ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Memory 05
ผมสายตาสั้นทุกคนก็รู้ใช่ไหม? เวลาเรียนหรือตอนอ่านหนังสือผมก็มักจะใส่แว่น แต่หลังจากที่ผมได้รับคำแนะนำให้ไปทำเลสิคแล้วมันก็เลยเกิดปัญหาที่ตามมาด้วย เพราะตาของผมโตเกินไปพอทำเลสิคมันก็เลยทำให้มีผลข้างเคียงที่เป็นปัญหาอีกนิดหน่อยคือดวงตาของผมจะสู้แสงจ้ามากๆไม่ได้ เช่นแสงแฟลชและแสงสปอร์ตไลท์แรงๆ
หลายครั้งที่ผมโดนแสงจ้าๆพวกนั้นตาของผมก็มักจะแดงและมีน้ำตาไหลอยู่ตลอดเวลา คนที่ดูแลผมเรื่องนี้ก็หนีไม่พ้นพี่คริสอีกอยู่ดี ช่วงที่ผมทำเลสิคมาช่วงแรกๆนั้นหลังพักฟื้นผมก็ต้องกลับมาทำงานต่อ ทางค่ายเสนอให้ผมใส่แว่นดำไว้ก่อน แต่ผมกับพี่คริสมีความเห็นตรงกันว่ามันดูไม่ดี ไม่เหมาะสมเลยที่จะใส่แว่นดำขึ้นเวทีเพราะผมอยากจะสบตากับแฟนๆทุกคนนะ จริงๆคือกลัวไม่หล่อนั่นเอง แหะๆ
พี่คริสก็เลยจะคอยช่วยทั้งนำทางและกันแสงจ้ามากๆเหล่านั้นให้ พี่เขาเป็นยิ่งกว่าพี่ชาย เป็นยิ่งกว่าพ่ออีก ผมมีพ่อสองคนหรือเปล่านะ? จนป่านนี้ก็ยังสงสัยอยู่ ที่เล่าให้ฟังไม่ใช่อะไรหรอกก็แค่ประทับใจก็เลยเล่าให้ฟังก็เท่านั้นเองอย่าเพิ่งเบื่อผมกันเลยนะ
ตอนนี้ในปัจจุบันผมก็กำลังนั่งเขียนอยู่กับเจ้าสมุดเล่มดำประจำตัว เขียนไปริมฝีปากของผมมันก็วาดรอยยิ้มไป พอหวนนึกถึงความทรงจำเก่าๆทีไรมันก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุข อิ่มเอมใจและยิ้มตามไปกับมัน ช่วงเวลาที่แสนมีค่าของผม ช่วงเวลาที่ผมแสนหวงแหนและมันจะติดอยู่ในความทรงจำและในใจของผมตลอดไป
ผมเชื่อว่าสักวัน.. ซึ่งเป็นวันไหน เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ โลกของผมและโลกของเขาจะหมุนวนรอบกลับมาเจอกันอีก ดั่งเช่นในเพลงทูมูนส์ที่พระจันทร์สองดวงเคลื่อนทับซ้อนกัน ผมหวังว่าสักวันเราสองคนจะหมุนมาเจอกันอีก ต่อให้นานแค่ไหนผมก็จะรอ ..ผมยังรอเขาเหมือนเดิม..
ทุกๆคนต่างก็มีความฝัน แน่นอนผมก็มี คุณๆก็มี และพี่ชายของผมก็มี ความฝันของผมเหรอ? ผมอยากเป็นนักร้อง นักเต้น แร๊พเปอร์คนเก่งแล้วก็นักแสดง แน่นอนทุกคนรู้อยู่แล้ว พวกคุณรู้ความฝันของพี่ชายผมไหม? นักร้อง แดนซ์ซิ่งแมชชีน แร๊พเปอร์ นักแสดงและนายแบบ ฝันของเราก็ไม่ต่างกันหรอกใช่ไหม? ใช่มันไม่ต่างกัน.. แต่ไม่รู้ทำไมตอนที่ผมหวนกลับไปคิดถึงมันอีก ผมถึงรู้สึกว่า.. แม้ผมจะสนิทกับเขามากเท่าไหร่ เราสองคนก็ยังมีเส้นบางๆกั้นอยู่
พวกเราอยากเป็นนักแสดงด้วย ความฝันที่ไม่รู้จบของคนที่กำลังเดินอยู่ในสายของการทำตามความฝัน ดังนั้นผมกับพี่คริสก็เลยได้เรียนการแสดงด้วยกัน ผมที่ไม่มีพื้นฐานด้านการแสดงก็ค่อนข้างยากเอาการอยู่ ส่วนพี่คริสที่พอมีพื้นอยู่แล้วก็เลยต้องคอยเป็นผู้ช่วยผมอีกแรงไปโดยปริยาย
ผมฝันเอาไว้สักวันว่าผมกับเขาจะได้แสดงหนังร่วมกัน จะให้ผมเป็นแขกรับเชิญก็ได้แต่ขอให้ซีนนั้นมีพี่คริสก็พอ หรือจะให้ผมไปเล่นเป็นเพื่อนพระเอก(แน่นอนว่าพระเอกก็ต้องพี่คริสแน่ๆอยู่แล้ว)ก็ได้ สักวันหนึ่งถ้าเราได้เล่นหนังด้วยกันเหมือนอย่างทุกวันนี้ที่เราได้ร้องเพลงด้วยกันมันก็คงจะสุดยอดไปเลย! หวังว่าจะมีผู้จัดสักคนมองเห็นคำขอของผมนะครับ~~
“พี่อยากเล่นหนังแบบไหนอ่ะ” ชานยอลเอ่ยถามหลังจากที่เสร็จจากคลาสการแสดงแล้ว คริสขมวดคิ้วทำท่าคิดก่อนที่จะยิ้มกว้าง
“หนังรักโรแมนติกดีไหม?” ชานยอลเอียงคอ
“ทำไมอ่ะ?”
“ก็มันน่าจะสนุกดี” ชานยอลเลิกคิ้ว คริสก็ยิ้ม
“อยากสนุกต้องรักโรแมนติกฆาตกรรมดิพี่ รับรองสนุกแน่ๆวิ่งหนีกันทั้งเรื่อง” แล้วชานยอลก็หัวเราะใหญ่ คริสก็เลยใช้ไหล่ดันชานยอลไปสักที
“พี่จะให้นายมาวิ่งด้วยกัน”
“ทำไมจะมาโรแมนติกกับผมเหรอ?” คริสส่ายหน้า
“จะเอามาฆาตกรรมต่างหาก” ชานยอลมุ่ยหน้าใส่ก่อนที่จะชกแขนคนเป็นพี่ไปสักหนึ่งที
“โห้ยไรวะ!!” คริสหัวเราะแล้วกอดคอชานยอลไว้
“ล้อเล่นหรอก อย่างน้อยต้องมาเล่นเป็นเพื่อนข้างบ้านดีมะ?”
“เพื่อนพระเอกดิวะพี่!” คริสพยักหน้า
“อ่ะก็ได้ๆ เพื่อนพระเอกก็เพื่อนพระเอกแต่ก็อยู่ข้างบ้านไง เดินง่ายๆจะได้ไปขอข้าวกินด้วย” ชานยอลยู่ปากใส่
“ปั๊ดโธ่!!”
หลังจากที่เก่งภาษาเกาหลีขึ้นจากแต่ก่อน นอกจากจะสรรหาเรื่องมาคุยได้มากขึ้นแล้ว ยังจะมาหาเรื่องกวนประสาทเขาอีกแต่ก็นั่นแหละพี่ชายของเขา รักมากจนอยากจะเอาหมอนฟาดให้หลับไปเลยจริงๆ ผมก็ได้แต่หันไปมองเขาแล้วก็ยิ้มมีความสุขอยู่คนเดียว
เขาว่ากันว่ามิตรภาพของพ้องเพื่อนมักจะดำเนินไปได้ไกลกว่า เขาก็เชื่อแบบนั้นนะ ผมก็เชื่อและหวังว่าผมกับพี่คริสจะเดินไปด้วยกันเรื่อยๆ แค่มีพี่คริสอยู่ผมก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว
“หื้ม?” คริสหันไปเลิกคิ้วถามชานยอลที่มองหน้าตัวเขาแล้วก็ยิ้ม แต่ชานยอลกลับส่ายหน้าไปมาหมายว่าไม่มีอะไร คริสก็เลยยิ้มตอบแล้วก็พาน้องไปหาอะไรกินกัน
พี่คริสชอบอ่านหนังสือ แหงล่ะหนังสือของเขาน่ะวางเรียงเป็นตั้งเลยในห้อง ผมก็เคยไปรื้อดูนะแต่ส่วนใหญ่จะเป็นภาษาจีนและบางส่วนจะเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งผมคงจะไม่มีทางอ่านมันเข้าใจแหงล่ะ หนังสือที่พี่คริสอ่าน.. ถ้าให้ผมเดาผมว่าหนังสือพวกนี้คงเป็นนิยายรักแน่ๆเลย เพราะพี่เขาชอบดูพวกหนังรักโรแมนติก แม้ผมจะชวนเข้าไปดูหนังสยองขวัญแล้วไม่สำเร็จก็ตาม
คนๆนี้น่ะกลัวผีจะตาย ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่กลัวหรอกนะแต่ผมก็ไม่เคยเจอ ไม่เคยเห็นไงก็เลยไม่ได้รู้สึกอะไรมากและพวกในหนังมันก็ผีปลอมอยู่แล้ว แต่เชื่อเถอะพี่ชายผมน่ะกลัวจนแทบอยากจะลุกหนีเลยด้วยซ้ำ มีครั้งหนึ่งผมไปซื้อตั๋วล่วงหน้าแล้วไม่บอกเขาว่าเรื่องอะไร พอหนังฉายเท่านั้นแหละพี่เขาหันมาจิกสายตาใส่จนผมหลับแทบไม่ทัน
วันนี้ว่างๆก็เลยพากันมานอนกองเล่นที่หอพักของฝั่งเอ็ม แน่นอนว่าได้รับการอนุมัติและเห็นด้วยจากพี่จุนมยอนเรียบร้อย ผมกำลังนั่งหยิบหนังสือของพี่เขามาไล่ดูทีละเล่มแล้วก็เปิดผ่านๆ อ่านไม่ออกหรอกแต่ออยากเปิด ไม่ได้มาหาสักพักแต่หนังสือดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย ก็พวกฝั่งเอ็มบินบ่อยๆแล้วพี่คริสก็ชอบนั่งอ่านหนังสือบนเครื่องเสียด้วยสิ ก่อนนอนถ้าพอมีเวลาก็ขออ่านสักหน้าสองหน้า
อย่าไปบอกใครนะ.. ว่าผมก็เริ่มมีความคิดที่อยากจะเป็นนักเขียนกับเขาบ้างแล้วล่ะ
“ทำอะไรอยู่น่ะชานยอล”คริสเปิดประตูห้องแล้วก็ยืนกอดอกพิงขอบประตูส่งยิ้มมาให้น้องที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกองหนังสือของเขา
“กำลังจะขโมยหนังสือ จุ๊ๆอย่าไปบอกพี่คริสนะ” ชานยอลหันมาทำท่าจุ๊ๆใส่ คริสก็ยิ้มขำแล้วเดินเข้ามาในห้องมาลงนั่งข้างๆชานยอล
“ไม่บอกหรอกน่า ว่าแต่อ่านออกเหรอ” ชานยอลส่ายหน้า
“อ่านไม่ออกสักตัว” ชานยอลพลิกหน้าหนังสือไปมา คริสก็หัวเราะเบาๆ
“พี่อ่านหนังสือแนวไหนน่ะ” เพราะว่าอ่านไม่ออกก็เลยเดาไม่ถูกน่ะสิ
“ก็พวกข้อคิดดีๆ แรงบันดาลใจ เรื่องดีๆต่อชีวิตน่ะ” ชานยอลร้องอ๋อแล้วพยักหน้ารับ
“ถ้าผมเขียนหนังสือพี่จะอ่านป่ะ?” ชานยอลถามไปก็พลิกหน้าหนังสือดูไปเรื่อยๆไม่ได้สนใจใคร่รู้คำตอบเสียด้วยซ้ำ จริงๆถามไปอย่างนั้นเองล่ะ
“พี่จะซื้อทุกเล่มเลย อย่าลืมส่วนลดให้พี่ล่ะกัน” แล้วคริสกับชานยอลก็หัวเราะให้กันเอง
“ออกไปข้างนอกได้แล้ว เมื่อกี้จุนมยอนโทรสั่งไก่ทอดมาให้พวกเราด้วยล่ะ” คริสลุกขึ้นยืนแล้วส่งมือให้ชานยอลจับฉุดให้ลุกขึ้น
“โอ้ว กำลังหิวเลย!”
“ก็หิวอยู่ทั้งวันไหม?” ชานยอลเบะปากใส่แต่ก็ยอมเดินตามที่คนตัวสูงกว่าจูงมือไป
คำถามที่ถามออกไปอย่างไม่ได้สนใจในวันนั้น.. ใครคนนั้นจะลืมมันหรือยังนะ
คำถามที่เหมือนไม่มีคำตอบ และคงจะไม่ได้รับคำตอบถ้าใครคนนั้นไม่เป็นคนตอบคำถามด้วยตัวเอง
ในหัวของผมก็ยังคงวนเวียน ย้ำๆ ซ้ำๆ กับถ้อยคำถามเดิม คำถามเดิมที่ตอนนี้ต่อให้ผมถามไปสักเท่าไหร่มันก็ไม่มีคำตอบเลย
ตัวผมในปัจจุบันคงต้องปิดหน้าไดอารี่แล้วลุกออกจากห้องไปสงบจิตใจไว้ก่อน ผมไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็นและผมไม่อยากจะอ่อนแอให้ใครมาคอยปลอบเลยจริงๆ แม้จะรู้สึกดีที่ได้รับการปลอบแต่ทว่ามันก็ยิ่งทำให้ผมอ่อนแอลงเช่นกัน
ผมยอมรับเลยว่า ผมอ่อนแอ.. ผมแค่อยากได้ที่พึ่งพิงของผมคืนก็เท่านั้น
พวกคุณก็อ่านต่อได้เลยครับ ไม่ต้องสนใจผมนะ ผมน่ะแข็งแกร่งแล้วก็เป็นแฮปปี้ไวรัสของทุกคน เพราะฉะนั้นอ่านล่วงหน้าไปก่อนเลย
ผมชอบตุ๊กตาทุกคนรู้ใช่ไหม? แหงล่ะไม่งั้นเจ้ารีแฟม(รีลัคคุมะแฟมิลี่)จะมาจากไหนกันล่ะ มีทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กตัวน้อย ผมล่ะช๊อบชอบ~ น่ารักเหมาะกับผมชะมัดเลยพวกคุณก็คิดเหมือนกันใช่ไหมล่ะ? เห็นผมชอบตุ๊กตาแบบนี้.. คุณก็รู้ใช่ไหมว่าพี่ชายผมก็ชอบตุ๊กตาเหมือนกันน่ะ
รายนั้นนะมีเยอะกว่าผมอีก ไม่เป็นไรผมจะพยายามเก็บรวบรวมสมาชิกเพื่อมาต่อกรกับฝ่ายนั้นเอง วะฮ่าฮ่าๆๆ เมื่อตุ๊กตาที่ผมได้มามันเยอะเกินไปผมก็จะใส่กระเป๋ากลับไปไว้ที่บ้าน แน่นอนว่าถ้าส่งต่อไปที่บ้านเด็กๆพวกนั้นก็จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากพี่ยูรา พี่สาวคนสวยของผม
แต่พวกลูกสมุนของพี่คริสที่ได้มาเขาก็มักจะเอามาวางไว้ที่โต๊ะมุมห้องของเขา ไว้บนเตียงบ้าง โต๊ะเขียนหนังสือเล็กๆของเขาบ้าง ผมไปทีไรถ้าไม่ต้องคุยกับเจ้าของห้องก็จะไปนอนเล่นกับบรรดาลูกสมุนที่อยู่บนเตียง แน่นอนว่าตุ๊กตาพวกนั้นผมรู้จักดี จำชื่อได้ด้วยเถอะ! แต่ถ้าผมแอบหยิบไปสักตัวพี่คริสจะรู้ไหมนะ? ก็มีเยอะซะขนาดนั้น .. มันก็น่าลองดูนะ
พี่คริสน่ะเวลามาที่ห้องผม ซึ่งก็นานๆครั้ง ชอบทำเนียนหยิบตุ๊กตาลูกรักผมกลับหอตัวเองทุกที! เอาเป็นว่าวันนี้ผมลองหยิบดูบ้างดีกว่า แต่อย่าไปบอกนะว่าผมแอบหยิบไปน่ะ จุ๊ๆไว้เลยนะ.. พี่เขาเคยบอกว่าเวลาพี่เขาเหงาเขาก็มักจะมีตุ๊กตาเป็นเพื่อน มันก็เลยทำให้เขาชอบตุ๊กตาไปเลย เหมือนผมเลย เพราะเวลาอยู่บ้านที่จะต้องเล่นกับพี่ยูราทีไรก็มีแต่ตุ๊กตา พอผมร้องไห้พี่ยูราก็เอาตุ๊กตามาล่อ ผมก็เลยหลงรักตุ๊กตาน่ารักๆเข้าไปเต็มเปาเลย
“นั่นจะทำอะไรน่ะ” คริสถามเมื่อเห็นเจ้าตัวดื้อที่นั่งอยู่บนเตียงกำลังจับลูกรักของตัวเขาใส่กระเป๋าตัวเอง
“กำลังจะลักพาตัวเด็กครับ อย่าไปบอกใครนะ” ชานยอลหันมาจุ๊ปากใส่แล้วทำสีหน้าจริงจัง
“อย่างนั้นเหรอ?” ชานยอลหันมาทำหน้ามุ่ยใส่แล้วดึงเจ้าตุ๊กตาตัวไม่เล็กออกมากอดแทน
“มาทำไมน่ะพี่”
“มาดูคนจะลักพาตัวเด็ก” ชานยอลยู่ปากใส่แล้วก้มหน้าซุกเจ้าตุ๊กตา
“เป็นอะไรน่ะ” คริสเดินมานั่งบนเตียงข้างๆ ชานยอลก็หันหน้ามุ่ยๆไปหา คริสก็เลยวาดแขนโอบไหล่แล้วดึงน้องให้มาพิงที่ไหล่ของตัวเอง
“เป็นอะไรไปเจ้าเด็กตัวแสบ ทะเลาะกับเซฮุนมาหรือไง” ชานยอลพยักหน้าให้แทบคำตอบ คริสหัวเราะแล้วเอนกายไปพิงพนักหัวเตียง ชานยอลที่นอนพิงไหล่ก็ขยับตามมานอนหนุนต่อ ปลายนิ้วเรียวของคริสสางเข้าเส้นผมนิ่มของชานยอลเบาๆ
“ก็เห็นทะเลาะกันบ่อยๆ แล้วรอบนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ” ชานยอลมุ่ยหน้าขึ้นเตรียมฟ้องเต็มที่เลย แต่พอเห็นสายตาล้อเลียนของคริสแล้ว.. ไม่เล่าดีกว่า
“บอกมาเหอะน่า”
“ไอ้เซฮุนไม่ยอมให้เล่นเกมด้วย มันเอาไปเล่นกับจงอินแล้วก็เทาอ่ะ ก็ผมอยากเล่นเหมือนกันนิ!” ได้ทีก็ฟ้องใหญ่เลย คริสหัวเราะแล้วขยี้ผมน้องในอ้อมแขนเบาๆ
“ถ้าพวกนั้นนอนก็ขโมยเกมมาเล่นกับพี่ที่นี่สิ” ชานยอลลุกออกจากอ้อมแขนแล้วทำหน้าตาตื่นตกใจ
“จริงด้วย!! พี่นี่โคตรเก่งอ่ะ!!” แล้วชานยอลก็ลงไปนอนหนุนที่ไหล่ของคริสอีกครั้ง
“แน่นอนพี่เป็นใครล่ะ”
“ตุ้ยจางคริสของแฮปปี้ไวรัสชานยอลไง~” แล้วคริสกับชานยอลก็หัวเราะไปด้วยกัน ชานยอลมองแหวนที่ซื้อมาพร้อมกันที่นิ้วของตัวเองแล้วก็นิ้วของคริสแล้วก็ยิ้ม
ไหนๆก็เล่าแล้ว ก็ขอพูดอีกหน่อยล่ะกัน ผมกับพี่คริสมักจะออกไปเดินช็อปปิ้งซื้อของด้วยกันบ่อยๆ แน่นอนที่จะต้องมีของที่ซื้อคู่กันและของที่ซื้อมาด้วยกัน มีหลายอย่างเลย ทั้งเครื่องประดับ เสื้อผ้า ตุ๊กตาและกระเป๋า แน่นอนว่าถ้าซื้อด้วยกันก็ของใครของมัน แต่ถ้าเขาซื้อให้(ซึ่งมันก็มีหลายอย่างอยู่)พี่คริสจะเป็นคนออกเงินให้ซึ่งต่อให้มันแพงแค่ไหนเขาก็จะไม่บ่น ถ้าตัวเขาชอบและคิดว่าผมชอบ
เหมือนอย่างสร้อยข้อมือเส้นนี้ที่ผมเคยได้ตอนวันเกิดตอนที่เราถ่ายรายการ Show Time จริงๆมันไม่มีอยู่ในถุงหรอกแต่เขากลับไปซื้อมาให้ผม น่าภูมิใจใช่ไหมล่ะ เขาเอาแต่พูดว่าเขาดีใจและคิดไม่ถึงว่าผมจะทายถูกว่าเขาซื้อของขวัญถุงนี้ให้ผม ช่วงนั้นผมจำได้ว่าผมกับเขายังมีเรื่องให้โกรธกันอยู่ เขาก็เลยกลับไปซื้อสร้อยข้อมือคู่กันมาง้อผม
มันฟังดูแปลกๆใช่ไหมที่ผู้ชายตัวโตๆสองคนจะมางอนง้อกัน แต่มันเป็นเรื่องปกติของผมกับพี่เขาไปแล้ว เวลาที่พี่เขาแกล้งผมจนงอน เขาก็มักจะเข้ามาง้อผมก่อนทุกที หรือแม้ว่าเป็นผมที่งอนเขาก่อนเขาก็จะเข้ามาง้อ หรือตอนที่เรากำลังทะเลาะกัน พี่เขาก็จะเป็นฝ่ายยอมลงให้ก่อนแล้วเข้ามาง้อผมตลอด
พูดถึงของขวัญ วันนั้นผมจำได้เลยว่าเพียงแค่เปิดดูแวบแรกผมก็รู้แล้วว่าใครเป็นคนซื้อให้ แต่ที่ไม่เลือกขึ้นมาเป็นชิ้นแรกก็เพราะอยากให้เขาลุ้น ก็บอกแล้วว่าเรากำลังโกรธกันอยู่ เราสองคนไม่ต้องถามกันก็พอจะรู้ว่าเราชอบแต่งตัวแบบไหน แบรนด์ไหน เครื่องประดับที่ใส่ต้องเป็นอย่างไร แค่อยู่ด้วยกันแล้วสังเกตกันก็พอ รายการนั้นถือเป็นรายการในความทรงจำของผมเลยนะ
มันมีครบทุกรสชาติเลยนั่นล่ะ พูดแล้วก็คิดถึง... คิดถึงช่วงเวลานั้นและใครบางคนที่อยู่ในช่วงเวลานั้น
ถ้าถามว่าเครื่องประดับที่เขาซื้อให้ หรือเราซื้อมาคู่กัน หรือซื้อมาพร้อมกัน ผมชอบชิ้นไหนมากที่สุด.. คำตอบก็คงจะเป็น แหวนวงใหญ่ของเขาที่ผมสวมนิ้วไว้อยู่วงนั้น
ผมมองมันที่สวมอยู่บนนิ้วของผมแล้วหมุนแหวนวงที่หลวมกว่านิ้วของผมไปเรื่อยๆ พี่เขานิ้วเรียวยาวและใหญ่กว่าผมก็เลยทำให้แหวนของเขาไซส์จะใหญ่กว่านิ้วของผม พอผมใส่มันก็เลยหลวมจะหลุดไม่หลุดอยู่นั่นล่ะ ผมได้แต่มองมันแล้วก็หมุนมันเล่นอยู่บ่อยครั้งเวลาที่ผมคิดถึงเขา เวลาที่ผมหันไปแล้วไม่เห็นใครผมก็จะกำมือแล้วจับแหวนวงนี้ที่นิ้วเอาไว้
เขายังอยู่กับผมเสมอ
ช่วงนี้เรากำลังเตรียมตัวเพื่อคัมแบ็คกันอยู่ จริงๆคือยังไม่ถึงเราหรอกคนที่กำลังวุ่นวานพวกสต๊าฟกำลังคุยกันเรื่องคอนเซ็ปต์ให้พวกเราอยู่ เห็นว่ารอบนี้จะให้พวกเราดังเปรี๊ยงๆกันเลยทีเดียว เอาเป็นว่าพวกเราก็รอคอยกันก่อนก็แล้วกัน หลังจากที่ทางทีมงามคุยกันเสร็จ ตอนนี้ก็เป็นเวลาของพวกเราแล้ว พร้อมลุยกันเลย!!
พวกเราทั้งฝึกร้อง ซ้อมเต้นกันอย่างเอาจริงเอาจัง เพราะเพลงนี้บล็อกกิ้งจะต่างออกไป เพลงสองภาษาจะใช้บล็อกกิ้งไม่เหมือนกันและด้วยเพลงที่ร้องค่อนข้างยากกอปรกับท่าเต้นที่ดูจะยากมากก็เลยทำให้พวกเรายิ่งต้องตั้งใจซ้อมให้มากขึ้น ผมโดนดุบ่อยเรื่องร้องไม่ผ่าน แล้วก็ต้องโดนเรียกตัวให้อยู่เลยเวลาปกติทุกครั้ง แต่ก็เอาเถอะผมถือว่านั่นเป็นเรื่องดี
แต่ทว่าก่อนที่เราจะพร้อมในช่วงโค้งสุดท้าย การคัมแบ็คของเราก็ต้องเลื่อนออกไปเมื่ออยู่ๆพี่คริสก็หายตัวไปพร้อมกับคำกล่าวที่ว่าวีซ่ามีปัญหาจะต้องกลับบ้านด่วน แล้วหลังจากนั้นเราก็ติดต่อเขาไม่ได้อีกเลย พวกเราก็ร้อนใจ ผมเองก็ร้อนใจเหมือนกัน คัมแบ็คก็อยาก อยากให้พี่คริสกลับมาก็อยาก นี่ก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว แล้วไอ้วีซ่าที่มีปัญหา อะไรตรงไหนมีปัญหา จะแก้นานไหม จะต้องหายไปนานแค่ไหน
ทุกคนเริ่มร้อนใจ ผมส่งข้อความไปพี่เขาก็ไม่ตอบ จะมาตอบก็ตอนที่ผมนอนไปแล้ว ลืมไปได้ยังไงว่าเวลาของเรามันสวนทางกัน ผมถามเขาว่าอีกนานไหมกว่าเขาจะกลับ เขาตอบว่ายังไม่รู้เลยเหมือนเอกสารอะไรสักอย่างก่อนหน้านี้มันมีปัญหา นี่ผมต้องวุ่นเป็นหนูติดจั่นอีกนานแค่ไหนกันล่ะเนี่ย
แล้วอยู่ๆเขาก็ติดต่อไม่ได้อีกเลย... มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย!
แม้จะติดต่อเขาไม่ได้แต่ก็มีรูปจากเพื่อนของเขาออกมาว่าเขาสบายดี ผมก็โอเคแต่เขาหายไปนานแล้วนะทำไมถึงไม่ติดต่อมาหาพวกเราเลย การคัมแบ็คของเราก็ต้องเลื่อนออกไปจนกว่าเขาจะกลับมา ผมไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แต่เฝ้ามองโทรศัพท์ตลอด รีบๆกลับมาสักทีสิพี่
ถามว่าการที่ต้องอยู่คนเดียวเหงาไหม สำหรับผมที่ชอบคุยกับคนเยอะๆมันก็เหงานะ แต่พอไม่มีเขาอยู่มันก็ยิ่งทำให้เหงา อย่างน้อยเขาควรตอบข้อความผมสิจะได้รู้ว่าทุกคนเป็นห่วงพี่ขนาดไหน ผมจะได้เลิกคิดไปต่างๆนานาสักทีว่าพี่เขาอาจจะไม่กลับมา
“พี่อย่ามาทำให้ผมเป็นแบบนี้ดิวะ” ชานยอลกึ่งนอนกึ่งนอนพิงหัวเตียงแล้วถอนหายใจ
ถึงแม้สมาชิกจะไม่ครบแต่เราก็ยังต้องซ้อมร้อง ซ้อมเต้นกันอยู่ดี ตอนนี้พวกผมเหนื่อยแทบขาดใจก็ได้แต่นั่งๆ นอนๆกองกันอยู่ในห้องซ้อมหลังจากซ้อมมาราธอน ผมเลือกที่จะนอนแผ่อยู่ที่มุมห้องแล้วหยิบมือถือขึ้นมาดูแต่ก็นิ่งสนิท ก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ไม่มีใครพูดอะไรเรื่องที่เราต้องเลื่อนคัมแบ็คและที่ติดต่อพี่คริสไม่ได้ แต่แค่ดูก็รู้ว่าทุกคนรู้สึกไม่พอใจ
“เป็นอะไรน่ะ” เซฮุนเดินมานั่งที่ข้างๆชานยอล นั่งได้แปบนึงก็ล้มตัวลงนอนหนุนพุงชานยอลซะเลย
“พี่เขายังไม่ตอบข้อความอีกเหรอ” เซฮุนเงยหน้าขึ้นมามอง
“อื้อ” ชานยอลก็เพียงแค่ส่งเสียงตอบกลับไป
“พี่เขาจะกลับมาไหม” แม้เป็นคำถามที่แสนเบาแต่ชานยอลก็ได้ยิน เขากับเซฮุนตัวติดกันมาตั้งแต่ตัวเซฮุนยังไม่ถึงอกเขาอยู่เลยจนตอนนี้สูงไล่เขามาแล้ว เวลาที่เขาไปไหนกับคริสบางทีก็หนีบเซฮุนไปด้วย เจ้าเด็กนี่ก็ชอบคริสเหมือนกันนั่นล่ะ ใครที่อยู่ใกล้คนๆนี้ก็ชอบใจเขาไปหมดนั่นล่ะ
“...” เป็นคำถามที่ชานยอลตอบไม่ได้ ชานยอลกัดริมฝีปากก่อนที่จะเอ่ยบอกออกไปอย่างมั่นใจ “ต้องกลับมาสิ”
ไม่รู้ว่าย้ำให้ตัวเองมั่นใจหรือตอบคำถามของเซฮุนออกไปกันแน่
แต่แล้วข่าวดีก็มาถึง พี่เขากลับมาแล้ว ถึงจะมีขนมมาฝากด้วยก็เถอะแต่ทุกคนก็โกรธเขาจริงๆ ไม่มีใครยอมพูดกับเขาเลยสักคน รวมถึงผมด้วย ปกติพี่คริสเป็นคนที่เรียกมาซ้อมเต้นยากจะตายไป อย่าให้เล่าวีรกรรมคนขี้เกียจซ้อมเต้นอย่างเขาเลย คาดว่าคงยาวแน่ๆ แต่ครั้งนี้ผมกลับเห็นเขามาก่อน กลับทีหลัง บางทีก็อยู่ซ้อมคนเดียวอีก
แม้เขาจะกลับมาแล้วแต่เราก็ยังต้องซ้อมกันจนกว่าทุกอย่างจะโอเคและผ่านการประเมินถึงจะคัมแบ็คได้ และในที่สุดพวกเราก็คัมแบ็คกันจนได้ การคัมแบ็คราบรื่นดีแต่สิ่งที่ไม่ราบรื่นก็คือหัวหน้าฝั่งเอ็มนี่ล่ะที่โดนคนอื่นๆไม่ยอมคุยด้วย พอจะร่วมวงเข้าไปคุยทุกคนก็สลายตัวทุกที ขนาดเทาที่ว่าสนิทกับพี่เขายังทำหน้างอนใส่เลย แล้วผมล่ะ? จะเหลือเหรอ.. ก็ไม่คุยด้วยเหมือนกัน ไม่ยอมตอบข้อความผมเลยสักนิด
สถานการณ์บึ้งตึงยังคงอยู่และก็ไม่มีใครที่จะทำให้มันดีขึ้น ก่อนที่ผมจะนอนอยู่ๆเสียงข้อความแชทเข้าก็ดังเตือนขึ้นมา ผมมองเวลาแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้วงงว่าใครส่งข้อความมาตอนนี้ แต่พอเปิดดูแล้วกลับเป็นคนที่หายหน้าหายตัวไปนานแล้วก็เป็นคนที่ผมคิดถึงด้วยนั่นแหละ
...รู้ว่าบอกตอนนี้มันคงสายไปแล้ว แต่ที่ไม่ได้ตอบกลับคือโทรศัพท์พี่เจ๊งน่ะ ขอโทษนะ...
“ก็แล้วมาบอกตอนนี้มันจะได้ประโยชน์อะไร”
เขาทำได้ผมก็ทำมั่ง เขาไม่ตอบผมก็ไม่ตอบบ้าง
วันนี้เราก็ยังคงต้องมาทำงานกันอยู่ ในระหว่างที่เตรียมตัวขึ้นอัดการแสดง ทุกคนมีมุมเป็นของตัวเอง พี่คริสที่แต่งหน้าเสร็จแล้วนั่งอยู่ที่เก้าอี้มุมประจำที่ผมกับพี่เขามักจะนั่งด้วยกัน นั่งอยู่คนเดียว ก้มหน้ามองมือตัวเอง เห็นแล้วก็รู้สึกเจ็บที่อกอยู่เหมือนกัน ไม่มีใครเฉียดผ่านและไม่มีใครอยู่ใกล้เขาเลยสักคน
ผมที่แต่งหน้าเสร็จแล้วก็เดินไปหยิบน้ำที่อยู่ใกล้ๆเขา พี่คริสเงยหน้าขึ้นมามองผมแวบหนึ่งก่อนที่จะก้มหน้าลงไปมองมือตัวเองต่อ ผมได้ขวดน้ำของผมแล้วกำลังจะเดินไปแต่แล้วสองเท้าคงผมมันก็หยุดเอง ผมจะไปทำอะไรได้ก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วหันหลังไปหยิบน้ำอีกขวดแล้วเดินไปหาเขาพร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้ตัวประจำที่ผมนั่ง
“อ่ะน้ำ” คริสเงยหน้าขึ้นมองคนข้างตัวเองแล้วก็ยิ้ม
“ขอบใจ” รับน้ำจากชานยอลมาเปิดฝาแล้วดื่ม น้ำเย็นๆมันก็ทำให้เขาดีขึ้นจริงๆ เขารู้ว่าผิดแต่เขาก็อยากจะอธิบายแต่ไม่มีใครฟังเขาเลยสักคน จะมีก็แต่จุนมยอนคนเดียวที่จะคุยกับเขาก็ต้องเป็นเรื่องงานเท่านั้น
“ของฝากอ่ะมีเปล่า” คริสยิ้มขำแล้วพยักหน้า
“มีเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าน่ะ” ชานยอลที่เห็นคริสยิ้มก็เลยยิ้มตอบ ชานยอลที่เขาไปคุยกับคริสแล้ว คนอื่นๆเห็นก็เลยเอาน่าให้อภัยกันเถอะ ก็เราอยู่ด้วยกัน เป็นวงเดียวกันนิเนอะ
“คืนนี้เอาให้ด้วยนะ” คริสยิ้มแล้วพยักหน้ารับ
“ยินดีต้อนรับกลับนะ” ชานยอลยื่นมือไปหา
“อืม พี่กลับมาแล้ว” คริสก็จับมือของชานยอล
แล้วเย็นวันนั้นเราก็ได้กินมื้อเย็นด้วยเงินของฮยองไลน์อย่างพี่มินซอกและพี่ลู่หาน และแน่นอนว่าพี่จุนมยอนต้องร่วมด้วยอยู่แล้ว มื้อเย็นวันนี้ก็เลยเยอะแยะเต็มไปหมด อย่างน้อยก็ถือว่าต้อนรับพี่คริสกลับมาก็แล้วกันเนอะ พี่เขาก็เล่าให้ฟังว่าเอกสารมีปัญหาต้องรอโน้นนี่นั่น ไหนจะต้องบินมาจีนอีก ไหนจะมือถือเจ๊งอีก สารพัดปัญหารุมเร้ายิ่งกว่าดาวพระศุกร์อีกแหะ
แต่ก็ดีแล้วที่เขากลับมา แถมยังลาภปากอร่อยอีกด้วย แค่นี้ล่ะที่ชานยอลต้องการ!!
ผมยังจำความรู้สึกตอนที่ไม่มีพี่เขาได้ มันทั้งเหงา ทั้งเศร้า วันๆที่แสนสนุกมันก็หายวับไปเลย ถ้าให้ขอพรได้ผมก็อยากจะขอให้พี่เขาอย่าไปไหนอีกเลย จะไปก็ต้องบอกกัน ควรที่จะติดต่อได้สิ ไม่ใช่ให้คิดมาก คิดถึงไปขนาดนี้
คิดถึง.. ใช่ ผมคิดถึงเขา คนเราอยู่ด้วยกันทุกวัน พอไม่เจอกันมันก็คิดถึงใช่ไหมล่ะ พอไม่มีเขาผมก็ไม่รู้แล้วว่าจะไปแกล้งใครดี จะไปแหย่ให้หัวเราะได้ยังไง ไม่มีใครคอยเข้าข้างผมเลยตอนที่ทะเลาะกับเซฮุนหรือแบคฮยอน มันทั้งเหงาแล้วก็ว้าเหว่มากเลยนะ
จะตอนนี้หรือตอนไหน เขาก็สำคัญกับผมที่สุด
ช่วงเวลาแบบนั้นผมไม่คิดเลยว่า.. ผมจะได้พบเจอมันอีก แต่มันต่างกันตรงที่วันนี้เขาคงจะไม่ได้กลับมาหาผมอีกแล้ว ไม่มีข้อความตอบกลับมา ไม่มีรอยยิ้มและคำพูดที่ว่า ‘พี่กลับมาแล้ว’ ‘พี่กลับจะมา’ เลยสักนิด ต่อให้ผมร้องไห้จนน้ำตาหมดไปจากร่างหรือจะทรมานแทบขาดใจ
พี่คริสก็ยังคงเป็นคนสำคัญสำหรับปาร์คชานยอลอยู่ดี
น่าอายชะมัด... อยู่ๆก็ร้องไห้ซะได้ เป็นผู้ชายร้องไห้ได้ยังไงกันล่ะ.. แต่พ่อของผมสอนไว้ว่า ถ้าดีใจอยากร้องไห้ก็ร้องไป ถ้าเสียใจอยากร้องไห้ก็ร้องไป เราไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนก็แล้วไปแต่อย่าร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นก็พอ ผมก็คิดแบบนั้น ผมไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่าผมอ่อนแอ เพราะถ้าผมอ่อนแอคนอื่นก็จะอ่อนแอตามดังนั้นผมก็จะต้องเป็นแฮปปี้ไวรัสของทุกคน
ตัวผมในอดีตก็เลยทำได้แค่นอนนิ่งๆแล้วก็ปล่อยให้มันหลับไปเอง… โดยที่ไม่มีน้ำตาสักหยด
แต่ตัวผมในปัจจุบัน กลับนอนหลับทั้งน้ำตาที่คลออยู่รอบตาทุกคืน
มันจะต่างกันตรงไหนนะ ทั้งที่ไม่ว่าตอนนั้นหรือตอนนี้ เขาก็เป็นคนสำคัญของผมเช่นเดิม.. หรือเป็นเพราะอาการเจ็บที่หน้าอกนี่นะที่ต่างออกไป
ผมในตอนนี้ก็ทำได้แค่ปิดหน้าสมุดเล่มที่บันทึกความทรงจำเก่าๆลง แล้วเดินไปที่เตียงเพื่อที่จะนอน ผมหวังว่าสักวันผมจะอยู่คนเดียวได้ จะอยู่ได้ด้วยขาของตัวเอง จะอยู่ได้แม้รอบกายจะว่างเปล่า แม้จะเคยชินกับอะไรเดิมๆก็ตาม
ผมก็แค่หวังว่าสักวัน.. ผมจะไม่เจ็บปวดกับพื้นที่ว่างเปล่าข้างขวามือของผมอีกต่อไป
..แล้วมันเมื่อไหร่กันนะ...
พี่คริสเป็นคนแปลก ทุกคนอาจจะไม่รู้หรืออาจจะตงิดใจ หรือคงจะรู้แล้ว แต่ผมรู้สึกว่าพี่เขาเป็นคนแปลก เป็นคนมองโลกในแง่ดีแบบแปลกๆ หรือเพราะเขาเคยต้องโดนกดซ้ำๆก็เลยทำให้เขาใช้มันเป็นแรงผลักดันกันนะ? ผมจำได้ว่าเขาเคยเล่าให้ผมฟังเมื่อตอนสมัยยังเทรนใหม่ๆว่า เขาเป็นนักกีฬาบาสมาก่อนตอนที่อยู่แวนคูเวอร์ เพราะแบบนี้หรือเปล่านะ อะไรที่กดดันเขาก็เลยเอามันมาผลักให้ตัวเองก้าวไปข้างหน้า
พี่คริสชอบอ่านข่าวหรือคอมเมนท์ที่เกี่ยวกับตัวเองประจำ ในนั้นมันก็จะมีทั้งเรื่องดีแล้วก็ไม่ดี เมื่อมีคนรักมันก็ต้องมีคนเกลียด ผมก็ไม่เข้าใจว่าเขาจะอ่านพวกนั้นไปทำไม ยิ่งอ่านมันก็ยิ่งแย่หรือเปล่า แต่เขากลับชอบที่จะอ่านแล้วเอาคำที่คนที่ไม่ชอบว่าไม่ดีมาปรับตัวเอง อย่างน้อยก็ไม่ได้ทำให้คนที่เกลียดหันมาชอบแต่ก็ทำให้คนที่ยังชอบอยู่รู้สึกดีที่เห็นเขาเอาใจใส่
เห็นคนเป็นพี่นั่งเล่นโน้ตบุคอยู่ปลายเตียงชานยอลก็เลยต้องลุกขึ้นมาดูสักหน่อยว่ากำลังทำอะไร ก็อย่างเดิมๆคือนั่งหาข่าว หาคอมเมนท์ของตัวเอง ก็เลยเดินเข้าไปเกาะสองมือที่ไหล่ของพี่เขาไว้ ทำตัวเหมือนผีจูออนเลยแหะเนี่ย
“พี่ยังนั่งอ่านอยู่อีกเหรอ? มันจรรโลงใจตรงไหน?” คริสหัวเราะแล้วหันไปมองชานยอลที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“มันไม่ได้จรรโลงใจหรอกแต่ก็อยากรู้ว่าเราผิดพลาดตรงไหนจะได้ปรับ อย่างน้อยถ้าเขาจะไม่ชอบเราก็ไม่เป็นไร เราก็จะได้ไม่มีที่ติไงว่าทำโน้นไม่ได้ ทำนี่ไม่ดีน่ะ” ชานยอลพยักหน้ารับ
“แต่มันก็ดูเสียกำลังใจเปล่าๆนะ”
“มันก็ใช่ แต่อย่างน้อยถ้าเขามองกลับมาเราก็ไม่มีข้อเสียให้เขาติแล้วไง บางทีเขาอาจจะรักเราก็ได้นะ” คริสยิ้ม ชานยอลก็ยิ้มแหะๆ
“พี่นี่โคตรมองโลกในแง่ดีเลยว่ะ” คริสหันกลับมาหาชานยอลทั้งตัว
“แล้วจะมองในแง่ร้ายไปทำไม” เอารางวัลโลกสวยไปเลยครับ!!
ผมว่ามองโลกแบบนี้ก็ดีนะ บางทีผมก็จะเอามาลองดูบ้าง
ผมบอกคุณไปหรือยังว่าผมขี้เซามาก ปลุกไม่ค่อยตื่นหรอก ถ้าไม่แปลกที่แปลกทางผมก็แทบจะไม่สะดุ้งในเสียงนาฬิกาปลุกแรกเลยนะ แน่นอนวันนี้มีงานแต่เป็นงานช่วงบ่าย แต่ตอนสายๆเราจะต้องไปเตรียมตัวกันแล้วและอีกไม่กี่วันฝั่งเอ็มก็ต้องบินไปจีนอีกแล้ว
แต่พอตื่นมาก็ไม่เห็นใครเลยในห้อง อ้าวไปไหนกันหมด พอเดินออกมานอกห้องก็เห็นพี่คริสกำลังทำอะไรอยู่ในที่ส่วนครัว ก็เห็นว่ามีคอนเฟลกในชามรอไว้อยู่แล้ว ผมก็เดินงัวเงียไปเกาะหลังกอดเอวเกยคางไว้ที่ไหล่พี่คริส เจ้าตัวหันมาก็หัวเราะเบาๆ
“พี่คริสง่วงอ่ะ หิวข้าวด้วย” คริสดันมือของชานยอลออกแล้วหันกลับมามองน้องชายที่ทำหน้าตาเหมือนยังไม่ตื่นดี
“ไปนั่งรอไปเดี๋ยวเอาคอนเฟลกไปให้” ชานยอลก็พยักหน้ารับแล้วเดินไปรอที่โซฟาก็เห็นว่าลู่หานนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“ลู่เกอ~ ง่วงจังเลยลู่เกอเทคโอเวอร์บริษัทเลยผมจะได้นอน” ชานยอลลงนั่งข้างๆลู่หานแล้วกอดหมับเข้าให้ ลู่หานหัวเราะแล้วเขกหัวชานยอลเบาๆ
“ไอ้เด็กบ้า” แล้วลู่หานก็นั่งนิ่งๆให้น้องนั่งซบต่อไป
“เอ้ามากินได้แล้วไหนบอกหิว จะได้รีบไปทำงาน” ชานยอลมุ่ยหน้าแล้วรับชามคอนเฟลกมากิน
“นมในตู้เย็นจำได้ว่าเหลือทำไมหมดอ่ะลู่หาน” คริสถามพร้อมกับนั่งที่โซฟาอีกฟาก
“ไม่รู้ว่ะ”
“ผมดื่มเมื่อคืนเองอ่ะ” ชานยอลยกมือขึ้นแล้วหัวเราะแหะๆ
“ก็พอจะรู้” คริสเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้ม ชานยอลมุ่ยหน้าใส่
“ดีนะเมื่อคืนมินซอกไม่หิวกลางดึก ไม่งั้นล่ะก็องค์ลงแน่ๆ” พอได้เผาเพื่อนลู่หานก็หัวเราะอารมณ์ดี
“ผมจะฟ้องพี่มินซอก” อย่านะพี่มินซอกนี่พี่รักพี่เทคของชานยอลเลยนะจะบอก!
“เดี๋ยวลู่เกอเลี้ยงขนม”
“โอเค!!” ชานยอลทำมือโอเคแล้วยิ้มกว้าง แต่ขนมมันก็อิ่มนะ ... คริสที่มองอยู่ก็ยิ้มขำแล้วส่ายหน้าไปมากับเด็กน่ารักๆคนนี้ จะมีวันไหนไหมนะที่ชานยอลจะหยุดร่าเริงสักวัน ก็คงไม่มีล่ะสิวันนั้นน่ะ
ถึงผมจะชอบกินขนม รวมถึงแย่งเขากินด้วย แต่ไอ้คนที่มาแย่งผมอีกต่อก็ไม่ใช่ใคร .. คนที่คุณก็รู้ว่าใครนั่นล่ะ กินเองก็ไม่ได้นะกลัวมือเลอะ ครับคุณชายท่าน อยากจะปาถุงขนมใส่เสียหลายครั้ง แต่ทว่า.. ตอนนี้ผมก็กำลังนั่งเอนหลังกินขนมคนเดียว อยากจะหันไปป้อนให้ใครอีกคน แต่เขาก็ไม่อยู่ข้างกายเสียแล้ว
พี่คริสมีเซ้นส์แฟชั่นที่แปลกๆ .. ทุกคนก็คงจะเห็นและรับรู้มันสินะ ผมว่าตามปกติเขาก็แต่งตัวดูดีอยู่หรอก แต่บางทีอะไรที่เขาชอบมากๆแล้วพอเขาเอาทุกอย่างมามิกซ์แต่ไม่แมทซ์กันนั้น มันก็เลยหลุดความเป็นมนุษย์โลกไปไกลโข เขาให้คำนิยามของตัวเองว่า เขาเป็นผู้ชายมนุษย์กาแล็คซี่
มิสเตอร์กาแล็คซี่.. ผมว่าก็เข้ากับเขาดีนะ เพราะเขามีอะไรให้ผมได้แปลกใจเสมอเลย เขามักจะมีวิธีคิดไม่เหมือนคนอื่น วิถีชีวิต.. ผมไม่แน่ใจนักว่าต่างจากคนอื่นไหม แต่ถ้าเทียบกับผมเขาก็ต่างอยู่ไม่น้อยเลย ผมชอบที่จะเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่จากเขา จนบางครั้งเขาก็บอกว่าเขาเป็นอาจารย์แล้วผมเป็นนักเรียน หรือบางทีก็เป็นพี่เลี้ยงเด็กเล็กๆอย่างผม
ชิชะ ปาร์คชานยอลน่ะ นักเรียนหัวดีและหล่อที่สุดในโรงเรียนหรอก!
บ่อยครั้งที่ผมกับมิสเตอร์กาแล็คซี่ทะเลาะกัน ทะเลาะแบบที่แปลตรงตามตัวอักษรว่าทะเลาะกันน่ะ ไม่ใช่แค่เถียงหรือแหย่เล่นกันเอง หลายครั้งที่พี่เขาอารมณ์ไม่ดีผมก็อยากจะเข้าไปทำให้เขาหัวเราะเหมือนเดิม แต่ก็เปล่าเลยพี่เขาหันมาตวาดใส่ผม แล้วนั้นก็ทำให้ผมกับเขาไม่มองหน้ากัน พอพี่เขาอารมณ์เย็นลงเขาก็จะเข้ามาขอโทษแล้วเข้ามาง้อ
บางครั้งผมก็ชอบไปแหย่เขา แหย่ไปแหย่มาก็เลยโดนดุทุกที ผมก็ได้แต่ทำหน้าหงอยเดินตามเขาเหมือนหมาเดินตามเจ้าของ เขาเคยบอกว่าผมเหมือนลูกหมาตัวโตๆที่เดินตามคนเลี้ยงไม่ห่าง ถ้าผมเป็นหมาพี่ก็หมาละวะ!!!
เพราะเราสองคนทะเลาะกันบ่อยจนบางทีมันก็เหมือนกิจวัตรประจำวันเลยมั้ง ช่วงนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ผมรู้สึกว่าเขาอารมณ์ไม่ดีบ่อย ไม่เหลือความอบอุ่น ความใจดีเลยสักนิด ใครเข้าหน้าก็ไม่ค่อยติดทุกคนก็เลยเลี่ยงที่จะเข้าใกล้พี่ชายคนนี้นอกจากฮยองไลน์และพี่จุนมยอนเท่านั้น
ขนาดที่ว่าผมเข้าไปแหย่ยังโดนเขาบอกให้อยู่นิ่งๆเลย ผมก็เลยได้แต่นั่งทำหน้าหงอยอยู่ข้างๆเขา ก็อยากจะกวนให้ยิ้มนะแต่คาดว่าคราวนี้คงโดนเตะอัดข้างฝาแน่ๆ เขาคุยกับพี่ลู่หานบ่อยๆ ปกติพวกเขาก็คุยกันอยู่แล้วแต่ผมรู้สึกว่าช่วงนี้ทั้งพี่คริสและพี่ลู่หานมีอะไรแปลกๆไป .. แต่ถึงเราจะทะเลาะกันแค่ไหน สุดท้ายเราก็จะกลับมาคืนดีกันเหมือนเดิม
แต่แล้วพี่คริสก็หายไปอีกครั้งหนึ่ง เขาบอกกับทางค่ายว่าพาสปอร์ตมีปัญหาและต้องกลับบ้านแบบเร่งด่วนอีกครั้ง ผมจำได้เลยว่าตั้งแต่เขามาที่เกาหลีถ้าคุณแม่ไม่มาหาเขาก็แทบจะไม่ได้กลับบ้านที่จีนหรือบินไปแคนนาดาเลย แต่ผมรู้ว่ามันไม่น่าจะใช่เพราะยิ่งถึงวันที่เขาจะไปเขาก็ยิ่งเครียด ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม พี่จุนมยอนเองก็เครียด พี่ลู่หานก็ด้วย พี่มินซอกผมดูไม่ออกเพราะเขาก็นิ่งตามแบบฉบับ
แต่ก็ยังดีที่ครั้งนี้เราติดต่อเขาได้ ผมกับพี่เขาก็ยังวีดีโอคอลหากันทุกวันเช่นเดิม ผมรู้ว่าเขามีอะไรอึดอัดในใจและรู้ว่าเรื่องที่กลับไปครั้งนี้มันไม่ได้มีแค่ที่เขาบอกหรอก มันต้องมีอะไรมากกว่านี้ แต่ถ้าเขาไม่บอกผมก็จะยังไม่ถาม เราแทบจะไม่มีความลับปิดกันอยู่แล้วเพราะฉะนั้นผมเชื่อใจเขา
...ถ้าพี่มีเรื่องไม่สบายใจไม่ต้องเล่าให้ผมฟังก็ได้ แต่ผมจะทำให้พี่ยิ้มได้นะ... หลังจากที่กดตัดสายไปชานยอลก็ส่งข้อความไปหาอีกคน
...ขอบใจ... คริสส่งตอบกลับมา
...นอนได้แล้วไอ้เด็กดื้อนี่ดึกแล้ว...
...บ่นเป็นคนแก่อีกแล้ว...
...ถ้าไม่มีพี่บ่นชานยอลจะอยู่ได้ไหมล่ะ จะเลิกดื้อไหม?...
...ดื้อที่ไหนกันเล่า แต่ถ้าให้ผมอยู่คนเดียวผมก็อยู่ไม่ได้หรอก...
...ทำไมล่ะ...
...ไม่มีพี่ผมก็เหงาดิ พี่ไม่เหงาเหรอถ้าไม่มีผมอ่ะ...
...ก็เหงาเหมือนกัน ว่าแต่ไปนอนได้แล้วไปฝันดีไอ้เด็กดื้อ...
...ฝันดีตุ้ยจางคริส...
พอลองย้อนมองกลับไปดูแล้ว .. ถ้าวันนั้นผมเอะใจสักนิดมันอาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้... มั้ง
ตัวผมไม่เคยลองคิดมาก่อนเลยว่าถ้าผมจะต้องอยู่คนเดียว ผมจะอยู่ได้ไหม? อยู่แบบคนเดียวจริงๆ .. คำตอบก็คือผมไม่รู้หรอก ผมไม่รู้ว่าจะอยู่ได้ไหม อยู่อย่างไร หรืออยู่แบบไหน ขนาดครั้งนั้นที่พี่เขาหายไปผมยังเหงาเลย
แต่ผมไม่เคยคิดว่าโลกนี้จะดับสลาย ผมจะขาดอากาศหายใจตาย ผมแค่นึกไม่ล่ะออกมั้งว่าผมจะอยู่คนเดียวได้ไหม .. อยู่ที่นี่โดยที่ไม่มีเขาได้หรือเปล่า ถ้าผมยังหายใจผมก็ต้องอยู่ได้สิ แต่ก็คงจะเจ็บปวดที่อกซ้ายน่าดู ผมจะภาวนาไม่ให้มีวันแบบนั้นก็แล้วกัน
เหมือนจะนึกอะไรได้ ชานยอลรีบคว้ามือถือมากดเข้าโปรแกรมสนทนาที่เขาทั้งสองมักจะใช้ติดต่อหากันแล้วก็กดส่งข้อความ ...รีบกลับมานะผมจะรอ...
...อืม รอรับด้วย... ไม่นานอีกฝ่ายก็ส่งข้อความกลับมาเช่นกัน ชานยอลมองมันแล้วก็ยิ้มก่อนที่จะปิดเปลือกตาแล้วหลับลึกไปในที่สุด
ครั้งนั้นผมก็ครุ่นคิดอยู่นะว่ามันแปลกๆแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมันมากมาย เพราะจากนั้นอีกไม่นานพี่คริสก็กลับมา กลับมาพร้อมกับของฝากเหมือนเช่นเคย
คืนนั้นเรามีปาร์ตี้ขนมกันก่อนนอน แน่นอนว่าการที่จะมารวมตัวอัดกันอยู่ในห้องเดียวไม่ใช่เรื่องแปลก และวันนี้พวกฝั่งเอ็มก็ยกโขยงมาด้วยตัวเองเลย กินเสร็จก็แยกย้ายกันกลับไปนอน หอพักของเราอยู่ใกล้ๆกันก็เลยทำให้เราชอบมานอนเล่นที่ห้องกันและกันบ่อยขึ้น แต่คืนนี้พี่คริสบอกว่าห้ามผมตามไปนอนด้วยเด็ดขาดเพราะพรุ่งนี้ผมมีงานเช้าและพี่เขาคงไม่ลุกขึ้นมาส่งผมไปขึ้นรถแน่ๆ
“ฝันดีนะไอ้ตัวแสบ” คริสขยี้หัวคนเป็นน้องเบาๆก่อนที่จะเดินออกจากหน้าประตูไปหาคนอื่นที่ยืนรอกัน
“ฝันดีครับพี่” ชานยอลก็โบกมือลาจากที่ประตู ยืนรอจนพวกฝั่งเอ็มหันมาโบกมือแล้วก็เดินลับไป เมื่อครู่เขาสังเกตเห็นว่าคริสกับลู่หานทำหน้าเครียดใส่กันเหมือนเป็นโค๊ดลับอะไรสักอย่าง อะไรกันน้า.. นั่นสิ
“ช่างเถอะ” ชานยอลไหวไหล่แล้วปิดประตูห้องลงก่อนที่จะไปร่วมแก๊งเล่นเกมกับเซฮุนและจงอิน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น