ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Special] KrisYeol : Memorable Journey

    ลำดับตอนที่ #3 : Memory 02

    • อัปเดตล่าสุด 9 ต.ค. 57


    ถ้าถามว่ามันดราม่าไหม อืม.. ก็ดราม่าตามช่วงเวลาค่ะ ^^ แต่อย่างที่โปรยแนะนำไว้
     
    การเดินทางที่แสนยาวนาน การเดินทางของสองเรา การเดินทางที่จะพาให้เรากลับมาพบกันอีก ความทรงจำของเรายังคงอยู่กับเราเสมอ ความทรงจำที่มีแต่เรา
     
    ตามนั้นเลยค่ะ อิอิ
     
    คริสยอลสำหรับเราสวยงามเสมอ *โปรยดอกไม้*
     
    ปล. ผ่านไปผ่านมา ถ้าชื่นชอบก็มาทำบุญส่งความรักด้วยกันนะคะ
     
     
     
    ___________________________________________________
     
     
     
     
    ขึ้นชื่อว่าค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ก็ย่อมมีคนอยากจะก้าวเข้ามาเป็นศิลปินด้วยกันทั้งนั้น ในค่ายนี้ก็มีเด็กที่เทรนอยู่ก่อนแล้ว เด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามา เด็กเก่าที่ออกไป และเด็กที่ได้รับคัดเลือกให้เดบิวต์ ใคร ๆก็อยากเป็นเด็กที่ได้รับเลือกให้เดบิวต์ด้วยกันทั้งนั้น รวมถึงผมด้วย
     
    ตอนที่ได้ยินว่าประธานค่ายจะเลือกเด็กเดบิวต์ผมก็ตื่นเต้นนะ ความฝันของผมจะเป็นจริงก็ต้องเริ่มก้าวแรกด้วยการเดบิวต์นี่แหละ ครั้งแรกที่ประกาศออกมานั้นทุกคนก็ลุ้นด้วยกันทั้งนั้นไม่เว้นแม้แต่ผม แล้วผมก็แอบได้ยินพวกสต๊าฟคุยกันว่าจะมีใครที่ได้รับคัดเลือกบ้าง 1ในนั้นไม่มีขื่อของผม.. แต่มีชื่อของพี่คริส 
     
    ผมก็ใจเสียไปเหมือนกันนะ ก็อย่างที่พวกคุณรู้ผมอยากอยู่กับพี่คริสแต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผมก็ดีใจด้วยแต่ก็แค่อาจจะเหงาอยู่บ้างก็เถอะ ถ้าพี่เขาเดบิวต์ไปแล้วก็คงไม่ค่อยมีเวลามาเที่ยวเล่นกับผมเลยน่ะสิ แต่ไม่เป็นไรหรอกผมรู้ว่าพี่เขาจะต้องหาเวลามาเที่ยวกับผมได้แน่ๆ
     
    ช่วงนี้ผมเรียนเสร็จก็จะกลับมาที่บ้านตลอดไม่ค่อยได้ไปชวนพี่เขาไปเที่ยวไหนแล้ว พี่เขาก็ไม่ค่อยว่างด้วยนั่นแหละ นี่เราไม่ได้เจอกันมากี่อาทิตย์แล้วนะ เอาเป็นว่าวันพรุ่งนี้ผมเรียนเสร็จว่าจะชวนพี่เขาไปกินมื้อเย็นแล้วก็ไปเดินเล่นดีกว่า ฉลองล่วงหน้าที่พี่เขาจะได้เดบิวต์
     
    แต่แล้วความคิดที่กำลังคิดว่าจะไปกินเนื้อย่างหรือจะไปเดินหาของกินที่มยองดงดีก็ถูกขัดด้วยเสียงของข้อความ พอผมกดเปิดดูก็เห็นว่าเป็นเซฮุนส่งมาหาบอกว่าเรื่องที่ว่าจะเดบิวต์นั้นถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เท่านั้นแหละไอ้อะไรในหัวก็หายวับไปกับตา ผมกดโทรหาพี่เขาทันทีแต่พี่เขาก็ไม่ยอมรับสายผมจนผมร้อนใจวิ่งไปคว้าของใส่กระเป๋าเป๋แล้วก็วิ่งออกจากบ้านไปเลย ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่านี่มันกี่โมงแล้ว
     
    พอมาได้สักครึ่งทางผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผมไม่รู้จักห้องพี่เขาเลย ไม่เคยไปด้วยซ้ำแล้วยังไงกันล่ะเนี่ยปาร์คชานยอล!!
     
    ตัวช่วยของผมก็คือเซฮุน แน่นอนว่าเจ้าเซฮุนต้องรู้แน่ๆ และไม่นานผมก็ได้คำตอบ แต่ถึงจะขึ้นมาถึงหน้าประตูห้องได้แต่ผมก็เข้าห้องเขาไม่ได้อยู่ดีก็เลยตัดสินใจเคาะประตูดู ไม่นานบานประตูก็เปิดออกพร้อมกับใบหน้าของคนที่ผมอยากพบ
     
     
    “อ่า.. พี่คริสผม..” ไม่ต้องพูดอะไรบานประตูก็เปิดออกต้อนรับ ผมเดินเข้าไปก็รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวแต่ตอนนี้คงไม่มีใครอยู่
     
    “พี่โอเคไหม” พี่คริสพยักหน้าแล้วเดินไปนั่งที่โซฟา ผมก็เลยไปนั่งด้วย
     
    “พี่ ... อ่า.. เรามาเล่นเกมกันดีกว่า เนี่ยผมเอามาจากบ้านเลยนะ” แล้วชานยอลก็ยกเครื่องเล่นเกมออกมาจากกระเป๋า แต่คริสที่ไม่มีอารมณ์อยากจะเล่นอะไรก็ได้แต่นั่งเงียบๆ ชานยอลลุกขึ้นไปต่อเครื่องเล่นโดยที่ไม่สนสายตาดุที่มองมาเลยสักนิด
     
    “ผมรู้ว่าพี่เสียใจ เป็นผมผมก็เสียใจแต่พี่ก็แค่ลุกขึ้นมาเดินตามฝันต่อไง.. ถ้าเราได้มันมาง่ายๆเราจะเห็นค่ามันเหรอ” คำพูดนี้พี่ยูราเคยพูดกับผม
     
    “เพราะฉะนั้นพี่มาเล่นเกมกับผมดีกว่า” ชานยอลหันมายิ้มให้ คริสก็ถอนหายใจแล้วลุกขึ้นไปนั่งลงที่พื้นข้างชานยอลแล้วก็เริ่มเล่นเกมด้วยกัน
     
    คริสนั่งเล่นเกมกับชานยอลจนเวลาลวงเลยเข้าวันใหม่ไปแล้ว เล่นเกมจนเบื่อก็เปลี่ยนมานั่งเฉยๆ คริสนั่งเงียบๆ ชานยอลก็เลยเงียบตาม นั่งจมอยู่กับความเงียบกันอยู่พักใหญ่ๆ ชานยอลที่ไม่ใช่เด็กสมาธิยาวก็ขยับตัวยุกยิกๆ
     
    “ไปแม่น้ำฮันกัน / ไปแม่น้ำฮันกัน” แล้วคริสกับชานยอลก็หัวเราะใส่กันเอง
     
     
    เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะไปแม่น้ำฮันกันก็ลุกขึ้นดินออกจากห้องไป ส่วนข้าวของของเอามาก็ปล่อยไว้ล่ะกันเพราะคิดว่าคืนนี้คงจะมาขอนอนด้วยคงไม่กลับบ้านแล้วล่ะ กลับบ้านสงสัยต้องโดนบ่นแน่ๆเลย งั้นโทรไปบอกพี่ยูราให้บอกคุณแม่ดีกว่า
     
    เพราะรู้สึกหิวกันด้วยก็เลยหาของกินที่พอจะทำให้อิ่มท้องกับน้ำผลไม้กันคนละกระป๋อง พี่คริสไม่ชอบดื่มกาแฟ ผมก็ไม่ชอบ พี่เขาไม่ค่อยชอบพวกน้ำอัดลมด้วยเราก็เลยเลือกน้ำผลไม้มาแทน เราเดินมานั่งอยู่ในมุมที่มีแสงสลัว ไม่ได้จะเอาบรรยากาศอะไรหรอกแต่แค่รู้สึกว่าตรงนี้มันเป็นส่วนตัวดี นั่งเงียบๆ กินขนม จิบน้ำผลไม้กัน 
     
    มันก็ดูเป็นช่วงเวลาที่มีค่าเหมือนกัน
     
    ผมรู้ว่าเวลาแบบนี้ผมไม่ควรที่จะพูดอะไร แต่ไม่รู้สิผมมันก็อยู่นิ่งได้ไม่นานเสียด้วยสิ อยากจะพูดอะไรเหมือนกันแต่ก็ไม่กล้า กลัวพี่เขาโมโหแล้วพาลจะจับผมโยนลงแม่น้ำเอา นี่บอกเลยว่าศพไม่สวยแน่ๆ
     
     
    “พูดมาเถอะน่า” แล้วอยู่ๆคริสก็เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มๆออกมา เพราะเห็นเจ้าเด็กข้างตัวขยับไปขยับมาทำท่าจะพูดหลายรอบแล้ว
     
     
    “ก็แบบว่า.. ไม่เป็นไรนะพี่เก่งจะตายยังไงครั้งหน้ามันก็ต้องเป็นของพี่แน่ๆ เพราะว่าตอนนี้พวกรุ่นพี่กำลังจะคัมแบ็คนั่นแหละโปรเจ็คเลยอาจจะต้องพักแต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีอีกเลยสักหน่อย รับรองครั้งหน้ามันต้องเป็นของพี่แน่ๆ” ชานยอลพูดซะยืดยาว คริสก็นั่งฟังนิ่งๆ 
     
    ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะเข้าใจหรือฟังทันไหมแต่ชานยอลก็แค่อยากพูดให้ฟัง อยากให้กำลังใจ อยากให้พี่ชายของเขารู้ว่าเขาน่ะเป็นน้องชายที่จะอยู่กับพี่ชายไปตลอดไม่ว่าจะตอนไหนก็ตาม
     
    แต่พี่คริสก็แค่นั่งจิบน้ำผลไม้ของตัวเองไปเงียบๆ ผมนึกอยากให้ผมมีพลังในการอ่านความคิดของคนอื่น ผมจะได้รู้ว่าคนข้างตัวผมนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ มันไม่สนุกหรอกที่เห็นคนข้างๆเป็นแบบนี้ ผมอยากได้พี่ชายของผมที่ชอบยิ้มแล้วก็หัวเราะมากกว่า 
     
    พี่คริสวางกระป๋องน้ำผลไม้ที่หมดแล้วลงที่พื้นที่พวกเรานั่งกันอยู่ก่อนที่จะเอนตัววางแขนค้ำไปด้านหลังแล้วหันหน้ามามองพร้อมกับส่งรอยยิ้มมาให้ รอยยิ้มเดิมๆที่ผมชินตา รอยยิ้มที่ดูเขินๆแต่ก็จริงใจ
     
     
    “ขอบคุณนะ” แค่นั้นแล้วเราก็ยิ้มให้กันก่อนที่จะนั่งมองความเงียบในยามค่ำคืนให้มันลอยผ่านไปช้าๆ
     
     
    บางครั้งการนั่งเงียบๆพร้อมกับมีคนที่รู้ใจและพร้อมที่จะอยู่กับเราในทุกสถานการณ์มันก็ดีแบบนี้นี่เองแหละเนอะ ความเจ็บปวดภายในมันไม่ได้หายไปเพียงแค่สายลมพัดหรอกแต่ทว่าความเจ็บนั้นมันก็ทุเลาลง ผมหวังว่าผมจะเป็นคนนั้นที่ทำให้ความเจ็บของพี่เขาเบาลงได้
     
    ปาร์คชานยอลก็เป็นคนแบบนี้นั่นแหละ ทำได้ทุกอย่างเพื่อคนอื่น
     
    ถ้าจะว่าไปแล้วนั่นก็เป็นครั้งแรกเลยที่เราออกไปข้างนอกกันสองคนแม้จะแค่นั่งเงียบๆก็เถอะ หลังจากนั้นถ้ามีเวลาว่างไม่ผมก็พี่เขาเราจะชวนกันไปเดินเล่นบ้าง ซื้อของบ้างหรือไปกินข้าวด้วยกันบ้าง พี่ชายของผมก็ยังเป็นพี่ชายที่แสนดี ชอบเลี้ยงข้าวผมประจำ นี่ล่ะน้า~ เขาว่าคนเท่ๆก็มักจะเท่เสมอ 
     
    นอกจากจะเท่ ชอบเลี้ยงข้าว(รวมถึงอย่างอื่นด้วย)แล้ว พี่คริสก็เป็นคนแรกที่มักจะสอนอะไรแปลกใหม่ได้ผมได้เรียนรู้เสมอ อย่างเช่นเรื่องการกิน เวลาผมไปกินแฮมเบอร์เกอร์กับที่บ้าน คุณแม่จะให้ผมใช่มีดกับส้อมตัดแบ่งเป็นคำๆเสมอแต่พี่คริสกลับจับกัดทั้งก้อน
     
     
    “จะกินให้อร่อยมันต้องแบบนี้” ว่าแล้วก็กัดแฮมเบอร์เกอร์ให้ดูคำใหญ่ๆเลย 
     
    “แต่ผมหั่นไปแล้วนิ” 
     
    “ไม่เป็นไรเดี๋ยวจัดการให้” แล้วคริสก็จัดการห้อแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นนั้นใหม่แล้วยื่นให้ชานยอล
     
    “ลองดู” ชานยอลรับมาแล้วก็กัดเข้าปากคำโตๆ มันก็อร่อยขึ้นกว่าเดิมจริงๆด้วยแหะ 
     
     
    คริสที่เห็นว่าน้องดูจะชอบใจก็ยิ้มแล้วยักคิ้วให้ก่อนที่จะนั่งกินแฮมเบอร์เกอร์ของตัวเองบ้าง
     
    และอีกหลายๆอย่างที่เขาสอนให้ผมเรียนรู้ พี่เขาเป็นเหมือนทั้งพี่ชายแล้วก็พ่อของผมเลย
     
    ถ้าถามว่าทำไมผมถึงชอบเขาเหรอ? ผมก็ตอบไม่ได้หรอก รู้แค่ว่าเวลาที่ผมได้อยู่ใกล้เขาแล้ว เขาอบอุ่นเหมือนกับตอนที่ผมอยู่กับพ่อ เขาดูเท่จนผมอยากจะอยู่ใกล้ๆและอยากเป็นแบบเขา บางครั้งผมก็รู้สึกว่าเขาเป็นเพื่อนของผมถึงแม้ว่าเขาจะอายุมากกว่าแต่เขาก็ไม่เคยถือตัว เขาพร้อมที่จะเล่นซนกับผมเสมอ
     
    อาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ล่ะมั้งที่ทำให้ผมรู้สึก.. อยากอยู่ใกล้ๆเขาไปตลอด
     
    ถ้าได้อยู่ด้วยกันตลอดไปก็ดีสินะ
     
    ความคิดที่ถึงรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็เถอะ แต่ตอนนี้ผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจะไม่มีทางเป็นไปได้ ผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีวันนี้ วันที่ผมขาดใครอีกคนไป วันที่อีกครึ่งส่วนของผมหายไปแบบนี้...
     
     
     
     
     
    ขึ้นชื่อว่าค่ายยักษ์ใหญ่มันก็ต้องมีคนหมุนเวียนกันมาทั้งเข้าและออก ในค่ายก็มีทั้งเด็กเพิ่งเข้ามาเทรน เด็กเก่าและก็มีบางส่วนที่ลาออกไป แต่ผมก็ยังคงอยู่ที่ค่ายนี้และพี่คริสก็ยังอยู่ที่นี่เหมือนกัน แม้ว่าเขาจะต้องเรียนหนักทั้งภาษาเกาหลีและการเต้นก็ไม่มีบ่น
     
    เราสองคนไม่ได้เป็นพี่น้องที่คลานตามกันออกมาแต่ก็ดันแปลกที่ชอบอะไรคล้ายๆกันและมีความคิดที่เหมือนกันว่าเราสองคนสูงเกินไปที่จะเต้น มันก็เลยทำให้ถึงคลาสเต้นทีไรอยากจะหนีกลับไปนอนทุกทีรอบนี้ผมถูกจับให้มาลงเรียนเต้นกับพี่คริสด้วยล่ะ ก็เลยทำให้มีเวลาด้วยกันเยอะขึ้น
     
    แน่นอนว่าพอได้อยู่ด้วยกันเยอะๆมันก็เริ่มที่จะสนิทกันมากขึ้น หลังจากเรียนเสร็จเราก็มักจะไปเดินเล่นหาอะไรกินกัน บางทีก็จบที่ไปนั่งเล่นที่ริมแม่น้ำฮันหรือบางทีก็จบที่ร้านไหนสักร้าน พี่คริสเขาชอบพวกเครื่องประดับ ส่วนผมก็ชอบพวกหมวก บางทีทะเลาะกันก็เดินแยกหนีกันไปคนละร้าน แล้วไม่นานพี่คริสก็จะเดินมาช่วยเลือกอยู่ด้านหลัง
     
    มันก็เลยทำให้ผมเคยตัว ชอบแกล้งเขา ชอบแหย่ให้เขาโกรธ ให้เขารำคาญ เพราะไม่ว่ายังไงแม้ว่าเราจะเถียงกันหนักแค่ไหน พี่เขาก็จะยอมให้ผมเสมอ ก็ไม่ได้อยากจะคุยหรอกว่าผมก็น้องรักของเขาเหมือนกันน้า~~
     
    มีครั้งหนึ่งผมแกล้งให้เขาโกรธโดยที่ปิดมือถือไม่ติดต่อใคร วันนั้นผมไปเที่ยวกับที่บ้านแต่ไม่ได้บอกเขา พออีกวันที่ผมมาถึงหน้าบริษัทก็เจอเข้ากับผู้ชายตัวสูงๆ ตาดุๆยืนกอดอกอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า พี่เขาโกรธมากเลย ผมจำไม่ได้ว่าวันนั้นเขาว่าผมว่าอะไรบ้าง(มันเยอะจนจำไม่ไหวทั้งภาษาเกาหลี ทั้งอังกฤษ ทั้งจีน นี่ถ้าเขาได้อีกสักภาษาผมก็คงไม่รอด)
     
    แล้วถ้าถามว่ายอดชายสุดหล่อนามปาร์คชานยอลจะเป็นอย่างไรน่ะหรือ? ก็หงอยเดินคอตกตามพี่เขาต้อยๆเลยน่ะสิ เวลาพี่คริสโกรธนี่น่ากลัวชะมัด! (ช่วยเรคคอร์ดไว้ด้วยนะครับ) พี่เขาบอกประโยคหนึ่งที่ผมจำได้ขึ้นใจเลย และทุกวันนี้ผมก็ยังจำได้อยู่.. แต่ก็ไม่รู้นะว่าเขายังจำได้ไหม
     
     
    “ไม่ว่าจะไปไหนหรือยังไงก็ต้องบอกกัน ไม่โทรมาหาก็ต้องส่งข้อความรู้ไหม”
     
    “ครับ”
     
    “อย่าทำให้เป็นห่วงอีกนะ”
     
     
    ถ้าบอกว่าพี่เขาติดผม... ผมว่าไม่ใช่หรอกแต่เป็นผมนี่ล่ะที่ติดพี่เขา ผมอยากเป็นอย่างเขาก็ต้องเดินตามรอยเขา ไม่ว่าเขาทำอะไรผมก็จะทำด้วย แน่นอนว่าถ้าผมได้สนิทมากกว่าใคร เขาก็สามารถเดินตามและเป็นอย่างเขาได้
     
    เขาชอบแร๊พ ผมก็ชอบ เรามาสายเดียวกัน.. และผมก็เพิ่งรู้ว่าเขาก็เกิดเดือนเดียวกับผมแม้จะคนละปีก็เถอะ พวกคุณว่ามันคือพรมหมลิขิตหรือเปล่าล่ะ? การที่คนสองคนที่คล้ายๆกันมาเจอกัน ได้มาอยู่ด้วยกันและทำอะไรร่วมกันน่ะ.. ผมว่าถ้าไม่ใช่เพราะเหตุบังเอิญแบบโลกกลมก็พรหมลิขิตแล้วล่ะ
     
    มันอาจจะดูผู้หญิงจ๋าไปหน่อยนะที่จะบอกว่า ผมเชื่อในเรื่องของพรหมลิขิต(เหมือนพี่ยูรา) พี่สาวผมบอกว่าการที่เราเกิดมาเจอใครที่เข้ากับเราได้ในทุกๆเรื่องมันคือเรื่องวิเศษและเป็นสิ่งพิเศษที่เราควรรักษาเอาไว้ ผมก็บอกแล้วไงว่าผมจะอยู่ข้างพี่เขาตลอดไป
     
    ด้วยความที่สนิทกันผมก็มักจะแสดงความเป็นตัวจริงๆของผมออกไป ผมไม่ใช่แค่เด็กร่าเริงชานยอลเท่านั้น บางครั้งผมก็ยังขี้เหงา ดื้อ ชอบโวยวายและชอบหาเรื่องแกล้งคนอื่น และคนที่จะโดนบ่อยที่สุดก็ไม่พ้นพี่คริสหรอก 
     
    เอ.. ผมบอกหรือยังว่าพี่ชายของผมชื่อจริงว่าอี้ฟาน ผมชอบชื่อนี้นะ อู๋อี้ฟาน (แต่ผมจะไม่เล่าถึงชื่อดั่งเดิมและกว่าจะมาถึงชื่อนี้หรอกนะ ถ้าอยากรู้.. ผมก็ไม่บอกอยู่ดี ฮิ~) แต่ถึงจะชอบผมก็ชอบเรียกชื่อคริสมากกว่า ถ้าถามว่าทำไม ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จะชื่ออะไรเขาก็คือพี่ชายของผมอยู่ดี
     
    เห็นว่าผู้ชายคนนี้นิ่งๆ ดูน่ากลัวแต่เขาก็อ่อนโยนและเอาใจใส่ทุกคนนะ มีครั้งหนึ่งที่ผมกับพี่ยูราทะเลาะกัน เป็นครั้งแรกที่พี่ยูราด่าผมว่าบ้า ผมงี้โกรธเป็นฝืนเป็นไฟวิ่งหนีออกจากบ้านเลย มารู้ตัวอีกทีก็มายืนเล่าให้พี่เขาฟังเสียแล้ว พอนึกย้อนไปถึงก็น่าอายชะมัด
     
    พี่คริสแค่ยิ้มแล้วก็ลูบหัวผมเบาๆ แค่นี้ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกร้อนๆที่ขอบตาแล้วหยดน้ำตามันก็ไหลกลิ้งลงมา ผมก็เคยกอดกับเพื่อนผู้ชายนะแต่ไม่เคยมีใครที่มีอ้อมกอดที่อุ่นได้เท่าพี่เขาเลย ตอนที่ผมยืนอยู่ให้พี่เขากอดในหัวของผมก็นึกไปถึงคุณชายปาร์ค พ่อของผม พ่อของผมเวลาที่กอดผมนั้นอ้อมกอดแล้วก็ตัวของพ่ออุ่นมากๆ
     
    พี่คริสอบอุ่นเหมือนกับพ่อของผมเลย
     
    นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมกับพี่เขาได้กอดกันและแน่นอนว่าเป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้ให้เขาเห็น ถึงจะน่าอายแต่ก็นะ.. แก้อะไรไม่ทันแล้ว จริงๆผมก็อยากให้คนอื่นเขาเห็นนะว่าตัวตนจริงๆของผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนเย็นชา ไม่ใช่คนไม่สนโลกสักหน่อย เขาทั้งใจดี อบอุ่นแล้วก็เป็นกันเองที่สุด แต่ถ้าทุกคนรู้ทุกคนก็จะสนิทกับพี่เขา แล้วผมล่ะ?
     
    โคตรเอาแต่ใจก็ยอมรับแต่ผมก็หวงพี่ชายผมเหมือนกันนะ แต่ไม่ว่ายังไงตอนนี้พี่เขาอยู่กับผม.. ตอนนี้เขาเป็นคุณพ่อ(จำเป็น)ของผมอยู่นะทุกคน~
     
    ในชีวิตของพวกเด็กเทรนที่กำลังจะก้าวขึ้นไปเป็นศิลปินที่โด่งดังนั้น ความฝันก็คือการได้เดบิวต์ใช่ไหมครับ? แน่นอนผมก็มีความฝันแบบนั้นเช่นกัน และโอกาสมันก็มาหาผมแล้ว.. แต่ทว่าในรายชื่อที่บอกว่าจะรวมกลุ่มเดบิวต์นั้นไม่มีชื่อของพี่คริส
     
    ถามว่าผมดีใจไหมผมก็ดีใจนั่นแหละแต่อีกใจผมก็อยากให้ในวงที่ผมจะเดบิวต์นั้นมีพี่คริสอยู่ด้วยมากกว่า ไม่เป็นไรหรอกไว้ลองไปคุยกับพวกพี่ๆดู ได้ไม่ได้ก็ว่ากันอีกที แต่ทว่าถ้าเรื่องนี้มันหลุดออกไปไกลแล้ว.. พี่เขาจะได้ยินหรือยังนะ 
     
    ด้วยที่เราชอบแร๊พเหมือนๆกัน มันก็เลยทำให้เราได้ลองซ้อมแร๊พ ได้เขียนเนื้อและลองแร๊พไปด้วยกันบ่อยๆ ถ้าผมหายไปพี่จะเขารู้สึกอะไรไหมนะ วันนี้ผมมีเรียนเต้นคลาสเดียวกับพี่เขา ทำเอาผมแทบไม่อยากจะเปิดประตูเข้าไปเลยแหะ กลัวว่าถ้าเขาได้ยินแล้วเขาจะเปลี่ยนไป
     
    แต่แล้วผมก็รู้ว่าไอ้ที่คิดไปมากมายในหัวจนมันจะระเบิดเนี่ยโคตรจะเสียเวลาและไร้สาระเลยเถอะ พี่เขาก็ยังคงยิ้มให้เหมือนเดิมแถมยังพาไปเลี้ยงขนมด้วย บอกว่าฉลองให้ผมที่กำลังจะได้เดบิวต์ ขนาดที่ว่าผมแย้งแล้วว่าพี่ไม่คิดว่าโปรเจ็คผมจะล่มบ้างเหรอ จริงๆไม่ได้อยากจะแช่งหรอกแต่คือตัวอย่างมีให้เห็นไงก็เลยกลัวอยู่เหมือนกัน
     
    แต่คำที่พี่เขาตอบมานั้นทำเอาผมไปต่อไม่ถูกเลย
     
     
    “ไม่หรอก ยังไงเราก็ต้องได้เดบิวต์”
     
     
    ‘เรา’ ในที่นี้คือผมกับพี่ หมายถึงเราสองคนใช่ไหม?
     
    ถ้าใช่นั่นก็ถือเป็นเรื่องดีเลยน่ะสิ
     
    แต่ทว่าเรื่องสุขๆก็อยู่กับเราได้ไม่นานหรอก แล้วอีกไม่กี่วันที่จะถึงวันเรียกรวมตัวพวกที่จะได้เดบิวต์ผมก็ได้ยินว่าโปรเจ็คนี้ถูกเลื่อนอย่างไม่มีกำหนด .. รู้สึกเสียศูนย์เหมือนกันแหะ แทนที่กับเรื่องนี้ผมจะเป็นคนเสียใจนะแต่เปล่าเลยคนที่มาหาผมคนแรก(ถ้าไม่นับไอ้เซฮุนที่อยู่ข้างๆอยู่ก่อนแล้วน่ะนะ)ก็คือพี่คริส เขามาปลอบผมกับเซฮุนแล้วเสนอตัวเลี้ยงหมูย่างด้วย
     
    ก็อยากจะบอกเหมือนกันว่าเราก็ไม่ได้เสียใจอะไรขนาดนั้น แต่ก็เอาเถอะถือซะว่าลาภปากก็แล้วกัน แล้ววันนั้นไอ้เซฮุนกับพี่คริสก็เอาแต่นั่งคุยนั่งปล่อยมุขกันอยู่สองคน เคยสนใจไอ้คนที่มันต้องมานั่งย่างหมูให้ไหม? คำตอบก็คือไม่.. เพราะผมก็ต้องย่างแล้วก็เสิร์ฟให้ถึงจานอยู่ดี
     
    เอาแต่คุยเอาแต่หัวเราะกันอยู่นั่นแหละทั้งเซฮุนทั้งพี่คริส ผมก็เลยจัดการหนีบหมูย่างที่สุกแล้วและกำลังส่งกลิ่นหอมๆยั่วยวนอยู่นี้มาคำใหญ่ๆแล้วสั่งให้ทั้งสองอ้าปากแล้วก็จัดการยัดใส่ปากกันไปคนละคำโตๆเลย ดีจะได้ไม่ต้องมาคุยจะได้ก้มหน้ากินกันบ้าง 
     
    แต่เปล่าเลยทั้งสองคนก็ยังนั่งคุยกัน หัวเราะกันได้เหมือนเดิม นี่ผมต้องทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กอีกแล้วเหรอ? เอาน่า มื้อนี้อุตส่าห์อิ่มจังตังค์อยู่ครบทั้งที แล้วเด็กน้อยโอเซฮุนกับเด็กน้อยคริสก็เอาแต่นั่งคุยกันโดยมีผมป้อนให้เป็นแม่นกป้อนข้าวลูกนกเลย.. แต่ต่างกันตรงที่ผมป้อนเนื้อหมูย่างอร่อยๆนะไม่ใช่หนอน (ไม่ฮากันล่ะซี๊~)
     
    ไม่ไหวจริงๆสองคนนี้นิ!
     
    ถ้าตอนนี้.. ตอนที่ผมกำลังย่างหมูให้ทั้งตัวผมแล้วก็อีกสองคนข้างหน้านี้.. ขอพรได้สักข้อหนึ่ง ผมก็คงอยากให้เราได้เดบิวต์ด้วยกันแล้วก็ขอให้ดังเปรี้ยงๆทะลุฟ้าไปเลย.. แล้วก็อยู่ด้วยกันตลอดไป
     
    หลังจากที่กินกันอิ่มหน่ำเงินไม่ต้องจ่ายสักวอนแล้วผมกับพี่คริสก็มาส่งเซฮุนขึ้นแท็กซี่กลับบ้าน เพราะวันนี้เจ้าเด็กนี่ต้องกลับบ้าน หลังจากส่งเจ้าเด็กนี่เสร็จเรียบร้อยผมกับพี่คริสก็เดินกลับหอกัน ระหว่างทางเราก็เดินคุยกันไปเรื่อยเปื่อย 
     
    ผมกำลังพูดถึงเรื่องที่ว่าถ้าเราได้ร้องแร๊พด้วยกันก็คงจะดี ถ้าแบบได้ออกอัลบั้มคู่กันมันจะต้องดีแน่ๆ พี่คริสก็หัวเราะแล้วก็สบประมาทว่าผมน่ะเหรอจะแร๊พได้เท่เท่าเขา โอ้โห้ขึ้นครับแบบนี้!! จะว่าอะไรยอมหมดแต่บอกว่าปาร์คชานยอลคนนี้แร๊พไม่เท่นี่ไม่ขอยอมนะครับ!!
     
     
    “พี่ก็ไม่เท่าไหร่หรอกน่า~” คนได้ยินก็เลิกคิ้วขึ้นสูงแล้วยกมุมปากขึ้นยิ้ม
     
    “แต่พี่ก็เท่กว่านาย” ชานยอลหันไปมุ่ยหน้าใส่
     
    “นี่ใคร.. ปาร์คชานยอลนะครับ”
     
    “ปาร์คชานยอลแล้วไง?” คริสยักคิ้วให้ ชานยอลแทบจะควันออกหูแล้วอยากจะกระโดดขี่คอแล้วขย่มให้คอหักจริงๆ
     
    “เฮ้ยระวัง!” 
     
    ไอ้ผมที่ตั้งท่าจะเถียงกลับก็เลยไม่ได้เห็นว่ามันมีคนปั่นจักรยานลงเนินมาพอดี พี่คริสดึงผมเข้าหาตัวแล้วเหวี่ยงให้ผมเข้าไปอยู่ด้านในแทนที่เขา เฉียดฉิวราวเส้นยาแดงผ่าแปดเลย ถ้าช้าอีกนิดผมนี่ล่ะคงจะไถลไปกับรถจักรยานคันนั้นแล้ว
     
    “เกือบไปแล้วไหมล่ะ” 
     
    พี่คริสที่หันไปมองตามรถคันนั้นก็ถอนหายใจออกมา มือของผมยังคงถูกพี่เขากำรอบข้อมืออยู่และตัวของผมก็โดนพี่เขาปกป้องอยู่ ผมก้มลงมือที่ข้อมือแล้วไม่รู้ทำไมถึงได้ยิ้มออกมา เหมือนตอนที่พ่อพาผมไปเล่นที่สวนเลย
     
    “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” คริสหันกลับมาถาม
     
    “ไม่เป็นครับ” เมื่อชานยอลตอบคริสก็ยิ้มอย่างเบาใจ ก็คิดว่าเจ้านี่จะลอยละลิ่วไปกับรถซะแล้วน่ะสิ
     
    “คนเรานี่ก็นะ..” 
     
     
    แล้วผมก็ฟังไม่รู้เรื่องอีกเลย ไม่ใช่เพราะกำลังอินอะไรหรอกแตพี่เขาบ่นเป็นภาษาจีนซึ่งผมก็ฟังไม่ออก ก็เลยไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรแต่ก็คงจะ.. นั่นแหละ เขาก็คงจะเป็นห่วงผมนั่นแหละ เพราะถ้าจะบอกกันตามตรงผมก็ไม่ค่อยใส่ใจอะไรกับพวกรอบตัวอยู่แล้ว จะโดนรถชนก็ไม่น่าจะแปลกนะ
     
    แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ พี่เขาน่ะใส่ใจสิ่งรอบตัวจริงๆ
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×