ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Sweet line Project] KrisYeol : My puppy คุณหมาแสนรัก [END]

    ลำดับตอนที่ #6 : My puppy - 6

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.พ. 57


    มีเรื่องจะสารภาพ .... ลืมมาลงต่อ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เพิ่งเห็นตอนลงรายละเอียดจองฟิคอีกรอบ
     
    ทำไมไม่มีใครเตือนเราเลยอ่ะ #เขาเตือนกันแล้วแกลืมเองมะ ?? = =
     
    ไปหมดล่ะสมงสมอง 5555555555
     
    ถ้าใครอยากได้น้องหมาก็ดูรายละเอียดได้ที่ :: http://my.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=898378&chapter=40
     
     
     
    ___________________________________
     
     
     
     
    จูบไปแล้ว... 
     
     
    จูบกันไปแล้ว!! 
     
     
     
     
    ถึงจะไม่ได้มากมายไปกว่าแค่แตะปากกันก็เถอะ แต่มันก็คือจูบกันแล้ว!! ชานยอลที่นอนอยู่บนเตียงขยี้หัวแล้วก็พลิกตัวไปมาก่อนที่จะหยิบหมอนมาปิดหน้าตัวเอง ถ้าถามว่าเขากลับบ้านมาได้อย่างไรก็ไปอย่างไรก็กลับมาอย่างนั้นแหละ พอมาถึงบ้านได้ก็เก็บจักรยานแสนรักคู่ใจแล้วก็เดินลิ่วๆขึ้นห้องนอนมาเลย ไม่ยอมรอให้ได้มองประสานตาหรือในหัวแวบไปถึงตอนที่จูบกันอีกหรอก แค่นี้ก็เขินจะแย่อยู่แล้ว!!
     
    ชานยอลเอาหมอนที่ปิดหน้าออกเพราะเริ่มจะหายใจไม่ออกเสียแล้ว นอนมองเพดานห้องเงียบๆ หายใจเข้าลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกยาวๆ พยายามจัดการกับหัวใจของตัวเองที่มันเต้นแรงเสียเหลือเกินแต่ภาพสัมผัสอุ่นๆยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปาก จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจสลัดสัมผัสนั้นในหลุดออกจากหัว ซ้ำยังจะทำให้หัวใจทำงานหนักกว่าเดิมเสียอีก
     
    “บ้าๆๆๆ โอ๊ยยย.. พอแล้ว!!” ชานยอลผุดตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิง ก็ไม่รู้ว่าจะคิดไปทำไม พออยู่เฉยๆทีไรมันก็แวบเข้ามาในหัวทุกที เพราะงั้นต้องไม่คิดถึงมันอีก! ไม่เช่นนั้นหัวใจของเขาคงระเบิดแน่ๆ
     
    “น้องไข่หวานล่ะ” เพิ่งจะนึกได้ว่าตัวเขาขึ้นมาบนห้องนอนนานแล้วแต่ก็ไม่เห็นว่าใครอีกคนจะขึ้นมาตามเลย รู้สึกว่าบ้านมันเงียบผิดปกติ
     
    “หรือว่า... ไม่นะ!” ชานยอลรีบลงจากเตียงแล้ววิ่งลงไปชั้นล่างของบ้านทันที แต่ก็ไม่เห็นใครเลยสักคน บ้านดูเงียบเกินไป วิ่งไปดูที่ห้องครัว หน้าบ้านหรือห้องน้ำด้านล่างของบ้านก็ไม่เห็นวี่แววของใครอีกคนเลย ไม่รู้ทำไมอยู่ๆอาการกลัวก็เกาะกินจับขั้วหัวใจ หยดน้ำตาก็ค่อยๆรื้นขึ้นคลอรอบหน่วยตา
     
    “หายไปไหน.. ไม่เอาแบบนี้นะ” เป็นเพราะเขาลืมน้องไข่หวานถึงได้หายไป เป็นเพราะเขาลืมอีกแล้วใช่ไหมคริสถึงหายไป ชานยอลไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เขาไม่อยากอยู่คนเดียว ไม่อยากอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ 
     
    ชานยอลทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาอย่างอ่อนแรงแล้วยกสองมือขึ้นปิดหน้าปล่อยให้หยดน้ำตาไหลริน เขายอมรับว่าเขาเหงาแค่มารับรู้ว่าคนที่ให้กำเนิดเขาไม่เคยรักเขาเลยแค่นี้โลกของเขาก็เคว้งคว้างพอแล้ว ใครคนนั้นที่คิดว่ารักกัน ที่คิดว่าจะอยู่ด้วยกันไปจนตายก็ทิ้งเขาไปอีก ปาร์คชานยอลทำอะไรผิดนักหนากันหรือ? ทำไมใครๆถึงไม่เคยรักเขาเลย
     
    น้องไข่หวานเพื่อนเพียงคนเดียวที่สนิทที่สุดก็หายไปไหนก็ไม่รู้กลับกลายมาเป็นใครบางคน มันทำให้เขาสุขใจและอุ่นใจ แต่ทำไมต้องเอาเขาคืนไปด้วยเพียงเพราะเขาลืมใส่ใจใครอีกคนอีกแล้วเหรอ? ถ้าจะเป็นไปได้เขาขอให้คริสกลับมา เขาจะไม่ทิ้งให้คริสต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว
     
    บานประตูถูกเปิดออก ชานยอลหันไปมองก็แทบจะปล่อยโฮเมื่อเห็นคริสเดินผ่านประตูเข้ามา คนที่กำลังร้องไห้ก็รีบวิ่งเข้าไปกอดคริสทันที หยดน้ำตาที่ซึมผ่านเสื้อนั้นทำให้รู้ว่าคนตรงหน้าคงจะร้องไห้หนักมากจริงๆ สองแขนของคริสโอบกอดชานยอลเอาไว้ หยดน้ำตายังคงไหลรินและเสียงสะอื้นเบาๆที่ลอดผ่านกลีบปากอิ่มนั้นทำเอาคนที่เพิ่งกลับเข้ามารู้สึกเจ็บปวดใจ ตัวเขาเคยสัญญาว่าจะไม่ทำให้ชานยอลร้องไห้อีกแล้ว แต่เขาก็พลาดจนได้
     
    “เป็นอะไรไปครับชานยอล” น้ำเสียงทุ้มน่าฟังเอ่ยถามชิดใบหู คนที่ยังสะอื้นอยู่ก็ส่ายหน้าไปมา คริสกอดกระชับคนที่ร้องไห้ให้เข้ามาแนบชิดแล้วโยกตัวไปมาคล้ายดั่งกล่อมเด็กให้หยุดร้องไห้ 
     
    “ไม่ร้องนะครับ ผมอยู่นี่แล้วนะ” ชานยอลกอดคริสให้แน่นๆก่อนที่จะค่อยๆถอยอ้อมกอดออกมาตีสีหน้าดุใส่ ใบหน้าน่ารักที่แดงเรื่อมาทำหน้าดุใส่นี่ก็ไม่ได้ดูน่ากลัวเลยนะ ซ้ำยังดูน่ารักมากๆเสียด้วย
     
    “ไปไหนมาทำไมไม่บอกฉันก็คิดว่านาย...”
     
    “หนีไป? ผมไม่หนีคุณไปไหนหรอก หยุดร้องไห้นะครับคนดี” คริสเอื้อมมือไปเช็ดหยดน้ำตาให้ ชานยอลหลับตาเอียงหน้ารับความอบอุ่นนั้นที่สัมผัสแก้มตัวเองก่อนที่จะนึกอะไรขึ้นได้
     
    “นายหายไปไหนมา” ชานยอลจับมือของคริสไว้ ริมฝีปากบางได้รูปวาดรอยยิ้มบางๆประดับบนใบหน้า
     
    “ผมไปซื้อซอสมาครับมันหมดน่ะ” คริสชูถุงที่บรรจุขวดซอสปรุงรสทั้งหลายไว้ขึ้นมาให้ดู ชานยอลละสายตาไปมองแล้วก็ทำตาโต
     
    “แล้วนายออกไปได้ยังไง ไปถูกเหรอแล้วทำไมไม่เรียกฉันล่ะ!” คริสดึงชานยอลเข้ามากอดอีกครั้งแล้วลูบหลังปลอบเบาๆ
     
    “แถวนี้น่ะผมรู้เส้นทางเป็นอย่างดีชานยอลก็รู้ใช่ไหม แล้วที่ไม่เรียกเพราะผมคิดว่าชานยอลขึ้นไปนอนน่ะสิก็เลยไม่กล้าปลุก ขอโทษครับ” คริสก้มลงมองคนในอ้อมกอดของเขา ชานยอลจะรู้ตัวหรือเปล่านะว่าตัวเองน่ะกลัวการสูญเสียแค่ไหน คนๆนี้ช่างเปราะบางเสียจริง ใครกันนะช่างใจร้ายหล่อหลอมคนน่ารักคนนี้ให้กลายเป็นคนที่อ่อนแอแบบนี้
     
    “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ถึงฉันจะหลับจริงๆก็ต้องบอกสิว่าจะไปไหนไม่ใช่อยู่ๆก็หายไปแบบนี้!!” ชานยอลผละตัวออกแล้วทุบอกของคริสไปหลายๆที ซึ่งคนผิดก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรซ้ำยังยืนนิ่งๆให้คนขวัญเสียได้ทำโทษเขาอย่างเต็มใจ
     
    “ขอโทษครับ คราวหน้าจะบอกว่าไปไหนจะไม่ทำให้เป็นห่วงอีกแล้วครับ” ชานยอลหยุดมือที่ทุบอกคริสแล้วเปลี่ยนมาเป็นเท้าเอวตัวเอง ทำหน้าดุใส่
     
    “รู้ตัวก็ดี แต่ฉันไม่ได้เป็นห่วงนายหรอกนะอย่ามามั่ว!!” แล้วชานยอลก็หันหลังไปขยี้หัวแล้วก็ย่ำเท้าไปมา นี่ก็ท่าประจำสินะ ตลกแล้วก็น่ารักชะมัดเลย
     
    “บ้าๆๆ ใครเป็นห่วงมั่วที่สุด” บ่นพึมพำเบาๆ คริสที่มองอยู่ก็ยิ้มก่อนที่จะหันหลังไปปิดประตูบ้านแต่แล้วก็สังเกตเห็นอะไรสักอย่างที่ผิดปกตินอกบ้าน รถคันที่เคยคุ้นตากับใครบางคนบนรถคันนั้น คริสกระตุกยิ้มร้ายก่อนที่จะดึงประตูบ้านปิดไม่ให้ได้เห็นอะไรอีกเลย
     
    ถ้าคิดจะมาขอโทษแล้วจะมาเอาชานยอลไปจากเขาล่ะก็... ไม่มีวัน!! ต่อให้ตายเขาก็จะไม่ยอมยกชานยอลให้ใครอีกแล้ว ถ้าดูแลชานยอลไม่ได้เขาดูแลเองได้และมั่นใจว่าตัวเขาจะดูแลชานยอลได้ดีกว่าคนเก่าถมเถไป!!
     
     
     
     
     
    หลังจากผ่านมื้อเที่ยง(ที่ค่อนไปบ่ายแก่ๆ)แล้ว ชานยอลก็มานั่งดูทีวีไปเรื่อยๆโดยมีคนตัวโตขี้อ้อนที่สกิลไม่ต่างจากน้องไข่หวานยามเป็นตัวอ้อวนกลมเลยเข้ามาอ้อนคลอเคลีย ยามบ่ายใกล้จะเย็นแบบนี้มักจะเป็นเวลานอนของน้องไข่หวานและก็คงเหมือนคนตัวโตนี่ด้วยล่ะมั้ง ที่พอจับล็อคให้มานอนหนุนตักลูบหัว เกาคางให้ก็หลับไปเลย ชานยอลก้มลงมองแล้วก็หัวเราะเบาๆ ก็เจ้าตัวโตนี้อ้อนน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ? 
     
    ชานยอลกดเปลี่ยนช่องรายการไปเรื่อยๆ มันไม่ได้มีอะไรน่าสนใจแต่ก็เลือกกดดูสักช่องหนึ่ง นั่งดูไปเรื่อยๆคนบนตักก็พลิกตัวหันกลับมาซุกหน้าลงกับหน้าท้องแล้วก็กอดเอวเขาไว้ ริมฝีปากบางนั้นที่พึมพำเป็นชื่อเขาก็ยิ่งเรียกให้คนที่กำลังอารมณ์ดีก็ยิ่งอารมณ์ดีมากขึ้นไปอีก ชานยอลที่โอบกอดคริสไว้ก้มลงแตะสัมผัสที่กลุ่มผมนิ่มนั้นเบาๆ
     
    “อยู่นี่แล้ว ฝันดีนะ”
     
    ชานยอลกำลังมีความสุข.. ใช่ เขามีความสุขมาก แม้จะเป็นแค่ไม่กี่วันที่ได้ร่วมชายคากับชายหนุ่มหน้าตาดี(ที่ดูเหมือนจะกลายร่างมาจากลูกหมาของตัวเองก็เถอะ) เขาก็รู้สึกไม่เหงา ไม่ว้าเหว่และได้รับการเอาใจใส่อย่างดี.. ดีกว่าใครคนนั้นที่เคยให้เขาเสียอีก 
     
    ตัวเขาเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่ายิ่งเรามีความสุขมากเท่าไหร่ ความทุกข์ก็ยิ่งเข้ามาหาเราเร็วมากขึ้นเท่านั้น ตัวเขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เขายังอยากมีความสุข ยังอยากอยู่แบบนี้ ยังอยากมีใครคนนี้คอยอยู่กับเขา ถึงมันจะไม่ตลอดกาลก็เถอะแต่ก็อย่าเพิ่งหายไปเลยนะ อยู่ด้วยกันแล้วก็คอยปลอบเขา กอดเขา คอยดูแลเขาไปแบบนี้เถอะนะ เขายังอยากอยู่กับคริส... อยากอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆเลย
     
    คริสตื่นขึ้นมาก็ช่วงเย็นใกล้ค่ำเสียแล้วพอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าคนที่ให้เขาหนุนตักก็นอนหลับหัวพิงพนักโซฟาไปเสียแล้ว โทรทัศน์ที่เปิดไว้ก็ปล่อยให้มันดูเราสองคนหลับ คริสขยับตัวลุกขึ้นนั่งแล้วหยิบรีโมทมากดปิดมันซะเพราะยังไงเขาก็คงไม่ดูจากนั้นก็ขยับตัวไปนั่งข้างๆชานยอลแล้วค่อยๆจับคนที่นอนพิงหัวไปกับโซฟาให้มาหนุนที่ไหล่ของเขาแทนเพราะดูแล้วนอนโซฟาแบบนั้นก็คงจะไม่สบายสักเท่าไหร่หรอก
     
    ดวงตาคมไล่สำรวจใบหน้ายามหลับของชานยอลแบบใกล้ๆ ยิ่งมองเขาก็ยิ่งหลงรักคนๆนี้ ไม่อยากจากไปไหนไกลเลย ให้ตายสิ.. สงสัยเขาจะบ้าไปแล้วจริงๆนั่นแหละ คริสไล้ปลายนิ้วกับแก้มใสแผ่วเบากลัวว่าคนในอ้อมแขนจะตื่นเสียก่อน เวลาที่ชานยอลหลับน่ะคล้ายกับเด็กน้อยตัวเล็กๆเลยนะ ดูน่ารัก บริสุทธิ์และน่าถนุถนอม ยิ่งยามตื่นก็ยิ่งน่ารักเป็นทวีคูณเลย ไม่ว่าจะเวลาไหนคนในอ้อมแขนนี้ก็น่ารักสำหรับคนมองเสมอนั่นแหละ
     
    เปลือกตาบางค่อยๆลืมตื่นขึ้นแล้วก็รับรู้ว่าตัวเองนอนพิงไหล่ของใครอีกคนที่อาศัยอยู่ร่วมกัน ชานยอลผละตัวออกคริสก็หันมาสนใจชานยอลที่ตื่นแล้ว ดวงตากลมหันมองคริสที่แอบอะไรไว้ด้วยมืออีกข้างก็ชะโงกหน้าไปแย่งมาดูก็เห็นเป็นรีโมททีวี ขานยอลหยิบมาแล้วชูให้ดูพร้อมกับตีสีหน้าดุ
     
    “เอารีโมทไปซ่อนอีกแล้วนะ น่าตีจริงเชียว!” น้องไข่หวานชอบเอารีโมททีวีไปซ่อนไว้ในร่องของโซฟาและคริสก็คงจะทำแบบเดียวกันแน่ๆ ชานยอลก็เลยดุเข้าใส่แต่คนโดนดุกลับไม่สลดยังจะมายิ้มกว้างทำหน้าตาน่าเอ็นดูเข้าหาอีกแน่ะ ก็แบบนี้ทุกทีล่ะน่า.. แล้วชานยอลก็ใจอ่อน
     
    “เดี๋ยวออกไปกินข้าวข้างนอกกันนะฉันอยากได้หนังสือใหม่” หนังสือที่ว่าก็นิยายธรรมดาทั่วไปนี่แหละ ชานยอลชอบอ่านมากๆ พวกที่ซื้อมาเมื่อคราวก่อนก็อ่านจบไปหมดแล้วเพราะฉะนั้นต้องไปซื้อมาใหม่
     
    “แล้วไม่อ่านหนังสือสอบเหรอครับ” ชานยอลทำแก้มป่องค้อนใส่แล้วก็ลุกขึ้นเดินหนีไปเลย คริสมองตามก็หัวเราะเบาๆ ไม่กล้าหัวเราะดังหรอกกลัวคนน่ารักกลับมาตีเอา
     
     
    ไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงห้างสรรพสินค้าละแวกใกล้บ้าน ร้านแรกที่ชานยอลเดินนำลิ่วๆเข้าไปคือร้านหนังสือและแน่นอนว่าพอเข้าร้านมาก็เดินนำไปยังโซนประจำ ก็นิยายรักหวานแหววชวนเพ้อฝันที่เจ้าตัวชอบนั่นแหละ ชานยอลเลือกหนังสือที่จะซื้อกลับทีละเล่มด้วยความตั้งใจ นี่แหละนะอีกด้านของชานยอลที่คริสก็ชอบเหมือนกัน 
     
    ชานยอลตั้งใจเลือกหนังสือที่อยากอ่าน คริสเองก็เดินวนไปวนมาแถวๆนั้นดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยก่อนที่จะวนกลับมายืนอยู่ข้างๆชานยอล ใบหน้ายามที่กำลังตั้งใจอยู่กับอะไรสักอย่างมันดูมุ่งมั่นและน่าค้นหาจริงๆนะ แต่บางทีคนมองอยู่ก็นึกอิจฉาหนังสือพวกนั้นซะแล้วสิ
     
    “เล่มนี้สิสนุกนะ” คริสหยิบหนังสือเล่มไม่ใหญ่หน้าปกสีชมพูให้ ชานยอลละสายตาจากหนังสือตรงหน้าหันมามอง หยิบมาพลิกอ่านดูแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองคนที่ส่งมาให้
     
    “รู้ได้ยังไงว่าสนุก” คริสยิ้มแล้วส่ายหน้า
     
    “ไม่รู้หรอก เห็นหน้าปกมันสวยดี” ชานยอลหัวเราะแล้วเอาหนังสือเล่มนั้นตีไหล่คริสเบาๆ แต่ก็ยอมหย่อนหนังสือเล่มนั้นลงตะกร้าที่มีหนังสือที่ตัวเองเลือกไว้ 
     
     
     
     
     
    หลังจากเลือกหนังสือเสร็จและไปจ่ายเงินเรียบร้อย คริสก็อาสาถือถุงหนังสือเหล่านั้นให้ ชานยอลก็ไม่ขัดอะไรอยู่แล้วซ้ำยังเดินนำหน้าพาไปกินร้านอาหารที่ชอบเสียอีก คนที่เดินนำก็ยังพูดเจื้อยแจ้วถึงร้านอาหารที่จะพาไปว่าอร่อยแค่ไหน มีเมนูไหนแนะนำ นี่ขนาดว่าไม่ค่อยชอบกินข้าวข้างนอกบ้านนะเนี่ย คริสเดินตามไปแล้วก็ยิ้มขำ เอาน่าความสุขเขาล่ะเนอะ..
     
    ร้านที่ชานยอลพามาก็เป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยนตามแบบที่เจ้าตัวชอบแบบที่คิดเอาไว้เลย ชานยอลเลือกที่จะนั่งโต๊ะที่ติดริมกระจกร้าน แน่นอนว่าชานยอลชอบนั่งมองคนด้านนอกที่เดินผ่านกันไปมา คริสไม่เลือกเมนูแต่ให้ชานยอลเลือกมาให้แทน หลังจากที่ออเดอร์อาหารไปสามอย่างชานยอลก็ค้นหนังสือที่ตัวเองซื้อออกมาดูทีละเล่ม คริสที่นั่งมองอยู่ก็วาดรอยยิ้มเสียเต็มแก้ม ถ้าชานยอลยิ้ม คริสก็ยิ้มไปด้วย
     
    “ผมชอบเล่มนี้” คริสชี้ไปที่เล่มสีชมพูที่ตัวเขาเลือก ชานยอลหันมองตามก็หัวเราะ
     
    “แหงล่ะนายเลือกเองนิ ถ้าไม่สนุกล่ะก็น่าดู” ชี้นิ้วคาดโทษแล้วก็หยิบเล่มนั้นที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆมือขึ้นมาดู 
     
    “ฉันจะอ่านเป็นเล่มแรกเลย ถ้าไม่สนุกล่ะก็โดนตีแน่ๆ” คริสนั่งเท้าคางแล้วแบมือยื่นไปตรงหน้าของชานยอล
     
    “ผมให้ตีก่อนเลย” ชานยอลหัวเราะแล้วตีลงที่มือข้างนั้นของคริสเบาๆ คริสจับมือของชานยอลไว้ไม่ยอมปล่อยและเจ้าตัวก็ไม่คิดที่จะดึงมือกลับด้วยนั่นแหละเพราะถึงดึงไปฝ่ามือใหญ่นั้นก็คงไม่ยอมปล่อย คริสขยับมือกอบกุมมือนิ่มไว้แล้วลูบหลังมือเบาๆ
     
    “ไม่ต้องมาอ้อนเลยนะไม่ลดโทษให้หรอก” คริสมองชานยอลที่ยู่หน้าใส่ก็เอียงคอส่งยิ้มให้
     
    “ว๊า~ โดนรู้ทันซะแล้ว” ชานยอลหัวเราะแล้วยกแขนขึ้นมาเท้าคางเหมือนคนตรงข้าม นั่งมองหน้าสบตากัน คริสก็ยังคงจับมือและลูบหลังมือของชานยอลไม่ยอมปล่อย จนอาหารมาเสิร์ฟนั่นแหละถึงได้ปล่อยมือและถอนสายตาจากกัน
     
    “กินยังไงให้เลอะ กินดีๆสิ” ชานยอลหยิบทิชชูแล้วเอื้อมมือไปเช็ดคราบซอสที่เลอะมุมปากให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม คริสยิ้มขอบคุณแล้วก้มหน้าลงกินพาสต้าจานของตัวเองต่อ ชานยอลที่นั่งมองอยู่ก็ยิ้มอารมณ์ดี 
     
    ร้านนี้เป็นร้านที่เขาชอบและมักจะมากับใครคนนั้น แต่เวลาที่มาตัวเขาไม่เคยรู้สึกมีความสุขแล้วก็ยิ้มเยอะได้แบบนี้เลย คงต้องขอบคุณคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนี่ล่ะ ตั้งแต่มีคริสมาอยู่ด้วยตัวเขาก็รู้สึกว่าตัวเองทั้งยิ้มเยอะขึ้น มีความสุขมากขึ้นแล้วก็คิดถึงคนใจร้ายคนนั้นน้อยลง เพราะแทบจะทุกห้วงความคิดก็มีแต่คนตรงหน้านี่ล่ะ 
     
    เจ้าของดวงตาคม ริมฝีปากที่มักจะส่งรอยยิ้มมาให้เสมอ ความอบอุ่นที่คอยมอบให้ ไหนจะการดูแลเอาใจใส่อีก มันทำให้ชานยอลไปแทบไม่เป็น รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายทีละนิดโดยที่อีกฝ่ายใช้ความอบอุ่นมาล่อให้เขาเข้าไปใกล้และตัวของชานยอลเองก็เต็มใจที่จะก้าวเข้าไป
     
     
     
     
     
    บางทีชานยอลอาจจะกำลังเริ่มรักคริสโดยที่ไม่รู้ตัว.. ก็เป็นได้
     
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×