ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คลัง Short fic #JJP #Jinson

    ลำดับตอนที่ #2 : ( OS) BNior Got7 : Why

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.74K
      61
      5 มี.ค. 61

    Why: Sabrina Carpenter
    Couple: JB x Jinyoung
    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ jj project

    อย่าลืมส่งฟีดแบ็คเป็นกำลังใจกันนะคะ เราเปิดแท็กแล้ว #ฟิคบตน มาเล่นกันเราเหงา555555

     

     #ฟิคบตน 

     

    Tell me how we're not alike
    But we work so well and we don't even know why

     

    ผมกับแจบอมมักถูกถามเสมอว่าเป็นรูมเมทกันได้ยังไงทั้งที่นิสัยต่างกันขนาดนี้              

    คำตอบของพวกผมนั้นหลากหลาย บางทีก็แค่ยิ้มแหยๆส่งไปแทน บางทีก็บ่นๆว่าจะย้ายออกบ้าง บางทีก็บอกว่ารู้จักกันไปสักพักมันก็ปรับได้เอง บางทีตอบส่งๆไป

    เห้ย พวกกูก็ไม่ได้ต่างกันขนาดนั้น

    ซึ่งไม่จริงเลย

    แจบอมเป็นรูมเมทที่ผมสุ่มมาเจอตอนอยู่หอในตั้งแต่ปีหนึ่ง มันเป็นเด็กนิเทศ ส่วนผมเรียนวิศวะ ตั้งแต่วันแรก ผมกับมันก็รู้ในทันทีว่าพวกผมคงทนกันได้ไม่เกินหนึ่งเทอม

    ผมยังจำบทสนทนาตอนเรากำลังแพ็คของเข้าวันแรกได้ดี

     

     

    You like New York city in the daytime
    I like New York city in the nighttime

    “นิวยอร์คเหรอ” ผมถามคนที่จะมาเป็นรูมเมทตอนที่เหลือบเห็นจอคอมมีรูปเมืองนิวยอร์คยามเช้าที่แสนวุ่นวายเต็มไปด้วยคนทำงาน เจ้าของภาพหันกลับไปมอง แล้วพยักหน้าให้พร้อมตอบรับเบาๆ

    “กูเคยไปถ่ายรูปแถวนั้น”

    “ แต่กูว่ากลางคืนสวยกว่า กลางวันคนเยอะ”

    “อือ”

    “มึงไม่ชอบตอนกลางคืน?

    “ชอบกลางวันมากกว่า”

     ก็ยังดี อย่างน้อยก็ชอบเมืองเดียวกัน ผมปลอบใจตัวเอง

     

     

    You say you like sleeping with the air off
    I don't, I need it on

     

    “ทำไมไม่เปิดแอร์วะ เที่ยงคืนแล้ว” ผมเหลือบมองคนที่นอนเล่นมือถืออยู่บนเตียงในชุดนอน ผมเพิ่งเสร็จกิจกรรมที่คณะเลยเพิ่งได้กลับ อุตส่าห์จะมาตากแอร์ให้ชื่นใจซะหน่อย

    “หนาว”

    “ถ้าไม่เปิดมันหายใจไม่ออก”

    “ไม่ออกอะไร อากาศเยอะแยะ”

    ผมขี้เกียจเถียง แต่เดินไปที่รีโมทแอร์แล้วเปิดแม่ง

    เรื่องอื่นยอมได้หมดอ่ะ เรื่องนี้ยอมไม่ได้ ผมไม่ชอบห้องอับๆอุดอู้แบบนั้น

    “...”

    แจบอมไม่ได้ว่าอะไร แค่มองผมนิ่งๆ ส่วนผมก็ไปอาบน้ำเตรียมนอน

     

     

    “เห้ย มึงทำไร”

    “ปิดไฟ”

    “เห้ยๆ แจบอมมึงเปิดก่อนมันมืดไป”

    “เอ้า ปิดไฟก็ต้องมืดดิ”

    โว้ยยยยยย แต่กูกลัวไง ผมได้แค่โวยวายในใจ เพราะเพิ่งรู้จักกับมันได้ไม่นาน ขืนแสดงอาการกลัวเป็นเด็กมีหวังโดนเอาไปเผาถึงนิเทศแน่ๆว่าเป็นจินยองวิศวะคนแมนอย่างผมไม่ชอบนอนปิดไฟเพราะกลัวผี

    ช่วยไม่ได้ ตอนเด็กกว่าผมจะหัดนอนคนเดียวได้ก็ติดนอนเปิดไฟแล้ว

    แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมเปิดไฟให้ ผมเลยคว้ามือถือมาเปิดโหมดไฟฉายแล้วส่องไปที่หน้ามันแทน

    “มึงนอนเปิดไฟไม่ได้เหรอ”

    “ถ้าไม่ปิดมันแยงตา กูนอนไม่หลับ”

    “คลุมโปงไงมึง”

    ผมขอร้องแต่อีกฝ่ายแค่ถอนหายใจแล้วเอามือเท้าเอว หน้าตาดูรำคาญเต็มทน ไม่รู้รำคาญแสงที่ส่องหน้ามันอยู่หรือรำคาญผมกันแน่

    “ถ้าเปิดไฟก็ปิดแอร์อ่ะจิน มึงเลือก”

    แม่ง...กูเลือกไม่ได้หรอก เพราะกูติดทั้งคู่ไงอิมแจบอม ให้นอนปิดแอร์กูก็หายใจไม่ออก ให้นอนปิดไฟกูก็กลัวไง

    “ว่าไง”

    แล้วมันก็จบลงที่ผมเลือกไม่ได้ แจบอมเลยเลือกที่จะปิดไฟแล้วยอมให้ผมเปิดแอร์หนาวๆแทน

    ผมพยายามข่มตานอน แต่มันนอนไม่หลับ

    ผมพยายามเหลือบไปมองคนเตียงข้าง แต่ก็มองไม่ค่อยเห็นอะไร รู้แค่ว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่หลับเหมือนกัน เราทั้งคู่ต่างถอนหายใจ และนอนดิ้นไปดิ้นมาด้วยความไม่สบายตัว

    ผมต่างกับเขามากจริงๆ

     

    หลังจากผ่านอาทิตย์แรกไปด้พร้อมขอบตาดำคล้ำแบบคนไม่ได้นอน จนผมตัดสินใจไปถามเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนรูมเมท แต่คำตอบที่ได้คือ ถ้าอยากเปลี่ยนก็คงต้องออกจากหอ

    ไปกันง่ายๆก็ดีสิ นี่เปิดเทอมมาเป็นอาทิตย์แล้ว หอไหนจะว่างให้ย้ายไปวะ

    ตกลงคือผมต้องทนนอนไม่หลับดิ้นไปดิ้นมายันตีสามเรื่อยๆเหรอ

     

     

    Somehow we end up on the same side

    And you wouldn't think that we'd be alright

     

    “มึง ทำไมเตียงกูกับมึงติดกัน”

    “กูเลื่อน”

    “เลื่อนเพื่อ”

    “กูนอนคนเดียวมันหนาว มึงนอนคนเดียวก็กลัว” คำตอบสั้นๆ ง่ายๆ แต่ไม่ทำให้เข้าใจอะไรมากขึ้นของคนหน้ามึนที่นั่งตัดวิดีโออยู่ที่โต๊ะทำงานปลายเตียง ทิ้งให้ผมหันไปมองเตียงสามฟุตที่ตอนนี้พอมาต่อกันก็ดูเหมือนเตียงเดี่ยวขนาดใหญ่ ผมอยากจะแย้ง แต่ในเมื่อมันเป็นวิธิแก้ปัญหา ลองดูก็ไม่เป็นไรมั้ง

    เอาวะ

    “มึงขยับมาอีก กูหนาว” เสียงบ่นของแจบอมที่นอนมุดตัวในผ้าห่มเป็นก้อนกลมอยู่บนเตียงฝั่งตัวเอง พร้อมเจ้าตัวที่พยายามกลิ้งมาใกล้ผม ไม่อยากยอมรับแต่มันอุ่นขึ้นจริงนั่นแหละ แค่นอนใกล้ๆกันน่ะ

    และที่ดีกว่าคือ ผมไม่ค่อยรู้สึกกลัวความมืดแล้ว เพราะมีคนนอนเป็นเพื่อน ถ้ามีอะไรมาคว้าขาผมมันคงสนใจไอ้คนข้างๆก่อนแน่ๆ ผมไม่ต้องเผชิญชะตากรรมคนเดียวแน่ๆ เพราะงั้นผมเลยยอมขยับไปใกล้มันโดยไม่เถียง แม้ตามหลักแล้ว พวกเขาจะเป็นคนแปลกหน้าที่รู้จักกันแค่อาทิตย์เดียวก็เถอะ

    ผมคิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อยจนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้ว

    ได้ผลว่ะ

    และมันก็ได้ผลมาเป็นปี

     

     

    “จิน เสื้อบอลกูหาย”

    “อยู่ในตู้ มึงตากไว้ไม่ยอมเก็บ”

    “อ่อๆ”

    ผมมองตามรูมเมทสองปีที่เดินเปลือยอกไปคุ้ยตู้เสื้อผ้าตัวเองแล้วคว้าเสื้อบอลคณะมาใส่ ก่อนจะหันกลับมาสนใจจอคอมที่พิมงานค้างไว้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเจอของที่ต้องการแล้ว ไว้ค่อยตามเก็บของที่มันคุ้ยทีหลังละกัน

    ใครจะนึกว่าตอนนี้ แม้พวกผมมีโอกาสแยกย้ายกันได้ ผมกับแจบอมก็ยังย้ายมาอยู่หอนอกด้วยกันอยู่ดี

    ....เตียงก็ยังเอามาชนกันเหมือนเดิม...

     

     

    I don't ask for you to change, baby no

    And you don't ask for me to change

     

    “ตัดคลิปดึกเหรอมึง”

    “อือ แต่เดี๋ยวกูไปนอนเป็นเพื่อนมึงก่อน พอมึงหลับกูค่อยทำต่อ มึงจะได้ไม่ต้องรอ”

    ใครรอมึงวะ ผมอยากจะตะโกนถาม แต่ไม่อยากกวนสมาธิคนที่กำลังง่วนอยู่กับงาน มันก็คงพูดเล่นตามประสาคนชอบแซะนั่นแหละ จะมาหาว่าผมขี้กลัวนอนคนเดียวไม่ได้น่ะสิ ถึงมันจะจริงก็เถอะ

    “งานเสร็จแล้วเหรอ”

    ผมถามเมื่อเห็นคนตัวสูงเดินมาที่เตียงโดยไม่ปิดไฟ สภาพก็ดูไม่ได้เหมือนจะเข้านอน แต่พอมันทิ้งตัวข้างๆผมก็เลยงง

    “ยัง แต่เดี๋ยวนอนเป็นเพื่อนก่อน”

    “เพ้อเจ้อว่ะ ไปทำงานไป เดี๋ยวดึก”

     ผมเคยคิดว่าพวกคณะทางบันเทิงอย่างนิเทศคงเรียนไม่หนัก แต่พอได้มาเป็นเมทเด็กฟิล์มสักปีถึงได้รู้ว่างานแม่งวุ่นวายดีเทลมากมายจนคนที่เรียนวิศวะอย่างผมคงเข้าไม่ถึง แต่ผมก็ทำได้แค่พยายามเข้าใจไลฟ์สไตล์มัน

    จะให้มันมาเปลี่ยนให้สะดวกผมคงไม่ได้หรอก

    “กูขี้เกียจลุก มึงอ่ะ นอนได้ละ พรุ่งนี้มีควิซเช้าไม่ใช่เหรอ บ่นมาทั้งอาทิตย์”

    เถียงไม่ออกเลยครับเพราะมีควิซจริงอย่างมันว่า แต่จริงๆไม่ได้ปิดไฟ ผมนอนเองก็ได้เถอะ ติดตรงไอ้คนข้างๆมันดื้อด้านมากๆ ต่อให้เถียงกันทั้งคืนก็ไม่จบ จากประสบการณ์เป็นเมทมาปีนึง สิ่งที่ผมทำได้คือ...แกล้งหลับ

    ครับ ผมทำเป็นดิ้นไปดิ้นมาหาท่าทางสบายๆแล้วนอนนิ่งๆ ทิ้งช่วงลมหายใจให้สม่ำเสมอ พยายามเก๊กหน้าไม่ให้หล่อมาก เดี๋ยวมันจับได้ครับว่าแกล้งหลับ มันต้องหน้าบู้ๆหน่อยจะได้เนียน

    ผ่านไปสักสิบนาที คนข้างตัวก็เริ่มขยับ เพราะต้องหลับตาแล้วทำเนียนไม่ได้ยินอะไร เลยเกร็งแปลกๆ

    เตียงข้างๆมทรุด กว่าปกติ อีกฝ่ายไม่ได้ลุกออกไปอย่างที่ผมคิด

    ลมหายใจร้อนๆ จู่ๆก็รดแก้มผม...ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

    อิมแจบอม มึงจะทำอะไร

    จุ๊ป...

    ...

    เหี้ย!!

    ไอ้เหี้ย ปากกูวววว อวสารแล้วความแมนของไอ้จินวิดวะไฟฟ้า ผมกำลังโดนรูมเมทแอบจูบตอนนอน ที่สำคัญคือกูรีแอคอะไรไม่ได้เพราะกูแกล้งหลับอยู่ ว้อย

    ผมพยายามสะกดอารมณ์ไม่ให้อีกคนจับได้ว่าจริงๆไม่ได้หลับ แต่เหมือนอีกฝ่ายไม่ได้สนใจอะไร พอขโมยจูบผมได้ก็ลุกไป ฟังจากเสียงเดินเสียงเลื่อนเก้าอี้คงไปที่โต๊ะทำงาน ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กเหมือนเก็บของ เดาว่าคงไปทำงานต่อด้านนอก โดยไม่ลืมปิดไฟ

    มันออกไปแล้ว ทิ้งผมไว้กับความมืด และเตียงที่ไม่มีมัน

    แต่ตอนนี้ผมไม่ได้กลัวด้วยซ้ำ ผมกลับคิดถึงแต่ความเย็นบนปากที่ไม่จางไปสักที

     

     

     

    “มานอนได้แล้ว”

    “กูยังอ่านหนังสือไม่จบ”

    “มาเร็ว กูหนาว”

    ผมหันไปมองคนที่ทำตัวงอแงเป็นเด็กขัดกับลุคคนชิคของแจบอมแล้วอยากปาหนังสือใส่หน้ามัน ใกล้สอบแล้วผมก็อ่านไม่ทันตามระเบียบ เอาจริงๆคือยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกเหมือนไม่รู้เลยต้องอ่านเพิ่ม ส่วนไอ้คนที่นอนมุดผ้าห่มก็ไม่ได้สำนึกเลย

    “ทีตอนนั้นมึงตัดคลิปดึกกูยังไม่ว่าเลย”

    “แล้วตอนนั้นกูปล่อยให้มึงนอนคนเดียวเหรอจิน มานอน กูหนาว”

    น้ำเสียงกดต่ำตอนท้ายเห็นได้ชัดว่ามันสั่งผม แต่ที่แย่กว่าคือผมยอมทำตามมันง่ายๆ ยอมพับหนังสือแล้วเดินไปปิดไฟ ก่อนจะสปีดวิ่งไปที่เตียงเหมือนกลัวว่าจะมีอะไรวิ่งตามมาในความมืดนั้น

    “มึง วันนี้หนาวมากอ่ะ” เสียงบ่นของคนข้างตัวทำให้ผมต้องลืมตาอีกหน ผมเหลือบไปมองคนงอแงแล้วถอนหายใจ

    “แล้วให้กูทำไง เบาแอร์มั้ย”

    “ไม่ๆ มึงขยับมา”

    ผมยอมขยับตัวเข้าไปหารูมเมทขี้หนาวแต่โดยดี เคยคิดว่ามันแกล้งนะ จนกระทั่งวันนึงที่ผมแอบไปเร่งแอร์ตอนกลางคืนหลังจากที่มันหลับ พอตื่นมาไอ้คนขี้หนาวก็นอนตัวสั่นไข้ขึ้นไปแล้ว คราวนี้ผมเลยไม่กล้าจะโวยวายอะไรมันมาก

    คิดแล้วก็รู้สึกผิดไม่หาย

    หมับ!

    “เชี่ย! ไรมึง กอดกูทำไมมึงปล่อย”

    ผมดันมือที่จู่ๆก็วางหมับที่ท้องผมออกด้วยความตกใจ แต่เจ้าของมือกลับทำเป็นหลับตาพริ้มลอยหน้าลอยตาไม่ยอมปล่อยจน

    “นิ่งๆ กูนอนไม่หลับ”

    ยัง ยังมีหน้ามาสั่งอีก

    “อื้อ อย่ากอดแน่น” ผมหยิกมือที่กอดเอวผมแน่นจนอึดอัด แอบได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากคนตัวโตที่มุดหน้าเข้ามาจนลมหายใจรดต้นคอ แบบรดจริงๆ

    ผมไม่รู้ว่าแปลกมั้ย แต่ผมชอบ

    บ้าแล้ว ผมชอบโดนกอดเฉยๆเถอะ จะใครกอดมันก็สบายหมดนั่นแหละ

    “จินมึงจะดิ้นหนีกูทำไม”

    “ก็มึงอ่ะ...”

    “กูทำไม”

    “งื้อ..เอาหน้าออกจากคอกู มันจั๊กจี้”

    “ก็มึงตัวหอม”

    ผมดันหน้าของแจบอมที่พยายามซุกมาที่คอ โอ้ย ใจกูเต้นจนจะทะลุอกแล้วโว้ย ได้สิ มึงไม่คิดอะไรนี่ ปล่อยให้คนใจบาปอย่างกูคิดมากกับการกระทำมึงอีกแล้ว

    แหม ถ้าไม่คิดก็เกินไปมั้ง

    ท่องไว้ครับจินยอง กูจะไม่คิดมาก กูจะไม่คิดมาก พวกผมคือรูมเมทที่นอนกอดกันเฉยๆ แค่นั้นจริงๆครับ เพื่อนมันหนาวไง วันก่อนก็ทำมันป่วย วันนี้ก็ควรไถ่โทษไง เข้าใจมั้ยจินยอง เข้าใจมั้ย

    จินยองไม่เข้าใจ...

     

     

     

     

     

     

     

    “อ้าว เมทไอ้จิน ถ่อมาถึงโรงอาหารวิดวะเลยนะครับ”

    แจบอมหันไปพยักหน้าทักทายแจ็คสันนิดหน่อยก่อนจะเลยมามองผม มันทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอื้ข้างๆผม

    “มึงสั่งให้ยัง”

    “สั่งแล้ว”

    “อี๊ เหม็นกลิ่นผัวเมีย” แจ็คสันแกล้งทำท่าปิดจมูกแบบดัดจริตของมันจนผมอยากเอาน้ำสาดหน้า แต่ที่ผมห่วงกว่าคือรูมเมทตัวเองที่ต้องมาโดนแจ็คสันแซวแบบนี้

    แจ็คสันรู้จักแจบอมระดับหนึ่ง ไม่ถึงกับสนิทเพราะผมกับแจ็คเป็นเพื่อนสนิทกัน อันที่จริงกลุ่มเพื่อนของแจบอมกับผมก็เคยไปสังสรรค์กันบ้าง บางทีเลี้ยงสายยังนัดไปพร้อมกัน เลยทำให้รู้จักคนจากนิเทศเยอะเลย

    ถึงอย่างนั้น แจบอมก็ไม่เคยโดนแจ็คสันแซวตรงๆแบบเมื่อกี้ สำหรับผม ผมโดนมันชงเช้าชงเย็นจากตอนแรกเขินๆกลายเป็นเฉยไปแล้ว เพราะเอาเข้าจริงรู้ว่าไอ้แจ็คไม่ได้คิดอะไร จากที่รู้จักกันมา คนที่มันแซวคือคนที่มันมั่นใจว่าไม่มีอะไรในกอไผ่จริงๆ

    แต่แจบอมล่ะ เขาจะโอเคเหมือนกันมั้ย

    “มึง อย่าไปถือไอ้แจ็คมัน มันแค่แกล้งกูอ่ะ ถ้ามันคิดว่าเราคบกันจริงมันไม่แซวหรอก” ผมกระซิบบอกแจบอมเมื่อแจ็คหันไปทักเพื่อนโต๊ะข้างๆตามประสาคนสังคมจัด แจบอมเหลือบมองผมนิดๆ รอยยิ้มมุมปากเหมือนตลกกับท่าทางของผมนั้นทำให้ผมหายกังวล เปลี่ยนเป็นหมั่นไส้แทน

    “ปกติมันแซวมึงงี้ตลอดเหรอ”

    “อือ ก็มันงอนที่กูไม่ยอมย้ายไปอยู่ด้วยอ่ะ มึงคุยได้ป่ะมันจะได้หายโกรธกู”

    แจบอมพยักหน้ารับแล้วคว้าเอาแก้วน้ำของผมไปดูดโดยไม่ขอ ผมถือว่ามันหมดคำถามแล้วเลยเดินไปเอาข้าวที่สั่งไว้ ให้อีกคนเฝ้าโต๊ะรอแจ็คสัน

    ผมกลับมาที่โต๊ะพร้อมถาดใส่ข้าวสามจานตามที่สั่งไว้ ตอนนี้เหมือนแจ็คสันกับแจบอมกำลังเถียงอะไรกันอยู่ ผมไม่ค่อยได้ยิน แต่เดาจากสีหน้าไอ้แจ็ค แจบอมคงแกล้งมันอยู่แน่ๆ สกิลโกหกหน้าตายไม่เคยมีใครจับได้อย่างแจบอมพูดอะไรคนก็เชื่อไปหมด

    “...รูมเมทเหี้ยไรนอนกอดกันทุกคืน”

    “ไม่เชื่อมึงถามจิน”

    “ห่ะ ถามไร”

    ผมได้แค่ทำหน้าเหลอหลาเมื่อสายตาตั้งคำถามจากแจ็คสันส่งมาให้ผม ส่วนแจบอมก็ก้มดูดน้ำด้วยหน้าตากวนตีนแปลกๆ

    “จริงเหรอวะ ที่มึง...เออ ช่างเหอะ แดกข้าวๆ”

    เอ้า อะไรวะ พูดให้อยากเสือกแล้วก็จากไป เอาเถอะ ตอนนี้หิว ถ้ามันไม่ถามก็คงไม่สำคัญหรอก

    ผมวางจานข้าวแล้วจัดการลงมือโดยไม่ใส่ใจเรื่องเมื่อกี้อีก ระหว่างนั้นก็คุยกันไปเรื่อย แต่สังเกตได้ว่าไอ้แจ็คมันมองหน้าผมแปลกๆสลับกับแจบอม ส่วนไอ้แจบอมก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แสดงว่าคงไปแกล้งหลอกอะไรไว้แน่ๆ

    ช่างเหอะ ถ้ามันเลิกแซวแสดงว่าคงคุยกันแล้วได้ผลดีด้วย

     

     

     

    “ขอหอมหน่อย”

    “เล่นไรมึงเนี่ย”

    “อ้าว ทำไมอ่ะ กูเป็นรูมเมทมึงไง ขอหอมนิดเดียว”

    แล้วรูมเมทโลกไหนเขามาขอหอมกันเล่า!! ผมอาศัยโอกาสที่แจบอมเผลอผลักมันให้ออกห่าง แม้จะมากแต่ก็เป็นระยะที่ปลอดภัยกว่าเมื้อกี้ล่ะนะ

    “มึง กูว่ารูมเมทเขาไม่มาทำไรงี้หรอก”

    “รูมเมทคนอื่นเขาไม่น่ารักเหมือนมึงไง”

    “...”

    น่ารักเหี้ยอะไร โว้ย อย่ามายิ้มใส่กูแบบนั้น กูไม่อยากหวั่นไหวกับมึงนะ มึงจะมาทำให้กูชอบมึงมากกว่านี้ไม่ได้โว้ย

    “อ้าว มึงไปไหน”

    “เซเว่น!!

    “ตีหนึ่งเนี่ยนะ...เดี๋ยว ไอ้จิน.!!

    ผมเดินหนีเสียงโวยวายออกมาจากห้องแล้วรีบสาวเท้าไปยังโถงกลางของหอพักเพื่อสงบสติอารมณ์

    ผมสับสน ไม่รู้เขิน ดีใจหรืออะไร แต่มันรู้สึกดีจนหน้าร้อนไปหมด แถมหุบยิ้มไม่ได้ด้วย

    แต่พอมานึกว่ากูจะเขินทำไมเพราะแม่งก็เป็นแค่รูมเมทกัน แย่พอๆกกับเฟรนด์โซนเลยนะ

    อ่า เริ่มเศร้าแล้วครับ

    “จิน มึงโกรธกูเหรอ”

    ผมเงยหน้าจากฝ่ามือตัวเองเมื่อเห็นว่าแจบอมยืนค้ำหัวอยู่ มันคงสงสัยว่าผมหายไปไหนเลยออกมาตาม แต่ผมได้แค่ยิ้มแหยๆกลับไปพร้อมพึมพำคำว่าเปล่า

    แจบอมไม่ซักไซ้ต่อ มันแค่เดินมาดึงมือผมให้เดินตามกับไปที้องโดยไม่พูดอะไร พอถึงห้อง มันก็เดินไปที่เตียง ห่มผ้าแล้วนอนโดยไม่ได้ว่าอะไรต่อ

    ผมทิ้งตัวลงนอนข้างมันเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร แต่ก็ไม่ยอมหลับเหมือนกัน

    “ถ้ามึงไม่ชอบก็บอกกูดิ”

    แจบอมเอ่ยขึ้นในที่สุด พร้อมพลิกตัวตะแคงโดยเท้าแขนเอาไว้แล้วมองผม

    “กูเห็นมึงไม่ว่ากูก็เคยตัว เผลอเล่นกับมึงมากไปหน่อย”

    “กูไม่ได้ไม่ชอบ”

    “...”

    “กูแค่ไม่ชอบที่ตัวเองรู้สึกดีอ่ะ”

    “...”

    “คือกูไม่รู้ว่าแบบนี้ปกติสำหรับมึงมั้ยเพราะมึงเป็นเมทคนแรกแล้วก็คนเดียวของกู”

    “...”

    “แต่รูมเมทเขากอดกันแบบนี้เหรอวะ”

    “...”

    “รูมเมทเขาแอบจูบกันตอนหลับเหรอแจบอม”

    “มึงรู้เหรอ”

    ใช่ รู้ เคยแกล้งหลับเพราะเห็นมึงมีงานเลยไม่อยากงอแงให้ต้องมานอนเป็นเพื่อน ถึงมึงจะดื้อบอกว่าตื่นมาทำก็ทัน แต่ก็รู้ดีว่างานมันเร่งแค่ไหน เลยตัดปัญหาแกล้งหลับ มึงจะได้ลุกไปทำงานต่อ

    ใครจะนึก ว่าจะโดนขโมยจูบไปแบบนั้น

    “อือ”

    “แล้วมึงก็ไม่ว่าอะไรกู?

    “ต้องว่าด้วยเหรอ”

    “ไอ้จิน มึงแม่ง...”

    แล้วก็เงียบ แจบอมไม่พูดต่อให้จบ แค่นอนมองเพดานนิ่งเหมือนใช้เวลากับตัวเองอยู่

    จู่ๆก็พานนึกถึงคำถามของเพื่อนคณะที่ตามวนเวียนอยู่ในหัวจนถึงตอนนี้

    “มึง ไอ้แจ็คมันถามเรื่องมึงอีกแล้ว”

    “แล้วมึงตอบว่าไง”

    “ก็บอกว่ากูชิน กูเป็นเมทมึงมาเป็นปี ก็ไม่ได้อะไร”

    แจบอมไม่ได้ขานรับอะไร แต่ผมรู้ว่ามันฟังอยู่ มือหนาดันผมให้พลิกไปหามัน ผมขยับหน้าออกห่างเพื่อให้เห็นอีกฝ่ายชัดๆ แต่ความมืดบดบังทุกอย่างจนเดาไม่ได้ว่ามันทำหน้ายังไง

    “อยากย้ายไปอยู่กับมันมั้ย”

    ไม่อยาก...

    ผมตอบได้แบบไม่ต้องคิด แจ็คสันอาจจะเป็นเพื่อนสนิทผมแต่ผมไม่อยากย้ายไปหอเดียวกับมันตามคำชวน อันที่จริง ผมไม่อยากย้ายไปไหนเลย

    “ถ้ากูอยากไป มึงจะให้กูไปเหรอ”

    ผมตัดสินใจ ถามคำถามที่ตัวเองสงสัยมานานออกไป แม้จะรู้คำตอบดี

    “กูมีสิทธิห้ามมึงมั้ยล่ะ”

    “...”

    คำพูดดูเหมือนไม่มีอะไร แต่แววตาที่มองมายังผม แม้มันจะมืดมาก แต่ผมรู้สึกได้ว่าแจบอมกำลังหาคำตอบให้คำถามที่มันตั้ง

    แต่ผมไม่มีคำตอบให้หรอก ผมเองยังไม่กล้าหาคำตอบนั้นให้ตัวเองเลย เพราะกลัวว่ามันจะพังทุกอย่างที่เป็นอยู่

    ความเงียบโรยตัวอยู่สักพัก ก่อนแจบอมจะทำลายมันด้วยการถอนหายใจใส่หน้าผมแรงๆแล้วผละตัวออกห่าง เปลี่ยนเป็นพลิกตัวไปนอนหงายแทน

    “ถ้าจะไปจริงๆก็บอกกู กูจะได้หาเมทใหม่”

    “ไม่ไป”

    “...”

    “กูไม่ไป บอกตอนไหนว่าจะไป”

    ผมเผลอโพล่งออกไปโดยไม่ทันคิด ไม่รู้ว่าเพราะความรู้สึกโหวงๆตอนแจบอมปล่อยอ้อมกอดเมื่อกี้หรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร ผมก็รู้ตัวแล้ว

    ผมชอบมัน

    คนที่ไม่มีอะไรเหมือนกับผมเลย

    “...”

    “...”

     “คบกันมั้ยมึง”

    หา ไรวะ เหมือนหูฝาดได้ยินอะไรแปลกๆ

    ฮือ กูต้องเขินมั้ยอ่ะ เพราะตอนนี้กูงงด้วยไง อยู่ๆก็มาขอคบ ผีบ้าอะไรเนี่ย ว้อยยย

    “ถ้าไอ้แจ็คมันสงสัยนักว่ากูกับมึงเป็นอะไรกัน ก็บอกมันไปว่าเป็นแฟนกัน”

    ได้เหรอวะ คือไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้บทสนทนามันมาจบที่ตรงนี้ แต่แววตาคนข้างๆคือจริงจังมาก ไม่มีทีท่าล้อเล่นเลยสักนิดจนผมเริ่มเกร็ง

    “มึงชอบกูเหรอ”

    “จูบไปตั้งหลายที ไม่ชอบมั้ง”

    “หลายที?

    “อ้าว มึงจับได้แค่ทีเดียวเหรอ”

    และก็ตามด้วยเสียงดังปั้กอันเกิดจากมือของผมไปทุบอกคนที่ทำหน้าเหลอหลา คนเหี้ยครับ แอบลักหลับผมไปบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทำไมต้องมาหน้าร้อนหน้าแดงใส่ไอ้คนโรคจิตแบบนี้ด้วยวะ ฮือ

    “แต่มึงก็ชอบกูเหอะ ไม่งั้นกูโดนต่อยไปแล้ว”

    ใช่ ผมชอบมัน ผมเกลียดแววตามั่นอกมั่นใจทะลุความมืดนั้นเหลือเกิน หมั้นไส้จนไม่อยากเชื่อว่าผมจะทนคนแบบนี้มาได้ตั้งนาน

    “มึงว่าไง คบกับกูมั้ย กูชอบมึงมากนะ”

    “...”

    “...”

    “เออคบก็คบ”

    ผมไม่รู้ว่าตัวเองคิดผิดมั้ย แต่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยตัดสินใจอะไรไวเท่านี้มาก่อน

    ผมอาจจะไม่มีอะไรเหมือนกันกับมัน แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาก้ชัดพอแล้วที่จะรู้ว่าผมกับมันไปได้ดีแค่ไหนถ้ามีกันและกัน ก็แค่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ

    ก็แค่ไม่ต้องแอบจูบตอนหลับอีก ก็แค่นั้นเอง

     

     

     

    #ฟิคเมทBN ขออนุญาตตัดจบ ฉับๆๆๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×