ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic Kris x Chanyeol (KrisYeol) - The Time of Love [END]

    ลำดับตอนที่ #2 : Episode 1 : One moment in time - 2

    • อัปเดตล่าสุด 3 ต.ค. 55




     
       วันเวลาคล้อยเคลื่อนผ่านไปช้าๆ ความสัมพันธ์ของชานยอลและอี้ฟานก็ค่อยๆแน่นเฟ้นขึ้นตามกาลเวลาที่พ้นผ่านไป เมื่อเด็กหนุ่มไปยังสถานที่ใดข้างกายจะต้องมีบุตรชายของขุนนางที่เดินตามไปไม่ห่าง ที่ใดที่มีชานยอล ข้างกันนั้นจะต้องเห็นร่างของอี้ฟานที่เดินระบายยิ้มบางๆ 
     
       คืนนี้เป็นคืนเดือนสว่าง ดวงจันทราดวงกลมทอแสงเต็มดวง ท้องนภาสีดำสนิทตัดกับแสงสว่างที่เหลืองสกาว ท้องฟ้าสีมืดมีเพียงแค่ดวงจันทร์ดวงเดียวไร้ซึ่งแสงดาราคอยประดับอยู่เคียงข้างช่างแสนสงบยิ่งนัก ได้ยินแต่เสียงใบไม้ขยับเมื่อต้องลม แต่คืนนี้กลับดูเงียบเหงาต่างจากทุกคืน นัยน์ตาเรียวหันมองรอบกายที่ร้างไร้ผู้คนก่อนจะลุกขึ้นเดินไปมุมห้องเผื่อค้นอะไรบางอย่างในหีบผ้าของตน
     
       อี้ฟานผินหน้ามองบานประตูห้องนอนที่ไร้การขยับมาตั้งแต่ช่วงเย็น เด็กหญิงตัวเล็กอยู่ๆก็มีอาการไข้ขึ้นและไอไม่หยุด ชานยอลกับมารดาก็อุ้มเด็กน้อยเข้าไปในห้องนอนแล้วต้มยาให้นางดื่ม ชานยอลก็เดินเข้าออกเปลี่ยนน้ำมาคอยเช็ดตัวให้เด็กหญิงตัวน้อย สองมือดึงห่อผ้าสีเข้มออกมาจากหีบผ้าพร้อมกับรอยยิ้มที่วาดเสียเต็มใบหน้า
     
       เมื่อเปิดห่อผ้าออกก็เจอพับผ้าไหมสีชมพูอ่อนและสีขาวที่พับวางอย่างเป็นระเบียบ ปลายนิ้วสัมผัสเนื้อผ้าลื่นมือเบาด้วยความคิดถึง ผ้าพับนี้อี้ฟานได้มาจากผู้ให้กำเนิดก่อนที่จะสิ้นใจกับการคลอดชีวิตน้องของตนที่ก็ไม่มีโอกาสได้ลืมตาดูโลกเช่นกัน แท้จริงแล้วผ้าพับนี้คือชุดที่มารดามอบให้ตนเพื่อที่จะใส่ในวันที่น้องของอี้ฟานลืมตาดูโลก แต่ทว่าเขาไม่เคยได้ใส่มันเลย
     
       บานประตูค่อยๆเปิดออกอย่างเบามือด้วยเพราะกลัวว่าคนในห้องจะเข้านอนไปแล้ว แต่กลับเห็นชายหนุ่มนั่งมองห่อผ้าที่พื้น ชานยอลก้าวเท้าเข้ามาในห้องนอนก่อนจะเดินไปนั่งพิงหลังกว้างอย่างเหนื่อยอ่อน ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนแต่ก็ไม่อาจรอดพ้นการได้ยินของชายหนุ่มที่นั่งให้เด็กหนุ่มได้พิงหลัง
     
       “เจ้านกน้อย.. เจ้าใส่นี่เสียสิ” ภาษาที่คุ้นเคยและตนเข้าใจความหมายเอ่ยผ่านกลีบปากของบุตรขุนนางจากเมืองจีน เด็กหนุ่มยิ้มเสียดวงตาเรียวเล็กแล้วหันมาหาคุณชายที่ยื่นห่อผ้านั่นมาให้ตน ชานยอลยิ้มให้กับชายหนุ่มที่พูดภาษาของตนได้ถูกต้องแม้จะพูดได้เป็นบางคำ รู้ความหมายเพียงบางคำแต่นั่นก็หมายถึงว่าเด็กหนุ่มสอนชายหนุ่มได้สำเร็จ
      
       “แต่ข้าใส่ไม่เป็น ข้าไม่เคยใส่” ชานยอลรับมาแล้วส่ายหน้า นัยน์ตาโตก้มลงมองผ้าในมือด้วยความเสียดาย อี้ฟานยกยิ้มก่อนจะลุกขึ้นแล้วส่งมือมาให้นกน้อยที่นั่งก้มหน้า ชานยอลเงยหน้าขึ้นมืองฝ่ามือใหญ่ที่ยื่นมาหาแล้วเงยหน้าขึ้นมองสบเข้ากับดวงตาเรียวที่วาดเป็นวงเสี้ยวพระจันทร์ มือเล็กยื่นเข้าไปจับก่อนจะรู้สึกถึงแรงฉุดรั้งให้ยืนขึ้นแต่ทว่าสองขากลับเซถลาเข้าหาในอ้อมแขนของอี้ฟานเสียนี่
     
       “อ๊ะ!....” ร่างกายแนบชิดเสียจนใบหน้าของชานยอลซบอยู่ที่ลาดไหล่กว้าง กลีบบุปผาสีสดวาดรอยยิ้มบางๆคล้ายกับคนที่กอดประคองนกน้อยในอ้อมแขน ปลายจมูกโด่งสัมผัสสูดกลิ่นหอมจากกลุ่มผมนิ่ม สองมือผลักแผ่นอกที่แนบชิดให้ออกห่างก่อนจะส่งคืนห่อผ้าที่ถือไว้ในมือ
     
       “ข้าใส่ไม่เป็น เจ้าเอาคืนไปเถอะ” อี้ฟานรับห่อผ้านั้นมาก่อนจะวางไว้บนหีบผ้าที่อยู่ใกล้ตัว ผ้าสีเข้มที่ห่อผ้าสีหวานไว้ถูกเปิดออกอีกครั้ง ปลายนิ้วสัมผัสเนื้อผ้าก่อนจะค่อยๆหยิบมันออกมาทีละชิ้น
     
    เสื้อครึ่งตัวสีชมพูอ่อนที่มีปลายแขนยาวจรดข้อมือ ขอบสาบเสื้อและปลายเเขนเป็นแถบสีขาว กระโปรงสุ่มยาวกร่อมถึงข้อเท้าสีชมพูเข้ม และเชือกเส้นยาวที่ทำจากผ้าเนื้อเดียวกันสีขาว ชานยอลมองผ้าแต่ละชิ้นแล้วก็ต้องเอียงคออย่างสงสัยใคร่รู้ว่าชุดที่อี้ฟานค่อยๆประคองมันออกจากห่อผ้าคือสิ่งใด เพราะเท่าที่นกน้อยดูมันไม่ใช่สิ่งเดียวกับที่ชายหนุ่มสวมใส่แน่นอน
     
       ชื่อของมันคือหยู่ฉวิน ชุดนี้เป็นชุดที่ไม่เป็นที่นิยมและไม่แพร่หลายนักในเมืองจีน สมัยราชวงศ์ฮั่น แต่เพราะมารดาของอี้ฟานกลับชื่นชอบชุดหยู่ฉวินยิ่งนัก นางจึงตัดชุดหยู่ฉวินไว้สำหรับอี้ฟานบุตรคนโตและบุตรคนเล็กที่กำลังจะลืมตาดูโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองชุดก็ไม่เคยได้สวมใส่เลย อี้ฟานรักและหวงแหนชุดนี้ยิ่งนักเพราะมารดามอบให้แก่ตนก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ชานยอลมองความรู้สึกของชายหนุ่มที่มีต่อชุดนี้แล้วก็ไม่ใคร่อยากสวมใส่เพราะชุดนี้จักต้องเป็นชุดที่สำคัญมาก อี้ฟานถึงได้แต่มองมันแล้วยิ้มเศร้าแบบนี้ 
     
       เพียงแค่เห็นดวงตาเรียวฉายแววเศร้าสร้อย ชานยอลก็ยื่นมือออกไปสวมกอดแขนของชายหนุ่มแล้วก้มลงใช้หน้าผากมนแตะสัมผัสอ้อมแขนผ่านเนื้อผ้าของชุดฮั่นฝู อี้ฟานหันมายิ้มก่อนจะค่อยๆผละแขนออกจากอ้อมกอดของนกน้อยที่ทำหน้าสีหน้าหมองเศร้า อี้ฟานไม่ใคร่เห็นใบหน้าสวยของนกน้อยต้องเศร้าสร้อย เช่นเดียวกับชานยอลที่ไม่อยากเห็นชายหนุ่มทำหน้าเศร้าเช่นกัน
     
       "เฮ้ย เจ้าจะทำอะไรน่ะ!!!" ชานยอลปัดสองมือที่เอื้อมมาปลดปมผูกเสื้อของตน พร้อมกับก้าวหลังถอยหนีให้ห่างจากชายหนุ่ม
     
       "ข้าก็จักแต่งตัวให้เจ้าไง เจ้านกน้อยของข้า" มุมปากที่ยกขึ้นยิ้มนั่นช่างสร้างความหวานหวั่นในอกยิ่งนัก เพราะถ้าเจ้านกน้อยฟังภาษาจีนคำ ภาษาของตนอีกหนึ่งคำไม่ผิดคำพูดนั้นคือจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้  ได้อย่างไรกันเล่า!!!
     
       "ไม่ได้ เจ้าจักมาแตะเนื้อต้องตัวข้าได้อย่างไรกันเล่า!!" ชานยอลก้าวถอยหลังไปอีก อี้ฟานวาดรอยยิ้มที่ริมฝีปากอีกครั้งก่อนจะกวักมือเรียกให้นกน้อยตัวเล็กที่บินหนีไปให้กลับมาเกาะอยู่ข้างกายดั่งเดิม
     
       "มาหาข้าสิ" น้ำเสียงที่อ่อนโยนและรอยยิ้มที่ส่งมาให้ เพียงเท่านี้นกน้อยที่หนีไปก็บินกลับมาอยู่ที่เดิม ก้อนเนื้อในอกชองชานยอลเต้นแรงเสียจนจะทะลุออกมาเต้นเสียนอกอก
     
       อี้ฟานค่อยๆปลดปมผูกของเสื้อแสนซอมซ่อออก เมื่อสาบเสื้อแยกออกผิวเนื้อเนียลขาวก็ปรากฎสู่สายตาของชายหนุ่ม มุมปากยกยิ้มอย่างถูกใจแต่เด็กหนุ่มที่ถูกมองกลับผินหน้าหนี แก้มขาวค่อยๆซับสีเลือดจนร้อนผ่าวไปทั่วทั้งร่าง เมื่อเสื้อตัวนั้นหลุดพ้นจากเรือนร่างขาวผ่องนี้ ชิ้นต่อไปก็คือกางเกงขายาวที่สีก็ไม่ได้ต่างไปจากเสื้อที่สวมใส่เลยสักนิดเมื่อมันหล่นไปกองอยู่ที่พื้น เรือนร่างเปล่าเปลือยที่ต้องแสงจันทร์ก็เรืองรองคล้ายหิ้งห้อยต้องแสง
     
       ถึงแม้ห้องนี้จะไม่ได้สว่างนักแต่แสงจันทร์ก็ฉายทุกอย่างเสียชัดเจน นัยน์ตาเรียวมองเรือนร่างที่ยืนใช้สองมือปกปิดเรือนร่างของตนด้วยรอยยิ้ม พวงแก้มขาวแดงจัดเสียจนคล้ายกับลูกมะเขือเทศที่สุกน่าลิ้มรสชาติ ชานยอลก้มใบหน้าลงต่ำเพื่อซ่อนสายตาจากอีกคนที่ยืนมองตนเสียทั่วกายแบบนี้ เนื้อผ้าไหมลื่นผิวค่อยๆสวมใส่ให้ ค่อยๆสอดแขนเข้าไปทีละข้างก่อนจะพันปลายเสื้อยาวไปไว้ด้านหลัง
     
       อี้ฟานหยิบกระโปรงที่ยาวกร่อมเท้าสีชมพูเข้มมาสวมทับปลายเสื้อที่พันเก็บไว้ด้านหลัง จากนั้นก็ใช้เชือกผ้าเส้นยาวสีขาวพันใต้รอบอกผูกเป็นปมไว้ให้พอแน่น เมื่อแต่งกายให้เจ้านกน้อยเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ก้าวถอยหลังยืนกอดอกมองไปยังเด็กหนุ่มที่ก้มหน้าในชุดของบ้านเมืองตนด้วยรอยยิ้มถูกใจ 
     
       “เจ้าช่างสวยงามยิ่งนัก” ชานยอลค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองด้วยความเขินอายก่อนจะก้มหน้าลงต่ำอีกครั้ง
     
       “ขะ..ข้าไม่ได้สวยเสียหน่อย” อี้ฟานเดินเข้ามาชิดใกล้เสียจนแทบหลอมรวมเป็นกายเดียวกัน ปลายนิ้วสัมผัสอ่อนโยนเชยคางนกน้อยแสนอายขึ้นมองสบตา
     
       “เจ้าน่ะสวยที่สุดสำหรับข้า นกน้อยของข้า” ประโยคนี้เด็กหนุ่มไม่เข้าใจความหมายเพราะไม่ใช่ภาษาของตนแต่ชานยอลก็นึกคิดว่ามันจักต้องเป็นคำชมแน่นอน อี้ฟานก้มหน้าลงเพียงนิดก่อนจะแตะสัมผัสเบาๆที่กลีบบุปาผาแสนหวาน วางสัมผัสเพียงนิดก่อนจะละจาก ดวงตากลมช้อนขึ้นมองคนที่กระทำล่วงเกินตนด้วยความเขินอาย
     
       “เจ้าน่ะเป็นนกน้อยของข้านะ” สัมผัสที่แก้มสีแดงเรื่อ ปลายจมูกและเปลือกตาบางทั้งสองเพียงแผ่วเบา คล้ายว่าถ้าลงพลั้งมือลงสัมผัสหนักเกินไป เจ้านกน้อยตัวนี้จะสลายอันตรธานเหลือแต่เพียงเถ้าผงธุลี
     
       “ข้าว่ามันยังมิครบสมบูรณ์ ราวกับว่ามันขาดสิ่งใดไป” ชานยอลกางแขนออกแล้วก้มลงมองชุดที่ตนสวมใส่ มันช่างสวยงามเหลือเกิน สวยงามเกินกว่าที่เด็กที่ต้อยต่ำกว่าทั้งสถานะและรูปลักษณ์ อี้ฟานที่คิดออกแล้วว่าสิ่งใดขาดหายไปจากตัวของนกน้อยก็แย้มยิ้มก่อนจะปลดป้ายประจำสถานะของตนเองออกจากผ้าผืนใหญ่ที่พันไว้รอบเอว ป้ายสถานะหยกเนื้อดีที่บ่งบอกถึงชื่อแซ่และสถานะชั้นเจ้าขุนมูลนายถูกผูกมัดเข้ากับเชือกผ้าให้ชานยอล เพียงเท่านี้เด็กหนุ่มตรงหน้าก็แปรเปลี่ยนสถานะเป็นประชาชนบ้านเมืองของตนแล้ว
     
       “ขอบคุณขอรับ” เอ่ยกล่าวเสียงเบาแล้วยิ่งก้มหน้าลงต่ำเมื่ออี้ฟานปลดมวยผมของตนออก เส้นผมดำสลวยที่เป็นลอนม้วนตัวลงมาสวยงามราวกับนางธิดาจากสรวงสวรรค์ งดงามเสียจนอี้ฟานมองด้วยความหลงใหล ชานยอลที่เห็นชายหนุ่มเงียบไปก็เงยหน้าขึ้นมองแต่ก็ต้องกลับเป็นตนที่ใจเต้นเสียเอง
     
       "....เหม่ยเซียน.... (นางฟ้าแสนสวย)” ใบหน้างดงามที่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีดำเป็นลอนยาวเอียงน้อยๆด้วยความสงสัยว่าเพราะเหตุใดอี้ฟานถึงพูดคำที่ตนไม่เคยได้ยินมาก่อน ชานยอลเอื้อมมือออกไปสัมผัสที่แขนของชายหนุ่มที่สะดุ้งเบาๆก่อนจะส่งยิ้มกว้างมาให้ แววตาในดวงตาเรียวนั้นฉายประกายวาววับยิ่งกว่าแสงของดาราที่เคยเห็นมาเสียอีก
     
       “เจ้าจักไปเดินเล่นชมจันทร์กับข้าหรือไม่ เจ้านกน้อย” ชานยอนมองฝ่ามือที่ยื่นมาตรงหน้าก่อนจะวางมือลงไปยังฝ่ามือนั้น อี้ฟานเกาะกุมมือเล็กไว้แนบแน่นก่อนจะพาเดินออกไปยังนอกตัวบ้าน ตกลงเจ้าจะเรียกข้าว่า เสี่ยวเหนี่ยว หรือ เหม่ยเซียน กันแน่ข้าจะได้หันถูกเวลาเจ้าเรียกแต่ชานยอลก็ไม่คิดที่จะเอ่ยปากถามออกไปเพราะหนำซ้ำจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่องเสียเปล่าๆ
     
       ทั้งสองเดินจับมือกันไปยังสะพานข้ามสายน้ำเล็กๆ แม้ว่าคืนนี้จะสว่างแต่ก็หาได้พบเจอสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากนกฮูกไม่ ชานยอลเดินชมบรรยากาศยามค่ำคืนด้วยความตื่นเต้นเพราะเจ้าตัวไม่เคยได้ออกมาเดินเล่นในยามสงัดเช่นนี้ แสงจันทร์ยามที่จับต้องพื้นนำและใบไม้ช่างสวยงามยิ่งนัก
     
       สะพานหินที่ทอดตัวโค้งไปยังอีกฝั่งน้ำเพื่อใช้เดินข้ามไปยังอีกฝั่ง สะพานหินสีหม่นตามสภาพของหินดูเดียวดายและโดดเดี่ยว อี้ฟานกับชานยอลเดินกันขึ้นไปหยุดอยู่ตรงกลางของสะพานหิน นัยน์ตากลมสีอ่อนสะท้อนระยิบระยับของพราวน้ำที่ต้องแสงจันทร์ เรียวปากอิ่มสีหวานวาดรอยยิ้มอย่างตกตะลึง เพราะไม่เคยเห็นพราวน้ำที่สวยงามและระยิบระยับแบบนี้
     
       “สวยจัง” เสียงหวานเอ่ยขึ้นเบาๆ อี้ฟานที่มองเสี้ยวหน้าหวานก็มองจ้องอยู่แบบนั้นจนเด็กหนุ่มรู้สึก ชานยอลหันมาชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยใบหน้าที่แย้มยิ้ม ดวงหน้าสวยกับยิ้มหวานและพราวน้ำที่ระยับด้านหลัง อี้ฟานเอื้อมมือไปทาบแก้มใส
     
       “หว่ออ้ายหนี่ (ข้ารักเจ้า)” ชานยอลไม่เข้าใจความหมายและไม่รู้ว่าทำไมก้อนเนื้อในอกถึงเต้นรัวและอบอุ่นอย่างมากมายแบบนี้ ใบหน้าเขินอายก้มลงต่ำเพื่อซ่อนสายตาที่มองมาอย่างหลงใหล ความรู้สึกบางอย่างในดวงตาของอี้ฟานทำให้เด็กหนุ่มไม่กล้าสบตามอง ปลายเรียวนิ้วทัดปอยผมม้วนเป็นลอนขึ้นทัดใบหูแดงเรื่อ ชานยอนหมุนตัวกลับไปยืนมองพราวน้ำและแสงจันทร์ที่สะท้อนระยิบระยับกับพื้นน้ำไม่สนใจคนข้างกายอีกเลย
     
       “เสี่ยวเหนี่ยว ... หว่ออ้ายหนี่” สองแขนสอดเข้ากอดช่วงเอวเล็กเข้ามาแนบชิด แผ่นหลังบางแนบสนิทกับแผ่นอกของชายหนุ่ม ปลายจมูกโด่งคลอเคลียอยู่แถวๆผิวแก้มร้อน อี้ฟานคงจะไม่รู้ว่าชานยอลเขินอายเสียจนแทบจะระเบิดตัวเองได้อยู่แล้ว
     
       “เมื่อไหร่เราจะกลับกันเสียที .. ข้าอยากนอนแล้ว” ชานยอลหันมองคนที่ยังยืนมองสายน้ำอยู่เงียบๆ อี้ฟานก้มหน้าลงมองคนที่ง่วงหงาวหาวนอนในอ้อมแขนแล้วส่งรอยยิ้มให้ก่อนจะโอบร่างของนกน้อยที่ใกล้จะฟุบหลับให้พิงตนไว้
     
       “ถ้าเจ้าอยากนอนก็นอนไปเถอะ” ประโยคนั้นที่ชานยอลไม่เข้าใจแต่ไม่รู้ทำไมเปลือกตาถึงหนักและค่อยๆปิดลง เพียงไม่นานเจ้านกน้อยที่โอบกอดไว้ก็นิทราไปเสียแล้ว นกน้อยที่บินลงมาจากสวรรค์กำลังนิทราอยู่ในอ้อมกอดของอู๋อี้ฟานผู้นี้
     
       ชานยอลที่ยังคงสวมชุดหยู่ฉวินพลิกกายไปอีกด้านของฟูกนอน เมื่อเริ่มรับรู้ว่าตนนั้นนอนอยู่ที่ไหนเปลือกตาบางก็ลืมตื่นขึ้น กายบางหันมองรอบข้างก่อนที่จะรับรู้ว่าตนนั้นนอนอยู่ในห้องนอนบ้านของตนเอง ดวงตากลมฉายแววฉงนนึกสงสัยว่าตนนั้นกลับมานอนที่ฟูกนอนในห้องนอนของตนได้อย่างไร เพราะเมื่อคืนตนนั้นหลับอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม ชานยอลยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดพวงแก้มของตนที่เริ่มร้อนผ่าว 
     
       “ยังไม่ออกมาอีกหรือเจ้าเด็กขี้เกียจ” มารดาเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับตีสีหน้าดุมองมาที่เด็กหนุ่มที่ยังนั่งอยู่บนฟูกนอน แม้จะแปลกใจกับเสื้อผ้าที่บุตรชายสวมใส่แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกไป
     
       “เอ๊ะ??” เมื่อชานยอลเก็บฟูกนอนและเปิดประตูห้องนอนออกไปก็เห็นชายหนุ่มยืนคุยกับกลุ่มชายที่ดูจากเครื่องแต่งกายและกล่องอุปกรณ์ทางการแพทย์ น่าจะเป็นแพทย์ที่มาจากเมืองจีนและข้างกันนั้นก็เป็นน้องสาวของตนที่ยืนอยู่ข้างๆชายหนุ่ม
     
       “พวกนั้นคือใครน่ะท่านแม่” ชานยอลเดินเข้าไปหามารดาของตนที่นั่งต้มยาบำรุงอยู่ในส่วนที่กั้นไว้เป็นห้องครัว
     
       “ท่านหมอมาจากเมืองจีน คุณชายอี้ฟานเรียกตัวมารักษาชินนาของเรา” ชานยอลหันไปมองคุณชายอี้ฟานก่อนจะส่งยิ้มตอบกลับไปเมื่อคุณชายหันหน้ามามองแล้วส่งยิ้มมา
     
       “ท่านพี่~~~~” เด็กสาววิ่งเข้ามาพี่ชายของตนพร้อมกับหมุนตัวให้ดูหนึ่งรอบ
     
       “ข้าหายแล้ว ข้าแข็งแรงแล้ว!! ข้าดีใจจังเลย~~” เสียงใสๆของเด็กหญิงตัวเล็กที่กระโดดไปรอบๆก่อนจะไอออกมาเสียยกใหญ่
     
       “เจ้านี่นะใครบอกให้เจ้ากระโดดไปมาอย่างนั้นกัน” ชานยอลถลาเข้าไปหาเด็กหญิงตัวน้อยแล้วลูกหลังพร้อมกับมารดาที่รินยาต้มใส่ถ้วยชาม
     
       “พักผ่อนเยอะๆ แล้วก็ดื่มยาที่ข้าให้ไปให้หมดจากนั้นอาการก็จักดีขึ้นเอง” ท่านหมอที่พอจะพูดภาษาในบ้านเมืองนี้ได้เอ่ยบอกพร้อมกับลูบหัวของเด็กน้อยเบาๆ
     
       “ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ” มารดาโค้งหัวลงขอบคุณ ทั้งชินนาและชานยอลก็โค้งหัวลงตาม เหล่าทีมแพทย์จากเมืองจีนและอี้ฟานเดินกลับไปยังด้านนอกของตัวบ้าน แต่ก่อนเดินกลับไปพร้อมกับกลุ่มแพยท์อี้ฟานกระซิบชิดริมใบหูก่อนจะเดินจากไป 
     
       “ไปพบข้าที่ต้นไม้หลังบ้านนะ”
     
       เมื่ออี้ฟานกับท่านหมอจากไปแล้ว มารดาก็พาเด็กหญิงไปเช็ดตัวเพื่อที่จะได้ดื่มยาอีกครั้งแล้วนอนพักผ่อน ชานยอลก็เดินเลยไปทางหลังบ้าน มารดาที่มองอยู่ก็ไม่ได้ติติงสิ่งใดเพราะเด็กหนุ่มมักจะออกไปเที่ยวเล่นกับคุณชายที่มาพักบ้านตนเป็นประจำทุกวัน แม้ว่าจวนพักจะสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วแต่คุณชายก็ไม่ใคร่อยากไปพักที่จวนหลังนั้นกับท่านพ่อและเหล่าคณะขุนนางท่านอื่น
     
       ชานยอลเดินไปยังต้นไม้ที่อยู่หลังบ้านของตน ซึ่งที่ประจำของตนและชายหนุ่มที่มักจะมานั่งสอนหนังสือให้คุณชายต่างเมือง เมื่อไปถึงก็เจอกับอี้ฟานที่ยืนยิ้มรออยู่แล้ว ชายหนุ่มยื่นมือมาหาและชานยอลก็วางมือลงบนฝ่ามือนั้น มือใหญ่กุมมือเล็กแล้วพาเดินเลยเข้าปในป่า เพียงไม่ไกลกันมานักก็เห็นม้าตัวใหญ่สีน้ำตาลถูกผูกเชือกคล้องไว้กับต้นไม้ต้นหนึ่ง
     
       ขนนุ่มที่สัมผัสอยู่นี้เรียกรอยยิ้มกว้างๆจากเด็กหนุ่มได้ไม่ยาก ม้าแสนเชื่องหันปลายจมูกมาชนมือของเด็กหนุ่มที่ลูบปลายจมูกของมัน อี้ฟานลูบขนที่ช่วงตัวก่อนจะตีลงไปเบาๆแล้วจัดอานม้าให้เข้าที่ แล้วจึงเดินอ้อมไปปลดเชือกที่ผูกไว้ที่ลำต้นไม้ใหญ่
     
       “นกน้อย เจ้าเคยขี่ม้าหรือไม่” สายตาของอี้ฟานมองไปยังม้าแสนเชื่องด้วยรอยยิ้มแล้วผินหน้ามามองชานยอลที่ยืนทำหน้าตื่นเต้น ที่จับใจความภาษาจีนหนึ่งคำ ภาษาของตนอีกคำนั้นคือชายหนุ่มจะให้ตนลองขี่ม้า
     
       “จริงหรือ ท่านจะให้ข้าขี่เจ้านี่หรือ” นัยน์ตากลมฉายแววตื่นเต้นจนอี้ฟานต้องยื่นมือไปไล้เนื้อแก้มเนียน
     
       อี้ฟานขึ้นไปนั่งบนอานม้าก่อนจะยื่นมือลงมาหาชานยอลที่ก็รอเตรียมพร้อมขึ้นอยู่แล้ว เมื่อเด็กหนุ่มขึ้นมานั่งซ้อนด้านหน้า สองมือก็สอดข้างเอวของเด็กหนุ่มบังคับบังเหียนให้ม้าออกเดินเข้าไปในป่า เด็กหนุ่มที่เคยขึ้นนั่งบนม้าเป็นครั้งแรกก็ตื่นเต้นมองรอบข้างอย่างสนใจ เด็กหนุ่มโน้มตัวไปด้านหน้าเพื่อมองวิวข้างหน้าแต่กลายเป็นเด็กหนุ่มเกือบจะไถลตกจากม้าไปเสียนี่
     
       “เวยเสี่ยน!!! (อันตราย!!!)” อี้ฟานละมือข้างหนึ่งจากบังเหียนมาโอบเอวของเด็กหนุ่มให้แนบชิดกับตน ชานยอลยอมนั่งก้มหน้านิ่งๆไม่ขยับไปไหนอีกเลย สองมือของเจ้านกน้อยแสนสวยวางทาบกับอ้อมแขนที่กอดประคองตนไว้
     
       เจ้าม้าตัวใหญ่ที่บรรทุกคุณชายของตนและเด็กหนุ่มกำลังเดินข้ามลำธารเล็กๆไปเพื่อมุ่งหน้าไปยังป่าลึกที่คุณชายเคยได้ไปมาก่อนหน้านี้แล้ว ร่างกายขยับไปตามแรงวิ่งของอาชาไนย แผ่นหลังที่แนบชิดกับอกของอีกคนสัมผัสได้ถึงการเต้นเป็นจังหวะของก้อนเนื้อในอกด้านซ้าย ปลายจมูกโด่งสัมผัสเฉียดผิวแก้มไปมาจนคนที่ก้มหน้าก้มตามองแต่มือของตนที่ทาบอ้อมแขนนี้ร้อนไปทั้งผิวแก้ม
     
       อาชาไนยสีน้ำตาลวิ่งเหยาะๆมาหยุดที่กลางป่าสน ใบไม้สีเขียวชอุ่มโบกพัดไสวเมื่อสายลมพัดผ่าน เสียงเสียดสีของใบไม้ดังขึ้นไพเราะยิ่งนัก อี้ฟานลงจากหลังม้าก่อจะรับร่างของชานยอลที่ลงตามมา ใบหน้าตื่นเต้นเงยมองลำต้นสูงและยอดใบไม้ ปลายชุดหยู่ฉวินปลิวพลิ้วตามสองเท้าที่ก้าวหมุนรอบตัว เรียวปากที่แย้มยิ้มอยู่ยิ่งวาดรอยยิ้มเพิ่มเสียจนดวงตากลมเรียวลง ชานยอลกำลังถูกใจกับสิ่งที่ตนได้พบเห็น
     
       "เสี่ยวเหนี่ยว หว่อเหนิงเหวิ่นหนี่มา (เจ้านกน้อย ข้าจูบเจ้าได้หรือไม่)" ชานยอลมองอีกคนแล้วเอียงคออย่างสงสัยว่าประโยคแสนยาวนั้นแปลคามหมายว่าได้อย่างไรกัน? แต่ทว่าเพียงไม่นานคำตอบก็มาพร้อมกับริมฝีปากอุ่นที่ทาบลงมายังริมฝีปากของตน อ้อมแขนเกี่ยวช่วงเอวเล็กให้เข้ามาแนบสัมผัส สองมือของชานยอลเพียงแค่ทาบไว้ที่แผ่นอกของใครอีกคนเท่านั้น กลีบปากที่สัมผัสลิ้มชิมรสหวานสัมผัสช้าๆสอดรับกับเนื้อนิ่มที่ตอบรับสัมผัสกลับมา ผ่อนสัมผัสเพียงนิดก่อนจะลงทาบแนบชิดควานหาส่วนหวานที่ติดอยู่ปลายลิ้น
     
       “... อ๊า....” เมื่อชายหนุ่มยอมละสัมผัสออก เด็กหนุ่มก็หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนกับแผ่นอกที่ซบพิง นัยน์ตากลมหม่นแสงลงเพียงครูก่อนจะเงยขึ้นสนดวงตาเรียวอีกครั้ง ดวงตาเรียวที่สื่อความหมายมากมายในดวงตาคู่นั้น ความนัยที่ไม่ต้องพูดออกมาแต่ชานยอลก็รับรู้มันด้วยหัวใจ
    “แม้นข้าเผลอใจให้ท่านไปแล้ว ... ข้าจักต้องเสียใจในภายหลังหรือไม่ ท่านอี้ฟาน” อี้ฟานไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดเลยแม้สักนิดเดียว
     
       “ซารังแฮ (ข้ารักเจ้า)” เพียงแค่คำสั้นๆ คำที่ชานยอลรู้ความหมาย ม่านน้ำตาก็รื้นขึ้นคลอหน่วยรอบดวงตากลมทันที อี้ฟานกอดนกน้อยขี้แยเข้ามาแนบอกก่อนจะโยนตัวไปมาคล้ายดั่งปลอบเด็กน้อยให้เงียบเสียงยามงอแง  แม้นว่าวันเวลาข้างหน้าจะเป็นอย่างไรข้าก็ไม่สนใจแล้ว ขอแค่ได้อยู่ในอ้อมแขนนี้ข้าก็พอใจแล้ว
     
       ทั้งสองวิ่งเล่นอยู่ในป่าสนอีกเพียงไม่นานก็ต้องกลับกันเพราะตะวันคล้อยใกล้จะบ่ายแล้ว แต่ทั้งสองยังไม่ได้ทานมื้อเช้าหรือมื้อเที่ยงเลย ดังนั้นสถานที่ที่จะไปต่อจากการเดินเล่นในป่าสนคือย่านตลาด อย่างน้อยก็มีขนมหน้าตาแปลกๆที่อี้ฟานไม่กล้าลิ้มรสมัน แต่เด็กหนุ่มย่นให้ทีไรหน้าแป้นแล้นนี่ก็รับไปลองลิมรสเสียทุกครั้ง ช่างน่าขันยิ่งนัก
     
       ชานยอลและอี้ฟานพากันเดินมายังย่านตลาดหลังจากที่ผูกเจ้าม้าสีน้ำตาลไว้ที่เดิมแล้ว เหล่าพ่อค้าแม่ขายก็มองเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่ไม่ดีนัก เหล่าชายฉกรรจ์ที่โดนเกณฑ์ไปเป็นทหาร หรือแม้แต่เหล่าผู้หญิงที่ต้องทำเครื่องทอส่งบรรณาการต่างก็มองเด็กหนุ่มด้วยสายตาเกลียดชัง
     
       ในบ้านเมืองสมัยนั้น เมืองใดที่ตกเป็นเมืองขึ้นของผู้รุกราน ผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นแผ่นดินนั้นก็คือข้าทาสบริวารที่จักต้องจัดหาและส่งเครื่องบรรณาการต่อผู้ยึดครอง ขึ้นชื่อว่าทาสคงไม่มีผู้ใดได้รับการปฏิบัติอย่างดีเท่าใดนัก หากทำผิดกฎหรือแข้งข้อต่อเมืองขึ้นก็จักต้องถูกเฆี่ยนตี หรือแม้แต่ประหารชีวิต ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านช่างแร้นแค้นยิ่งนักทั้งโดนกดขี่ข่มเหง โดนพวกที่บุกรุกแผ่นดินเอารัดเอาเปรียบ
     
       เด็กหนุ่มเริ่มสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนไปของชาวเมือง ทั้งสายตาและท่าทีที่ไม่ต้อนรับตนเลย ซ้ำร้ายยังเอาเกลือมาสาดไล่ตนที่เดินผ่านด้วยเสียนี่ มันเกิดอะไรขึ้น? ชานยอลเดินเข้าไปหาท่านยายที่ขายแป้งกรอบด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใดนัก ท่านยายยื่นขนมแป้งกรอบให้ทั้งสองโดยที่ไม่สนต่อสายตาของคนอื่น อี้ฟานกล่าวขอบคุณแล้วลิ้มชิมมัน แต่เด็กหนุ่มกลับมองใบหน้าของท่านยายอย่างอยากหาคำตอบต่อกิริยาแบบนี้ของผู้คนยิ่งนัก
     
       “เจ้าก็รู้อยู่เต็มอกมิใช่หรือ พ่อหนุ่ม” ชานยอลส่ายหน้าด้วยไม่ทราบถึงเหตุที่แท้จริงว่าทำไมทุกคนที่เคยส่งยิ้มทักทายกัน วันนี้กลับมีแต่สายตาเกลียดชัง
     
       “ข้าจะบอกให้ก็ได้ พวกเราทุกคนต่างก็ต้องทำมาหากิน ซ้ำยังต้องทำเครื่องบรรณาการส่งให้ไอ้พวกเมืองจีนนี่เสียอีก แต่บ้านของเจ้ากลับถูกละเว้น..”
     
       “นั่นเป็นเพราะข้าช่วยสอนภาษาให้เขาตั้งหาก ข้าไม่ได้คิดแปลกแยกแต่อย่างใดนะท่านยาย” หญิงแก่ถอนหายใจด้วยเพราะเห็นเด็กหนุ่มคนนี้มาตั้งแต่ยังเล็ก รู้ถึงความอ่อนโยนและนิสัยใจคอของปาร์คชานยอลดีทีเดียว
     
       “เจ้าสนิทกับคุณชายมากเกินไป ซ้ำร้ายวันนี้เจ้ายังแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าของเมืองจีนอีกจึงทำให้ข้อสงสัยของทุกคนกระจ่างชัด” อี้ฟานที่มองบทสนทนาที่ตนไม่รู้เรื่องก็ได้แต่ลอบมองเจ้านกน้อยที่กำลังจะหลั่งน้ำตาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่เพราะความสุข นกน้อยของข้าเจ้ากำลังเป็นทุกข์อยู่หรือ? ชายหนุ่มเอื้อมมือกุมมือเล็กที่สั่นเทาไว้ แต่ชานยอลก็หาได้สนใจไม่
     
       “เรื่องอันใด สิ่งใดกระจ่าง ได้โปรดท่านยายบอกข้ามาเถิด” หญิงชราถอนหายใจหนักหน่วงไม่กล้าที่จะเอ่ยปากบอกความจริง แต่คนเกวียนที่เดินผ่านมากลับเป็นผู้ไข้ความข้องใจนี่ให้เสียเอง
     
       “เจ้าน่ะมันกบฏ สมคบคิดกับพวกเมืองจีนมายึดครองแผ่นดินเรา มิน่าเล่าบ้านของเจ้าถึงอยู่สุขสบายอยู่เพียงหลังเดียว” และผู้คนอีกหลายคนที่ต่างก็ตราหน้าหาว่าเด็กหนุ่มเป็นกบฏไม่รักพวกพ้อง หยดน้ำตาไหลรินอาบแก้มขาว เด็กหนุ่มไม่เข้าใจเลยว่าคนพวกนี้ไปได้ความคิดแบบนี้มาจากไหนกัน
     
       “ไม่จริงนะท่านยาย ข้าไม่ใช่กบฏ!!” นางทำได้แค่พยักหน้าตอบรับเพียงเท่านั้น
     
       “นกน้อย เกิดอะไรขึ้นคนพวกนี้พูดถึงสิ่งใดกัน แล้วเจ้าร้องไห้ทำไมหรือ” อี้ฟานปาดเช็ดหยดน้ำตาที่ไหนรินของชานยอล ก็ยิ่งทำให้เสียงด่าทอของผู้คนทั้งหลายประจานดังขึ้นอีก เด็กหนุ่มวิ่งหนีไป อี้ฟานทำได้แค่วิ่งตามโดยที่ไม่รู้เลยว่าตนนั้นคือต้นเหตุของทั้งหมด
     
       อี้ฟานวิ่งตามมาก็พบเด็กหนุ่มที่ยืนคุยกับพ่อค้าอุปกรณ์ที่มาจากเมืองจีน ชานยอลเอ่ยภาษาของบ้านเมืองนี้ด้วยอาการสะอื้น ปลายจมูก รอบดวงตาและผิวแก้มที่เคยขาวนวลบัดนี้กลับแดงก่ำจนดูน่าสงสาร สีหน้าของพ่อค้าก็ไม่สู้ดีเช่นกันเมื่อรับฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากของเด็กหนุ่มตรงหน้า ใจหนึ่งก็สงสารเด็กหนุ่ม อีกใจก็สงสารคุณชายของตนที่ไม่รับรู้เรื่องอะไรเลย
     
       พ่อค้าหนุ่มเอ่ยเล่าเรื่องที่เด็กหนุ่มบอกกับตนทุกถ้อยคำและประโยค ใบหน้าหล่อคมของคุณชายตีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาในทันใด สองมือที่โอบกอดชานยอลที่สะอื้นไห้ในอ้อมอกลูบปลอบประโลม เป็นเพราะตนให้เด็กหนุ่มสวมใส่เครื่องแต่งกายของบ้านเมืองตน เป็นเพราะตนถึงทำให้เจ้านกน้อยในอ้อมกอดต้องเสียน้ำตา ...ข้าขอโทษ...
     
       “บอกเขาทีว่าข้าจักแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ให้จงได้ ให้เขากลับบ้านไปก่อน” พ่อค้าเอ่ยบอกถ้อยคำประโยคนั้น ซึ่งชานยอลเองก็ไม่อยากแยกจากคนๆนี้ไปเสียเท่าไหร่นักด้วยเพราะรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
     
       “ไปเถิด แล้วข้าจักรีบกลับมา” อี้ฟานแข็งใจปล่อยให้นกน้อยออกจากอ้อมกอด แล้วหันหลังเดินจากไป แม้ชานยอลจะตะโกนเรียกบุตรชายของขุนนางเมืองจีนก็ไม่หันกลับมามองเลยแม้แต่น้อย
     
       “เชื่อข้าเถิด คุณชายอี้ฟานจักต้องแก้ปัญหาได้แน่นอน คุณชายมีสติปัญญาที่เฉียบแหลมยิ่งนัก” แต่ภายในใจของเด็กหนุ่มกลับไม่คิดแบบนั้น แผ่นหลังที่เดินไกลห่างออกไปช่างทรมานใจข้าเสียจริง
     
       ชานยอลเดินกลับบ้านด้วยใช้ทางเลี่ยงในป่าเพราะไม่อยากพบเจอผู้คนอื่นใด เมื่อกลับถึงบ้านมารดาที่เห็นลูกชายของตนกลับมาคนเดียวแถมยังเดินร้องไห้กลับมาอีกนั้น นางก็รีบเข้าไปตระกองกอดลูกชายของนางไว้แนบอก ฝ่ามืออุ่นของมารดาที่ลูบแผ่นหลังเด็กหนุ่มนั้นช่างอบอุ่น อุ่นไปทั้งหัวใจ เรื่องราวที่พบเจอมาเมื่อครู่มันก็มลายหายไปเสียหมด
     
       “ท่านแม่ ข้าขอโทษ” เสียงร่ำไห้ที่นางได้ยินนั้นช่างบาดกรีดรอยแผลในใจของนางให้ลึกเสียจนเจ็บปวดยิ่งนัก มิมีบุพการีคนใดที่มองเห็นลูกตัวเองร่ำไห้แล้วมีความสุขได้หรอก.. จำไว้ชานยอล
     
       “เรื่องอันใดกันเล่า แล้วคุณชายอี้ฟานหายไปไหนเสียเล่าทำไมเจ้าถึงกลับมาผู้เดียว” อ้อมกอดของมารดานั้นอบอุ่นและปลอดภัย ไม่ต่างไปจากอ้อมกอดคนคุณชายที่หายไปเลยสักนิด อบอุ่น ปลอดภัยและทำให้ใจเต้น
     
       “ผู้คนทั้งหลายหาว่าข้ากบฏต่อแผ่นดิน ข้าไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นนะท่านแม่ .. อึก... ข้าเพียงแต่สวมชุดที่คุณชายให้ข้าสวมใส่ก็เท่านั้น” นางถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนด้วยเพราะนางรับรู้อยู่แล้ว การที่บุตรของตนและบุตรของขุนนางไปเที่ยวเล่นในป่านั่นคือเรื่องดีที่ไม่ต้องรับรู้ว่า บ้านหลังนี้โดนตราหน้าว่ากบฏและมิมีใครใคร่อยากคบค้าสมาคมด้วย
     
       “ไม่เป็นไร เข้าไปพักผ่อนเถิดลูกรักอีกประเดี๋ยวคุณชายของเจ้าจักต้องกลับมา เชื่อแม่สิ เชื่อในตัวคุณชาย” นางเช็ดน้ำตาให้ลูกในอุทธรณ์ก่อนจะส่งรอยยิ้มให้ ชานยอลมองใบหน้าเลือนรางของมานดาผ่านม่านน้ำตาก่อนจะโผเข้ากอดมารดาของอีกครั้งให้แน่น ฝ่ามืออุ่นของนางเพียงแค่ตบหลังปลอบประโลมลูกน้อยเบาๆ
     
       “เชื่อในตัวคุณชาย เชื่อในตัวเจ้า ....และเชื่อในความรักของเจ้ากับคุณชายสิ ชานยอล” ชานยอลผละอ้อมกอดออกก่อนจะมองมารดาอย่างตื่นตะลึง
     
       “ทะ...ท่านทราบหรือท่านแม่” นางหัวเราะเบาๆแล้วลูบกลุ่มผมลอนสวยของบุตรชายเบาๆอย่างรักใคร่
     
       “ข้าเป็นแม่เจ้านะ ข้ารู้ทุกเรื่องและทุกความคิดของเจ้านั่นล่ะ เอาล่ะเข้าห้องไปพักผ่อนเถิด” ชานยอลกอดมารดาอีกครั้ง หอมแก้มมารดาหนักๆก่อนจะผละตัวออกจากอ้อมกอดของมารดาเข้าห้องนอนของตนไป คล้อยหลังบุตรชายสีหน้ายิ้มแย้มของมารดรก็หมองเศร้าลง การที่จะรักเพศเดียวกันมันคือเรื่องผิดบาป ตอนนี้เจ้ากำลังถูกสวรรค์ลงโทษ ขอให้เข้มแข็งไว้ลูกของข้า ... 
     
       “แม้ว่าข้าจะไม่ชอบใจเท่าใดนักแต่ข้าก็หวังเพียงแค่ลูกของเราจะมีความสุขดี” นางมองขึ้นไปบนท้องนภาสีฟ้าสดใส ได้โปรดท่านพี่ ช่วยลูกของเราด้วย ความผิดทั้งหลายข้าจักรับไว้เอง ... นางมองไปยังบานประตูที่ปิดสนิทก่อนจะเดินปลีกเข้าห้องครัวไป แสร้งว่าไม่ได้ยินเสียงสะอื้นไห้ที่ดังลอดออกมาจากในห้องของบุตรชาย


     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×