คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : (SF) Jinson : Friendzoned (2)
Couple: Jinyoung x Jackson
Type: Short fiction
Style: Drama
Status: Unfinished
::::: ดัดแปลงมาจากฟิคเดิมที่เคยแต่งไว้ (ME at his wedding) :::::::
Part 2
ตอนนี้เป็นเวลาแค่ห้าทุ่ม นับว่าไม่ดึกเลยสำหรับคนสองคนที่ออกมาปาร์ตี้แต่ดูเหมือนปาร์ตี้จะกร่อยไปแล้ว และต้นเหตุก็คือผมเอง
ใช่ เพราะความงี่เง่าของผม
พอลองนึกทบทวนถึงความรู้สึกมากมายที่เกิดขึ้นในรอบวัน มันก็ทำให้รู้ว่าตัวเองงี่เง่าแค่ไหน ผมทำตัวเป็นเด็กๆ ไม่มีเหตุผลและพยายามเรียกร้องความสนจากจินยองโดยที่ไม่รู้ตัว ทั้งที่จริงๆแล้วผมไม่ควรปล่อยให้ความรู้สึกของตัวเองทำให้งานที่เตรียมไว้เพื่อฉลองกร่อยลงอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
ในฐานะเพื่อนสนิทของจินยอง ผมควรทำให้มันมีความสุขและสนุกที่สุดในคืนนี้ คืนสุดท้ายของเราสองคน ผมควรทำตัวปกติ ควรยิ้มให้มันดูสดใสกว่านี้ มากกว่านี้ และควรฟังมันเรื่องคริส ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมมันต้องห้ามไม่ให้ดื่มกับคริสก็ตาม แต่ก็นั่นแหละ ไม่ว่าเหตุผลอะไรผมก็ไม่ควรขัดใจมันอยู่ดี
“ขอโทษ..”
ผมเอ่ยเสียงเบาแต่ดังพอที่จะผ่าความเงียบในรถไปยังคนที่ขับรถด้วยสีหน้านิ่งๆ ผมตัดสินใจละสายตาจากนอกกระจกมามองหน้าคนที่ผมทำให้ลำบากใจ จังหวะเดียวกับที่จินยองหันหน้ามาทางผม ดวงตาสีเฮเซลนัทคู่เดิมจ้องตรงมาที่ผมเหมือนจะค้นหาอะไรสักอย่าง
น่าแปลกที่ผมไม่กลัวจนต้องปิดกั้นความรู้สึกของตัวเองอีกแล้ว แค่มองหน้าเพื่อนสนิทของผมด้วยความรู้สึกยินดีเท่าที่ผมมี ยินดีกับมันอย่างที่ควรทำมาตั้งนานแล้ว
“กูรู้ว่ากูทำตัวงี่เง่า แล้วมึงก็คงไม่ชอบด้วย แต่วันนี้มึงก็ดึงหน้าใส่กูแถมทำตัวแปลกๆตลอดเย็น เพราะฉะนั้นถือว่าหายกันนะ”
“เพราะมึงไม่ใช่รึไงที่ทำให้กูหงุดหงิด”
“ก็บอกว่าขอโทษไง” ผมเอ่ยเสียงอ่อย ไม่อยากชวนทะเลาะอีกและที่จินยองพูดก็ถูก
ความเงียบถูกแทนที่ด้วยเสียงถอนหายใจยาวๆของว่าที่เจ้าบ่าว เหมือนคนกลั้นหายใจเอาไว้นานมาก หัวกลมๆของมันพิงลงกับพนักพิงรถโดยไม่ละสายตาไปจากถนน ผมมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกโล่งใจปนรู้สึกผิด อย่างน้อย ตอนนี้จินยองก็ผ่อนคลายลงบ้าง
“รู้ไหม กูมีเรื่องจะระบายให้มึงฟังเป็นสิบเลยนะ แต่พอมึงทำตัวแปลกๆ กูก็เลยต้องเก็บทุกเรื่องมาคิดคนเดียว” จินยองเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นเชิงตัดพ้อ ทำให้อดลอบยิ้มกับมุมเด็กๆของมันไม่ได้
“แล้วทำไมไม่เล่าให้มาร์คฟังละ อ้อ แจบอมก็ได้ รายนั้นให้คำปรึกษาที่ยอดเยี่ยมเสมอแหละ”
“ไม่รู้ดิ กูสะดวกใจจะคุยกับมึงมากกว่า”
“คือกูควรดีใจใช่ไหม”
“มากๆ”
“ฮ่าๆๆ กูโชคดีหรือโชคร้ายวะ”
เสียงหัวเราะของเราประสานกันลั่นรถ ผมชอบบรรยากาศแบบนี้ถึงแม้ว่าในใจจะเต็มไปด้วยคำพูดมากมายที่อยากบอกให้รู้ถึงความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมี แต่แบบนี้ก็ดีถมเถแล้วสำหรับผม
เพราะอย่างน้อย ผมก็เป็นคนที่ทำให้มันหัวเราะออกมาได้ และสบายใจที่ได้คุยกัน
แค่ได้เป็นคนที่มันไว้ใจที่สุด ก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่เหรอ
เรื่องราวนับสิบที่ถูกขุดมาเล่าทั้งจากปากผมและจินยอง ทั้งเรื่องมีสาระ ไร้สาระ ซึ่งสำหรับผมทุกเรื่องที่เกี่ยวกับมันก็มีสาระทั้งนั้นแหละ
จินยองนอนเอกขเนกอยู่บนโซฟาตัวยาวด้วยใบหน้าแดงก่ำเพราะหัวเราะมากเกินไปบวกกับเตกีล่าอีกนิดหน่อย ซึ่งสภาพก็คงไม่ต่างจากผมที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นข้างๆโซฟาตัวที่มันนอนอยู่เท่าไร ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยเข้าสู่เช้าวันใหม่ไปชั่วโมงกว่าๆแล้ว หากแต่ว่าที่เจ้าบ่าวยังนอนสบายใจเฉิบอยู่บนโซฟาตัวยาวอยู่เลย
“ มึง...ตีหนึ่งแล้ว”
“อ่า..ใช่ ทำไมเหรอ” จินยองตอบพร้อมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ ผมมองหน้ามันเป็นเชิงถามว่าล้อเล่นรึเปล่า แต่จากสภาพ ดูเจ้าตัวจะไม่เข้าใจจริงๆว่าผมบอกเวลามันทำไม
“พรุ่งนี้มึงแต่งงานนะจินยอง”
“รู้น่า จะย้ำทำไมเล่า”
ผมตัดสินใจลุกขึ้นไปนั่งบนโซฟาตัวเดียวกับที่จินยองนอนอยู่ นั่งเบียดตรงที่ว่างอันน้อยนิดข้างๆตัวมันนั่นแหละ แล้วมองหน้าคนที่หลับตานิ่งเหมือนไม่อยากรับรู้โลกภายนอก ผมเลยตบแก้มมันเบาๆเป็นเชิงปลุก แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมา
แกล้งหลับ...
“มึงคงไม่อยากไปสายในงานแต่งงานของตัวเองหรอกใช่ไหม”
“...”
“จินยอง..”
“...”
“ถ้าจะนอนก็ไปนอนในห้อง ไม่ใช่ตรงนี้” ผมมองหน้าคนที่ค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆด้วยสีหน้าระอา มันยิ้มก่อนจะเด้งตัวขึ้นแล้ววิ่งไปยังห้องนอนโดยไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร อันที่จริงก็อยากพูดหรอก ถ้าไม่ติดว่าการกระเด้งตัวขึ้นมากะทันหันของมันทำให้เกือบช็อค
ลมหายใจอุ่นๆที่เฉียดแก้มผมไปเมื่อกี้ทำผมใจเต้นอีกแล้ว
ไม่เหนื่อยบ้างเหรอวะหัวใจ
ผมลุกขึ้นเดินตามเข้าไปในห้อง จินยองนอนอยู่ที่ฟากหนึ่งของเตียงแต่ไม่ได้หลับอย่างที่ผมคิด มันนอนจ้องเพดานห้องโดยไม่พูดอะไร ส่วนผมเองก็ไม่ได้สนใจจะถาม เพราะไม่อยากได้ยินคำตอบที่ทำให้เจ็บปวดใจประมาณว่า กังวลเรื่องงานแต่งงานที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้หรืออะไรทั้งนั้น จึงตัดสินใจเดินไปยังโซนตู้เสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนชุดหรือเรียกให้ถูกว่าแงะตัวเองออกจากกางเกงตัวเดิม แน่นอนว่าครั้งนี้ย่อมไม่ลืมล็อกประตู
ผมเดินสางผมออกมาและหวังว่าเพื่อนสนิทจะหลับไปแล้ว แต่เปล่าเลย จินยองยังคงนอนท่าเดิม มองเพดานเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ผมชั่งใจว่าจะถามดีไหม แต่คิดอีกทีอย่าดีกว่า
อาจดูเห็นแก่ตัว แต่ผมไม่อยากฟังตอนนี้
ผมเลยเลือกที่จะเดินไปที่เตียงเพื่อหยิบอุปกรณ์การนอนพวกหมอนและผ้าห่มที่มีหลายผืนเตรียมไปนอนที่ห้องรับแขกแทน
จินยองละสายตาจากเพดานมามองด้วยสีหน้าสงสัย
ก็น่าสงสัยอยู่หรอก ปกติก็ใช่ว่าจะไม่เคยนอนเตียงเดียวกัน เราสองคนสนิทกันมานานและไว้ใจกันได้มากพอที่จะค้างห้องเดียวกันได้อยู่แล้ว ยิ่งสมัยไฮสคูลยิ่งไม่ต้องพูดถึง หมอนี่มาค้างบ้านผมบ่อยกว่าบ้านตัวเองเสียอีก แต่ตอนนี้สถานการณ์หลายๆอย่างมันเปลี่ยนไป ผมไม่อยากให้มันไม่สบายใจเพราะผมก็พิ่งออกตัวไปเมื้อกี้ว่าจะเดทกับผู้ชาย และตัวผมเองก็ไม่บริสุทธิ์ใจจะนอนเตียงเดียวกับมันด้วย
“ไปไหน ทำไมไม่นอนด้วยกันในห้องล่ะ”
“อย่าดีกว่า มึงกำลังจะแต่งงานพรุ่งนี้แล้ว กูไม่อยาก...”
“เลิกย้ำเรื่องงานแต่งงานสักทีได้ไหม ไม่ลืมหรอกน่า” จินยองไม่พูดเปล่า มันยังคว้าเอาผ้าห่มกับหมอนจากมือผมไปตั้งที่เดิม ปล่อยให้ผมอ้าปากค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก จนสุดท้ายก็ต้องทำตามคนเอาแต่ใจที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าทนคบหมอนี่เป็นเพื่อนมาได้ยังไงเป็นสิบๆปี
“มึงเป็นเพื่อนรักคนเดียวของกูนะแจ็คสัน”
คงเพราะคำพูดแบบนั้นละมั้ง
สุดท้ายผมก็เอนตัวลงนอนตรงอีกฟากเตียงที่ยังว่างอยู่ ความเงียบอันน่าอึดอัดเกิดขึ้นมาจนผมเองเริ่มเกร็ง และดูเหมือนจินยองจะรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ เขาเปลี่ยนจากนอนหงายเป็นนอนตะแคงหันมาทางผมที่นอนเกร็งเป็นท่อนไม้ด้วยท่าทีสงสัย
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“ม.ไม่มีอะไร”
“โกหก”
เอ้อ โกหกก็ได้วะ
แต่อย่าให้กูเผลอสารภาพเชียว เพราะมึงอาจฝันร้ายไปทั้งคืนเลยก็ได้ไอ้เพื่อนเลว
แน่นอนว่าได้แค่บ่นในใจ
“กูแค่ เอ่อ ไม่ชินที่ต้องแชร์เตียงกับใครน่ะ” ผมพยายามหาข้ออ้างที่ดูปัญญาอ่อนน้อยกว่าการสารภาพว่าคุมสติไม่ได้ที่ต้องแชร์เตียงกับเพื่อนที่ดันเผลอคิดไม่ซื่อด้วยจนทำให้อยากลุกมาสารภาพรักตลอดเวลา
“พูดเป็นเล่น กูนอนเตียงเดียวกับมึงบ่อยกว่าเตียงตัวเองอีก นอนกอดกันยังเคยเลย”
“นั่นมันนานมาแล้ว”...และก่อนที่มึงจะมีเจ้าของเป็นตัวเป็นตนซะอีก
“นานไม่นานก็ไม่เห็นเกี่ยวเลย รังเกียจกันรึไง” ผมจับได้ถึงความน้อยใจที่เจืออยู่ในน้ำเสียงของเขา แม้ว่ามันจะน้อยนิดก็ตาม
ความเงียบอันน่าอึดอัดครอบคลุมห้องนอนอีกครั้ง และไม่มีทีท่าว่าจะหายไป ผมตัดสินใจพลิกตัวไปอีกทางหันหลังให้จินยอง
ใครกันแน่ที่จะรังเกียจกัน
“มึง...”
จินยองเลือกที่จะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ แต่ผมยังไม่อยากคุย
บางที ความเงียบตอนนี้ อาจไม่น่าอึดอัดเท่าความเงียบหลังจากบทสนทนาต่อไปจบลงก็ได้
“แจ็คสัน”
“นอนได้แล้วมึง”
ผมตัดบทแค่นั้น ไม่ปล่อยให้มันได้พูดหรือถามอะไรอีก ผมหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเงียบน่าอึดอัดอีกครั้ง
แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น ความเงียบเหล่านั้นก็ถูกแทนด้วยเสียงหัวใจของผม
เพราะอ้อมกอดจากด้านหลังโดยคนใจร้าย
ลมหายใจอุ่นรดคอผม แขนสองข้างดึงตัวผมไปใกล้จนหลังชิดกับอกของมัน
คงไม่มีใครใจร้ายกว่ามึงแล้วจินยอง
ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ รู้แค่ว่าสำหรับผมแล้ว การนอนใจเต้นไม่เป็นจังหวะนานขนาดนี้มันเหนื่อยเกินไป ผมจะข่มตาหลับได้ยังไงถ้าใจยังเต้นเร็ว แถมหน้าร้อนหน้าแดงเหมือนเพิ่งไปวิ่งมาอยู่แบบนี้
“นอนไม่หลับ”
แต่ผมคงไม่ใช่คนเดียวที่เจอปัญหานี้สินะ
“กังวลเหรอ”
และสุดท้าย ผมก็แพ้
ถามคำถามที่ตัวเองกลัวคำตอบมากที่สุด แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายคงตอบอะไรที่ผมไม่อยากฟัง แต่จะให้ทนใจแข็งทำเป็นไม่ห่วงความรู้สึกของคนที่กอดผมแน่นแบบนี้ ผมก็คงทำไม่ได้
ผมจะโทษว่าความรักทำให้คนโง่
“กูไม่อยากหลับ”
“ถ้าไม่หลับพรุ่งนี้มึงจะไม่ไหวนะ”
“อย่าพูดถึงพรุ่งนี้ได้มั้ย..”
น้ำเสียงที่แผ่วลงพร้อมหน้าที่ซบลงกับหลังคอผมทำให้ผมไม่กล้าแย้งมัน
แจ็คสันไม่พูดถึงพรุ่งนี้ได้ แต่หยุดเวลาไม่ได้หรอกนะจินยอง
เมื่อไม่มีใครพูดอะไร ความเงียบก็กลับมาทำหน้าที่ของมันเช่นเดิม จินยองเองก็เงียบไปจนผมคิดว่ามันหลับไปแล้ว ผมเลยเปลี่ยนท่าเป็นนอนตะแคงหันไปทางมันแทน
จินยองไม่ได้หลับ และมันกำลังสบตาผม
ดวงตาสีเฮเซลนัทที่ไล้สายตาไปทั่ว โฟกัสส่วนต่างๆบนใบหน้าผมช้าๆทำให้เกิดอาการร้อนผ่าวที่หน้าอย่างช่วยไม่ได้
มึงคิดอะไรอยู่จินยอง
ถ้าไม่นับเรื่องที่ใจผมเต้นรัวไม่หยุดจนลมหายใจติดขัด ก็คงเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวลของมันนั่นแหละที่ยังกวนใจผมอยู่
“มึงชอบกู”
ผมโดนจับได้ซะแล้ว
“มึงชอบกู แล้วทำไมไม่บอกกูสักที”
หรือบางที ผมอาจโดนจับได้มาตลอด
จินยองฉลาดทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องของแจ็คสันด้วย
คนที่โง่น่ะ ผมเองต่างหาก
“มึงชอบกู แล้วทำไมไม่บอกกูสักที”
คำถามเดิมเล่นวนซ้ำเหมือนถูกตั้งค่าไว้ในเพลลิสต์สมอง ส่วนเจ้าของคำถามก็ได้แต่มองตาผมนิ่งในระยะห่างแค่ไม่กี่เซนต์จากหน้าของผม จนผมรู้สึกถึงลมหายใจที่เต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์
คงเพราะเมาสินะ
“มันไม่สำคัญไง เลยไม่บอก”
และผมก็ยิ้ม
“ความรู้สึกของกูน่ะ เทียบไม่ได้กับความเป็นเพื่อนของเราหรอก เพราะฉะนั้นมึงไม่ต้องคิดมาก”
ผมฝืนยิ้มให้กว้างขึ้น แม้จมูกจะแสบไปหมดเพราะบางอย่างที่ตีขึ้นมาจนปวดตรงหัวตา
“นอนนะ..อ..อื้อ”
สัมผัสหนักหน่วงทำผมตาลาย ความร้อนของของเหลวตรงหางตาคงเป็นหลักฐานชั้นดีว่าความรู้สึกผมมันพังไปหมดแล้ว
จูบกูทำไมวะ
ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าต้องคิดอะไรไหม เพราะผมเอาแต่สนใจริมฝีปากที่พยายามบดเบียดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆของจินยอง ผมไม่รู้ว่ามันทำเพื่ออะไร อาจเพราะสงสาร หรือเมา ผมไม่อยากคิดด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เราทำมันผิดแค่ไหน
ผมกำลังกอบโกยช่วงเวลาและโอกาสอันน้อยนิด และยื้อให้มันนานที่สุด เพราะหลังจากนี้ อะไรๆคงไม่ง่ายอีกแล้ว
จินยองผละออกไปแล้ว พร้อมใจผมที่กระตุกวูบด้วยความใจหาย การกระทำของมันส่งผลกับผมได้ขนาดนี้แล้วเหรอ
ควรหยุดได้แล้วแจ็คสัน
“พรุ่งนี้มึงแต่งงาน”
“ทำไมต้องพูดถึงพรุ่งนี้วะ! ทำไมต้องทำลายช่วงเวลาดีๆของเราด้วย” จินยองพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด
เดี๋ยวสิ ผมไม่ใช่รึไงที่สมควรหงุดหงิด
คนตรงหน้าผมน่ะ เขาคือว่าที่เจ้าบ่าวที่กำลังจะแต่งในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า แต่จู่ๆก็จูบทั้งๆที่รู้มาตลอดว่าผมคิดยังไง
เอาจริงดิ..?
“เรา? มึงเก็บคำนั้นไว้พูดกับเจ้าสาวของมึงเหอะ”
ผมผลักมันออก พยายามดันตัวเองให้ห่างจากร่างกายอบอุ่นให้มากเท่าที่จะทำได้ แม้มันจะยากเย็นเพราะอีกฝ่ายยังคงยึดเอวผมไว้ได้ก็ตาม
“คุยกันก่อน”
“กูไม่คุย!”
ผมสะบัดเสียงเตรียมจะเหวี่ยงหมัดใส่หน้ามึนๆของจินยองแต่อีกฝ่ายก็ไวกว่าและคว้ามือผมไว้ง่ายดายเหมือนไม่ต้องพยายาม
จะมีสักเรื่องไหมที่จะไม่รู้ทัน
ไม่มีสินะ มันรู้ทันผมทุกอย่าง รวมทั้งเรื่องที่ผมแอบรักมันด้วย
ผมสะบัดหน้าไปทางอื่นด้วยความโกรธ บวกกับความอายและเขินจนมองหน้าหมอนั่นไม่ติด ความคิดมากมายตีกันในหัวสมอง แถมหัวใจก็ยังเต้นรัวและแรงเหมือนตอนที่ยังจูบกันอยู่
ทั้งๆที่รู้มาตลอด แล้วจะมีสักครั้งไหมที่จะไม่เอาเรื่องพวกนี้มาล้อเล่น
เพราะบางที...มันก็เจ็บใช่เล่นเลย
สนุกมากสินะที่ทำให้ผมหัวปั่น เขย่าโลกของผมเล่นเหมือนมันเป็นลูกแก้วหิมะที่ได้เป็นของขวัญในวันคริสมาสต์
และผมก็ดันชอบมัน
ทำให้ใจเต้น ด้วยคำพูดและการกระทำโง่ๆนั่น
จริงๆก็ไม่ได้โง่หรอก น่ารักดี..
นั่นไง แม้แต่ตอนนี้ครึ่งหนึ่งของผมก็ยังเลือกที่จะเข้าข้างมัน และมองข้ามเรื่องแย่ๆทั้งหมดที่มันทำ
ไม่ๆ จินยองไม่เคยทำอะไรแย่ๆ
ไม่ๆๆ มันเล่นกับความรู้สึกของผม ผมไม่ควรลืมเรื่องนั้น
บ้า...บ้าไปหมด
“ทำไมมึงใจร้ายกับกูได้ขนาดนี้วะ”
ผมพูดแค่นั้น แล้วปล่อยให้น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลออกมาอย่างไม่อาย จินยองรวบตัวผมเข้าไปซบที่อกอีกครั้ง แม้จะพยายามขืนตัวแต่สุดท้ายก็ยอมทำตาม ไม่ใช่เพราะจินยองบังคับ
แต่เป็นเพราะไม่เคยมีสักครั้งที่จะปฏิเสธผู้ชายคนนี้ได้
ไม่ว่าสุดท้ายมันจะทำให้ผมเจ็บแค่ไหนก็ตาม
“กูรู้ว่ากูเห็นแก่ตัว”
“มึง...ฮึก..มันยิ่งกว่า..ฮึก..เห็นแก่ตัว..อีก” ผมพูดทั้งๆที่ยังไม่หยุดสะอื้น อ้อมกอดของจินยองแน่นขึ้น เหมือนไม่อยากให้ผมพูดต่อ
“ใช่ กูมันโคตรเห็นแก่ตัวเลย”
“...”
“กูทำมึงร้องไห้จนได้”
จินยองเอนตัวลงบนเตียง ดึงมือผมให้เอนตัวลงไปกับมัน และผมก็เห็นแก่ตัวเกินกว่าจะมาคิดถึงเหตุผลหรือสิ่งที่ควรทำ แค่เอนตัวลงพิงศีรษะแนบไปกับอกของคนใจดำโดยไม่พูดอะไร
ตอนนี้ผมทั้งรู้สึกดีและงี่เง่าไปพร้อมๆกัน ผมไม่เข้าใจการกระทำของมัน หรือแม้แต่คำพูดที่มันพูดออกมาและไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร
ผมไม่รู้อะไรเลย โง่เง่าสิ้นดี
มือข้างหนึ่งของจินยองประสานนิ้วเข้ามากับมือของผมและบีบไว้แน่นเหมือนจะส่งผ่านอะไรสักอย่าง เส้นผมถูกเกลี่ยไปมาด้วยมืออีกข้าง มันรู้สึกดีอย่างประหลาด ผมรู้ว่ามันงี่เง่าแค่ไหน แต่มันก็คงเจ็บกว่านี้ถ้าผมจะพลาดช่วงเวลาสุดท้ายของเรา
ผมนอนนิ่งและจ้องตรงไปที่มือที่ประสานกันอยู่ มือซ้ายที่สวมแหวนหมั้น...
และจู่ๆ ก็รู้สึกถึงความร้อนของหยดน้ำที่ไหลจากขอบตาไปตามแก้มและเปื้อนลงบนเสื้อของจินยอง
ผมควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย ทุกอย่างมันดูไวต่อความรู้สึกไปหมด
งี่เง่าชะมัด...
จินยองดึงมืออกจากการเกาะกุมและขยับทำท่าเหมือนจะลุกขึ้น นั่นทำให้ผมสะดุ้ง และคิดไปว่ามันอาจเปลี่ยนใจ แต่แล้วก็ต้องคิดใหม่เมื่อจินยองนอนตะแคงและเท้าแขนมองผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่ทำให้ผมไม่กล้าร้องไห้
ผมรีบปาดน้ำตาและกัดริมฝีปากแน่น เพื่อสกัดกั้นอารมณ์ไม่ให้น้ำตาไหลออกมาอีก มือของคนใจดำยังเกลี่ยผมฉันอยู่และค่อยๆก้มลงจูบหน้าผากผมเบาๆ ก่อนจะไล่ไปที่เปลือกตาที่ปิดลงช้าๆของผม ปลายจมูก ริมฝีปาก...
จูบครั้งนี้ให้ความรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัว จนเผลอเผยอปากรับลิ้นที่กวัดแกว่งเข้ามา มันเป็นจูบที่ดีที่สุดเท่าที่คนอกหักคนหนึ่งจะมีได้ มือของมันกุมมือผมไว้และส่วนอีกมือก็ไล้นิ้วปาดไปที่หางตาผมเบาๆอย่างปลอบประโลม
มันยากที่จะทำใจยอมรับ แต่ขอแค่คืนนี้เท่านั้น แค่ตอนนี้ ตรงนี้ ผมกับจินยอง ให้มันกอดผมให้แน่นที่สุด ให้เราจูบกันเนิ่นนานที่สุด
โอกาสสุดท้าย ก่อนที่แสงสว่างของยามเช้าจะผ่านเข้ามา
พร้อมความจริงที่ว่า จินยองไม่ใช่ของผม
ความคิดเห็น