ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Episode 1 : One moment in time - 1
ย้อนกลับไปเมื่อ 1,000 กว่าปีที่แล้ว สมัยที่จีนเข้าครอบครองพื้นที่แผ่นดินที่เรียกกันว่า ‘เกาหลี’ ในปัจจุบัน เมื่อสมัยนั้นผู้คนอยู่กันอย่างกระจัดกระจายเป็นแว่นแคว้นต่างๆมากมาย แผ่นดินทั้งหลายยังมิได้รวมกันเป็นปึกแผ่น ราชวงศ์ฮั่นได้ยึดครองอาณาเขตมาถึงคาบสมุทรเกาหลีและขยายอำนาจเข้ามายึดครองแผ่นดินเอาไว้
ฮ่องเต้ได้ส่งเหล่าคณะขุนนางไปยังหัวเมืองต่างๆที่ราชวงศ์สามารถยึดครองแผ่นดินเหล่านั้นมาได้ คณะขุนนางกรมการปกครองถูกส่งมายังแผ่นดินเกาหลีแห่งนี้เพื่อดูแลและหาผลประโยชน์ส่งกลับเมืองจีน เหล่าขุนนางที่มาพำนักอยู่ในดินแดนแห่งนี้เลือกที่จะเข้าพำนักในอาณาจักรโซชอนโบราณ ชาวบ้านผู้ชายทุกคนที่แข็งแรงจะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารคอยดูแลและรับใช้เหล่าคณะขุนนางจีน บางส่วนจะเกณฑ์ให้ไปทำนา และพวกที่ใช้แรงทำงานไม่ได้จะต้องคอยช่วยผู้หญิงในการทำสิ่งเครื่องทอ
เด็กหนุ่ม เด็กสาวก็ต้องถูกส่งไปรับใช้เหล่าขุนนางจีนเช่นกัน เช่นเดียวกับปาร์คชานยอลที่ถูกส่งเข้าไปให้ดูแลพวกขุนนาง แม้ว่าจะเกลียดพวกขุนนางเหล่านี้แค่ไหนก็ตาม ใบหน้าขาวก้มหน้าลงหลบสายตาของหัวหน้าขุนนางที่เมียงมองมา ชายวัยกลางคนที่สวมชุดฮั่นฝู(ชุดจีนโบราณ) สีดำเหลือบทองนั้นช่างดูน่าเกรงขามยิ่งนัก แม้จะไม่เข้าใจภาษาจีนสักเท่าไหร่แต่ตัวอักษรจีนที่เกาหลีนำมาดัดแปลงก็ความหมายคล้ายกัน
“เจ้าเข้าไปช่วยงานในครัว เจ้าด้วย เจ้าด้วย ส่วนเจ้าคอยดูแลเรื่องความสะอาดในบ้าน เจ้า....” ท่านขุนนางอู๋เฉินฟางแบ่งงานให้เด็กแต่ละคนจนมาถึงเด็กหนุ่มคนสุดท้ายที่ยืนก้มหน้า เด็กหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อผ้าแบบเกาหลีแสนซ่อมซ่อก็มิอาจปกปิดผิวพรรณเนียนนวลได้เลยแม้แต่น้อย
“เจ้าชื่ออะไร” เด็กหนุ่มที่เห็นปลายชุดฮั่นฝูสีดำก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นสบตากับขุนนางที่ก้าวเท้ามายืนอยู่ตรงหน้า
“ข้า? ชื่อของข้า? ข้าชื่อปาร์คชานยอล” เรียวนิ้วชี้มาที่ตนก่อนจะเอ่ยบอกชื่อของตนไป เฉินฟางพยักหน้ารับก่อนจะมองเลยไปยังผู้ที่เดินเข้ามาใหม่ บุตรชายของตนที่ขอแยกตัวไปเดินสำรวจรอบๆเดินส่งยิ้มมาให้บิดาก่อนจะมองไปยังเด็กหนุ่มตรงหน้า
“อี้ฟาน เจ้านี่ไม่ได้ความเสียจริง” บุตรชายเพียงแค่ยิ้มก่อนจะก้มหัวลงซึ่งบิดาก็หาได้เอาความอะไรต่อไม่
“ต่อจากนี้ข้าจะให้ชานยอลคอยรับใช้เจ้า” อี้ฟานมองไปยังเด็กหนุ่มในชุดซอมซ่อที่ยืมก้มหน้าไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาก่อนจะเดินเข้าไปเชยปลายคางมนให้เงยขึ้น ใบหน้าขาวใสที่รับกับดวงตากลมโต ปลายจมูกรั้นและกลีบบุปผาสีอ่อน เพียงแค่นั้นหัวใจของบุตรชายขุนนางก็เต้นผิดจังหวะ
“ขอรับท่านพ่อ ข้าเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง ... ชานยอล ข้าชื่ออี้ฟาน จำชื่อของข้าไว้ให้ดีเสียล่ะ” อี้ฟานวาดรอยยิ้มให้เด็กรับใช้ส่วนตัว ซึ่งเจ้าตัวก็เสหน้าหลบแต่ก็ติดที่ปลายสัมผัสอ่อนโยนที่เชยคาง นัยน์ตาสีอ่อนจึงได้แต่ผินมองไปทางอื่น ผิวแก้วขาวค่อยๆซับสีเลือดจางๆ
“ขะ...ขอรับ” ไอ้เจ้าหัวใจบ้า เจ้าจักเต้นให้มันได้อะไรขึ้นมา หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!! ก็แล้วไอ้หน้าแป้นนี่จะมายิ้มหาอะไรกันเล่า!!!!
ชีวิตที่แสนเรียบง่ายและสงบสุขของปาร์คชานยอลคงจบลงแต่เพียงเท่านี้ .... เพราะไอ้หน้าแป้นอู๋อี้ฟานคนเดียว!!!!!!
เนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่มีจวนสำหรับข้าหลวงหรือแม้แต่องค์ราชาที่ขึ้นปกครองจึงทำให้เหล่าผู้บุกรุกจากต่างแดนเข้ามายึดครองเมืองได้ง่ายๆ ที่พักของเหล่าขุนนางจีนจึงเป็นบ้านของชาวบ้านในละแวกนั้น แม้จะไม่พอใจแต่ก็ต้องยอมให้พวกนั้นเข้ามาพักอาศัยในบ้านของตัวเองเพื่อรอให้เหล่าทหารผู้ติดตามคณะขุนนางสร้างที่พักให้เสร็จ
และบ้านของชานยอลก็ถูกยึดครองด้วยเช่นกัน ไอ้หน้าแป้นที่เดินเข้าออกสำรวจภายในบ้านเล็กๆของตนอยู่นี่ช่างน่าหาอะไรฟาดเข้าให้เสียจริง มาเดินยิ้ม มองเครื่องใช้ในบ้านก็พูดอะไรก็ไม่รู้ที่ชานยอลฟังไม่ออก ท่านแม่และน้องสาวก็ได้แต่ยืนหวาดกลัวอยู่หน้าบ้าน ชายหนุ่มที่สวมชุดจีนสีฟ้าลวดลายสวยงามเดินโบกพัดออกมาจากในตัวบ้านมายืนหยุดอยู่ตรงหน้าของเด็กหนุ่ม น้องสาวตัวเล็กๆยังคงสะอื้นไห้ด้วยเพราะกลัวว่าจะโดนทำร้าย หญิงวัยกลางคนก็ได้แต่โอบกอดเด็กตัวเล็กไว้ในอ้อมอก
อี้ฟานที่เห็นเด็กตัวเล็กซุกอกมารดาร้องไห้อยู่นั้นก็ยื่นมือเข้าไปลูบกลุ่มผมสีดำขลับเบาๆ เด็กน้อยหันมามองด้วยน้ำตานองหน้า ชายหนุ่มส่งรอยยิ้มให้ก่อนจะล้วงมือหยิบของในอกเสื้อออกมา ปิ่นปักผมแสนสวยถูกยื่นไปให้เด็กน้อยแต่เธอกลับไม่เอื้อมมือมาออกมารับมัน อี้ฟานถือวิสาสะปลดผมของเธอออกแล้วเกล้ามวยผมพันกับปิ่นไม้สีสวยก่อนจะปักติดไว้ที่เส้นผมสลวย
ชานยอลที่มองอยู่นั้นก็รู้สึกใจเต้นผิดปกติและรู้สึกว่าคนจากต่างถิ่นตรงหน้าก็อ่อนโยนมากกว่าพวกทหารที่เข้ามายึดครองประเทศในครั้งแรก ริมฝีปากบางวาดรอยยิ้มละมุนพร้อมกับดวงตาคมที่ทอแววอ่อนโยน เพียงแค่มองพวงแก้มขาวก็ซับสีเลือดได้ไม่ยาก ชานยอลยกสองมือปิดแก้มตัวเองก่อนจะลอบยิ้มอยู่คนเดียว เด็กสาวตัวน้อยส่งรอยยิ้มดีใจและตื่นเต้นที่ตนได้รับปิ่นปักผมแสนสวยและพี่ชายตรงหน้าก็ยังใจดีเกล้าผมให้ตนอีกด้วย ปลายนิ้วไล้แก้มของเด็กตัวน้อยเบาๆก่อนจะหันมามองเด็กหนุ่มคนเดียวในบ้าน ชานยอลกระพริบตามองผ่านสองมือที่ปิดแก้มแดงๆของตนไว้
“ข้าตัดสินใจแล้วว่าข้าจะอยู่ที่นี่ .. กับพวกเจ้าด้วย”
“ห๊ะ!!!!!!” เป็นครั้งแรกในความคิดของเด็กหนุ่มที่อยากจะสื่อสารด้วยภาษาจีนและจะเอ่ยปากไล่คนที่ยืนยิ้มนี่ไปเสียให้ไกลๆแต่พูดไปใครจะเข้าใจก็ในเมื่อตนเองไม่มีความรู้ภาษาจีนเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ได้ยินคำพูดว่า ‘อยู่ที่นี่’ ลมหายใจและหัวใจก็สะดุดผิดจังหวะเสียแล้ว ถ้ามาอยู่ร่วมใต้ชายคาเดียวกัน ........ ชานยอลขอตายดีกว่า~~~
ครอบครัวของชานยอลเป็นครอบครัวเล็กๆอยู่กันสามคนภายในบ้านหลังเล็กๆ บิดาที่เป็นดั่งเสาหลักของครอบครัวได้เสียชีวิตด้วยโรคไข้ป่าเมื่อสามปีก่อน ดังนั้นในบ้านหลังนี้จึงเหลือเสาหลักของบ้านคือชานยอลที่ต้องคอยดูแลมารดาและน้องสาวที่อ่อนแอ
ในบ้านเล็กๆหลังนี้มีห้องนอนอยู่เพียงแค่สองห้องนอน ห้องหนึ่งเป็นของมารดาและน้องสาว ส่วนอีกห้องเป็นของตนที่ใช้นอนกับบิดาแต่เมื่อบิดาเสียไปห้องนี้ก็ยังคงเป็นของชานยอล แต่บัดนี้มันไม่ใช่ห้องนอนของชานยอลแต่เพียงผู้เดียวอีกแล้ว ใครอีกคนที่กำลังเดินสำรวจห้องเล็กๆผู้ที่ต่อจากนี้จะมาอยู่ร่วมชายคาและห้องนอนเดียวกัน
“เจ้าจะเดินวนอะไรหนักหนาเนี่ย! ข้าเวียนหัวแล้วนะ” ดวงตากลมช้อนขึ้นมองคนที่เดินไปเดินมา
“ผ้าปูนอนแทนที่จะปูเองข้าก็ต้องมาปูให้เจ้า ... มันน่าไล่ให้ไปนอนนอกบ้านเสียจริง” ถึงปากจะบ่นแต่สองมือก็ปูผ้ารองนอนให้ พร้อมทั้งผ้าห่มและหาหมอนมาจัดเตรียมไว้ อี้ฟานที่เห็นเด็กหนุ่มเอ่ยคำศัพท์อะไรที่เขาฟังไม่เข้าใจก็ยิ้มออกมาก่อนจะเดินมาลงนั่งข้างๆชานยอลที่ตบผ้าปูที่นอนให้เรียบ
“เจ้านี่น่ารักนะ” ด้วยภาษาที่ไม่คุ้นเคยก็ไม่แปลกที่ชานยอลจะไม่เข้าใจ ใบหน้าจิ้มลิ้มในสายตาของคนมองเอียงคอ นัยน์ตาวาวใสฉายแววไม่เข้าใจ อี้ฟานเอื้อมมือออกไปไล้พวงแก้มขาวเบาๆ
“น่ารัก...” ตาโตกระพริบปริบๆมองอีกคนอย่างไม่เข้าใจ ถึงจะอธิบายคำนั้นก็ไม่เข้าใจอยู่ดี อี้ฟานเลยใช้วิธีอื่นเพื่ออธิบายแทน
อี้ฟานวางสัมผัสอุ่นไว้ที่กลีบปากสีสดเบาๆก่อนจะถอนออกมาแล้วแตะวางสัมผัสอีกครั้ง ชานยอลที่โดนรุกล้ำก็ทำตาโตอย่างตกใจ พวงแก้มแดงจัด หัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก ใบหน้าคมตรงหน้าส่งรอยยิ้มมาให้ยิ่งทำให้เลือดในกายแล่นพล่านดั่งน้ำร้อนเดือด ... แล้วเด็กหนุ่มก็หมดสติไป
“ชานยอล..ชานยอล..” บุตรชานท่านทูตเขย่าร่างที่หมดสติในอ้อมกอด แต่เด็กหนุ่มแสนน่ารักก็ไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาเลย ...แย่ล่ะสิอี้ฟาน ถ้านกน้อยชานยอลของเราเป็นอะไรไป เราจะทำอย่างไรดีเล่า...
รุ่งอรุณของวันใหม่โผล่พ้นขอบฟ้าอย่างช้าๆ เปลือกตาบางค่อยๆลืมตื่นขึ้นก่อนที่จะเบิกกว้างที่สุดเท่าที่จะสามารถกว้างได้ โตเสียจนไข่ห่านยังเล็กไปเมื่อเทียบกับดวงตาโตที่เบิกกว้างอยู่นี้ ชานยอลอ้าปากสั่นพะงาบๆแล้วยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจกับใครอีกคนที่นอนห่างออกไปเพียงสุดปลายลมหายใจ โครงหน้าได้รูปกับเครื่องหน้าที่สรรสร้างมาเพื่อคนๆนี้ ปลายจมูกโด่งรับกับริมฝีปากบาง ... ที่แสนอุ่น ...
สองมือยกขึ้นปิดหน้าก่อนจะส่ายหน้าไปมาสลัดความคิดที่วนเวียนอยู่นี้ให้ออกไป การที่เป็นเพศชายแล้วนึกใจเต้นกับเพศเดียวกันมันไม่ใช่เรื่องดีเรื่องงามเสียเท่าไหร่ในแผ่นดินนี้ เมื่อตระหนักได้ดังนั้นชานยอลก็ลดมือลงก่อนจะหลับตาเพื่อสลายความคิดและอาการเขินอายโดยที่ไม่รู้เลยว่าคนที่นอนโอบกอดตนอยู่นั้นได้ตื่นจากนิทราอยู่ก่อนแล้ว
อี้ฟานที่นอนหรี่ตามองคนข้างเคียงเมื่อเห็นว่าอีกคนหลับตาลงก็ค่อยๆลืมตาขึ้น อ้อมแขนที่โอบร่างกายนิ่มไว้กอดกระชับร่างของเด็กในอ้อมแขนและแน่นอนที่ชานยอลจะต้องตกใจร้องโวยวายเสียงดังลั่น
“อ๊ะ!!! ไอ้เจ้าบ้านี่ ตื่นอยู่ก็ไม่บอก!!” เมื่อเห็นใบหน้าแป้นแล้นของอีกฝ่ายแล้วก็อยากที่จะฟาดหมัดใส่เสียจริง ถ้าไม่ติดว่าเป็นพวกยึดครอวแผ่นดินเรานี่นะ ใช่สิ.. เขาเป็นคนที่เข้ามายึดแผ่นดินของเรา เราจะไว้วางใจเขาได้อย่างไร?
“ถอยออกไป” อยู่ๆเจ้านกน้อยที่ว่านอนสอนง่าย(ในสายตาอี้ฟาน) ก็ดูแข็งกร้าวขึ้นมา สองมือเล็กผลักอีกคนออกก่อนจะลุกขึ้นนั่ง
“เจ้าโกรธข้าหรือนกน้อย” อี้ฟานลุกขึ้นนั่งตาม เอื้อมสองมือสอดเข้ากอดที่ช่วงเอวเล็ก ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายจะมีเอวที่เล็กได้ถึงเพียงนี้ อึ้ฟานวางปลายคางเกยไหล่เล็กเอาไว้แล้วผินหน้ามองเสี้ยวหน้าหวานของเด็กหนุ่ม
“เจ้านี่พูดอะไรไม่รู้เรื่อง” สองมือผลักอ้อมแขนออกก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องนอนไป ปล่อยให้อี้ฟานนั่งมองตามหลังด้วยความไม่เข้าใจ ความคิดแรกในหัวอี้ฟานคือ เสียดายที่เขาไมได้เกิดเป็นคนที่พูดภาษาเดียวกัน นั่งอยู่เพียงไม่นานชานยอลก็ยกอ่างใส่น้ำมาให้อี้ฟานล้างหน้า
“ขอบใจเจ้ามากนะ” รอยยิ้มอ่อนโยนถูกจุดที่ใบหน้าคมอีกครั้ง ชานยอลไม่สนใจและไม่รับรู้สิ่งใดที่อีกฝ่ายเอ่ยบอก(เพราะฟังไม่ออก)
เมื่อนกน้อยบินหนีไปแล้วอี้ฟานก็จัดการกวักน้ำล้างหน้าก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดหีบเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนชุด วันนี้ชายหนุ่มเลือกชุดฮั่นฝูสีชมพูอ่อนและพัดคู่ใจสีขาว เมื่ออี้ฟานก้าวเท้าออกจากห้องนอนก็พบเข้ากับชานยอลและมารดาที่กำลังหุงหาอาหารและเด็กหญิงตัวน้อยที่วิ่งเล่นกับยอดหญ้าเส้นยาวในมือ
“ท่านพี่ใจร้ายหิวข้าวหรือยังคะ” เด็กน้อยวิ่งร่าเข้ามาหาพร้อมกับยอดหญ้าในมือ ชื่อที่เด็กหญิงตัวเล็กเอ่ยเรียกนั้นชานยอลเป็นคนสอนให้เธอเรียกแม้ว่าจะโดนสายตาจากท่านแม่มองตำหนิอยู่ก็ตาม
“หิวข้าวไหมคะ?” เมื่อเด็กน้อยเห็นว่าคนที่ตนเอ่ยถามดูจะไม่เข้าใจ เลยถามย้ำอีกรอบพร้อมกับเอามือลูบวนที่ท้อง
“หิวใช่ไหม? อื้ม หิวแล้ว” เมื่อได้รับคำตอบเป็นภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่องกับการพยักหน้าเด็กน้อยก็วิ่งไปบอกท่านแม่และพี่ชายที่กำลังทำอาหารอยู่ในส่วนที่กันไว้เป็นครัวทันที
“ท่านแม่ ท่านพี่ชายใจร้ายหิวข้าวแล้ว~~~” อี้ฟานยิ้มให้กับความน่ารักและไร้เดียงสา แม้จะต่างเชื้อชาติ วัฒนธรรมและภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร แต่ทว่าตนนั้นกลับเป็นสุขที่ได้อยู่ในบ้านหลังเล็กๆเสียมากกว่าในจวนหลังใหญ่ที่มีแต่ทหารคอยเดินไปเดินมา แบบนี้ชีวิตสงบสุขกว่าเป็นไหนๆ บางครั้งก็นึกอิจฉาคนในแผ่นดินนี้ที่ชีวิตพวกเขาช่างเป็นสุขยิ่งนัก
มื้ออาหารแรกในดินแดนต่างถิ่นนั้นตั้งอยู่ตรงหน้าลูกท่านขุนนางกรมการปกครอง ข้าวสวยหนึ่งถ้วย น้ำซุปหนึ่งถ้วยและผักดองที่อี้ฟานไม่รู้จัก รสชาติอาหารมื้อนี้อร่อยมากแม้ว่ามันจะเผ็ดมากก็ตาม แค่คอยมีใครอีกคนคอยส่งยื่นน้ำให้แค่นี้ก็สุขใจแล้ว
เพียงไม่นานมื้ออาหารเช้าก็ผ่านไป อี้ฟานก็รีบลากนกน้อยออกจากบ้านไปยังย่านตลาดทันทีเพื่อสำรวจความเป็นอยู่ของคนในผืนแผ่นดินนี้ เมื่อวานที่เหล่าคณะของตนเดินทางมาถึงก็เกือบจะเย็นย่ำเสียแล้วเพราะฉะนั้นเวลานี้คือเวลาเที่ยวเล่นของบุตรขุนนางจากจีนและนกน้อยที่ถลาตามมาซ้ำยังโวยวายเสียเสียงดังอีกด้วย
ด้วยความที่ไม่ได้สนใจหรือใส่ใจก็มิอาจทราบ ชานยอลถึงไม่รับรู้ว่ามือของตนนั้นสอดจับอยู่กับมือของลูกชายขุนนางที่เดินนำอยู่ในย่านตลาด เดินผ่านร้านค้ามากมายที่ต่างก็มองมายังเด็กหนุ่มทั้งสอง คนหนึ่งก็โวยวายเสียงดังด้วยภาษาของแผ่นดินนี้ อีกคนก็ยิ้มแย้มกับสิ่งรอบข้างพร้อมกับพูดภาษาจีนที่คนรอบข้างฟังไม่เข้าใจ ช่างเป็นภาพที่น่าขบขันยิ่งนักแต่ถ้าคนที่เดินเคียงข้างไม่ใช่บุตรของขุนนางจากเมืองจีนก็คงจะดีกว่านี้
“สิ่งนี้บ้านเมืองเจ้าเรียกว่าอะไรกัน” อี้ฟานหันมาถามคนที่โวยวายเสียจนเหนื่อยข้างกาย ชานยอลมองแผ่นขนมกรอบที่อีกฝ่ายยื่นมาก็คิดว่าอีกฝ่ายจะให้ตนลองกินจึงส่ายหน้า
“เจ้ากินไปเถอะ ข้าไม่หิว” แต่อี้ฟานกลับตีความไปว่าชานยอลไม่รู้ว่ามันเรียกว่าสิ่งใด
“เจ้าไม่รู้หรือ ... ท่านยายสิ่งนี้เรียกว่าสิ่งใดกัน” แต่อี้ฟานคงจะลืมไปเสียล่ะมั้งว่าตอนนี้ตนยืนอยู่ที่ใด
“พ่อหนุ่มท่านผู้นี้ถามว่าอะไรกัน” หญิงแก่หันมาถามชานยอลที่ก็ส่ายหน้าเช่นกัน
“ข้าก็ไม่รู้หรอกท่านยาย เขาอาจจะถามล่ะมั้งว่าราคาเท่าไหร่”
“เอาไปเถอะ ข้าไม่คิดเงิน” ชานยอลวาดรอยยิ้มก่อนจะก้มหัวลงขอบคุณหญิงชรา
“ขอบคุณท่านยายมากขอรับ” เมื่อเห็นชานยอลก้มหัว อี้ฟานก็ก้มหัวลงบ้าง ไม่รู้หรอกว่าเขาคุยอะไรกันแต่ก็ทำตาม หญิงชราหัวเราะก่อนจะโบกมือให้เด็กหนุ่มทั้งสองไปเดินเที่ยวเล่นต่อ
“เจ้านกน้อยของข้า” อี้ฟานกระตุกมือที่จับกันเบาๆเพื่อเรียกเด็กหนุ่มข้างกายที่เดินทักทายกับผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาให้หันมามอง
“อะไรของเจ้าอีก” ใบหน้าหวานที่หันหน้ามาช่างดูมุ่ยยิ่งนัก เรียวคิ้วขมวดมุ่น กลีบปากเชิดขึ้นอย่างคนโดนขัดใจ แต่คนมองกล้บเห็นว่าอากัปกิริยานั้นช่างน่ารักเสียจริง
“ข้าอยากพูดภาษาของเจ้า สอนข้าบ้างสิ” และเรียวคิ้วก็ยิ่งขมวดมากขึ้นเมื่อใครอีกคนพูดประโยตเสียยาวเหยียดแต่กลับฟังไม่รู้ศัพท์สักคำ
“พูดอะไรของเจ้า ถ้าพูดไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องพูด!” และก็เป็นอี้ฟานบ้างที่ไม่เข้าใจภาษา คาดว่าถ้าคุยกันต่อไปคงจะลงท้ายที่ไม่มีใครเข้าใจทั้งสองฝ่าย ใบหน้าคมหันมองซ้ายขวาก่อนจะรีบลากนกน้อยให้ไปยังร้านขายเครื่องเขียน ร้านที่คาดว่าน่าจะมาจากบ้านเมืองของตน
“โอ๊ะ! ท่านคือบุตรชายของท่านขุนนางกรมการปกครองใช่หรือไม่” ภาษาที่ตนคุ้นเคยเอ่ยถาม อี้ฟานยกยิ้มก่อนจะพยักหน้าตอบรับ
“ใช่แล้ว ข้าอู๋อี้ฟาน ข้าดีใจที่ได้เจอคนที่พูดภาษาเดียวกับข้าได้สักที ท่านพูดภาษาของที่นี่ได้หรือไม่”
“ได้ขอรับ ข้ามาค้าขายที่นี่ก็นานหลายปีแล้วก็พอจะพูดได้เล็กน้อยขอรับ” อี้ฟานสะบัดเก็บพัดเล่มสวยก่อนจะชี้ไปยังชานยอลที่ยืนอยู่ข้างกาย
“บอกเขาให้สอนภาษาของที่นี่ที ข้าอยากสื่อสารภาษาของที่นี่”
“ขอรับ ... นี่พ่อหนุ่ม คุณชายบอกให้เจ้าสอนภาษาที่นี่ให้กับคุณชาย” ชานยอลหันมองอี้ฟานที่ยังคงส่งยิ้มมาไม่เลิก ถ้าเจ้ายังยิ้มอีก ข้าว่าข้าคงเมารอยยิ้มของเจ้ามากกว่าจะเมาสุราเสียแล้วล่ะ
“แล้วข้าจะสอนอย่างไรเล่าท่านพ่อค้า ข้าพูดภาษาจีนได้เสียที่ไหนล่ะ” คนขายเครื่องเขียนแปลคำพูดนั้นเป็นภาษาจีนให้คุณชายฟัง
“แล้วเขาเขียนหนังสือเป็นบ้างไหม?”
“ข้าเขียนได้นิดหน่อย พออ่านออกอยู่บ้าง”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เขียนหนังสือสอนข้าทีละคำก็ได้”
“จะบ้าหรือ!!! ตัวอักษรเยอะแยะไปหมดใครจะไปมีเวลามากขนาดนั้น ข้าต้องทำงานอีกนะ”
“ถ้าเขาสอนให้ข้า ข้าจะจ่ายค่าสอนให้และจะยกเว้นไม่ให้บ้านของเขาส่งเครื่องบรรณาการแก่เมืองจีน”
“ก็ได้ ข้าจะสอนภาษาให้” ผู้ที่เป็นคนแปลบทสนทนาแอบปาดเหงื่อเล็กๆที่การเจรจาการค้าของคุณชายจากเมืองจีนและเด็กหนุ่มสำเร็จลุล่วงเป็นอย่างดี
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอซื้อกระดาษ พู่กันและแท่นฝนหมึกนะท่านพ่อค้า” พ่อค้ารีบหยิบให้คุณชายก่อนจะปฏิเสธที่จะรับเงิน
“ได้อย่างไรเล่า! ของค้าของขายเราซื้อเราก็ต้องจ่ายเงินสิถึงจะถูก” ชานยอลที่มองคนจีนคุยกันด้วยภาษาที่ไม่เข้าใจก็นึกขัน นี่พวกท่านกำลังคุยกันหรือกำลังด่าทอกันอยู่ ข้าล่ะไม่เข้าใจ~
“อ๊ะ~” เสียงอุทานเบาๆเรียกให้คนทั้งสองที่ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะจ่ายเงินหรือไม่ต้องจ่ายให้หันมา ชานยอลหยิบลูกข่างไม้อันเล็กขึ้นมา กลีบปากสวยวาดรอยยิ้มดูน่าหลงใหลและแน่นอนอู๋อี้ฟานคนนี้ด้วย
“อ่า.. ถ้าอย่างนั้นข้อขอจ่ายค่าลูกข่างนั่นก็แล้วกันนะท่านพ่อค้า หวังว่าท่านจะไม่ขัดข้าอีก” หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วคุณชายอี้ฟานก็รับห่อกระดาษที่ด้านในมีอุปกรณ์เครื่องเขียนมาถือไว้ก่อนจะกระตุกมือที่ยังจับกันไม่ปล่อยเบาๆ ชานยอลมองลูกข่างในมืออย่างเสียดายก่อนจะวางมันลงที่เดิม
“ข้าให้เจ้า” ชานยอลหันมาตามแรงมือที่โดนกระตุก ซึ่งพ่อค้าก็แปลประโยคนั้นให้ฟัง
“เอ๊ะ? จริงเหรอ ขอบคุณขอรับคุณชาย” พ่อค้าเอ่ยแปลเป็นภาษาจีน ชานยอลมองอีกฝ่ายที่พยักหน้ายิ้มๆก่อนจะเอ่ยถามว่าคำว่าขอบคุณในภาษาจีนพูดว่าอย่างไร
“เชี่ยเชี่ย” พวงแก้มขาวแดงเรื่อ ชานยอลก้มหน้าหลบสายตาที่มองกลับมา อี้ฟานกระซิบถามกับพ่อค้าเบาๆก่อนจะเอ่ยพูดภาษาที่คนก้มหน้าอยู่ตรงหน้านี้ฟังเข้าใจ
“ควันชันนา (ไม่เป็นไร)” ก็ถ้าหัวใจจะทรยศข้าด้วยการเต้นแรงแบบนี้ ... ข้าจะตัดทิ้งเสียดีไหมเนี่ย!!!?
หลังกลับจากการเดินสำรวจที่ย่านตลาดแล้วชานยอลและอี้ฟานก็มาหลบเงาแดดที่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่หลังบ้าน ชานยอลแกะห่อกระดาษเครื่องเขียนออกด้วยความตื่นเต้นที่จะได้จับพู่กันวาดเส้นประกอบกันเป็นตัวอักษร เด็กหนุ่มชอบเรียนหนังสือ ชอบเขียนตัวอักษร ก่อนที่บิดาจะสิ้นชีวิตท่านก็เป็นคนสอนให้ชานยอลอ่านและเขียน แม้จะได้เพียงไม่กี่ตัวอักษรแต่ชานยอลก็ชอบมาก ชอบที่จะเรียนรู้เพราะบิดาของตนมักจะไปหาของป่าและหาของแปลกๆ ตำรามาจากเมืองจีนเสมอ
ชานยอลหยิบแท่งหมึกสีดำสนิทลงฝนในแท่นหมึกที่มีหยอดน้ำเพียงนิด หมุนวนฝนให้แท่งหมึกกับน้ำในนั้นละลายกลายเป็นหมึกสีดำเข้ม หมุนวนไปเรื่อยๆจนกว่าที่แท่งหมึกนั้นจะละลาย เสี้ยวดวงหน้าหวานที่วาดรอยยิ้มดูน่ารักน่าชังในสายตาของผู้ที่นั่งมองอยู่ยิ่งนัก อี้ฟานลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินออกไปจากร่มไม้นี้ ชานยอลเพียงแค่เหลือบตามองแต่ไมได้สนใจอะไร เพราะสิ่งที่ตนให้ความสนใจคือการฝนหมึกตรงหน้า เมื่อฝนหมึกเสร็จตนก็จะได้ใช้พู่กันเขียนตัวอักษรเสียที
เมื่อแท่งหมึกละลายเข้ากับแท่นฝนหมึกเป็นอย่างดีแล้วนั้นก็จะได้น้ำหมึกสีดำเข้มในแท่นรอง ชานยอลหยิบพู่กันอันใหญ่ขึ้นมาจากถ้วยใส่น้ำเปล่าเพื่อเปิดพู่กันเสียก่อน เพราะปลายพู่กันจะถูกเคลือบปลายด้วยยางไม้เหนียวเพื่อให้ปลายพู่กันเป็นทรงแหลมอย่างสวยงาม ก่อนที่จะนำมาใช้นั้นต้องนำปลายพู่กันจุ่มลงในน้ำเสียก่อนจึงจะใช้นิ้วขยี้ปลายพู่กันให้เส้นขนของพู่กันแยกออกจากกันเสียก่อนจึงจะสามารถนำมาใช้ได้
ปลายพู่กันจุ่มลงในน้ำหมึกสีดำให้ทั่วก่อนจะปาดส่วนที่เกินนั้นออกกับขอบแท่นหมึก พอให้เหลือหมึกพอประมาณ เมื่อได้แล้วเด็กหนุ่มก็ลากพู่กันลงกับกระดาษสีเหลืองอ่อนทันที ลากตวัดเป็นเส้น สะบัดข้อมือเพื่อให้ปลายตวัดเฉียง เมื่อเส้นหลายๆเส้นรวมกันเป็นตัวอักษรหนึ่งตัวในหน้ากระดาษ เด็กหนุ่มวางพู่กันลงกับขอบแท่นหมึกก่อนจะหยิบแผ่นกระดาษที่เขียนคำว่า “พ่อ” ขึ้นมา นัยน์ตาสีอ่อนมองจ้องตัวอักษรนั้นด้วยความคิดถึง ม่านน้ำใสคลอหน่วยที่ดวงตาโตบางๆ
ชานยอลวางกระดาษแผ่นนั้นลงข้างตัวก่อนที่จะเริ่มเขียนตัวอักษรคำใหม่ในกระดาษแผ่นต่อไปโดยที่ไม่ได้สนใจใครอีกคนที่หายไปจากข้างกายเลย นกน้อยยังคงสนุกกับการได้เขียนคำศัพท์ที่ตนจำได้ลงบนกระดาษแผ่นแล้ว แผ่นเล่า.... ด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข จนใครอีกคนที่เดินเข้ามาแอบนึกอิจฉาเจ้ากระดาษเหล่านั้น อี้ฟานลงนั่งตรงข้ามกับคนที่ก้มหน้าเขียนตักอักษร สัมผัสเบาๆบนเส้นผมที่เรียกให้ชานยอลเงยหน้าขึ้นมองบุตรชายขุนนางที่ส่งรอยยิ้มพาลให้หัวใจเจ้ากรรมเต้นไม่เป็นจังหวะ
เด็กหนุ่มเอื้อมมือขึ้นหยิบบางสิ่งที่สวมเกี่ยวกับเส้นผมของตนมาดู มงกุฎดอกไม้หลายสีจากดอกไม้ดอกเล็กๆที่พันรอบกับยอดหญ้าเส้นยาวที่ขดเป็นวงกลม พวงแก้มขาวซับสีเลือดจางๆก่อนจะเหลือบตามองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า
“เจ้าให้ข้าหรือ?” สองมือที่รองมงกุฎดอกไม้ไว้ยกเข้ามาทางตัวซึ่งคนให้ก็พยักหน้าตอบรับ อี้ฟานหยิบมงกุฎดอกไม้จากมือของชานยอลมาสวมให้ ปลายนิ้วไล้พวงแก้มเนียนที่เรือสีบางๆก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปชิดใกล้ ริมฝีปากบางได้รูปฝากสัมผัสอุ่นไว้ที่ปลายจมูกรั้น คนโดนกระทำเบิกตากว้างอย่างตกใจ
“หาวเขออ้าย (เจ้าน่ารักจัง)” แล้วก็ฝากสัมผัสไว้ที่แก้มสีแดงเรื่ออีกครั้งก่อนจะส่งยิ้มให้คนที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ชานยอลถอยหลังหนีไปชิดกับลำต้นใหญ่ของต้นไม้
“เจ้าจะทำอะไรข้าน่ะ อย่าเข้ามานะ!!” เสียงเล็กที่ส่งเสียงโวยวาย ให้มองยังไงเด็กตรงหน้าก็น่ารักสำหรับอี้ฟาน
“เขออ้าย (น่ารัก)” อู๋อี้ฟานวาดรอยยิ้มเสียเต็มใบหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินอ้อมมานั่งข้างๆคนที่ตั้งป้อมปราการไม่อยากให้เข้าใกล้
“เขออ้าย?” คำนี้ที่ได้ยินอยู่หลายครั้ง แล้วก็ต้องนึกสงสัยว่าคำนี้มีความหมายว่าอย่างไร
“ใช่ เจ้าน่ะน่ารักมาก นกน้อยของข้า”
“เขออ้าย เสี่ยวเหนี่ยว (นกน้อย) .... ” บุตรชายขุนนางส่งรอยยิ้มมาให้ก่อนจะพยักหน้ารับ แต่กลับเป็นชานยอลที่ไม่เข้าใจว่าคำพูดเหล่านั้นหมายความว่าอย่างไร แม้จะได้ยินอยู่หลายครั้งก็ตาม
“คำนี้ หมายถึงสิ่งใดกัน”อี้ฟานหยิบกระดาษที่เขียนว่าท้องฟ้าขึ้นมา เด็กหนุ่มชี้ขึ้นไปยังท้องฟ้าสีฟ้าสดใส
“อ่า... เทียน (ท้องฟ้า)” อี้ฟานพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะหยิบกระดาษอีกใบขึ้นมา
“อาปา (พ่อ)” หยาดน้ำในตาค่อยๆคลอรอบดวงตาก่อนที่จะไหลรินรดพวงแก้ม อี้ฟานเช็ดหยาดน้ำตาที่ไหลรินให้ก่อนจะดึงเด็กหนุ่มเข้ามากอดปลอบ
“อาปา ... ป้าปา (พ่อ) ใช่หรือไม่ เจ้าคงคิดถึงท่านพ่อของเจ้ามากสินะ” สองมือขยุ้มชุดฮั่นฟูของอีกฝ่ายแล้วปล่อยสะอื้นในอ้อมแขน ตั้งแต่บิดาเสียชานยอลไม่เคยร้องไห้เลยเพราะกลัวว่าตนจะไม่เข้มแข็งพอที่จะปกป้องมารดาและน้องสาว แต่ใครเลยจะรู้ว่าเด็กหนุ่มคิดถึงพ่อที่เสียไปมาเพียงไหน
“ท่านพ่อ ข้าคิดถึงท่าน...อึก..” อ้อมแขนที่โอบกอดคนที่ซุกใบหน้าปล่อยน้ำตานี้ลูบแผ่นหลังเล็กที่สั่นไหวเบาๆ พร้อมกับลูบเรือนผมนิ่มปลอบประโลมคนในอ้อมกอด
“ไม่เป็นไรนะนกน้อยของข้า ข้าอยู่กับเจ้าตรงนี้ .... ไม่เป็นไรแล้ว” นกน้อยที่กำลังสั่นไหวด้วยแรงสะอื้นเบียดกายเสียแนบชิดเพื่อหาไออุ่นปลอบประโลม เสียงสะอื้นร่ำไห้ที่สะท้อนอยู่ข้างใบหูนี้พาลเอาใจของบุตรชายจากต่างเมืองสะท้านตามไปด้วย หยดน้ำตาและเสียงสะอื้นยิ่งย้ำให้จังหวะการเต้นของหัวใจคนได้ยินเจ็บปวดยิ่งนัก
อี้ฟานปล่อยให้นกน้อยที่เปียกฝนได้พักพิงเสียจนพอใจ อ้อมแขนแสนอบอุ่นก็พร้อมที่จะโอบกอดมิคลาย ร่ำไห้ได้เพียงไม่นานนกน้อยก็เข้าสู่นิทราไปทั้งๆที่ยังนั่งพิงอยู่ในอ้อมแขน กลีบปากบางยกยิ้มเมื่อนกตัวน้อยได้โบยบินเข้าสู้ห้วงนิทราแล้ว อย่างน้อยในความฝันก็ไม่เจ็บปวดและโหดร้ายเท่าความจริง ชายหนุ่มเองก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงเอ็นดูเจ้านกน้อยในอ้อมกอดนี่นัก ด้วยว่าจะถูกชะตา หรือด้วยเพราะอื่นใด แต่เพียงคราแรกที่เห็นความรู้สึกอยากอยู่ใกล้และปกป้องก็แสดงออกมาทั้งหัวใจ
แม้ว่าเด็กหนุ่มจะแต่งตัวซอมซ่อ ชุดก็ทั้งเก่าและขาดบางเป็นบ้างจุดแต่ก็ซ่อมแซมมันเสียเรียบร้อย สิ่งย่ำแย่เหล่านั้นกลับปกปิดผิวกายขาวนวลแสนลื่นมือยามสัมผัสไม่ได้เลย นัยน์ตาใส แก้มสีแดงระเรื่อ กลีบปากสีสด และกลิ่นหอมอ่อนๆที่กำจายอยู่รอบกายนี้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่บุตรของขุนนางจากเมืองจีนจะหลงคนในอ้อมแขน อี้ฟานค่อยๆปิดเปลือกตาลงพร้อมกับเรียวปากที่วาดรอยยิ้มอย่างสุขใจ
ไม่รู้ว่าชานยอลอิงซบอกของลูกชายขุนนางหลับไปนานเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าตนนั้นหลับไปตั้งแต่เมื่อใดกัน แต่ทว่าฝันร้ายที่เคยมีมาตลอดก็มลายหายไปจนสิ้นเมื่อได้รับอ้อมกอดอบอุ่นของชายหนุ่มที่โอบกอดตนไว้ ท้องฟ้าค่อยๆมืดลงพร้อมกับอากาศรอบตัวที่เริ่มหนาวขึ้น ท่าว่าฤดูหนาวอาจจะมาเร็วกว่าทุกคราเสียแล้ว…
“ถ้ายิ่งอยู่ใกล้กันมากเท่าไหร่ ... ข้าว่าข้าอาจจะเผลอใจให้ท่านก็เป็นได้” ชานยอลที่มองใบหน้ายามหลับของคนข้างกายก็เผลอแย้มยิ้มออกมา ....... โดยที่ไม่รู้ตัว
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น