ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Silent Requiem

    ลำดับตอนที่ #2 : Prologue

    • อัปเดตล่าสุด 13 พ.ย. 48


            ความรู้สึกนี่มันอะไรกันนะ…



            ทุกสิ่งทุกอย่างพร่ามัว ช่างสบายใจราวกับกำลังล่องลอยอยู่ รู้สึกว่ายังไม่อยากคิดอะไร

    คล้ายกับว่าเรื่องราวบางอย่างจบลงแล้ว ความกังวลมลายไปหมดสิ้น แต่ก็เหมือนมีอะไรบาง

    อย่างถูกซ่อนเร้นไว้…





            แสงแดดอุ่นๆค่อยๆส่องมาถูกตัวฉัน…เช้าแล้วหรือเนี่ย ความรู้สึกก่อนหน้านี้จางหายไป

    ถูกแทนที่ด้วยความสดใสของยามเช้า ฉันค่อยๆลืมตาขึ้น…



            ห้องสีขาวสะอาดตรงหน้าถูกฉาบไปด้วยแดดอ่อนๆ กลิ่นน้ำยาลอยมาเตะจมูก



            ที่นี่ที่ไหน?



            ฉันคิดในใจพลางลุกขึ้น ในห้องมีเครื่องมือและสายระโยงระยางเต็มไปหมด ผู้หญิงวัย

    กลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างเตียงของฉัน



            “…..”



            ฉันพยายามเรียกแต่ไม่เป็นผล ริมฝีปากช่างหนักอึ้ง ฉันรวบรวมพลังใหม่อีกครั้ง



            “…คุณคะ…”



            ฉันไอออกมา ผู้หญิงคนนั้นสะดุ้งตื่น ตาของเธอเบิกโพลง แสดงถึงความตื่นตระหนก

    และดีใจ



           “…ฟื้นแล้วเหรอจ๊ะ ลูกรัก…” เสียงของเธอสั่นเครือ น้ำตาไหลอาบแก้ม รอยยิ้มประทับ

    อยู่บนใบหน้า



            “เอ่อ…คุณเรียกฉันว่าอะไรนะคะ?”



            “คริส! ลูกฟื้นแล้ว คุณหมอคะ ลูกดิฉันฟื้นแล้ว! ช่วยมาดูทางนี้หน่อยค่ะ” ผู้หญิงคนนั้น

    เปิดประตูออกไปพลางตะโกนเสียงดัง ไม่กี่วินาทีต่อมา ชายวัยกลางคน นางพยาบาล และชาย

    สวมชุดกาวน์ก็มาถึง “โอ…พระเจ้าช่วย” หนึ่งในนั้นอุทานออกมา



            “ขอหมอตรวจหน่อยนะ” ชายสวมชุดกาวน์ที่ดูมีสติดีที่สุดเข้ามาหาฉัน และเอาหูฟังมา

    แนบกับตัวฉันสักพักหนึ่ง ก่อนจะหันไปหาคนอื่นๆ “โอเค การหายใจและชีพจรปกติ เหลือแค่

    ตรวจละเอียดอีกที…ยินดีด้วยนะที่ฟื้น” เขาหันมายิ้มกับฉัน



            “เอ่อ…ขอโทษนะคะ แต่ว่า…พวกคุณเป็นใครคะ?” ฉันถาม



            ทุกคนหน้าถอดสี หญิงวัยกลางคนคนเดิมถามฉันว่า “อะไรกันจ๊ะ ลูกรัก จำแม่ไม่ได้เหรอ?”



            เงียบไปพักหนึ่ง ผู้ชายที่คงเป็นหมอกล่าวขึ้นเบาๆ “เอ่อ…คุณและคุณนายดาเนียลครับ

    เราคงมีเรื่องต้องปรึกษากันนิดหน่อยนะครับ”



            หลังจากนั้นทุกคนก็ทยอยออกจากห้องไป ฉันได้ยินเสียงที่พูดกันอย่างสับสนไกลออกไปทุกๆที…



            ฉันกลับมาอยู่ตามลำพังอีกครั้ง



            สิ่งที่ควรจะกังวลน่ะ ไม่ใช่พวกเขาเป็นใคร…



            แต่ฉันต่างหากที่เป็นใครกันแน่…









            ชื่อของฉันคือ เชลซี ดาเนียล



            อายุ16ปี กำลังจะเข้าเรียนปี1ในโรงเรียนมัธยมปลาย แต่เกิดตกบันไดจนสมองได้รับความ

    กระทบกระเทือน และเพิ่งจะมาฟื้นเอาในตอนที่โรงเรียนเปิดภาคเรียนไปนานแล้ว



            พ่อแม่ของฉัน คุณและคุณนายดาเนียลคือคนที่มาเฝ้าไข้ฉันที่โรงพยาบาลในวันนั้น

    คุณดาเนียล พ่อของฉัน เป็นนักธุรกิจผู้เก่งกาจ และคุณนายดาเนียล แม่ของฉัน เป็นสถาปนิกที่

    มีความเชี่ยวชาญ…



            อย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่พวกเขาบอก



            ทำไมฉันถึงพูดอย่างนั้นน่ะหรือ…



            ฉันคงจะไม่คิดอย่างนี้ถ้าฉันไม่ได้ไปได้ยินเรื่องในวันนั้นเข้า…



            ในวันที่ฉันฟื้นนั้น ทั้งพ่อและแม่เข้ามาแสดงตัวกับฉัน และผลัดกันเล่าเรื่องราวต่างๆเกี่ยว

    กับตัวฉันให้ฟัง แต่ฉันก็ยังอยากทำให้ความคิดกระจ่างมากกว่านี้ จึงขอร้องให้ทั้งสองคนเอารูป

    ถ่ายและของอย่างอื่นมาให้ฉันดู ทั้งสองคนกระอักกระอ่วนเล็กน้อยก่อนจะตอบตกลง



            สองสามวันต่อมา ฉันก็ได้รูปถ่ายตามที่ขอ ฉันค่อยๆไล่ดูรูปทีละใบ แต่กลับรู้สึกเหมือนคน

    ที่ยืนอยู่ในรูปนั้นไม่ใช่ตัวเอง แล้วฉันก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง…



            แต่ละรูปนั้นมีวันที่ค่อนข้างเก่า ส่วนใหญ่จะเป็นของเกือบ2ปีก่อนหน้านี้ รูปที่ใหม่ที่สุดยังเป็น

    ของเกือบ1ปีก่อน รูปทุกรูปเป็นรูปเดี่ยว ไม่ก็ถ่ายคู่กับครอบครัว ซึ่งก็มีเพียงพ่อและแม่ ฉันค่อนข้าง

    แปลกใจ เพราะดูจากในรูปแล้วฉันน่าจะเป็นคนยิ้มเก่ง ไม่น่าจะกลัวกล้อง แล้วรูปที่ฉันถ่ายคู่กับคน

    อื่นๆล่ะอยู่ที่ไหน?



           ฉันลองถามทั้งสองคนดู คนทั้งคู่ทำท่าลำบากใจ คำตอบที่ได้ก็มักจะเป็นประมาณว่า

    “หายไปแล้ว…” ฉันจึงเลิกถามในที่สุด แต่อย่างน้อยฉันก็พบคำตอบ



           ที่รูปของฉันไม่มีคนอื่นอยู่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และที่ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะได้ของนั้นก็มี

    เหตุผล



           รูปพวกนั้นถูกคัดมาแล้วก่อนที่จะเอามาให้ฉัน



           และทั้งสองคนมีอะไรปิดบังฉันอยู่



           …ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะชัดเจนขึ้นกว่าเดิมเมื่อเวลาผ่านไป…



           หลังจากที่ฉันฟื้นได้เกือบอาทิตย์ แม่และพ่อก็มาเฝ้าดูอาการของฉันเสมอ ในเย็นวันนั้นน่ะเอง



            ขณะที่แม่กำลังจัดข้าวของอยู่ ก็มีนางพยาบาลมาเคาะประตู



            “คุณและคุณนายดาเนียลคะ คุณหมอเรนนิ่งแผนกจิตเวชมาแล้วค่ะ”



            “ตายจริง…” แม่อุทาน “คริส ไปกันเถอะ”



           ทั้งคู่เดินออกนอกห้อง นางพยาบาลเข้ามาปรับเตียงฉันลง และห่มผ้าห่มให้ “ได้เวลานอน

    แล้วค่ะ” เธอบอก



           ฉันต้องทำเป็นหลับ นางพยาบาลดับไฟแล้วจึงเดินออกไป



           ในห้องมืดและเงียบ ทำให้ฉันฟังเสียงคนสามคนที่คุยกันตรงทางเดินหน้าห้องได้…



           “ภาวะสูญเสียความทรงจำน่ะครับ น่าหนักใจทีเดียว…”



           “…แกอาจจำได้เองในไม่ช้า แต่อาจลืมไปชั่วชีวิตก็ได้…”



           “…พยายามอย่าทำอะไรให้กระทบกระเทือนจิตใจของแกในช่วงนี้ดีกว่านะครับ”



           “ค่ะ คุณหมอ บางทีเราปล่อยให้แกจำอะไรไม่ได้อย่างนี้อาจจะดีกว่าก็ได้…”



           “ผมทราบครับ…สิ่งที่เกิดขึ้นมันอาจจะหนักเกินกว่าที่แกจะรับได้…”



           แล้วเสียงก็เงียบไป สามคนนั้นคงจะเปลี่ยนที่คุย ฉันก็ค่อยๆจมลงไปในภวังค์



           หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็กลับบ้านได้



            แวบแรกที่ฉันเห็นบ้าน ฉันไม่รู้สึกคุ้นเคยเลย ทั้งที่เป็นสถานที่ที่ฉันเรียกว่าบ้านแต่กลับ

    รู้สึกไม่สบายใจ ฉันยิ่งรู้สึกแย่ลงเมื่อเดินเข้าไป…



            ไม่มีแม้แต่ตารางนิ้วเดียวในบ้านที่ฉันรู้สึกคุ้นเคย โดยเฉพาะห้องของตัวเอง แล้วฉันก็

    สังเกตพบว่าทุกอย่างในบ้านดูจะเป็นของใหม่ ทั้งเฟอร์นิเจอร์ก็ไม่มีรอยขีดข่วน กำแพงก็ไม่มี

    ร่องรอยของฝุ่นดำ ฉันเดินไปที่บันได ที่ควรจะเป็นที่ที่ฉันตกลงไป น่าแปลกใจ บันไดมีพรมปู

    ไว้อย่างดี ราวบันไดก็เป็นไม้ทรงมน เรียบลื่น



            นั่นยิ่งน่าสงสัย ฉันคิด ตามเนื้อตัวของฉันยังมีรอยแผลที่ยังเห็นเป็นรอยขีดข่วนเต็มไปหมด

    คล้ายถูกของแหลมๆเกี่ยว ไม่น่าจะได้มาจากการตกบันได โดยเฉพาะการตกจากบันไดที่นี่



           ทุกคนกำลังเล่นละคร ฉันรู้



           แต่ถึงยังไงฉันก็จำเป็นต้องเชื่อใจพวกเขา



           เพราะฉันไม่มีคนอื่นที่สามารถเชื่อใจได้อีกแล้ว







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×