ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Special] KrisYeol : Memorable Journey

    ลำดับตอนที่ #7 : Memory 06

    • อัปเดตล่าสุด 19 ต.ค. 57


     



    พวกคุณเคยเสียใจไหม? แน่นอนทุกคนต้องเคยเสียใจ เวลาที่พวกคุณเสียใจคุณจัดการกับความรู้สึกนั้นอย่างไร? ร้องไห้.. กรีดร้อง.. อยู่คนเดียวเงียบๆ ? 
     
    พวกคุณเคยเสียใจแต่ยิ้มอย่างมีความสุขไหม? แน่นอนคงไม่มีใครยิ้มได้.. แต่ผู้ชายคนนั้นมักจะยิ้มเสมอเวลาที่เขาต้องเสียใจ แม้จะเสียใจมากขนาดนั้นเขาก็ไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นและเขาก็ไม่เคยโวยวายหรืออะไรเลย เขาเพียงแค่ยิ้ม ยิ้มให้อย่างจริงใจก็เท่านั้น
     
    ผมเพิ่งรู้ว่าบทหนังที่เสนอมาให้พี่เขาถูกปฏิเสธ ไม่ว่าจะกี่เรื่องต่อกี่เรื่อง คนที่อยากเป็นนักแสดงแต่ไม่ได้รับบทแสดงแล้วจะแสดงได้อย่างไรกัน? คนอื่นๆก็มีงานบ้าง ลองไปแคสละครดูบ้าง หรืออะไรต่างๆบ้าง พวกคุณเคยดูรายการที่พี่คริสเป็นเอ็มซีไหม? รู้ไหมว่าเขาชอบมันและอยากทำมันอีก เขาดีใจแค่ไหนตอนที่ได้ยินว่าเขาจะได้ทำงานนี้ ผมยังจำมันได้อยู่เลย
     
    ตอนที่เขารับรู้ตารางงานเขาก็บอกกับทุกคนว่าเขาจะได้ลองทำมันด้วยแหละ มันจะต้องเป็นก้าวแรกของการเป็นดาราใหญ่แน่ๆ พี่ลู่หานกับพี่มินซอกยังว่าเขาว่าเวอร์อยู่เลย แต่เจ้าตัวก็แค่หัวเราะอารมณ์ดีซึ่งผมก็ยินดีกับเขาตามไปด้วย เนื่องจากการเป็นสมาชิกจีน เวลาที่บทละครถูกเสนอมาส่วนใหญ่ก็จะมีแต่หนังจีนทั้งนั้น ตารางงานกับอะไรหลายๆอย่างมันไม่อำนวยกัน เขาก็เลยต้องยอมจำพรากบทพวกนั้นไป
     
     
    “ไม่เป็นไรนะพี่ หล่อๆแบบพี่น่ะเดี๋ยวก็ได้เองล่ะ” ชานยอลลงนั่งข้างๆแล้วยกแขนขึ้นกอดไหล่คริสไว้
     
    “รู้ว่าหล่อ” คริสหันมายกยิ้มแล้วก็ยักคิ้วให้
     
    “หล่อน้อยกว่าผมอ่ะดิ” แล้วชานยอลก็หัวเราะ
     
    “ครับ โคตรหล่อเลยครับ” คริสหันมาชมด้วยสีหน้าตาย ชานยอลยิ้มแล้วลุกขึ้นยืนก่อนที่จะก้มหัวลงอย่างนอบน้อม
     
    “ขอบคุณที่ชมครับ” แล้วคริสกับชานยอลก็หัวเราะให้กันเอง ชานยอลมักจะทำให้เขาหัวเราะและยิ้มได้เสมอ
     
    “ไม่เป็นไรนะพี่” พอลงนั่งข้างๆได้ชานยอลก็ตบขาคนเป็นพี่เบาๆแบบให้กำลังใจ คริสก็ยิ้มแล้วพยักหน้า
     
    “อืม แค่นี้สบายมาก” คริสยักคิ้วให้
     
    “พี่รอผมเขียนบทเป็นก่อนนะ ไว้จะมาเขียนให้พี่เป็นพระเอกคนเดียวเลยทั้งเรื่องเลย รับรองดังแน่!!” ชานยอลย้ำความมั่นใจด้วยสองนิ้วโป้งที่ยกให้
     
    “คนเดียวเลยทั้งเรื่องเลยนี่มีพี่คนเดียวเหรอ” คริสหันไปถามคนที่เอนตัวมาพิง
     
    “ใช่เลย ผมจะให้พี่วิ่งหนีพวกซอมบี้มาเจอกับพวกผีแล้วก็จะไปเจอกับพวกสัตว์ประหลาด”
     
    “พอเถอะชานยอล” คริสเอ่ยหยุดเพราะถ้าไม่หยุดคิดว่าอีกสักแปบเขาคงได้ไปเจอกับมนุษย์ต่างดาวแน่ๆ ชานยอลหัวเราะแทบขำกลิ้ง
     
    “โห้ยกำลังจะให้บินไปนอกกาแล็คซี่ไปเจอกับมนุษย์ต่างดาวเลยอ่ะ” เดาผิดเสียเมื่อไหร่กันล่ะ คริสมองเด็กที่นั่งพิงเขาแล้วก็พูดไปเรื่อยเปื่อยแล้วก็ติดยิ้มที่ริมฝีปาก เด็กคนนี้ไม่รู้ตัวหรอกว่าพึ่งพาได้ขนาดไหน เวลาที่เขาเศร้าก็มันจะมีเด็กคนนี้เสมอ แม้บางทีเขาจะหงุดหงิดมากจนเผอลดุใส่แต่เจ้าหมาตัวโตก็จะทำหน้าหงอยแล้วอยู่ข้างๆทุกครั้งไม่ยอมไปไหนไกล น้องชายที่น่ารัก(ถึงแม้บางทีจะน่ารำคาญ)ก็พึ่งพาได้เสมอเลย
     
     
    ผมไม่เคยรู้ความลับลึกๆในใจของผู้ชายที่ดูเหมือนจะเย็นชาแต่ทว่าอ่อนโยนคนนี้สักที เขายอมให้ผมเข้าใกล้ ยอมให้ผมรู้จักตัวตนของเขาแต่มันก็เหมือนมีอะไรบางอย่างที่กั้นกลางระหว่างเราอยู่ มันเหมือนกับมีกระจกใสบางๆกั้นอยู่ตรงกลางไม่ให้ผมเข้าไปหาคนที่อยู่ที่อีกฟากหนึ่งได้เลย
     
    ถ้าผมอยากจะทำลายมัน ผมจะต้องทำอย่างไร?
     
    ทุบมันด้วยกำปั้นของผมอย่างนั้นหรือ? 
     
    ผมไม่เคยเอะใจอะไรมาก่อนเลย ไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน ไม่เคยนึกเลยว่าวันนี้จะมาถึง วันที่เราจะต้องจากกันไกล ก่อนหน้านั้นหลายเดือนในคืนว่างๆผมก็ไปนอนที่หอฝั่งเอ็มเป็นปกติ มาจนพี่มินซอกซื้อขนมติดหอไว้เผื่อผมแล้วด้วยซ้ำ แต่วันนี้ที่ผมมาพี่คริสไม่อยู่ทั้งๆที่ผมบอกเขาแล้วว่าวันนี้จะมาหา
     
    พี่ลู่หานบอกว่าคริสลงไปซื้อของที่มาร์ทเพราะเผลอดื่มนมของพี่มินซอกจนหมด พี่มินซอกก็เลยให้พี่เขาไปซื้อมาให้ อีกสักแปบก็คงจะมา ผมก็รับคำแล้วเดินเข้ามาในห้องของพี่เขาแล้วก็พุ่งตัวอย่างกับนักว่ายน้ำลงที่นอน (นี่ก็พูดให้เว่อร์ไปอย่างนั้นเอง)
     
    ผมนอนคว่ำอยู่บนเตียงแล้วสอดมือกอดหนุนหมดแต่ทว่ากลับเจออะไรอยู่ใต้หมอนใบใหญ่ ลุกขึ้นนั่งแล้วหยิบมันออกมาดู มันคือปีกกระดาษของอะไรสักอย่างที่เป็นภาษาจีน อย่างหนึ่งคือปีกเอกสารนี้ที่คล้ายกับบทละครที่เคยเห็นคยองซูได้รับ และอีกชุดหนึ่งเป็นเหมือนตารางเวลาอะไรสักอย่าง .. เจ้าสิ่งนี้มันคืออะไรกัน?
     
    ทำไมตัวผมถึงไม่ใส่ใจที่จะเรียนภาษาจีนให้มันมากกว่านี้นะ อ่านมันไม่ออกสักตัว เจ็บใจนัก!
     
    เมื่อได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกันด้านนอกคนที่แอบเจออะไรเข้าก็สะดุ้งแล้วรีบเก็บซ่อนมันไว้ก่อนที่จะดึงเจ้าตุ๊กตาสักตัวบนเตียงมากอด บานประตูห้องเปิดเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มละมุนของเจ้าของเตียง
     
     
    “ซื้อขนมมาฝากอยู่ข้างนอกมากินเร็ว เดี๋ยวเจ้าเทากับจงแดก็กินหมดหรอก” คริสกวักมือเรียกแม้จะแปลกใจที่เห็นน้องใช้สายตาแปลกๆมองมาก็ตาม
     
    “...” ชานยอลไม่ได้ตอบแต่ก็ยอมวางเจ้าตุ๊กตาที่กอดแล้วลงจากเตียง พอหันกลับไปมองก็เห็นเจ้ารีลัคคุมะที่ตัวเองกอดเมื่อครู่นอนเดียวดายอยู่ที่กลางเตียง
     
    “พี่คริส” ชานยอลเรียกแล้วจับเสื้อของคนที่อยู่ตรงหน้าไว้
     
    “หื้ม?” คริสหยุดจังหวะก้าวเดินแล้วหันมามองเด็กข้างหลัง ชานยอลก้มหน้าลงกัดริมฝีปากเขาไม่รู้ว่าจะถาม จะพูดหรือควรจะทำหน้าแบบไหนดี เขาอยากถามให้รู้ไปเลยว่าไอ้ที่คนตรงหน้าซ่อนไว้ใต้หมอนมันคืออะไร.. แต่เขากลับพูดไม่ออก
     
    “ว่าไง” แต่หัวกลมๆก็ส่ายหัวดุ๊กดิ๊กน่าเอ็นดู คริสระบายยิ้มแล้วเดินเข้าไปใกล้ก่อนที่จะรั้งหัวกลมๆนั้นให้มาซบที่ไหล่
     
    “เป็นอะไรไปเจ้าตัวแสบ ทะเลาะกับเซฮุน จงอินหรือแบคฮยอนอีกแล้วเหรอ” แต่ทว่าไม่มีคำตอบ คริสเลิกคิ้วขึ้นแล้วก็ลงความเห็นในใจเงียบๆว่า คงจะใช่ เด็กๆพวกนี้ชอบทะเลาะกันเรื่องเล่นเกมและชอบเย้าเหย่กันประจำจะเรียกว่าทะเลาะกันก็ไม่แปลก ไหนจะมักเนโอเซฮุนอีกที่ชานยอลดูแลมาตั้งแต่ตัวยังน้อยจนตอนนี้สูงไล่ทันพวกเขาแล้วอีก ชอบเถียง ชอบทะเลาะกันและเซฮุนก็มีความสุขที่ได้แกล้งพี่ชายของตัวเอง ทำไมเขาจะดูไม่ออกล่ะ ก็ดวงตาเรียวคู่นั้นมักจะวาดโค้งเป็นขีดยามที่ได้กวนประสาทคนเป็นพี่เสียเหลือเกิน
     
    เพราะบางครั้งตัวเขาก็ชอบแกล้งชานยอลเช่นกัน
     
    “ไม่เป็นไรนะ รอเจ้าพวกนั้นหลับแล้วก็ขโมยเกมมาเล่นที่นี่ก็แล้วกันนะ” ดั่งเช่นคำปลอบเหมือนทุกครั้งเวลาที่ชานยอลบอกว่าเจ้าพวกนั้นไม่ยอมให้เขาเล่นเกมด้วย ชอบแกล้งแหย่ให้งอนอยู่เรื่อย
     
    “...” ชานยอลไม่ได้ตอบเช่นเดิมแต่สองมือก็ยื่นออกไปกอดตอบคนที่กอดปลอบตัวเองอยู่นี้ไว้ คริสหัวเราะเบาๆแล้วลูบหัวน้อง
     
    “เอาน่าไปกินขนมกัน ถ้าหมดไม่ไปซื้อให้ใหม่นะ” แล้วคริสก็กอดคอลากน้องชายที่วันนี้ดูแปลกไปออกไปนั่งร่วมวงกินขนมกัน
     
     
    ชานยอลดูแปลกไปคริสรู้ แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรเพราะเขาคิดว่าที่เจ้าเด็กในปกครองทำหน้าหงอยทำตัวซึมเพราะทะเลาะกับเจ้าเด็กฝั่งเคนั่นล่ะ ถามไปชานยอลก็คงจะไม่ตอบสงสัยจะงอนหนัก เขาก็ทำได้แค่เอาใจน้องด้วยการเอาขนมให้กิน เจ้าตัวจะได้เลิกทำหน้าหงอยสักที ตัวเขาไม่คุ้นเลยจริงๆ
     
    เมื่อถึงเวลาที่จะต้องนอนได้แล้วผมก็เดินเข้าห้องนอนไปกับพี่คริส ทิ้งเรื่องเก็บกวาดให้กับพี่ลู่หานที่โดนพี่มินซอกแกล้งให้เป่ายิงฉุบแพ้เหมือนในรายการ Show Time ผมขึ้นเตียงไปนั่งรอคนที่จะต้องบำรุงผิวหน้าอีกเป็นชั่วโมงและก็คงอีกนานกว่าเขาจะมานอนและแน่นอนว่าผมก็คงจะหลับไปก่อน
     
     
    “ชานยอล” น้ำเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยเรียกชื่อไม่ได้ทำให้คนที่นั่งพิงหัวเตียงหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาเลยสักนิด จะมีปฏิกิริยาตอบกลับก็แค่ส่งเสียงครางอืออาเท่านั้น
     
    “ลงมานอนดีๆเร็ว” ชานยอลขยับตัวไปอิงแอบที่อกของคนโอบประคองแล้วก็หลับสนิทไปอีก คริสที่นอนราบอยู่บนเตียงและมีเจ้าลูกหมาตัวโตนอนหนุนอกก็ได้แต่ระบายยิ้มบาง ชานยอลเหมือนลูกหมาขี้อ้อนสำหรับเขา ลูกหมาตัวโตๆที่มักจะอารมณ์ดีและอยู่ไม่สุข ชอบกินโน้นกินนี่และมักจะตื่นตากับเรื่องต่างๆเสมอ
     
    “ฝันดีนะลูกหมา” ขยี้ผมน้องเบาๆแล้วตัวเองก็ปิดเปลือกตาหลับไปบ้าง
     
    ตกกลางดึกในค่ำคืนนั้นชานยอลฝันร้ายและสะดุ้งตื่น แต่ก็ยังเห็นว่าตัวเองยังคงนอนตระกองกอดอยู่บนตัวของพี่ชายที่แสนดี ความกังวลภายในใจก็เลยถูกบั่นทอนออกเสียครึ่ง เจ้าตัวถอนหายใจเบาๆแล้วเตรียมหลับอีกครั้ง แต่ทว่าฝ่ามือที่โอบประคองยกขึ้นลูบที่หัวเบาๆ
     
    “ฝันร้ายเหรอ ไม่เป็นนะเดี๋ยวมันก็ดีเอง” น้ำเสียงทุ่มเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ชานยอลครางรับในลำคอแล้วค่อยๆปิดเปลือกตาลงพร้อมกับห้วงคะนึงคิด 
     
     
    ...ถ้าไม่มีพี่ ผมจะหายหวาดกลัวฝันร้ายนี้ได้อย่างไรกัน...
     
     
    แม้จะฟังดูเป็นคำถามที่ไร้คำตอบแต่ทว่าคนที่กำลังนอนอิงแอบไออุ่นจากแผ่นอกกว้างนี้กลับรับรู้คำตอบด้วยตัวเอง ว่าถ้าตัวเขาจะละทิ้งความหวาดกลัวฝันร้ายนี้ไปได้ก็แค่.. มี ‘เขา’ เจ้าของอ้อมกอดและอ้อมแขนที่คอยปกป้องและดูแลเขาเท่านั้นเอง
     
     
    ขอแค่มีคริสอยู่ ปาร์คชานยอลก็หาได้หวาดกลัวต่อสิ่งใดไม่
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
    เรากำลังจะมีแฟนมีทติ้งกันและก็กำลังจะมีคัมแบคโชว์เคสด้วย อัลบั้มนี้พวกเราทุ่มทั้งแรงกายและแรงใจลงไปอย่างมาก เพราะนอกจากจะคัมแบ็คกลับมาด้วยรูปลักษณ์ที่ดูเท่และโตมากขึ้นกว่าเดิมแล้วนั้น ทุกเพลงที่อัดแน่นอยู่ในอัลบั้มนี้แทบจะเรียกได้ว่าดูแปลกใหม่และน่าจะตรงใจกับแฟนๆ
     
    พวกเราเตรียมตัวกันอย่างหนักเพราะนอกจากอัลบั้มนี้ที่เราคัมแบ็คมาแล้วนั้น พวกเราก็จะมีคอนเสิร์ตแรกด้วยเช่นกัน นั่นยิ่งทำให้พวกเราต้องเต็มที่กับอัลบั้มนี้เพื่อที่จะเอาเพลงให้รูปลักษณ์ใหม่ๆไปฝากแฟนๆที่รัก ผมกำลังกังวล ไม่ได้กังวลเรื่องที่จะทำออกมาไม่ดีแต่กังวลกับคนข้างตัวมากกว่า ช่วงนี้เขาดูเงียบขึ้น เย็นชามากขึ้นและคุยน้อยลง เขาเป็นอะไรและเกิดอะไรขึ้นกับเขาไม่มีใครรู้สักคน 
     
    พี่ลู่หานที่คุยกับเขาบ่อยก็ไม่มีทีท่าว่ารับรู้อะไรเลยว่าเพื่อนสนิทตัวเองเป็นอะไร ผมเองก็ไม่รู้.. แต่ผมสังเกตได้อยู่หนึ่งสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน 
     
    เขาว่ากันว่า ‘ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ’ แล้วเหตุไฉนเลยหน้าต่างของดวงใจคู่นี้มันถึงได้ฉายแววเศร้าหมองยิ่งนัก เขามีอะไรในใจกันนะทำไมถึงไม่พูดไม่ระบายให้ผมฟัง เขาทำตัวเย็นชาดูไม่สนใจและไม่ใส่ใจกับสิ่งรอบข้าง ซึ่งนั่นมันแปลก เขาผู้ที่เคยสนใจแลดูแลทุกคนกลับทำตัวไม่รับรู้ ไม่มองเห็นและไม่อะไรเลยสักอย่าง มันแปลกไป
     
    เวลาที่เราได้รับรางวัลกันบนเวที หลังจากกล่าวคำขอบคุณเสร็จแล้วตัวเขามักจะน้ำตาซึมทุกครั้งที่ลงมาด้านล่างเวที จริงอยู่ที่พี่เขาบอกว่าจะไม่ยอมร้องไห้ให้แฟนๆเห็นอีกแล้ว กลับน้ำตาซึมทุกครั้ง และเขาก็ภูมิใจที่ได้กล่าวขอบคุณแฟนๆในภาษาอื่น เขามักจะยิ้มและมีดวงตาที่วาวใสแต่ครั้งนี้ต่อหน้าผม แววตาของเขากลับไร้แววใดๆ พี่ชายของผมเป็นอะไรไปนะ
     
    งานแฟนมีทติ้งวันนั้นผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ไม่มีอะไรที่เป็นอุปสรรคใดๆ แฟนมีทติ้งวันนั้นสนุกและน่าประทับใจเมื่อผมได้ของรางวัลเป็นตุ๊กตาด้วย ผมชอบมากเลยและรู้สึกโชคดีที่ได้มัน
     
    มีคำถามและคำกล่าวมากมายว่าเพราเหตุใดชานยอลถึงชอบยืนแยกตัวจากกลุ่ม ไปยืนอยู่ในมุมมืดของเวทีกับตุ้ยจางฝั่งเอ็มกันสองคน คำตอบของคำถามนั้นคือ... ผมไม่รู้ ผมก็แค่อยากยืนมองสมาชิกในวงคนอื่นๆแล้วก็ยืนอยู่ข้างๆผู้ชายคนนี้แค่สองคนล่ะมั้ง.. ก็เรามีเรื่องต้องพูดกันเยอะนินา แม้ว่าเราจะอยู่บนเวทีก็ตาม พูดมากจนเซฮุนและคยองซูบ่นอุบเลยล่ะว่า คู่แร๊พเปอร์เสาไฟพูดมาก
     
    ชื่อเสาไฟเหตุไฉนถึงได้มันมา... ด้วยส่วนสูงที่สูงชะลูดเลยเมมเบอร์หลายคนไปไกลโขและเมื่อเราถูกจับให้มายืนอยู่ข้างกันก็คล้ายกับมองเห็นเสาไฟสองต้นดีๆนั่นเอง 
     
    ยามที่ผมหิวน้ำหรือเพราะร้อนมากจนเหงื่อออกก็จะมีคนด้านขวามือมาดูแลและห่วงใยตลอด ด้วยความที่ผมเป็นคนขี้ร้อนและเหงื่อมักจะออกง่าย ก่อนที่จะขึ้นเวทีทุกครั้งแผ่นทิชชูทั้งหลายจะถูกยัดใส่กระเป๋าเสื้อของผมโดยคนผู้นี้ตลอด ผมไม่ชอบถือของเยอะพะรุงพะรังและเมื่อมันเยอะจนล้นผมก็แค่หันไปด้านข้างแล้วยื่นให้เขาซะ จนมีคำกล่าวที่ว่า ของมากมายถ้าไม่อยากถือเพียงแค่ชานยอลส่งมันให้คริสก็จะหมดปัญหา
     
    การกระทำบางการกระทำมันก็ไม่มีเหตุผล มันเหมือนกับเราทำไปโดยตามธรรมชาติของเรา นานเข้าก็เลยกลายเป็นความเคยชิน ชินที่จะต้องหันไปทางขวาและได้รับการอธิบายขยายความ บางครั้งก็ขอให้หยิบโน่นนี่ บางครั้งก็ชวนคุย สะกิดดูป้ายจากแฟนๆ เคยชินไปเสียแล้วที่หันไปจะต้องเห็นใครสักคน
     
    หลังจากงานแฟนมีทติ้งสองวัน เราก็จะมีคัมแบ็คโชว์เคส และวันนี้ก็เป็นวันดีๆอีกหนึ่งวันให้จดจำ วันนี้เราได้เปิดตัวเพลงใหม่กับท่าเต้นใหม่ที่ทุกคนกำลังรอคอย เรามีความสุขกันมากยามที่อยู่บนเวที แต่เบื้องหลังเวทีนั้นวุ่นวายและเร่งรีบมากๆ เพื่อที่จะต้องทำเวลาและออกมาโลดแล่นอยู่หน้าเวทีให้ทันเวลาในการเปลี่ยนเสื้อผ้าอันน้อยนิด
     
    ผมบอกคุณหรือยังนะ? ว่าผมชอบเวลาที่อยู่บนเวทีและหลังเวที มันทั้งสนุก ตื่นเต้นและเร้าใจที่สุด! หลังจากคัมแบ็คโชว์เคสแล้วเราก็จะได้คัมแบ็คสเตรจกันสักทีแต่ทว่าก็เกิดเหตุการณ์เศร้าสลดเสียก่อน การคัมแบ็คถูกเลื่อนออกไป ซึ่งนั่นสมเหตุสมผลและควรกระทำที่สุดแล้ว 
     
    อยู่รวมกันได้อีกไม่นานฝั่งเอ็มก็ต้องบินไปคัมแบ็คที่จีน ช่วงนี้อากาศเหมือนจะแปรปรวนฮวางจื่อเทาที่ชอบทำตัวเป็นเด็กน้อยก็มักจะป่วยบ่อย พี่ลู่หานที่ทำท่าว่าแข็งแรงก็มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว และคนที่ป่วยเวลาอากาศเปลี่ยนฉับพลันก็มีอยู่คนหนึ่ง.. คนนั้นแหละ คนที่คุณก็รู้ว่าเป็นใคร
     
    ถึงจะไปทำงานอยู่จีนผมก็เฉยชาเสียแล้ว เพราะเราคุยกันทุกวันเช่นดังเดิมแต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือแววตาของเขาทำไมมันถึงได้เศร้าหมองอีกแล้ว พี่คริสทำตัวแปลกไปผมรับรู้ได้ดี ช่วงกลางคืนที่เราจะต้องคุยกันไม่ว่าจะวีดีโอคอลหรือพิมพ์ข้อความหากัน มันทำให้ผมรู้สึกแปลกใจแม้จะเป็นเพียงแค่ตัวอักษรเท่านั้น ผมเหมือนรู้สึกว่าเขาไม่เหมือนเดิม
     
    สิ่งใดกันนะที่ไม่เหมือนเดิม นิสัย ท่าทาง แววตา คำพูด หรือทุกสิ่งอย่าง? 
     
    ฝั่งเอ็มยังคงทำงานอยู่ที่จีนจนกว่าจะถึงวันที่เราจะต้องไปคัมแบ็คโชว์เคสกันที่เซี่ยงไฮ้ แน่นอนมีที่เกาหลีแล้วก็ต้องมีที่จีนด้วย แต่ก่อนหน้าที่จะถึงวันนั้นพวกเราฝั่งเคก็ได้คัมแบ็คสเตรจกัน เพลงนี้พอเต้นกันแค่หกคนแล้วมันก็รู้สึกว่าเวทีมันโล่งๆไปหน่อย สำหรับผมโอเวอร์โดสสิบสองคนเต็มเวทีกำลังดีเลย
     
    ไม่ใช่อะไรหรอก.. แค่อยากจะบอกว่ามันดูวุ่นวายดีที่จะต้องวิ่งกันไป สวนกันมา มันก็ดูรกรุงรังเวทีดีใช่ไหมล่ะ? ผมคิดแบบนั้นนะ
     
    พวกเรามารวมตัวกันอีกแล้ว ดูๆไปก็เหมือนพาเด็กมาทัศนศึกษาเลยเนอะ วุ่นวายจริงๆ เด็กพวกนี้นิใช้ไม่ได้เลยนะ (ส่ายหน้าแล้วแบมือขึ้น) ผมเห็นเป้าหมายแล้วนั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะขนม ผมก็เลยเดินเข้าไปหา พี่คริสเลิกคิ้วแล้วมองผม ผมก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะขนมแล้วหยิบขนมกินพร้อมกับหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเกม พี่คริสก็ขยับมานั่งซ้อนหลังผมแล้วดูผมเล่นเกม
     
    วันนี้ผมว่าพี่เขาดูแปลกๆ ... แต่อะไรล่ะที่แปลกไป ดวงตาหรือเปล่านะ? ผมนั่งเล่นเกมโดยมีพี่เขานั่งเงียบๆดูผมจากด้านหลัง มีบ้างคราวที่เขาเอ่ยชี้แล้วบอกให้ผมเก็บตรงนั้น ทำตรงนี้ เร่งความเร็วอีกนิดสิ ผมหันไปมองแล้วก็ยิ้มให้ ยังไงผู้ชายตรงหน้าผมก็คือพี่ชายที่แสนดีของผมเช่นเดิม
     
    การขึ้นเวทีไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร หนำซ้ำยังเป็นเรื่องดีๆและสนุกอีกด้วย ผมคอยเฝ้าสังเกตคนข้างตัวและพยายามทำให้เขายิ้มออกมา บางครั้งก็ต้องทำอะไรที่มันดูตลกๆ แต่ปกติผมก็มักจะทำท่าทางแบบนั้นอยู่แล้ว การที่เราจะแอบยืนหลบมุมกันสองคนเป็นเรื่องปกติและชินชาไปเสียแล้ว
     
     
    “พี่เป็นอะไรหรือเปล่า” ชานยอลแอบกระซิบถามเมื่อเรายืนอยู่ข้างกันโดยที่ห่างมุมจากเซฮุนพอสมควร
     
    “เปล่านิ ทำไมเหรอ” 
     
    “ถ้าไม่เป็นอะไรก็ยิ้มหน่อยดิ ทำหน้าเป็นลิงป่วยเลย” ชานยอลยิ้มกว้าง คริสก็ยิ้มให้น้อง 
     
    นี่แหละพี่ชายของเขา! ถึงแววตาจะดูเศร้าไปหน่อยแต่ก็เป็นรอยยิ้มเดิมๆที่เขาเคยได้รับ
     
     
    ลมพายุและคลื่นลมแรง มันไม่เคยส่งสัญญาณเตือนใดๆ ยามที่ลมนิ่ง ท้องทะเลดูเงียบสงบแต่ภายใต้ด้านล่างของความดำมืดนั้นกลับเกิดกระแสปรวนแปรและก่อสงครามย่อมๆใต้พื้นน้ำ ไม่นานทั้งคลื่นลมและห่าฝนก็จะบังเกิด ไม่มีใครล่วงรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อใด จะเกิดขึ้นอย่างไร และมันจะสงบลงตอนไหน ไม่มีทางรู้เลย
     
    แม้เราอาจจะเตรียมใจไว้อยู่ก่อนแล้วว่าเราอาจจะต้องได้เจอมัน แต่ทว่าไม่มีใครล่วงรู้มาก่อน
     
    วันนี้เราต้องกลับเกาหลีกัน ยังมีงานอีกมากมายรอเราอยู่ แม้ว่าเราจะได้พักในช่วงเล็กๆก่อนที่จะต้องตะเตรียมคอนเสิร์ตกัน แต่ทว่าวันนี้พี่คริสกลับไม่กลับมากับพวกเราด้วย พี่เขาบอกว่าแม่ของเขาจะมาหาเขาก็เลยจะไปหาแม่ก่อนอาจจะอยู่ด้วยสักวันหรือสองวันก่อนที่จะกลับ และหลังจากนั้นเราก็จะเริ่มซ้อมหนักเรื่องคอนเสิร์ตกัน 
     
    ในใจรู้ว่าเขาจะไปหาแม่ที่รักแต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกบางอย่างยามที่ได้สบตากับเขา สบสายตาเศร้าๆที่มองกลับมา คล้ายกับมีข้อความมากมายส่งมาหาแต่ตัวของผมกลับไม่เข้าใจมันเลยสักประโยคเดียว ดวงตาคมดุที่ผมชอบมองทำไมมันถึงได้เศร้าขนาดนี้
     
    ก่อนที่เราจะแยกกันผมเดินเข้าไปหาเขา มองสบตาของเขาที่ยังคงมองผมอยู่ ฝ่ามือใหญ่ของเขาที่ลูบหัวผมเบาๆเหมือนดั่งเช่นทุกที ผมรู้สึกบางอย่างในอก .. ผมกำลังกลัวแต่กลัวอะไรที่มิอาจอธิบายได้ ริมฝีปากของผมสั่นก่อนที่จะเอ่ยถามด้วยถ้อยคำปกติดั่งเช่นทุกครั้งที่เราต้องห่างกันไกล ถามเพื่อความมั่นใจแต่ทว่าครั้งนี้ตัวของผมกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น คำถามของผมไร้น้ำหนักและสิ่งอื่นใด
     
     
    “พี่จะกลับมาไหม” คนได้ยินคำถามยิ้มแล้วเคาะหัวคนถามเบาๆ
     
    “กลับสิ พี่ต้องกลับมาอยู่แล้ว” ชานยอลยิ้ม อีกฝ่ายก็ยิ้ม
     
    “อย่าลืมของฝากนะผมจะรอ ฝากบอกคุณแม่พี่ด้วยว่าผมคิดถึง”
     
    “อืมพี่จะบอกให้ รอรับพี่ด้วยนะ ชานยอลดูแลตัวเองด้วยนะ” ชานยอลพยักหน้ารับแล้วเดินจากมา เพราะเขาต้องไปกันคนละทาง
     
     
    ถ้ารู้ว่าวันนั้นเขาจะไม่กลับมาแล้ว ผมจะเอ่ยรั้งเขาไว้ จะเอ่ยให้เขากลับมา จะเอ่ยสัญญาให้เขารับคำ
     
    แต่ทว่า... มันก็เป็นเพียงแค่ลมปาก เมื่อเขาไม่กลับมา
     
    ความอบอุ่น คนดูแลเอาใจใส่ ความปลอดภัย ใครบางคนหายลับไปแล้ว
     
    ตอนที่นั่งอยู่บนเครื่องเพื่อบินกลับมาที่เกาหลี ผมก็เริ่มรับรู้ว่าแล้วว่ามันอาจจะต้องมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงแต่ผมไม่รู้ว่าอะไรที่มันจะเปลี่ยนแปลง พี่ลู่หานดูเงียบขรึมและนั่งนิ่งผิดวิสัยของคนที่ชอบคุย ชอบเจ๊าแจ๊ะกับคนข้างตัว พี่มินซอกที่นั่งนิ่งเงียบและดูก็รู้ว่ากำลังอารมณ์ไม่ดี และคนสุดท้ายพี่จุนมยอนที่นั่งหลับตาเหมือนกำลังคิดอะไรในหัว
     
    แล้วภาพความทรงจำในสมองก็ฉายขึ้นมาย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อนที่ผมเจอความลับของพี่เขาใต้หมอนหนุน และอะไรอีกหลายอย่างที่ผมเห็น บางครั้งที่พี่คริสและพี่ลู่หานกำลังคุยกันอยู่นั้นเมื่อมีผมเข้าไปแทรกเขาจะหยุดคุยทันทีแล้วเปลี่ยนไปคุยกันเรื่องอื่น
     
    ผมว่าผมคงจะเริ่มรับรู้แล้วล่ะ สัญญาณเบาๆมันเริ่มเตือนถี่ขึ้นแล้ว
     
    ดอกแดนดิไลอ้อน มีความหมายทั่วไปว่า ความรัก รักที่พระเจ้าบันดาลสรรสร้างให้เกิดขึ้น แดนดิไลอ้อนสีขาวคือ เสน่หา ความบริสุทธิ์ ความสงบ และความโชคดี และยังไม่เพียงเท่านั้นดอกไม้ดอกนี้ยังมีความหมายรวมไปถึงมิตรภาพ การเริ่มต้นใหม่ และอิสรเสรีได้อีกด้วย 
     
    ผมเจอมันโดยบังเอิญก็เลยอัพรูปลงอินสตราแกรม .. ผมลืมเล่าสินะว่าผมมีอินสตราแกรมเพื่อติดต่อกับแฟนคลับแล้ว อินสตราแกรมนี้เป็นอะไรที่ใครบางคนคะยั้นคะยอให้ผมเล่นแล้วก็ให้ผมไปกดฟอลโล่วเขาเป็นคนแรกแลกกับการไปนั่งกินชาบูด้วยกัน ซึ่งแน่นอนคนอย่างผมไม่มีปฏิเสธอยู่แล้ว
     
     
     
     
    ‘ผมควรที่จะถ่ายวีดีโอเก็บเอาไว้... แล้วพอคิดได้จากนั้นมันก็ปลิวหายไปหมดแล้ว และผมคงไม่สามารถหาดอกแดนดิไลอ้อนดอกใหม่ได้’
     
     
     
     
     
     
    เพราะดอกแดนดิไลอ้อนของผมมันหายไปแล้ว
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×