้ ผมแค่รู้สึกว่าอยากมาที่นี่ อยากมานอนที่เตียงที่ยังมีเจ้าตุ๊กตาพวกนั้น อยากมานอนมองโต๊ะแต่งตัวของเขาที่มีครีมสารพัด มีเครื่องประดับเต็มไปหมด บางส่วนมันก็อยู่บ้านผมตอนที่เขาไปแล้วถอดทิ้งไว้ ผมถามว่าทำไมเขาไม่เอากลับไป เขาก็บอกแต่เพียงว่าไว้มาแล้วค่อยมาเอาก็ได้
     
    ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเตียงที่นี่กับเตียงของผมต่างกันอย่างไร หรือแม้แต่ตุ๊กตาบนเตียงนี้กับเจ้าพวกลูกสมุนของผมมันต่างกันตรงไหน ผมตอบไม่ได้ ผมไม่รู้อะไรเลยจริงๆ
     
     
    “พี่มินซอกแปลอันนี้ให้ผมฟังหน่อยสิ” มินซอกหันหน้าไปมองน้องแล้วก็เลิกคิ้วใส่
     
    “ไหนล่ะ เอามาสิ” มินซอกแบมือแล้วตบที่นั่งข้างตัวให้ชานยอลมานั่งด้วยกัน พอมินซอกมองที่หน้าจอมือถือของชานยอลแล้วก็ต้องเงยหน้ามองน้องที่ทำสีหน้าไม่ถูก กลัวจะโดนดุโดนว่าเหมือนกัน มินซอกลูบหัวน้องแล้วตบบ่าน้องเบาๆ
     
    “นั่งอยู่นี่แปบนึงนะ” แล้วมินซอกก็ลุกไปพร้อมกับมือถือของชานยอล ซึ่งเดินไปไหนก็ไม่รู้ชานยอลไม่ได้ใส่ใจ เจ้าตัวก็ได้แต่นั่งก้มหน้ากลัวว่าพี่มินซอกที่รักและเคารพจะเดินไปหยิบไม้มาฟาดเอา แต่แล้วก็มีคนกลับมานั่งข้างๆชานยอลตามเดิม
     
    “พี่ลู่หาน” ลู่หานนั่งอยู่ข้างชานยอลและถัดไปเป็นมินซอก มินซอกคงไปเรียกลู่หานมาให้ช่วยแปลนั่นแหละ เท่าที่เขาจำได้ฮยอง90ไลน์สองคนนี้แทบจะไม่พูดถึงเรื่องของคนที่หายไปเลยสักนิด ไม่พูด ไม่คิด ไม่ออกความเห็นใดๆ ลู่หานหันมาหาน้องแล้วยิ้มให้บางๆแม้บริบทโดยรวมจะไม่เหมือนยิ้มที่เต็มใจหรอกนะ
     
    ลู่หานย่อความสั้นๆให้น้องฟังถึงข่าวนั้นที่เอามาให้ดู ข่าวที่พูดถึงหนังเรื่องที่เขาคนนั้นรับเล่น หนังรักโรแมนติกที่จะได้บินไปถ่ายถึงต่างประเทศคนละทวีปโลก และในเนื้อข่าวนั้นก็พูดถึงเรื่องราวกับค่ายอีกนิดหน่อย ชานยอลที่ฟังแล้วก็พยักหน้ารับรู้ ลู่หานทำท่าจะลุกขึ้นไปชานยอลก็ดึงมือพี่รองของวงไว้
     
    “พี่โกรธหรือเปล่า” ลู่หานเลิกคิ้วกับคำถามของน้องแล้วชูมือถือของชานยอลในมือที่ยังไม่คืนขึ้นมา
     
    “นี่เหรอ?” ชานยอลพยักหน้า ลู่หานมองที่หน้าจออีกครั้งก่อนที่จะยื่นคืนให้ชานยอล ลู่หานตบปุๆที่หัวน้องแล้วยิ้มแย้มให้ก่อนที่จะลุกออกไป มินซอกก็ลูบหัวน้องเบาๆก่อนที่จะเดินตามลู่หานไปเช่นกัน ถ้าจะให้เดาล่ะในท่าทางภาษากายและรอยยิ้มที่ได้รับแล้วล่ะก็... คำตอบคือ เหมือนกับทุกคน
     
    โกรธมาก แต่ก็ยังเชื่อใจอยู่
     
     
     
     
    การทัวร์คอนเสิร์ตเริ่มต้นอย่างทุลักทุเลแต่ทว่าเนื้องานก็ออกมาดี แม้แรกเริ่มจะสั่นไหวและสั่นคลอนก็ตาม แม้เวลาจะจวนตัวแต่ทุกอย่างก็ออกมาดี ผมมีแหวนอยู่หนึ่งวง.. วงที่ผมสวมมันไว้ที่นิ้วก้อยข้างซ้าย มันหลวมกว่านิ้วของผมและมันก็เป็นวงที่ผมหยิบมาจากโต๊ะเครื่องแป้งที่แสนจะคุ้นเคยแต่ไม่ใช่โต๊ะของผม 
     
    การยืนคนเดียวเงียบๆบนเวทีมัน.. เป็นเรื่องที่ไม่คุ้นชินและไม่สนุกเอาซะเลย เมื่อก่อนผมยังหันไปคุยกับใครได้ ยังแกล้งเขาได้ เรายังแกล้งกันจนเผลอหลุดกรอบจะไปอยู่ด้านข้างเวทีอยู่แล้ว กินน้ำขวดเดียวกัน มีล่ามประจำตัว มีคนคอยหาน้ำหาทิชชูให้ .. คนๆนั้นตอนนี้อยู่ที่ไหนกันนะ
     
    บ่อยครั้งที่ผมเผลอตัวหันไปมองหาคนที่มักจะยืนอยู่ข้างหาย บ่อยครั้งที่ห่วงหาจนเผลอส่งขวดน้ำไปหา บ่อยครั้งที่ลอบมองด้านข้างที่ว่างเปล่าเพื่อหาใครสักคน บางครั้งไม่เข้าใจภาษาอื่นก็อยากจะหันไปหาคำแปล และบางครั้งผมก็เผลอตัวมองแหวนที่นิ้วของผม แหวนของคนอื่นที่อยู่บนนิ้วของผม 
     
    เมื่อรอบตัวผมไม่มีใคร สเกลความกว้างของพื้นที่นั้นมันก็กว้างใหญ่จนผมนึกกลัว กลัวจนต้องกำมือเข้าหากัน กลัวจนต้องมองแหวนวงนั้นที่เรียวนิ้วของผม ผมเพิ่งรู้ว่าผมมักจะยืนอยู่ไม่นิ่ง ยืนแล้วก็ชอบขยับถอยหลังไปเอง ขยับถอยจนตอนนี้ผมจะตกข้างเวทีอยู่แล้วแต่ผมก็ยังไม่รู้สึกถึงสิ่งสิ้นสุด ไม่มีใครกั้นผมไว้เหมือนดั่งครั้งก่อน
     
    ในห้องพักมุมเดิมๆ มุมที่ใกล้กับโต๊ะขนมมักจะมีเขานั่งรอผมเสมอแต่บัดนี้กลับว่างเปล่า และผมก็ยังไม่ชินกับมันสักที บ่อยครั้งที่ผมนั่งเล่นเกมในมือถือแล้วหันไปคุยกับเก้าอี้ว่างเปล่าจนเซฮุนต้องเดินเข้ามานั่งข้างๆผมและคอยชวนผมคุย บ่อยครั้งที่สายตาของผมมักกวาดมองหาเขา คนที่ผมรู้จักและคุ้นเคย
     
    แต่ไม่ว่าจะที่ไหนก็ไม่เคยมี ไม่มีเขาเลย..
     
    การทัวร์คอนเสิร์ตไม่ใช่เรื่องอยาก การจำบล็อกกิ้งใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกเหมือนกัน แต่ที่มันยากสำหรับผมก็คือ.. ตัวผมเอง ใช่... คุณฟังไม่ผิด ผมเองนี่ล่ะที่ยังคงคอยมองหาแต่เขาจนตอนนี้เอาแต่ยืนมองแหวนไม่หยุดหย่อน ... ไม่พูดใช่ว่าจะไม่รู้สึก
     
    ผมยืนมองพื้นที่ว่างข้างตัวแล้วก็ได้แต่นิ่งเฉย พาลคิดไปถึงใครอีกคนที่ไม่รู้ว่าหายไปไหน ทำไมเขาถึงไม่มาอยู่ตรงนี้ด้วยกัน ทำไมพื้นที่ว่างตรงนี้มันกว้างจังเลย กว้างเกินไป ทำไมเวลาที่เขาเผลอขยับกายถอยไปถึงไม่ชนใครสักคน ทำไม.. ทำไม.. และทำไม หายไปอยู่ที่ไหน หายไปทำไม ทำไมต้องหายไป ทุกคำถามประดังประเดเข้ามาให้หัวพร้อมกับม่านน้ำที่คลอดวงตาจนภาพตรงหน้าพร่าเหลือ ตอนนี้ชานยอลกำลังหวาดกลัวนะพี่คริสจะรู้หรือเปล่า
     
     
    ‘พี่อยู่ข้างๆแล้วนายจะไปกลัวอะไร’ แต่อยู่ๆถ้อยคำที่ติดอยู่ในหัวนานแสนนานและก็ลืมเลือนมันไปแล้วก็แวบกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง ยามที่มองพื้นที่ว่างเปล่าข้างตัวถ้อยคำนี้มักจะผุดขึ้นมาในสมองทุกครั้ง ประโยคที่เคยได้รับมาเมื่อนานมาแล้ว และน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนที่น่าฟัง ผมยังคงจำได้ถึงทุกวันนี้
     
     
    11 คน ... เป็นอะไรที่บาดใจใช่ไหม? ผมไม่เคยคิดเลยว่าพอหายไป 1 ทุกอย่างมันจะดูโล่งและกว้างได้มากขนาดนี้ ที่พูดบ่อยๆ ย้ำเตือนกันบ่อย ผมก็แค่หวาดกลัว กลัวต่อความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้น ย้ำให้รู้ว่าตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ในที่มืด ทั้งหวาดกลัว ทั้งโหยหา และทั้งคิดถึง
     
    ท่ามกลางความมืดที่ผมกำลังยืนอยู่นี้มันทั้งน่ากลัว ไม่คุ้นชิน และอ้างว้างเพียงใด ผมอยู่คนเดียวในโลกแบบนี้ไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะเรียกเท่าไหร่เสียงที่สะท้อนกลับมามีเพียงแต่เสียงของผมเอง ผมอยากได้คนที่คอยดูแลและปกป้องผมกลับคืนมา
     
    ผมคงไม่พูดว่าผมอยู่ไม่ได้ ผมจะตายถ้าไม่มีเขา ผมรู้ว่าผมสามารถที่จะยืนหยัดลุกขึ้นมาได้ และใช้ชีวิตด้วยความเหงาๆแบบนี้ได้ เหมือนดั่งเช่นแต่ก่อนที่ผมไม่เคยรู้จักเขา บางทีมันอาจจะต้องใช้เวลามากมายเพื่อลืมว่าเราเคยอยู่ด้วยความคุ้นชินมาอย่างไร
     
    ผมลบความทรงจำไม่ได้และก็ละทิ้งเรื่องในหัวใจออกไปไม่ได้เช่นกัน เหมือนอย่างที่คุณชินซองอูพูดไว้ ‘เขาไม่ได้หายไปไหน เขาอยู่กับเรา ถ้าเราเชื่อใจเขา เขาก็จะอยู่กับเราเสมอ’ ผมยังคิดว่าเขาอยู่กับผม ยังอยู่ข้างกายผมไม่ไปไหน เหมือนดั่งแหวนวงนี้ สร้อยข้อมือเส้นนี้ และข้าวของของเขาอีกมากมาย เขายังอยู่กับผม ไม่ว่าเขาจะคิดว่าผมยังอยู่กับเขาหรือไม่ก็ตามที
     
    พี่ยูราเคยบอกผมว่า ผมเป็นเด็กขี้อ้อนและเด็กติดพี่ ผมคิดว่าใช่ ผมติดพี่ยูราและอ้อนพี่ยูรา เมื่อครั้งยังเด็กผมติดพี่ยูรามากกว่าใคร ไม่ว่าพี่ผมจะไปไหนผมก็จะไปด้วย ไม่ว่าพี่ผมจะทำอะไรผมก็จะทำด้วย พี่ยูราพูดคำไหนผมก็จะเชื่อคำนั้น.. และผมก็ไม่คิดจริงๆว่าตัวเองจะมาติดเขาเหมือนกัน เขาที่เป็นเหมือนดั่งทั้งพี่ ทั้งเพื่อน และเหมือนพ่อ เขาคนที่ใจดีและคอยอยู่ใกล้เสมอ บัดนี้เราอยู่กันไกลแสนไกล 
     
    ผมแค่อยากถามพี่ว่า เราจะได้เจอกันอีกไหม พี่ลืมผมไปแล้วหรือยัง พี่ยังเป็นพี่ชายที่แสนดีของผมอยู่หรือเปล่า...
     
    ผมยังคงแอบเช็คความเป็นไปของเขาผ่านทางข่าวภาษาที่ผมอ่านไม่ออก แม้ว่ามันจะเป็นอุปสรรคแต่ก็ช่างมันเถอะ แค่ผมเห็นว่าเขายังอยู่ดี สบายดี ไม่ป่วยก็พอแล้ว ไปต่างประเทศแบบนั้นอากาศเปลี่ยนบ่อยเขาจะป่วยหรือเปล่า นอนพอหรือเปล่า ได้ทำในสิ่งที่ชอบแล้วมีความสุขดีใช่ไหม?
     
    เขาคงมีความสุข แต่ตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าความสุขแท้จริงแล้วสะกดแบบไหนกันแน่
     
    พี่ลู่หานมักจะต้องมาแปลข่าวให้ผมฟังเสมอ รู้แหละว่าพี่รำคาญแต่ก็อยากรู้เรื่องนินา ผมรู้ว่าพี่ลู่หานยังโกรธเขาอยู่แต่เพื่อนสนิทที่คุยกันแทบจะทุกเรื่องน่ะ จะโกรธกันได้นานแค่ไหนกันเชียว แล้วอยู่ดีๆผมก็นึกภาพตอนที่พี่ลู่หานและพี่คริสคุยกันบ่อยๆนั้นได้ หรือแท้ที่จริงแล้วพวกฮยองไลน์รู้อยู่ก่อนแล้วหรือเปล่า?
     
     
    “ลู่เกอผมถามอะไรพี่ได้ไหม” ตอนนี้พวกเรากำลังเตรียมตัวกันอยู่ในห้องพักเพื่อที่จะรอคิวเรียกออกไปโลดแล่นที่หน้าเวที
     
    “ถามมาดิ” ลู่เกอยิ้มแล้วยักคิ้วให้ 
     
    “เรื่องเขาพี่รู้ใช่ไหม” ลู่หานและชานยอลมองสบตากันอยู่นาน ลู่หานค่อยๆวาดรอยยิ้มขึ้นดั่งเช่นลู่หานในยามปกติที่ชอบหยอกล้อแกล้งคนอื่น พร้อมกับเสียงของสต๊าฟเรียกให้เราไปสแตนด์บาย
     
    “เราไปทำงานกันเถอะ” ลู่หานยื่นมือมาโยกหัวน้องเบาๆเพราะกลัวว่าทรงผมเสียทรงแล้วพวกสไตล์ลิสจะว่าเอา ชานยอลมองลู่หานที่หมุนตัวเดินห่างออกไป ... เขาได้คำตอบของคำถามนี้แล้ว
     
    แต่คำถามอื่นๆเล่า... ใครจะเป็นผู้ตอบมัน?
     
     
    ผมก็ยังคงเป็นผม ยังคงเป็นปาร์คชานยอลคนเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง กิจวัตรประจำวันก็เดิมๆ ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาก็คือ.. อัพเดตข่าวของใครบางคน เตรียมซ้อมบทเพื่อถ่ายหนัง ไหนจะไปแอบศึกษาโน้นนี่นั่นที่อยากทำอีกล่ะ และกิจกรรมสุดท้ายก่อนเข้านอน คือการส่งข้อความแชทไปหาใครสักคน
     
    ใครสักคนที่จะไม่เคยตอบกลับมาหรือแม้กระทั่งแต่อ่านมัน ผมก็ยังส่งข้อความบอกเล่าความเป็นไป ยังคงต่อวาต่อขานยามที่ผมน้อยใจ ยังคงบอกเล่าเรื่องราวดีๆในระหว่างวัน ยังคงอ้อนเขาว่าเหนื่อยอยากให้พาไปกินข้าว ยังคงบอกว่าผมอยากได้เสื้อผ้าใหม่ รองเท้าเก่าก็ไม่อยากใส่แล้วอยากได้ของใหม่ และยังคงคิดถึงเขาเช่นเดิม
     
    ผมย้อนดูข้อความเก่าๆที่เคยส่งให้เขาแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ข้อความหยาบคายและบ่งบอกถึงแรงโทสะนั้นไม่ได้หายไปไหน มันยังคงค้างอยู่ที่เดิมและยังไม่มีผู้ใดอ่านมันนอกเสียจากผมเอง ผมจำไม่ได้แล้วว่าผมส่งข้อความไปหาเขากี่ร้อย กี่พันประโยค อัดเสียงต่อว่าเขาไปกี่ไฟล์ หรือแม้แต่บอกว่าผมคิดถึงและอยากให้เขาดูแลตัวเองไปอีกกี่คำ ทุกวันของผมคือการคุยกับคนที่ไม่โต้ตอบผม แม้จะดูมีความสุขแต่ใครเล่าจะรู้ ลึกๆภายในใจมันเจ็บแค่ไหน
     
    วันเวลาช่วยรักษาเยี่ยวยาให้ผมหายดีและค่อยๆลุกขึ้นยืนและเข้มแข็งอีกครั้ง ทุกครั้งผมมักจะมาที่ห้องนอนของเขาด้วยหัวใจที่สั่นไหวและน้ำตาก็พาลจะไหลเสียทุกครั้ง แม้แต่การขึ้นเวทีที่เป็นเรื่องง่ายสำหรับผมมันก็กลายเป็นเรื่องยากลำบากขึ้นมาทันตา แต่ผมก็จะไม่ย่อท้อ ไม่ถดถอย และจะต้องไม่ล้มจนหมอบราบเด็ดขาด
     
    ในเมื่อเขายังคงดำเนินชีวิตได้อย่างดีและปกติสุข ยังคงเดินหน้าทำตามความใฝ่ฝันของเขา ทำไมผมจะต้องเป็นคนร่วงกองอยู่กับพื้นแล้วบอกเขาเดินจากไปกันเล่า ผมก็จะลุกขึ้นยืนแล้วก้าวต่อไปเช่นกัน ต่อให้ทุกย่างก้าวนั้นจะย้ำเตือนว่าข้างกายผมเคยมีเขาคอยอยู่ข้างๆก็ตาม แต่ผมก็จะไม่สน.. เพราะผมเชื่อใจและเขาก็จะอยู่เคียงข้างผมตลอดเวลา
     
    เหมือนแหวนวงนี้ที่ผมยึดเขามา ผมเห็นเขาชอบใส่แล้วก็ตอนที่ไปซื้อเขาก็เอาแต่บ่นว่าสวยอยู่นั่น มันดูพิเศษกว่าวงอื่น ผมก็เลยขโมยมาเป็นของตัวเองเสียเลย แน่นอนผมขอไปแล้วในข้อความแต่เขาไม่ตอบเองก็ถือว่ารับรู้กันก็แล้วกันเนอะ ปาร์คชานยอลน่ะถนัดนะเรื่องมัดมือชกคนเนี่ย
     
    ยามที่ผมเมื่อยล้าจากการเรียงร้อยความทรงจำออกมาทางตัวหนังสือ ผมก็มักจะขยับกายพิงหลังกับพนักพิงของเก้าอี้แล้วปล่อยสายตามองไปด้านหน้าอย่างไร้จุดหมาย หลับตาสักแปบพร้อมกับปลายนิ้วที่หมุนรอบวงแหวนที่นิ้ว เมื่อหายจากการเมื่อยล้าแล้วผมก็จะเปิดเปลือกตาแล้วเล่าความทรงจำเล่านั้นต่อ ผมหวังว่าพวกคุณจะยังไม่เบื่อไปเสียก่อน.. แม้ว่ามันจะน่าเบื่อไปบ้างแต่ก็เถอะนะ..
     
    ช่วยอยู่เป็นเพื่อนปาร์คชานยอลคนนี้หน่อยนะครับ
     
    ผมเป็นคนเอาแต่ใจ.. ใครๆก็พูดกันแบบนี้ ไม่เว้นแม้แต่คนๆนั้นหรอกครับ ก็แหม.. น้องชายคนเล็กที่น่ารักโดนทั้งบ้านเอาใจขนาดนี้ อยากได้อะไรก็อ้อนเขา ทำไปทำมาก็เลยกลายเป็นปาร์คชานยอลจนถึงทุกวันนี้นั่นแหละ แต่ผมก็น่ารักและหล่อมากใช่ไหมล่ะ~
     
    ผมกำลังเจอปัญหาอยู่หนึ่งปัญหา คือเรื่องภาษาที่ผมไม่เข้าใจ แต่ก็ช่างเถอะผมมีโปรแกรมแปลภาษาที่อาจจะต้องใช้มันบ่อยหน่อย เขาได้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์อีกเรื่องด้วยนะ Time Boils the Rain พวกคุณฟังกันหรือยัง? แน่นอนผมฟังแล้วและโหลดมาเก็บไว้แล้วด้วยความช่วยเหลือในการโหลดของพี่ลู่หาน
     
    เพลงเดี่ยวเพลงแรกของเขา ที่ร้องคนเดียวทั้งเพลง ผมรู้ว่าเสียงของเขาดีแค่ไหน ไม่ว่าจะร้องเพลงธรรมดาหรือจะร้องแร๊พก็ตาม ผมเคยฟังเพลงที่เขาเคยร่วมร้องกับเพื่อนของเขา เพลงของเขาทำให้ผมหลับฝันดีแม้ในตอนแรกผมจะไม่รู้คำแปลของมันก็ตาม ผมชอบเสียงของเขา ชอบฟังเวลาเขาร้องเพลง และจะยิ่งชอบมากเมื่อเราสองคนได้ร้องเพลงร่วมกัน
     
    ทุกๆความรู้สึก ทุกความนึกคิด และทุกสถานที่ที่เคยมีความทรงจำรวมกันกับเขาผมไม่เคยลืมเลือน มันยังคงติดฝังอยู่ภายใจ ผมยังคงคิดถึงเขา ยังอยากเจอเขา ยังอยากนั่งลงพิงกันแล้วพูดคุยกับเขาถึงคำถามที่ยังติดอยู่ในหัวของผม แม้จะมีเวลาแค่เพียงคำถามเดียว ผมก็ยินดี
     
    พี่เคยคิดถึงผมแบบที่ผมคิดถึงพี่บ้างหรือเปล่า
     
     
     
     
    ผมกำลังยิ้มยินดีกับทุกย่างก้าวในการทำตามความฝันของเขา ทุกย่างก้าวที่มันค่อยๆไต่ไปถึงความสำเร็จ ทุกย่างก้าวที่ตัวเขาเดินได้โดยที่ไม่มีผมอยู่เคียงข้าง ... ผมก็ทำทุกย่างก้าวให้เดินไปข้างหน้าโดยที่ไม่มีเขาเช่นกัน บางทีเราอาจจะคิดเหมือนกันอยู่ในใจก็ได้ ว่ามีกันและกันเคียงข้าง.. แม้จะเป็นความอบอุ่นที่มองไม่เห็นก็ตามที
     
    ทุกคนไม่พูดถึงเขาดั่งลืมเลือนไปแล้วว่ามีเขาอยู่ แต่ผมรู้ลึกๆแล้วทุกคนยังรอ ยังคิดถึงและรับรู้ว่าเขามีตัวตนอยู่ในทุกความทรงจำที่ผ่านมาของเรา เขายังคงเป็นพี่ เป็นน้อง เป็นเพื่อนดั่งเช่นเดิม แม้ความรู้สึกนึกคิดจะเปลี่ยนไปแต่ตัวตนของเขายังย้ำอยู่ในทุกขณะจิตของเรา
     
    หนังของเขาถ่ายจบแล้วและกำลังจะบินกลับมาที่ประเทศเกิด ผมรู้สึกว่าผมคล้ายกับเฝ้ารอวันนี้เหมือนที่แฟนๆเฝ้ารอกันล่ะมั้ง การที่จะได้เห็นเขาอีกครั้ง เขาก็ยังคงเป็นเขา ยังคงเป็นคริส เป็นอี้ฟานที่ใจดีและรักแฟนๆ เขาเดินออกทางธรรมดาเพื่อมาพบเจอกับแฟนๆที่มารอเจอเขา และผมก็เดาว่าเขาคงอยากเจอแฟนๆเช่นกัน ถ้าไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ใช้เส้นทางนี้ ผมเห็นคนพิเศษของเขาด้วยแหละ
     
    หลังจากที่ผมดูข่าวและรูปที่แฟนคลับอัพกันเสร็จแล้วผมก็คว้ามือถือมากดข้อความส่งหาเขา ข้อความสั้นๆที่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะได้อ่านมันเมื่อไหร่ ข้อความที่ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะได้อ่านมันตอนไหน หรือบางทีเขาอาจจะไม่ได้อ่านมันเลยก็ตาม
     
     
    ...ยินดีต้อนรับกลับบ้านเกิดนะครับ...
     
     
    การเฝ้ารอใครมันทรมานใจเนอะ ไม่รู้ทำไมภาพตรงหน้ามันถึงพร่ามัวไปเสียอย่างนั้น แม้จะมีหลายครั้งที่ต่อว่าต่อขาน อยากจะบินไปชกให้เบ้าตาเขียวถึงที่ก็ตาม แม้จะคิดถึงจับใจก็ตามที ช่วงเวลาที่ไม่มีเขาข้างกายผมก็พูดไม่ได้เต็มปากว่าผมผ่านมันมาแล้ว ผมผ่านมันมาได้อย่างเต็มภาคภูมิ
     
    ไม่เลย... ไม่เลยสักนิด... ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด
     
    ไม่ว่ายังไงผมก็ยังคงรอตุ้ยจางคริสของผม ยังคงรอพี่ชายที่แสนดีคนนั้นเสมอ ผมเข้าใจสิ่งที่พี่ยูราบอกผมแล้ว เรื่องบางเรื่องอาจจะบอกให้กระจ่างชัดไม่ได้แต่เราเลือกที่จะเชื่อใจและเฝ้ามองเขา เดินไปพร้อมกับเขาได้ ผมอยากเป็นอย่างนั้นแต่ตอนนี้.. ตัวผมตอนนี้.. ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิดเดียว
     
    เรื่องราวมากมายในสมุดไดอารี่เล่มใหญ่ของผมถูกผมจับมาพิมพ์ใส่โปรแกรมไมโครซอฟเวิดเอาไว้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ยิ่งย้อนกลับไปมองความทรงจำเก่าๆครั้งใด ผมก็มักจะยิ้มและมีอาการตาพร่าเสียทุกครั้ง 
     
    ผมยังคงเฝ้ารอคนในความทรงจำของผมเช่นเดิม
     
    ผมเอื้อมมือคว้ามือถือที่ส่งเสียงเตือนว่ามีข้อความแชทส่งมาหา อาจจะเป็นพวกเด็กๆแก๊งตัวแสบที่คงจะเรียกให้ผมออกไปกินขนมไม่ก็เล่นเกมด้วยน่ะสิ เพราะเจ้าพวกนั้นบอกขี้เกียจเดินเข้ามาตามก็มักจะส่งข้อความมาเรียกหากันแบบนี้เนี่ยแหละ
     
    แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อมันเป็นข้อความมาจากใครบางคน คนที่รอมานานคล้ายดั่งชั่วชีวิต
     
     
    ...ขอบคุณครับ... 
     
    แค่ประโยคเดียวสั้นๆ แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจมันถึงสั่นไหวและเบื้องหน้าก็พร่ามัวอีกแล้ว หรือผมต้องกลับไปใส่แว่นอีกแล้วนะ?
     
    ...ทำไมพี่ถึงไม่ตอบข้อความผม ไม่พูดให้ผมฟัง ไม่บอกอะไรเลย ผมแค่อยากฟังมันจากพี่ทำไมถึงไม่พูด พี่สัญญาแล้วนิทำไมถึงผิดสัญญา ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้...
     
    เมื่ออีกฝ่ายตอบกลับมาก็รีบรัวพิมพ์ข้อความไปอีกแต่ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมตอบแต่มันขึ้นว่าอ่านแล้ว 
     
    ...ไม่อยากคุยกับผมเหรอ พี่อ่านข้อความของผมหมดหรือยัง พี่รู้ไหมว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไง พี่รู้หรือเปล่าว่าช่วงที่พี่หายไป พี่จะไม่พูดกับผมเหรอ...
     
    แต่ก็ยังไม่มีข้อความตอบกลับมา นอกเสียจากมันขึ้นว่าอ่านแล้วก็เท่านั้น
     
    ...พี่ใจร้ายรู้ตัวหรือเปล่า... 
     
    ไม่ไหวแล้วกับหยดน้ำตาที่ไหลกลิ้งผ่านแก้มไป ไม่ได้อยากร้องได้แต่มันทนไม่ไหวจริงๆ ลำโพงที่เสียบเข้ากับไอโฟนเล่นมาถึงเพลงหนึ่งที่มีความหมาย และเคยมีความหมายสำหรับเราสองคน บทเพลงที่เราเคยร้องร่วมกัน เพลงที่มีจนลืมไปแล้วว่าเคยมี เพลงที่ไม่เคยได้ยินมานานแสนนาน ตอนนี้โปรแกรมเล่นเพลงกำลังเล่นถึงมันพอดีราวกับจงใจ
     
     
    ‘ฉันได้ยินแต่เพียงเสียงสายฝนพร่ำที่กระทบบนหลังคา ที่รัก บอกฉันสิว่าทำไมคุณถึงต้องจากฉันไป
     
    เพราะความรู้สึกเจ็บปวดที่ฉันรู้สึกนี้มันจะไม่จางหายไปกับคุณและวันนี้ฉันก็คิดถึงคุณเหลือเกิน
     
    ฉันคิดว่าฉันจะหนีจากความปวดร้าวนี้ได้แต่ฉันก็เจ็บมานานพอจนที่จะรับรู้ได้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้เลย และวันนี้ฉันก็ยิ่งคิดถึงคุณ
     
    ไม่มีใครที่จะทำได้เหมือนคุณเลยสักนิด พูดถึงทุกอย่างที่คุณทำ ที่รักที่คุณพูดน่ะมันยังคงติดอยู่ในหัวของฉัน และฉัน.. ฉันคิดถึงเหลือเกิน
     
    ที่ฉันทำได้ก็แค่นอนรอ สองหูของฉันยังคงเปื้อนคราบน้ำตาจากการมองเห็นภาพใบหน้าของเธอบนพนัง 
     
    เมื่ออาทิตย์ที่แล้วคุณยังเป็นที่รักของฉันอยู่เลยแต่ตอนนี้ฉันกลับไม่รู้จักคุณเสียแล้ว
     
    ถ้าอย่างนั้นฉันอยากจะขอให้คุณโทรมาหาฉันตอนนี้เลยเพื่อที่ฉันจะได้รู้ว่าฉันควรที่จะผ่านมันไปอย่างไร
     
    แต่ฉันเดาว่ามันคงจะปลอดภัยที่จะพูดออกไปว่าฉัน.. ฉันน่ะคิดถึงคุณเหลือเกิน
     
    ไม่มีใครที่จะทำได้อย่างคุณเลยสักนิด พูดถึงทุกอย่างที่คุณทำ ที่รักที่คุณพูดน่ะมันยังคงติดอยู่ในหัวของฉัน และฉัน.. ฉันคิดถึงเหลือเกิน
     
    ฉันคิดว่าฉันสามารถจะลืมคุณได้นะที่รักแต่ฉันก็เห็นแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย จากที่เธอเคยกอดฉันไว้และด้วยคำพูดหวานล้ำพวกนั้นที่เคยพร่ำบอก ฉันก็ไม่สามารถลืมเธอได้เลย
     
    ไม่มีใครที่จะทำได้เหมือนคุณเลยสักคน พูดถึงทุกอย่างที่คุณทำ ที่รักที่คุณพูดน่ะมันยังคงติดอยู่ในหัวของฉัน และฉัน.. ฉันก็คิดถึงคุณเหลือเกิน
     
    มันคือความจริง .... คุณก็รู้ว่าฉันคิดถึงคุณ ยามที่ฉันได้ยินเสียงสายฝนพร่ำ 
     
    And I'm officially missing you’
     
     
    ไม่ว่าจะต่อให้ผมส่งข้อความไปหาเขาอีกสักกี่สิบ กี่ร้อยประโยคเขาก็ไม่ตอบคำถามของผมเลย ทำไมล่ะ? เขาไม่อยากคุย หรือลืมน้องชายคนนี้ไปแล้ว ลืมเลือนไอ้เด็กดื้อ ไอ้ตัวแสบของเขาไปแล้วอย่างนั้นหรือ?
     
     
     
    ไม่ว่าเขาจะเป็นคริสเอ็กโซ ตุ้ยจางฝั่งเอ็ม แร๊พเปอร์สุดเท่ห์ หรือจะเป็นอู๋อี้ฟานนักแสดงที่มากด้วยความสามารถ หรือจะเป็นเพียงอี้ฟานผู้ชายคนธรรมดา
     
     
     
     
     
    ผมก็แค่อยากได้เขากลับคืนมา ... ผมผิดนักหรือ? 
     
     
     
     














    ชานยอลใช้หลังมือปาดเช็ดคราบอุ่นบนใบหน้าออกแล้วดันฝาพับของจอโน้ตบุคให้พับลงมาเพราะไม่อยากให้ใครเห็นและล่วงรู้ว่าเขาพิมพ์หรือเขียนอะไรก๊อกแก๊กของเขาทุกวันคืน สมุดเล่มใหญ่ถูกคั่นด้วยถูกถ่ายหนึ่งใบที่มีใบหน้าของเจ้าของสมุดเล่มนี้และใครอีกคน 
     

    ไอโฟนเครื่องสวยถูกวางทับไว้บนไดอารี่เล่มใหญ่นั้นก่อนที่เจ้าตัวจะมองมันแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องออกไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง เสียงน้องๆยังคงดังโหวกเหวกโวยวายและผสมโรงด้วยเสียงของแบคฮยอนที่กำลังตีกับเซฮุนหาว่าเจ้ามักเนโกงเกม
     

    ตัวเขาตัดสินใจทิ้งมันไว้ข้างหลัง ทิ้งหน้าจอที่ยังคงสว่างวาบเผยให้เห็นบทสนทนาที่มีแต่เพียงเขาคนเดียวและคำที่ขึ้นว่าอ่านแล้วแต่ไม่มีข้อความตอบกลับ ทิ้งความทรงจำที่เจ็บช้ำไว้ด้านหลังเพื่อที่จะเดินออกมาหาความเป็นจริง ชานยอลลงนั่งเล่นเกมรวมไปกับคนอื่น พี่จุนมยอนก็ยังคงใจดีสั่งไก่ทอดมาเลี้ยงพวกเราตามที่จงอินอยากกินและมีคยองซูสนับสนุน
     

     
     
    หน้าจอไอโฟนที่สว่างแสงอยู่บนไดอารี่เล่มใหญ่นั้นค่อยๆดับแสงลง ... จนหน้าจอมืดสนิท



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×