ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Once upon a time when I catch a star...

    ลำดับตอนที่ #1 : ดวงดาว

    • อัปเดตล่าสุด 8 ธ.ค. 49


     

     

                    ...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ เมืองที่แสนห่างไกลไกลเกินกว่าที่จะมีใครเคยไปถึง มีเจ้าชายรูปงามองค์หนึ่งอาศัยอยู่ในปราสาทอันหรูหราใหญ่โต เมื่อเจ้าชายเจริญพรรษามากพอและมีความเก่งกล้าทั้งทางด้านความรู้และการสู้รบ เจ้าชายก็ได้ออกเดินทาง และการผจญภัยอันยิ่งใหญ่ก็ได้เริ่มขึ้น...

     

                    แต่ถ้าจะพูดกันตามตรงแล้ว เรื่องมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อบ่ายนี้เอง และที่นี่ก็อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองนักหรอกถ้าคุณไม่หลงทางไปซะก่อน แม้ห้องอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนเล็กๆแห่งนี้จะไม่มีอะไรเหมือนกับปราสาทที่ใหญ่โต...แต่การผจญภัยก็สามารถเกิดขึ้นได้เสมอในทุกๆที่

                    เด็กนักเรียนพากันยืนมุงแอบมองผ่านทางหน้าต่างเล็กๆที่ประตู แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อครูใหญ่เดินมาปิดม่านจนมองอะไรไม่เห็นอีกต่อไป ร่างเล็กบอบบางที่มีเส้นผมสีเงินยวงนั้นขยับแว่นให้เข้าที่ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้นวม

                    ว่ายังไง...โคเอล เธอถามด้วยเสียงเข้มงวด มีอะไรจะแก้ตัวมั้ย

                    เด็กชายตัวเล็กๆที่มีเรือนผมสีดำสนิทก้มหน้านิ่ง แม้น้ำตาจะคลอเต็มเบ้าตาที่มีนัยน์ตาสีดำสนิทเช่นเดียวกับสีผม แต่เขาก็ยังไม่ยอมร้องไห้

                    ผมไม่ผิดนะอาจารย์ เด็กชายผมสีน้ำตาลอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆพูดอย่างร้อนรน หมอนี่เป็นคนเข้ามาตีผมก่อนนะ

                    ฉันยังไม่ได้พูดกับเธอเลยนะ หญิงชราบอกพลางส่งสายตาเป็นเชิงดุ แล้วก็อย่าเรียกคนอื่นว่าหมอนั่นด้วย เข้าใจมั้ย

                    ...ครับ

                    เด็กชายที่น่าสงสารได้แต่ทำไหล่ห่อเพราะโดนดุ แล้วก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาไปอีกคน

                    จากที่ครูฟังมาจากเด็กผู้หญิงที่เล่นกันอยู่แถวนั้น เขาบอกว่าเธอไปล้อโคเอลก่อน ทำให้โคเอลโกรธจนวิ่งเข้ามาชกเธอ...เรื่องเป็นอย่างนี้ใช่มั้ย โคเอล?

                    หญิงชราหันมามองที่เด็กชายผมสีดำ เขาสูดหายใจฮึกๆ แม้จะยังก้มหน้านิ่ง แต่เขาก็ตอบกลับมาด้วยเสียงเบาๆ

                    เขาหาว่าผมเป็นเด็กไม่มีพ่อแม่ แล้วก็ไม่มีใครต้องการผม...เพราะฉะนั้น...

                    ครูใหญ่คงจะอ่านสถานการณ์ต่อจากนี้ออก จึงรีบตัดบท แล้วหันมาพูดกับเด็กชายอีกคนแทน

                    เฮ้อ...ช่างเถอะๆ ยังไงก็ผิดกันทั้งคู่นั่นแหละ คนหนึ่งไปยั่วให้เขาโกรธ อีกคนก็โกรธเพราะเขายั่ว เย็นนี้พวกเธอต้องงดของหวานนะ เข้าใจมั้ย

                    แต่ว่าอาจารย์...

                    เด็กชายผมสีน้ำตาลร้องเหมือนจะอ้อนวอน แต่ก็ไม่เป็นผล

                    ครูลงโทษพวกเธอทั้งสองคนอย่างยุติธรรมดีแล้วนะ หญิงชราบอกด้วยเสียงหนักแน่น ออกไปเรียนหนังสือต่อได้แล้ว...ส่วนโคเอล เธออยู่ที่นี่อีกเดี๋ยว

                    หลังจากที่รู้ว่าไม่มีทางต่อรองอะไรได้แล้ว เด็กชายผมน้ำตาลก็จำต้องเดินคอตกออกจากห้องไป

                    หลังมีเสียงปิดประตูดังปัง เด็กชายผมดำก็ปล่อยโฮออกมา

                    อย่าร้องไห้สิ เป็นเด็กผู้ชายไม่ใช่เหรอ ครูใหญ่พูดก่อนจะกอดปลอบใจ

                    ทำไมทุกคนต้องล้อผมด้วย เด็กชายสะอึกสะอื้น ผมแค่ไม่มีพ่อแม่เท่านั้นเอง...

                    แต่มันก็เป็นความจริง ครูใหญ่บอก คนที่ยอมรับสิ่งที่เป็นคือคนที่เข้มแข็งที่สุดนะ โคเอล แล้วเรื่องแค่นี้ก็ไม่ได้ทำให้เธอด้อยกว่าใครด้วย อีกอย่างครูก็ถือเป็นแม่ของเธออยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?

                    หญิงชราลูบหัวของเด็กชาย นั่นดูเหมือนจะทำให้เด็กชายรู้สึกเข้มแข็งขึ้น

                    วันนี้ทำได้ดีมากนะ ครูใหญ่ปล่อยเด็กชายออกจากอ้อมกอด เข้มแข็งมากเลยที่กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลตอนที่ครูตัดสินลงโทษเมื่อกี้น่ะ

                    ขอโทษนะครับอาจารย์ เด็กชายตอบ แล้วก็ขอบคุณด้วย...ผมจะพยายามเข้มแข็งขึ้นให้ได้

                    หญิงชราได้แต่ส่งยิ้มให้เด็กชายตอนที่เดินออกทางประตู เธอเองก็กลัวๆอยู่เหมือนกันว่าการที่ให้ความรักและปลอบใจกันมากแบบนี้จะทำให้เด็กชายเป็นคนอ่อนแอตลอดไปหรือเปล่า

     

                    โคเอลคือชื่อของเด็กชายนั่นเอง

                    แน่นอนว่าชื่อนี้ไม่ใช่ชื่อจริงของเขา เพราะพ่อแม่คงจะไม่ยินดีนักถ้าลูกมีชื่อที่แปลว่านกกาเหว่าแบบนี้ แต่ชื่อจริงของเขาคืออะไรเราคงไม่มีทางได้รู้

                    เมื่อราวเก้าปีก่อนแม่ของโคเอลได้นำเขามาฝากให้ครูใหญ่ของที่นี่เลี้ยงดู แต่เธอก็ไม่ได้กลับมาอีก นั่นทำให้คนอื่นๆเรียกเขาว่าโคเอล เพราะเขาเปรียบเหมือนกับลูกของนกกาเหว่าที่พ่อแม่ไม่ยอมเลี้ยงลูกเอง

                    ถึงอย่างไรก็ตาม ครูใหญ่ก็รักโคเอลเหมือนลูกของตัวเอง และอุปการะให้เขาได้เรียนอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ตลอดมา

                    ตอนนี้โคเอลอายุเก้าปีแล้ว แม้ร่างกายของเขาจะผอมกะหร่องไม่แข็งแรงนัก แล้วก็ไม่ชอบเรียนหนังสือสักเท่าไร ไม่มีอะไรที่เหมือนกับเจ้าชายในนิทาน แต่พวกผู้ใหญ่ก็เอ็นดูเขามาก

                    แต่คงจะเป็นเพราะความที่เขาติดครูใหญ่มากนี่เองที่ทำให้คนอื่นๆชอบรังแกเขาเล่นอยู่เสมอ

                    สายตาของพวกเด็กๆจ้องมาที่เขาเป็นจุดเดียว เมื่อเขาออกมาจากห้องครูใหญ่ แม้ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็ตาม

                    โคเอลไม่ได้สนใจใคร เขาเดินไปนั่งลงที่บันไดหน้าประตูทางเข้าโรงเรียน จ้องมองไกลออกไปในถนนเบื้องหน้า และนั่งนิ่งๆอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ

                    ไม่มาเล่นด้วยกันเหรอโคเอล

                    เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาถาม

                    ขอโทษนะ คงไม่ได้หรอก

                    เด็กชายตอบ

                    ทำไมล่ะ

                    ถ้าเกิดว่าพ่อกับแม่มารับฉัน... เด็กชายพูดเบาๆ แล้วไม่เห็นฉันอยู่ตรงนี้ พวกเขาอาจจะหาฉันไม่เจอแล้วเดินกลับไปก็ได้

                    เด็กหญิงได้ยินดังนั้นก็เงียบไปนิดหน่อย ก่อนจะเลิกล้มความตั้งใจ

                    งั้นก็ขอให้พวกเขามารับเธอเร็วๆนะ ฉันไปก่อนล่ะ

                    ขอบคุณมาก

     

                    ทั้งเด็กชายและเด็กหญิงต่างรู้ดีว่าสิ่งที่พูดคงไม่มีทางเป็นไปได้ แต่โคเอลก็ได้แต่ปลอบตัวเองว่า ที่จริงพ่อแม่คงจะเคยมารับเขาหลายครั้งแล้ว แต่ก็กลับบ้านไปเพราะหาเขาไม่เจอ

     

                    แม้จะเป็นความหวังที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ามันจะช่วยให้หายเศร้าได้บ้าง ก็ไม่ผิดตรงไหนนี่นา จริงมั้ย?

     

                    เด็กชายที่โตกว่ากลุ่มหนึ่งถือลูกฟุตบอลเดินมาที่ประตู และพูดกับโคเอล

                    นั่งตรงนี้มันเกะกะนะ พวกเราเข้าออกตึกกันลำบากจะตาย

                    ขอโทษ

                    โคเอลพูดแล้วขยับตัวออกมาห่างจากประตูอีก แม้จะรู้ว่าที่จริงแล้วเขาไม่ได้นั่งเกะกะตรงไหนเลย

                    ยังรอพ่อกับแม่อยู่อีกเหรอ เด็กชายตัวโตคนหนึ่งถาม

                    โคเอลไม่ตอบ เพราะรู้ว่าพวกเด็กโตพวกนี้เองก็กำลังหาทางหาเรื่องเขาอีก ถ้ามีเรื่องกันขึ้นมา เขาจะต้องเป็นฝ่ายโดนต่อยปลิวแน่ๆ

                    เด็กพวกนั้นหงุดหงิดที่ทำอะไรไม่ได้ แต่แล้ว เด็กคนหนึ่งก็คิดอะไรบางอย่างออก

                    นี่...นายรู้จักตำนานดวงดาวมั้ย

                    โคเอลเงยหน้าขึ้นมองพวกเขาเป็นครั้งแรก

                    เขาว่ากันว่า ถ้าเราบังเอิญเก็บดวงดาวที่ตกลงมาจากฟากฟ้าได้ เราจะสามารถขอพรอะไรก็ได้หนึ่งอย่างนะ... เด็กคนนั้นพูดด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ทำไมนายไม่ลองขอพรกับดวงดาวให้ได้เจอกับพ่อแม่ล่ะ

                    ใช่ๆ ฉันเองก็เคยได้ยินมา เด็กอีกคนพูดต่อไม่ให้ขาดจังหวะ ที่ทุ่งหญ้าด้านหลังโรงเรียนนี่ตอนกลางคืนมีดาวเพียบเลยนะ ถ้าไปรออยู่ที่นั่น อาจจะมีดวงดาวตกลงมาก็ได้

                    พวกนายพูดจริงเหรอ โคเอลลืมตัวถามออกไป

                    จริงสิ คนทั้งกลุ่มตอบเป็นเสียงเดียวกัน ถ้ายังไง เราให้ยืมตาข่ายจับผีเสื้อก็ได้นะ จะได้เอาไว้จับดวงดาวไง

                    โคเอลกลับก้มหน้าลงตามเดิม แต่ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง

                    พวกเราไปก่อนล่ะ เด็กพวกนั้นพูด

                   

                    เมื่อพ้นรัศมีที่โคเอลจะได้ยิน เด็กชายพวกนั้นก็พากันส่งเสียงหัวเราะคิกคัก

                    เด็กๆนี่มันหลอกง่ายจริงๆเลยเนอะ เด็กคนหนึ่งพูด

                    ใช่ๆ...แล้วตำนานดวงดาวนั่นนายคิดขึ้นมาได้ไงน่ะ ไร้สาระชะมัดเด็กอีกคนเห็นด้วย

                    จริงด้วย เรื่องแบบนั้นจะเป็นจริงไปได้ยังไงกันล่ะ

     

                    ความจริงแล้วโคเอลก็รู้สึกแบบเดียวกับเด็กพวกนั้น แม้ว่าเขาจะยังเด็ก แต่ก็รู้ดีว่าดวงดาวพวกนั้นอยู่ห่างจากผืนดินไปไกลตั้งไม่รู้เท่าไร แล้วก็ไม่ได้เล็กขนาดที่จะสามารถเก็บขึ้นมาถือเอาไว้ได้ด้วย

                   

                    แต่เขาก็ยังแอบหวังอยู่ลึกๆ แม้จะรู้ตัวว่ากำลังหลอกตัวเองก็เถอะ แต่การหลอกตัวเองนี่ก็เป็นสิ่งที่ผู้คนมากมายเลือกที่จะทำไม่ใช่เหรอ?

     

                    ปัญหาก็คือ แม้ว่าโคเอลและเด็กพวกนั้นจะคิดว่าการขอพรกับดวงดาวไม่มีทางเป็นจริงได้ แต่โลกที่พวกเขามองว่าคือความเป็นจริงนั้น ก็ไม่ได้ใหญ่มากพอที่จะครอบคลุมความเป็นจริงทั้งหมด

     

                    แล้วถ้ามันไม่เกิดขึ้นเหมือนกับที่พวกเขาคาดเดากันล่ะก็...นิทานเรื่องนี้ ก็คงจะต้องจบลงที่บรรทัดนี้เป็นแน่

     

                    รู้อะไรมั้ย?

     

                    ในขอบเขตของความเป็นจริงน่ะ...ไม่มีอะไรที่ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก

     

                    เราอาจจะแค่ไม่เคยประสบกับตัวเอง หรือไม่เคยสังเกตเห็นแค่นั้นแหละ...เพราะฉะนั้น เราถึงได้พูดว่า มันไม่มีทางเป็นไปได้

     

                    ว่าอย่างงั้นรึเปล่า?

     

     

     

                   

     

                    ในคืนนั้นถ้าใครบังเอิญมองลงมาจากหน้าต่างหอนอน อาจจะเห็นกอหญ้าสั่นไหวไปมา แต่ต่อให้พวกเขาสังเกตเห็น ก็คงคิดว่าเป็นสัตว์เล็กๆที่วิ่งเล่นกัน ไม่ก็ลมพัดเท่านั้น

                    คงไม่มีใครคิดว่าเด็กชายตัวเล็กๆกำลังพยายามทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้อยู่...

     

                    ฮึบ...นี่แน่ะ!”

                    ปลายไม้ของตาข่ายจับผีเสื้อดูเหมือนจะยาวไม่พอที่จะกวาดเอาดวงดาวลงมาจากท้องฟ้าได้ แต่ถึงอย่างนั้น โคเอลก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ...จนกระทั่งเขาหกล้มดังโครมบนพื้นหญ้าเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วนของคืนนี้

     

                    อูย...

                    โคเอลส่งเสียงครวญด้วยความเจ็บขณะนอนแบ็บอยู่บนกอหญ้า ดวงดาวที่พร่างพราวเต็มฟ้าเองก็ดูราวกับจะหัวเราะการกระทำของเขา

                    ต้องไม่ร้องไห้...ถึงจะเจ็บก็อย่าร้อง...

                    เด็กชายพูดกับตัวเองพลางยันตัวลุกขึ้นยืน เขาเดินโซเซไปหยิบตาข่ายจับผีเสื้อ

                    เขามองดูดวงดาวบนท้องฟ้าอย่างสิ้นหวัง ก่อนที่จะนำความผิดหวังมาให้กับตัวเองโดยการยอมรับความพ่ายแพ้

                    วันนี้พอแค่นี้ดีกว่า เขาพึมพำ ครูใหญ่อาจจะตกใจถ้ารู้ว่าเราไม่อยู่ในห้องนอน…”

                    ว่าแล้วเขาก็เดินไปที่บ่อน้ำเล็กๆ เขาหย่อนถึงน้ำลงไป จนได้ยินเสียงน้ำดังโพล่ง จึงค่อยๆสาวมันกลับขึ้นมา

                    มีน้ำเพียงเล็กน้อยในถัง แต่มันก็มากพอที่จะช่วยดับความเหนื่อยของเขาได้ น้ำใสๆเย็นเฉียบนั้นหวานอร่อยมาก จนเขาไม่ได้สังเกตเห็นบางอย่างที่กำลังเคลื่อนที่อยู่บนท้องฟ้า

     

                    ดาวตกดวงหนึ่งเคลื่อนผ่านท้องฟ้าทางทิศตะวันออกมายังทิศตะวันตก ประกายวูบวาบของมันค่อยๆเปล่งแสงจ้าขึ้นเรื่อยๆ มันทำให้เกิดเส้นโค้งสีขาวพาดกลางท้องฟ้า ก่อนจะค่อยๆพุ่งต่ำลงมา...ต่ำลงเรื่อยๆจนเตี้ยกว่าเส้นขอบฟ้า รัศมีประกายของมันค่อยๆเล็กลง พอๆกับที่มันเคลื่อนใกล้เข้ามา...ใกล้ขนาดที่หากยื่นมือออกไปข้างหน้าคงจะต้องสัมผัสได้แน่นอน

                    ปัญหาก็คือ โคเอลเองกำลังจดจ่ออยู่กับการดื่มน้ำจากถังไม้ และไม่ได้รู้สึกเลยว่ามีอะไรบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา

                    เขาเงยหน้าจนสุดเพื่อดื่มน้ำหยดสุดท้ายจากถัง แล้วจึงเพิ่งสังเกตว่ามีแสงส่องจากทางด้านหลังมาสะท้อนกับก้นถังไม้ จึงคิดจะหันไปดู แต่ทว่า...

     

                    โครม!

     

                    อะไรบางอย่างกระแทกถังไม้จนหลุดออกจากมือของโคเอล นั่นทำให้เขาคะมำไปข้างหน้าจนเกือบจะตกลงไปในบ่อ เสียงต่อมาที่เขาได้ยินคือเสียงน้ำแตกกระจายซึ่งสะท้อนก้องขึ้นมาจากก้นบ่อน้ำ

                    โคเอลไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขารีบลุกขึ้นมาจากพื้นหลังจากที่นั่งงงไปหลายวินาที และในตอนนั้นเองก็มีเสียงห้าวๆอีกเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา

     

                    ช่วยด้วย...ช่วยฉันทีสิ

                    เสียงนั้นแทรกเสียงจ๋อมแจ๋มของน้ำขึ้นมา

                    คุณอยู่ไหนน่ะ โคเอลตะโกนถามกลับไปอย่างขวัญเสีย รอบๆตัวเขาไม่มีใครสักคน แล้วใครเป็นเจ้าของเสียงนี้กันนะ?

                    ฉันอยู่ในบ่อน้ำ!”

                    เสียงห้าวๆนั้นตอบ

                    โคเอลรีบก้มมองลงไปในบ่อน้ำ ที่ก้นบ่อมีประกายเรืองรองสีนวลๆส่องแสงอยู่ แสงนั้นกระทบกับผิวน้ำจนเกิดเป็นแสงเงาดูน่ากลัว

                    เร็วเข้า ไม่งั้นฉันจะตายนะ!” เสียงเดิมพูด

                    คุณจะตายเหรอ โคเอลถาม งั้นคุณไม่ใช่ผีใช่มั้ย?

                    ก็ไม่ใช่น่ะสิ

                    งั้นคุณเป็นใคร...

                    เดี๋ยวพอฉันขึ้นไปเธอก็จะรู้เองแหละน่า...จะจมอยู่แล้วนะ!” เสียงห้าวๆนั้นร้องอย่างน่ากลัว

                    โคเอลรีบหย่อนถังน้ำลงไปในบ่อ เขาค่อยๆหมุนรอกเพื่อปล่อยเชือกออกมา

                    จับเอาไว้ซะ โคเอลบอก

                    ขอบคุณ... เสียงนั้นตอบ

                    โคเอลรีบสาวเชือกขึ้นมาอย่างตื่นเต้น เพราะไม่รู้ว่าตัวอะไรกันแน่ที่จะเกาะติดถังน้ำขึ้นมา

                    ในที่สุดเขาก็ดึงถังขึ้นมาจนสุด แสงสว่างนั้นดูชัดเจนขึ้น เขาเอามือล้วงเข้าไปในถังไม้ แล้วกอบเอาบางสิ่งบางอย่างออกมา

                    สิ่งนั้นมีแสงสีเหลืองนวล มันไม่ใช่ทั้งของแข็งและของเหลว ดูเหมือนอากาศซะมากกว่า มันลอยอยู่นิ่งๆบนฝ่ามือของโคเอล ประกายเป็นแฉกๆของมันส่องกระทบกับดวงตาของเขา

     

                    เขาจับดวงดาวได้แล้ว!

     

     

     

     

     

                    ขอบคุณมากนะที่ช่วยฉันไว้

                    เสียงห้าวๆของดวงดาวพูดขึ้น โคเอลสังเกตเห็นดวงตาเล็กๆสีดำและแขนขาบอบบางที่ยื่นออกมาจากตัวที่เป็นแสงนวลกลมๆ ดวงดาวลอยลงจากมือของโคเอล และไปล่องลอยอยู่เหนือยอดหญ้า

                    ถ้าไม่ได้เธอล่ะก็ตอนนี้ฉันคงจะดับไปแล้วล่ะ ดวงดาวตอบ

                    โคเอลจ้องมองดวงดาวด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ดวงดาวดูจะไม่เข้าใจในตอนแรก จึงถามออกไป

                    มีอะไรรึเปล่า?

                    ผมช่วยคุณเอาไว้แล้ว เด็กชายพูดอย่างตื่นเต้น คุณจะให้พรผมสักข้อได้รึเปล่า?

                    ดวงดาวทำหน้าประหลาดใจมากที่สุดเท่าที่ใบหน้าที่มีแต่แสงสว่างของมันจะทำได้

                    พรอะไร... ดวงดาวทวนคำอย่างงงงวย เจ้าพูดเรื่องอะไรน่ะ

                    มีคนบอกผมมาว่าถ้าได้เจอกับดวงดาวจะขอพรอะไรก็ได้อย่างหนึ่ง

                    ดวงดาวถอนหายใจออกมาเป็นประกายไฟเล็กๆ

                    นี่เจ้าหนู...เจ้าน่ะถูกหลอกแล้วล่ะ ดวงดาวบอก ฉันเป็นแค่ดวงดาวแก่ๆธรรมดา จะมีปัญญาให้พรอะไรเจ้าได้

                    เมื่อได้ยินดังนั้นแววตาเป็นประกายของเด็กชายก็หายไปทันที เด็กชายก้มหน้านิ่ง

                    ถึงจะจับดวงดาวได้ แต่ความหวังของเขาก็ยังเป็นไปไม่ได้อีกหรือนี่?

                    ดวงดาวคงจะสังเกตสีหน้าของเด็กชายออก จึงลองถามออกไป

                    แล้วถ้าขอพรได้ เจ้าจะขอพรอะไรล่ะ

                    ผมอยากเจอพ่อกับแม่ของผม เด็กชายตอบอย่างสิ้นหวัง คุณรู้จักพ่อกับแม่ของผมรึเปล่า…”

                    รู้สิ ดวงดาวบอก

                    เด็กชายตาเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง

                    จริงเหรอ!” เขาตะโกนอย่างควบคุมไม่อยู่

                    ก็จักรวาลนี่ไงล่ะ ที่เป็นพ่อแม่ของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นบนโลกใบนี้หรือดวงดาวที่ไกลโพ้น เป็นพ่อแม่ที่แท้จริงของทั้งสิ่งมีชีวิตและดวงดาวอย่างฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็เกิดขึ้นและดับลงกันทั้งหมดก็จากจักรวาลนี้นั่นแหละ ดวงดาวตอบ

                    แล้วโคเอลก็กลับไปคอตกเหมือนเดิม

                    ผมไม่ได้หมายถึงพ่อแม่แบบนั้น... เขาพูดเบาๆ ผมหมายถึงคุณแม่ที่ทำอาหารรออยู่ที่บ้าน คอยให้ผมกลับจากโรงเรียน แล้วก็คุณพ่อที่กลับมาจากทำงานตอนเย็นแล้วเล่าเรื่องสนุกๆให้ฟังต่างหาก…”

                    ดวงดาวได้แต่เงียบ ตัวเขาเองท่องเที่ยวมานานนับศตวรรษไปทั่วจักรวาล ได้เห็นพ่อแม่ลูกมามากมายนับไม่ถ้วน แต่ในความจริงแล้วตัวเองเกิดมาจากที่ไหน เมื่อไรก็ไม่รู้ เพราะเขาไม่มีพ่อแม่คอยอยู่ข้างๆเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังแบบมนุษย์

                    ถึงข้าจะช่วยอะไรไม่ได้ ดวงดาวพูดอย่างลังเล แต่เรื่องนี้น่าจะมีประโยชน์กับเจ้านะ

                    โคเอลรีบเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวอีกครั้ง

                    ที่สุดขอบฟ้าน่ะ จะมีแม่มดอยู่คนหนึ่ง ดวงดาวบอก ว่ากันว่าเธอเป็นแม่มดที่เก่งมาก สามารถดลบันดาลให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นจริงได้...บางทีถ้าเจ้าไปถึงที่นั่นแล้วขอพรกับแม่มดคนนั้น พรของเจ้าอาจจะเป็นจริงขึ้นมาก็ได้นะ

                    ถ้าอย่างนั้นสุดขอบฟ้าอยู่ที่ไหนเหรอครับ เด็กชายรีบถาม

                    มีน้อยคนนักที่จะไปถึง ดวงดาวทำท่าคิดเล็กน้อย ว่ากันว่ามันจะเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ แล้วก็มีสถานที่อันตรายมากมายคอยขวางอยู่ มันเป็นที่ที่มิติของความเป็นจริงกับความฝันมาบรรจบกันน่ะ

                    คุณช่วยพาผมไปทีได้มั้ย

                    ดวงดาวมองเข้าไปในดวงตาของเด็กชาย มันเต็มไปด้วยความหวัง...และเขาก็ไม่อยากทำลายความหวังของเด็กชายคนนี้เลย ถ้าอย่างนั้นล่ะก็...

                    ได้สิ ดวงดาวตอบในที่สุด ถึงยังไงอีกไม่นานฉันก็ต้องแตกสลายและกลับไปเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลอยู่แล้ว จะลองช่วยดูก็ได้

                    ขอบคุณมากครับ!” เด็กชายตอบอย่างมีความสุข

                    แต่หากจะไปกันก็คงต้องรีบไปแล้วล่ะ เราต้องออกเดินทางก่อนที่จะเช้า เพราะถ้าหากฉันโดนแสงอาทิตย์ส่องล่ะก็จะต้องหายไป ดวงดาวบอก

                    ถึงตรงนี้ใบหน้าของเด็กชายก็ดูเศร้าลงอีกครั้ง

                    ...เจ้าคงมีคนที่ห่วงใยเจ้ารออยู่ที่นี่สินะ คราวนี้ดวงดาวอ่านสีหน้าของโคเอลออก เจ้ายังไม่ต้องไปตอนนี้ก็ได้ อยู่ที่นี่รอร่ำลาทุกคนก่อนสักหน่อยดีกว่า

                    โคเอลยังคิดถึงครูใหญ่ของเขา ถ้าเขาบอกว่าจะไปตามหาสุดขอบฟ้าล่ะก็ คุณครูต้องห้ามแน่ๆ แต่ถ้าไปโดยไม่บอก คุณครูก็จะต้องเป็นห่วงอย่างแน่นอน

                    แต่เขาก็ยังอยากจะเชื่อมั่นในการทำความหวังของตัวเองให้เป็นจริง...

     

                    ไม่ต้องหรอกครับ โคเอลตอบในที่สุด เราออกเดินทางกันตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า

                    เจ้าแน่ใจแน่นะ... ดวงดาวถามย้ำอีกครั้ง

                    โคเอลพยักหน้าตอบ ถ้าหากพูดอะไรไปมากกว่านี้ เขาอาจจะเปลี่ยนใจไปเลยก็ได้

                    งั้นก็ดี ดวงดาวบอก เจ้าไปเก็บข้าวของที่จำเป็น แล้วก็เอาอาหารมาซะด้วยนะ แต่อย่าให้เยอะจนถือไม่ไหวล่ะ...แล้วก็เอาตะเกียงกับผ้าที่ใช้คลุมตะเกียงมาด้วย  ฉันโดนแดดไม่ได้ จะเข้าไปอยู่ในนั้นคอยนำทางให้แล้วกัน...

     

     

     

                    ในเช้าวันต่อมา คนหลายคนได้ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าที่สดใส แต่จะมีสักคนรึเปล่านะ ที่รู้ว่าในคืนที่ผ่านมานั้น การเดินทางที่ยิ่งใหญ่ของเด็กชายตัวเล็กๆได้เริ่มขึ้นแล้ว?

     

                    หรือจะมีเพียงดวงดาวเต็มท้องฟ้าที่เป็นพยานให้กับเหตุการณ์นี้ได้เท่านั้น...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×