คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : (SF) JJP : Unfixed (3)
UNFIXED (3)
คำเตือน : เรื่องนี้ตัวเอกไม่ฟิกโพสิชั่นนะคะ
เพราะงั้นใครรับไม่ได้กดออกเนอะ
อย่าลืมอ่านพาร์ทหนึ่งและพาร์ทสองก่อนน้า
Couple: Jinyoung x JB
Position: Bnior x NiorB
Status: Unfinished
Rate: PG-18
#UnfixedJJP
สามวันแล้วที่เราไม่ได้กลับไปที่ห้องเก็บของนั้น
อันที่จริง
จินยองไม่ต้องรีบเร่งพาตัวเองไปที่ห้องหลังคลับเพื่อพบใครบางคนในช่วงเบรกสิบห้านาทีตอนสี่ทุ่มครึ่งอีกแล้ว
ตอนนี้เขาใช้มันไปกับอย่างอื่น
“ไปสูบบุหรี่มั้ย”
กับคนๆเดิม
จินยองไม่รู้ว่ามันแปลกมั้ย
แต่ดูเหมือนยิ่งพวกเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากเท่าไหร่ เซ็กก็จำเป็นน้อยลงเท่านั้น
“วันนี้ลูกค้าคอมเพลนบ้างรึเปล่า”
ดีเจหนุ่มเอ่ยถามก่อนจะพ่นความสีขาวสะอาดออกไปยังอากาศเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า
ไม่มีเหตุผลต้องรีบ เขาชอบตรงนี้ ตอนนี้
“ไม่มีคนด่า
มีแต่คนชม”
ไม่รู้จินยองมีหน้าที่คอยรายงานฟีดแบ็คการเปิดเพลงของอีกคนตั้งแต่เมื่อไหร่
อาจจะตั้งแต่ไม่ได้ใช้เวลาสิบห้านาทีแสนสั้นกับการเปลื้องผ้ากันและกันละมั้ง
เราถึงได้มีโอกาสคุยกัน
‘เหมือนเพื่อนปกติเขาทำกัน’
แจบอมบอกอย่างนั้น
แต่เขารู้ว่ามันไม่จริง
จินยองจ่อมวนบุหรี่เข้ากับริมฝีปากอีกครั้ง
สูดหายใจเข้ารับควันรสเปรี้ยวปนขมซ่านทั่วคอเข้าปอดก่อนจะอัดพ่นควันออกมาสู่อากาศภายนอกผ่านจมูก
นิโคตินช่วยผ่อนคลายความหนักอึ้งของกล้ามเนื้อตึงๆจากการยืนชงเครื่องดื่มนานหลายชั่วโมงได้ดี
จินยองพิงศีรษะกับผนังอิฐเย็นเฉียบ หลับตาลงเผื่อให้ดวงตาได้ผ่อนคลายบ้าง
“ผมชอบเพลงที่พี่เปิดบนรถวันนี้”
“เพลงไหน”
จินยองพึมพำเนื้อร้องของท่อนฮุคที่เขาสลัดออกจากหัวไม่ได้ให้นักดนตรีหนุ่มฟัง
นานแล้วที่จินยองไม่ได้ร้องเพลงให้คนอื่นฟัง
เขามัวแต่สนุกกับศิลปะการชงเครื่องดื่มและเรียนรู้การชวนคนแปลกหน้าคุยจนลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยรักเสียงดนตรีมากแค่ไหน
“เพลงWine ของ Suran”
แจบอมเอ่ยตอบสั้นๆ
สูดเอาควันจากมวนบุหรี่เข้าปอดเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงทิ้งมวนบุหรี่ที่ยังเหลืออีกครึ่งมวนลงพื้น
แจบอมไม่เคยชื่นชอบการสูบบุหรี่ มันไม่ดีกับเสียงของเขา แต่บาร์เทนเดอร์ตรงหน้ากลับหลงใหลการดูดกลืนควันอันตรายนั้นเข้าปอดเหลือเกิน
แม้เจ้าตัวจะค้านหัวชนฝาว่าไม่ได้ติด
แต่แจบอมก็รู้ดีว่าไม่มีวันไหนที่จินยองจะไม่พกซองบุหรี่นอกกลิ่นมิ้นต์เย็นๆที่มันชอบติดตัว
“ไม่นึกว่าพี่จะฟังเพลงแนวนี้
ถ้าผมไม่เคยนั่งรถพี่ก็คงคิดว่าชอบเพลงแนวEDM”
จินยองทิ้งมวนบุหรี่ที่ถูกสูบจนหมดมวนลงบนพื้น
แจบอมสูบเสร็จนานแล้ว แต่ยังคงยืนอยู่พิงระเบียงเหล็กอยู่ตรงข้ามเขาไม่ยอมไปไหน
“ผมอยากฟังเพลงที่พี่แต่งบ้าง”
แจบอมเคยบอกว่าจินยองใช้เวลาดื่มด่ำกับรสบุหรี่นานเกินไป
“ไว้กลับบ้านไปจะเปิดให้ฟัง”
แต่สุดท้ายก็ยังยืนรออยู่ตรงนี้
บางทีการเปลี่ยนจาก
Casual sex เป็น Casual Talk
ก็ไม่ได้แย่นัก เพราะยังไงซะ พวกเขาก็เป็นเพื่อนกัน
จินยองจะเคยชินกับการมีอยู่ของเพื่อนสักคนก็คงไม่เป็นไรหรอก สุดท้ายแล้วแจบอมก็ไม่มีวันพยายามผูกจินยองไว้กับตัวเหมือนที่คนอื่นๆเคยทำ
เพราะเราเป็นเพื่อนกัน แค่เพื่อนกัน
ตราบใดที่แจบอมมองเขาเป็นเพื่อน
มันก็ไม่มีอะไรต้องกลัวใช่มั้ยล่ะ
เสน่ห์ของการทำงานในครึ่งหลังคือลูกค้าที่มาที่บาร์นั้นกำลังเมาได้ที่
แอลกอฮอล์ที่วิ่งวนในร่างกายของหนุ่มสาวมากล้นจนนำไปสู่การตัดสินใจอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง
เช่นการให้ทิปหนักมือเกินไป หรือคายความลับน่าอายให้คนแปลกหน้าอย่างจินยองฟัง
ถือเป็นหนึ่งในความสนุกของงานของเขา
แต่ก็ใช่ว่ามันจะสนุกเสมอไป
“เพล้ง”
โดยเฉพาะเมื่อมีเรื่องต่อยตีกัน
งานเข้าจนได้สินะ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกค้ามีเรื่องกัน
แม้คลับของมาร์คจะเป็นคลับชื่อดังและมาตรฐานกลุ่มลูกค้าชั้นสูง
แต่ตราบใดที่สติสัมปชัญญะถูกปิดกั้นด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์
เรื่องแบบนี้ย่อมเกิดขึ้นได้
จินยองเองซึ่งทำหน้าที่คอยดูแลลูกค้าในส่วนนี้ก็พลอยต้องเข้ามาเป็นกรรมการ
คอยแก้สถานการณ์ระหว่างรอการ์ดมาจัดการ
มันแย่ตรงที่เขาคือทัพหน้า
เพราะงั้นเลยโดนลูกหลงเอาง่ายๆ
“โอ้ย
เชี่ยเอ้ย”
บาร์เทนเดอร์หนุ่มสบถโดยไม่ละสายตาจากฝ่ามือที่เต็มไปด้วยเลือดสีแดง
การ์ดเข้ามาดึงตัวคู่กรณีทั้งสองออกไปแล้ว
ทิ้งไว้แค่รอยแผลเป็นทางยาวจากการถูกฟันด้วยขวดแก้ว ความรู้สึกเจ็บปวดแวบแรกเปลี่ยนเป็นชาหนึบไล่จากฝ่ามือไปยังแขนเพราะเลือดไหลออกมามากเกินไป
“จนได้สิมึง”
มาร์คเดินเข้ามาเช็คแผลของลูกจ้างที่ยืนหน้าเบ้
ร่างสูงหันไปฝากงานกับผู้จัดการที่เดินตามมาก่อนจะหันมาตบไหล่คนเจ็บเป็นเชิงเรียก
“เดี๋ยวกูพาไปโรงบาล”
มาร์คพูดแล้วเดินนำออกไป
จินยองเหลือบมองร่างสูงที่ยืนวุ่นวายกับการปรับนู่นนี่อยู่ตรงบูธดีเจโดยไม่แม้แต่จะสนใจเหตุการณ์ชกต่อยเมื่อครู่
เสียงบีธของเพลงเร่งเร้าสนุกยิ่งขึ้นจนคนที่ตื่นตกใจกับการชกต่อยหันกลับไปสนุกกันต่อแล้ว
จินยองกำผ้าขาวสะอาดที่ซับเลือดของตัวเองแน่นขึ้นแล้วหันกลับไปคว้ามือถือและกระเป๋าตังค์จากหลังบาร์แล้วเดินตามมาร์คออกไป
ไม่รู้ว่าคาดหวังอะไรเหมือนกัน
ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่พี่มันไม่แคร์
จินยองจะได้ไม่ต้องมาหนักใจว่าแจบอมจะมาวุ่นวายกับชีวิตเขามากเกินไปจนเขาอึดอัดเหมือนคนอื่นๆ
ก็แค่ระยะห่างที่เท่าเดิม อย่าโลภสิจินยอง
แจบอมมองหนุ่มรุ่นน้องที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่บนเตียงของเขา
ขาข้างหนึ่งยังตกพ้นเตียงลงมาส่วนในมือก็ยังมีสมาร์ทโฟนเครื่องสวยคาอยู่
ท่าทางการนอนไม่ได้ไม่น่าสบายตัวแบบนั้น ถ้าให้เดา
คงมานอนเล่นโทรศัพท์แล้วเผลอหลับไปแน่ๆ
เจ้าของเตียงส่ายหัวระอาแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปโดยไม่ปลุกคนที่ถือวิสาสะมานอนเล่นบนเตียงโดยไม่ขอ
แค่เพียงสิบนาทีดีเจหนุ่มก็เดินออกมาพร้อมหยิบถุงยาของหนุ่มรุ่นน้องที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างกระเป๋าของมันมาเช็ค
ยาแก้ปวด
ยาแก้อักเสบ ใบเสร็จ หืม เย็บสี่เข็มเลยเหรอ นี่คงโดนยาแก้ปวดไปชุดใหญ่
ถึงได้หลับไม่รู้เรื่องแบบนั้น
มือหนาจับเอาขาของคนขี้เซาให้นอนบนเตียงดีๆ
เก็บมือถือไปวางไว้หัวเตียงและจัดหมอนให้เข้าที่
อีกฝ่ายดิ้นหนีสัมผัสกวนใจนั้นเพื่อหาที่สบาย
เสียงครางอือๆน่าหมั่นไส้นั่นทำเอาแจบอมเผลอหยิกปากไปทีสองที
ดีที่มันไม่ตื่นเสียก่อน
ซ่านัก
แทบจะกระโดดข้ามบาร์ไปต่อยกับเขาเลยมั้ง นึกว่าเป็นซุปเปอร์ฮีโร่เหรอวะ
หน้าที่หลักของดีเจคือการควบคุมบรรยากาศของปาร์ตี้ให้สนุกสนานโดยใช้เสียงเพลงเป็นรีโมทบังคับทิศทางอารมณ์ของคนฟัง
แม้ส่วนใหญ่คนจะไม่ได้ใส่ใจกับเพลงที่เขาเปิด แต่มันเป็นสิ่งที่คอยชักจูงให้ทุกคนเดินไปในทิศทางเดียวกันเสมอ
ตอนที่มีเหตุการณ์ที่มาดึงมู้ดลงอย่างการตีกันแบบนั้น
แจบอมคือคนเดียวที่ต้องดึงทุกอย่างให้กลับมาสนุกเหมือนเดิม
เพราะงั้นเขาเลยไม่ว่างแม้แต่จะได้มองหน้าคนที่ยืนเบ้หน้ากำมือที่เต็มไปด้วยเลือดอยู่ตรงบาร์
ก็ใช่ว่าจะไม่เห็น
แต่มันทำอะไรไม่ได้
อีกอย่าง
ต่อให้อยากทำ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรทำอยู่ดี แม้จะเป็นเพื่อนกันแล้ว ปาร์คจินยองก็คงไม่ชอบให้ก้าวก่ายชีวิตของมันอยู่ดี
เพราะงั้นก็ปล่อยให้น้องมันจัดการตัวเองแล้วค่อยมาตามดูแบบเงียบๆดีกว่า
มันปลอดภัยทั้งกับตัวจินยอง
และตัวเขาเอง
“แล้วกูนอนไหนอ่ะทีนี้”
เจ้าของเตียงพึมพำพลางถอนหายใจ
ร่างสูงเดินออกไปนอกห้องก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมผ้าห่มและหมอนของจินยอง แจบอมวางมันลงข้างคนที่หลับสนิทไปแล้ว
จัดแจงที่นอนอยู่สักพักก็เคลื่อนตัวลงนอนข้างๆอีกฝ่าย
มือหนาเอื้อมไปยกมือที่พันผ้าพันแผลของอีกคนมาวางไว้ในจุดที่จะไม่โดนทับให้ตื่นมาโวยวายกลางดึก
นิ้วเรียวแตะแผลเบาๆพร้อมมองใบหน้าหวานไร้พิษภัยตรงหน้า
“ตื่นมาอย่าโวยวายนะมึง”
จินยองเคยตื่นมาบนเตียงคนอื่น แต่ไม่เคยตื่นมาในกอดของใคร
จากประสบการณ์การใช้ชีวิตอย่างอิสระยี่สิบปีกว่าที่ผ่านมา
จินยองเคยใช้เตียงของคู่นอนเป็นสังเวียนความสนุกมานักต่อนัก แต่พอเกมพวกนั้นจบลง
เขาจะกล่าวอำลาและเดินออกมาหรือเดินหนีไปทันที ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องออกมา
ดีกว่าการตื่นมาในอ้อมกอดของกันและกันตอนเช้าโดยที่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อ
ได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก หรือไม่ ก็กลายเป็นการส่งสัญญาณผิดๆให้คู่นอนเข้าใจผิด
แต่เช้าวันนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง
จินยองตื่นเช้ากว่าปกติมาก
และตื่นขึ้นมาในกอดของแจบอม
ทั้งที่ควรแทรกตัวออกจากกอดนั้นแล้วหนีไปอาบน้ำหรือทำอะไรก็ตามก่อนที่อีกฝ่ายจะตื่นมามองหน้ากันแบบกระอักกระอ่วน
แต่เขาก็ไม่ทำ
อุ่นเกินไป
จินยองซบหน้าแนบกับอกกว้างอีกครั้ง
อีกนิดคงไม่เป็นไร
ก็เหมือนบุหรี่ที่เขาสูบนั่นแหละ ตราบใดที่เขาควบคุมความอยากได้เขาก็จะไม่ติด
ที่สำคัญที่สุด นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จินยองจะเผลอตัวมาอยู่ในอ้อมกอดนี้
เพราะงั้น
จินยองจะไม่ปล่อย
การนอนกอดกันตอนเช้าไม่เคยโรแมนติกสำหรับแจบอม
หน้าก็ไม่ได้ล้าง
ฟันก็ไม่ได้แปรง แถมบางทียังโดนหนุนแขนจนเหน็บกิน ครั้งสุดท้ายที่เขาตื่นมาในสภาพแบบนั้นคือตอนคบกับแฟนเก่าคนล่าสุด
ใช่
ตอนคบกับแฟนเก่าคนล่าสุด
ไม่ใช่ตอนนี้
แจบอมตื่นมาสักพักแล้ว
แต่ไม่กล้าขยับ
หน้าก็ยังไม่ได้ล้าง
ฟันก็ยังไม่ได้แปรง แต่เหน็บไม่กินเพราะน้องมันไม่ได้หนุนแขน
มันซบหัวลงกับอกเขาแทน
มือขวาที่ยังมีผ้าพันแผลพันไว้วางแหมะลงข้างๆจมูกของมัน
ที่น่าหมั่นไส้เข้าไปอีกคือฟังจากเสียงกรนเบาๆนั่น เดาว่าคงหลับสบายน่าดู
“อื้อ” เสียงครางอืออากับจมูกที่ขยี้ไปมากับอกเขาเป็นสัญญาณอันดีว่าเขาควรใช้โอกาสนี้ปลุกอีกคน
“นอนสบายเชียวนะมึง”
คนโดนปลุกเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง
ตายังไม่ลืมดีแล้วยังมาทำหน้างอแงอีก แจบอมพลิกตัวตะแคงข้างให้จินยองลงไปนอนบนที่นอนทันทีเมื่อเห็นว่าบาร์เทนเดอร์มือเดี้ยงรู้สึกตัวแล้ว
ส่วนตัวเองก็ลุกขึ้นเท้าแขนมองหน้าอีกฝ่าย
“มาเนียนนอนเตียงกูเหรอ”
“แล้วทำไมพี่ไม่ปลุกผมอ่ะ”
ขี้เถียง
อยากหยิกปากอีกสักรอบแต่รอบนี้น่าจะโดนหยิกกลับเลยไม่เอาดีกว่า
“มึงนั่นแหละ
ทีหลังอยากนอนเตียงก็มานอน จะได้ไม่ต้องเปิดแอร์สองเครื่อง เปลืองไฟชิบหาย”
แจบอมเอนตัวนอนหงายลงอีกครั้งโดยยกมือมาประสานกันรองแทนหมอน
จินยองมองค้อนกลับมาเพราะโดนกล่าวหาว่าใช้ไฟเปลือง
ก็เปลืองจริงนี่หว่า
“ผมนอนพัดลมได้”
ยอมง่ายๆซะที่ไหน
ก็พอรู้หรอกว่าไม่อยากอยู่ใกล้กันเกินจำเป็น แต่เห็นแบบนี้ก็อดแกล้งไม่ได้เลยจริงๆ
“คือจะนอนแยกกันให้ได้ว่างั้น
ทำไมวะ กลัวกูปล้ำงี้”
แจบอมถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแต่กลับได้การตอบรับเป็นเพียงความเงียบจนคนถามต้องหันไปหา
ใบหน้าหวานฉายแววกังวลกำลังมองตรงมาที่เขาด้วยแววตาตัดพ้อ เห็นอย่างนั้นแจบอมเลยได้แต่ถอนหายใจและพลิกตัวมามองอีกฝ่ายให้ถนัดขึ้น
“ผมไม่แชร์เตียงกับใคร”
จินยองตอบเสียงแผ่ว
ดวงตากลมโตจดจ้องไปที่มือข้างที่เป็นแผลของตัวเองเหมือนไม่ใส่ใจคำพูดที่เพิ่งพูดเท่าไหร่นัก
แจบอมแสยะยิ้มมุมปากกับเหตุผลที่อีกฝ่ายมอบให้เพราะเขารู้ดีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ยอม
ขี้โกหก
มือหนายกไปผลักหัวคนเป็นน้องเบาๆ
จินยองสะบัดหัวหนีแล้วส่งสายตาขุ่นๆกลับมา แจบอมยกยิ้มให้กับท่าทางดื้อๆนั้นแล้วยันตัวลุกจากเตียง
“มึงนี่เรื่องเยอะชิบหาย”
“ฝากนี่ให้แฟนมึงด้วย ไอ้ลูกค้าเมื่อคืนมันฝากขอโทษ”
แจบอมมองกระเช้าผลไม้กับซองขาวๆตรงหน้าซึ่งน่าจะเป็นเงินชดเชย
ไอ้มาร์คคงไปคุยมาให้แล้ว ก็ดันไปก่อเรื่องจนบาร์เทนเดอร์มือเดี้ยงวันนี้มาทำงานไม่ได้แบบนั้น
ดีหน่อยที่คลับนี้ค่อนข้างมีระดับ
ยังไงซะลูกค้าก็มีความรับผิดชอบมากพอจะมาเคลียร์ค่าเสียหายตอนที่สร่างพอจะรู้ว่าทำอะไรลงไป
“เอาไปวางไว้ข้างหลังดิ
เกะกะ”
ผมบอกปัดแต่มาร์คกลับเลิกคิ้วกลับมาเหมือนตกใจกับคำพูดผม
“อะไร?”
“เป็นแฟนกันแล้ว?”
น้ำเสียงประหลาดใจกับร่างสูงที่ยืนดักไม่ให้ผมหันไปเช็คอุปกรณ์นั่น
เป็นการประกาศกลายๆว่าวันนี้มันต้องได้คำตอบ
“เป็นเพื่อนกัน”
“อ่า
มิน่าล่ะ”
คราวนี้กลับเป็นผมเองที่ประหลาดใจกับท่าทางของมัน
“มิน่าอะไร?”
“อย่านึกนะว่ากูไม่รู้ว่าพวกมึงใช้ห้องเก็บของกูทำอะไรกัน
ก็ว่าทำไมเดี๋ยวนี้ห้องเก็บของกูเงียบๆ เป็นเพื่อนกันแล้วนี่เอง”
แจบอมขมวดคิ้วกับคำตอบ
อยากจะด่าเรื่องห้องเก็บของแต่มันดันมีสิ่งที่น่าสนใจกว่า
“เป็นเพื่อนแล้วเกี่ยวอะไรกับที่กูไม่ใช้ห้องเก็บของ”
แจบอมไม่ได้ขยายความการใช้ห้องเก็บของแต่มาร์คก็เข้าใจความหมายดี
“คือมึงจะใช้ก็ใช้
แต่ก็ต้องใช้กับคนอื่นป่าววะ เพราะเพื่อนกันจริงๆเขาไม่เอากัน”
ไม่เมคเซนส์
ทำไมล่ะ
Friend with benefits ก็เพื่อนไม่ใช่เหรอ
แจบอมไม่ได้ถามต่อ
หรือบางที
เขาอาจไม่ได้อยากรู้เหตุผลว่าทำไมมันถึงไม่ได้
เพราะต่อให้รู้ว่าไม่ควรทำ
แต่ถ้าใจเขาอยากจะทำ ต่อให้มีข้อห้ามร้อยแปดแจบอมก็ไม่สนหรอก สุดท้ายแล้ว
ทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาอยู่ดี
และตอนนี้แจบอมก็ยังอยากใช้ห้องเก็บของนั่น...กับจินยองคนเดียว
สี่ทุ่มครึ่งแล้ว
แจบอมไม่ได้ใช้ช่วงเวลาพักเบรกสิบห้านาทีกับมวนบุหรี่
แต่ใช้มันเพื่อโทรหาใครอีกคน
“ว่าไงพี่”
“กินยารึยัง?”
“กินแล้ว
จะนอนแล้ว พี่โทรมามีไร?”
นั่นสิ
แจบอมไม่รู้
รู้ตัวอีกทีก็เผลอกดโทรออกไปแล้ว
จนถึงตอนนี้ถึงได้รู้ว่าไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องโทรหาคนปลายสาย
“มาร์คฝากถามว่าจะกลับมาทำงานวันไหน?”
“เอ้า
ก็โทรบอกพี่เขาไปแล้วไงว่าวันจันทร์”
ดีเจหนุ่มโขกหัวเข้ากับกระจกห้องน้ำตรงหน้าเบาๆเป็นการลงโทษตัวเอง
พลาดชิบหาย
“มันฝากถามนานแล้วแต่กูลืมถามให้ไง
เพิ่งนึกได้เมื่อกี้”
น้ำขุ่นๆเลยโว้ย
ปลายสายพึมพำตอบรับเบาๆ
ส่วนแจบอมก็ไม่รู้จะถามอะไรต่อ เพราะตอนนี้จะทำอะไรก็ต้องระวังไปหมด ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยต้องมาคิดมาเรื่องการกระทำของตัวเองเลย
อาจเพราะก่อนหน้านี้เขาไม่เคยโทรหากันด้วยมั้ง
“ผมนอนละนะ
ตอนกลับขับรถดีๆ เข้าใจมั้ย”
“เออ
สั่งจังเลย”
เสียงหัวเราะดังลอดจากสมาร์ทโฟนเครื่องสวยก่อนอีกฝั่งจะตัดสายไป
แจบอมไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังยิ้มจนกระทั่งเผลอสบตาตัวเองในกระจก
รอยยิ้มยังค้างอยู่ตรงมุมปาก
ก่อนจะค่อยๆหายไปพร้อมความคิดบางอย่างที่เข้ามาแทน
อย่ายิ้มเหมือนคนมีความสุขแบบนั้นสิวะ
ครั้งสุดท้ายที่มึงยิ้มแบบนั้น
ชีวิตมึงพังแค่ไหนจำไม่ได้เหรอ
การกระทำบางอย่าง
ก็แค่น่าประทับใจมากๆจนต้องเฝ้านึกถึงซ้ำๆ
เหมือนกลิ่นหอมหวานอ่อนๆของขนมในโรงอบที่ลอยตามลมมาหลอกให้จินยองเดินตามไปเรื่อย
เรียกให้น้ำลายสอ หลอกให้เดินไปถึงเตาเพื่อจะรู้ว่ามันเป็นแค่การอบเนยเพื่ออุ่นเตาเท่านั้น
ไม่มีขนมเค้กหอมหวานอย่างที่หวังไว้
แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ให้หลงใหลมันไม่ได้
เหมือนที่จินยองเอาแต่จ้องมองจอมือถือตัวเองตอนนี้
มันไม่มีอะไรเลย
แค่บทสนทนาทั่วไปสองสามประโยคเกี่ยวกับงาน
แต่น้ำเสียงอ่อนโยนหวานหูก็ยังวนเวียนซ้ำๆอยู่ในหัวไม่ยอมหายไปสักที
ทั้งที่จินยองควรนอนหลับไปหลายชั่วโมงแล้ว ไม่ใช่นอนตาค้างในความมืดอยู่แบบนี้
จินยองเหลือบมองประตูเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณเตือนการคีย์การ์ดจากด้านนอก
แจบอมกลับมาแล้ว และจินยองน่าจะแกล้งหลับ ก่อนจะโดนถามว่าทำไมเขาถึงยังไม่นอน
แต่...
กลิ่นที่แสนคุ้นเคยเจือมาในอากาศแบบนี้
แม้จะน้อยนิด แต่บาร์เทนเดอร์อย่างเขาไม่น่าพลาด
“พี่ดื่มมาเหรอ?”
ไม่มีเสียงตอบกลับ
จินยองลุกขึ้นมองแจบอมวางกระเช้าผลไม้ไว้บนพื้นแต่ไม่ยอมเปิดไฟ ดวงตาเรียวมองสบกลับมาในความมืดสลัวของแสงจากด้านนอก
“นิดหน่อย”
ไม่นิดหรอก
และคงไม่หนักมากเช่นกัน
แต่จู่ๆ
คนที่ปฏิเสธวิสกี้ที่จินยองยื่นให้ทุกวันกลับดื่มจนเมาแบบนี้ มันก็น่ากังวลอยู่ดี
“พี่โอเครึเปล่า”
จินยองเดินตามร่างสูงในห้องนอน
อย่างน้อยในฐานะเพื่อนเขาก็ควรถามใช่มั้ยล่ะว่าเป็นอะไร
จะแกล้งทำเป็นไม่สนใจก็คงไม่ได้
แจบอมไม่ตอบ
แค่ถอดเสื้อยืดของตัวเองออกแล้วโยนให้พอพ้นตัว ร่างสูงนั่งลงบนเตียง ช้อนตาขึ้นมองจินยองนิ่งๆโดยไม่พูดอะไร
มือหนาตบเบาๆตรงที่ว่างข้างตัวสองสามทีเป็นเชิงเรียกให้จินยองไปหา
กลิ่นวิสกี้เบาบางลอยปนมากับลมหายใจร้อนๆของแจบอม
ความร้อนวาบหวามรดต้นคอของจินยองจนรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัว
“กูจูบมึงได้มั้ย?”
เสียงกระซิบถามแผ่วเบาแต่กลับจริงจังอย่างน่าประหลาด
“ตอนนี้เหรอ?”
“อือ
ตอนนี้ ที่นี่ กูจูบได้รึเปล่า”
จินยองสบตาแจบอมนิ่ง
อ่านไม่ออกว่าพี่มันคิดอะไรถึงได้ถามคำถามแบบนี้ขึ้นมา แจบอมรู้ดีว่าเขาจะตอบว่าอะไร
“ไม่ได้”
แต่ก็ยังจะถาม
ไม่รู้ว่าถามไปทำไม ในเมื่อสุดท้าย
อีกฝ่ายก็คว้าตัวจินยองเข้าไปจูบอยู่ดี
เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย
เราตกลงกันว่าจะเก็บเรื่องเซ็กไว้แค่ที่คลับ จะทำอะไรก็ไปทำกันข้างนอก
ไม่เผลอสนุกกันที่นี่เด็ดขาด จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ประหลาดเหมือนตอนวันแรกที่ย้ายเข้ามา
จินยองเห็นด้วยกับความคิดนั้น
เพราะมันคือการสร้างขอบเขตไม่ให้เราล้ำเส้นกันและกัน
แต่คนตรงหน้ากำลังทำผิดกติกา
เสื้อผ้าถูกปลดออกไปทีละชิ้นโดยมือของคนเป็นพี่
รอยจูบลากไล้เชื่องช้าไปตามผิวเรื่อยๆเช่นเดียวกับมือที่ค่อยๆบีบเค้นต่ำลงไปจนถึงขอบกางเกง
“พี่...หยุด..อ..ฮื่อ”
ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ
คนโดนเอาเปรียบอยากเอ่ยปากห้ามอีกครั้ง แต่ร่างกายกลับทำได้เพียงส่งเสียงครางอืออาตามแรงอารมณ์ที่ถูกอีกฝ่ายเร่งเร้า
ทุกจังหวะรวดเร็วจนเหลือเพียงเสียงหอบหายใจกระชั้นถี่และติดขัดไม่ได้จังหวะตามการเกร็งของร่างกาย
“บอกให้กูหยุดสิ”
เสียงกระซิบข้างหูท้าทายอีกครั้ง
“พูดสิจินยอง”
สมองว่างเปล่าของจินยองไม่รับรู้อะไรนอกจากเสียงหัวเราะเบาๆข้างหูกับกลิ่นวิสกี้อ่อนๆจากลมหายใจของอีกคน
มือเขาวุ่นวายกับการหาหลักยึดก่อนจะคว้าเข้ากับผ้าปูเตียง
เขาไม่อยากหยุด
ไม่เคยอยากหยุดเลย
“เด็กดี...”
แจบอมควรรู้ว่าจินยองไม่ใช่เด็กดี
บาเทนเดอร์หนุ่มพยายามควบคุมลมหายใจหอบถี่ของตัวเอง
เหลือบมองตัวการที่กำลังจะลุกหนี แต่จินยองเร็วกว่า มือหนาคว้าข้อมือเรียวและใช้แรงกระตุกเพียงนิดดึงอีกฝ่ายลงมานอนแล้วพลิกตัวขึ้นทับไม่ให้หนีไปได้
“จะหนีไปไหน หือ?”
เสียงนุ่มเอ่ยถามโดยไม่สนใจจะเอาคำตอบ
ริมฝีปากร้อนมัวแต่วุ่นวายกับการสร้างร่องรอยทำโทษคนตรงหน้า สัมผัสของจินยองจาบจ้วงและลุกลนเหมือนกลัวแจบอมจะเปลี่ยนใจจนคนเป็นพี่ต้องดึงให้อีกฝ่ายละจากร่างกายตนมาสบตากัน
“ค่อยๆ”
แจบอมเกลี่ยเส้นผมที่ปรกลงมาของอีกฝ่ายออก
“มึงมีเวลาทั้งคืน”
นั่นสินะ
ไม่ใช่แค่สิบห้านาทีในห้องเก็บของอีกแล้ว
จินยองเคยชินกับการใช้เวลาร่วมกับแจบอมในช่วงไม่กี่นาทีเหมือนดนตรีอิเล็คทรอนิคจังหวะรวดเร็ว
กดดันประสาทสัมผัสให้เร่งกอบโกยจากกันและกันก่อนจะปล่อยให้ท่อนดรอปของเพลงนำพาไปสู่ความสุขขั้นสุด
คืนนี้ต่างออกไป
เหมือนเพลง R and B ที่มีเสียงเปียโนหวานหูเสียจนเผลอหลับตาพริ้มไปกับความผ่อนคลายของมัน
ท่อนเวิร์สเชื่องช้าแต่กลับแทรกซึมผ่านทุกสัมผัสอย่างอ่อนโยน
เก็บเกี่ยวทุกรายละเอียดของตัวโน๊ตได้อย่างครบถ้วนไม่ตกหล่น
ค่อยเป็นค่อยไป และน่าจดจำ
เต็มไปด้วยเนื้อร้องที่พร่ำกระซิบใส่หูกันไม่รู้จบ
“จินยอง”
“พี่แจบอม”
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
น่าเสียดาย ที่มันไม่ใช่เพลงรัก
#UnfixedJJP
๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒
รบกวนช่วยกันส่งฟีดแบ็คเป็นกำลังใจให้กันด้วยน้า
ต่อไปอาจไม่ได้อัพถี่ทุกวันแบบนี้แต่จะกลับมาเท่าที่มีเวลานะคะ
อย่าลืมมาเล่นแท็ก #UnfixedJJP มาเล่นกันๆๆๆๆ
ความคิดเห็น