ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คลัง Short fic #JJP #Jinson

    ลำดับตอนที่ #10 : (SF) Jinson : Friendzoned (5)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 972
      20
      5 มี.ค. 61



     

    Couple: Jinyoung x Jackson

    Type: Short fiction

    Style: Drama

    Status: Unfinished

    อย่าลืมส่งฟีดแบ็คเป็นกำลังใจกันนะคะ เราเปิดแท็กแล้ว #ฟิคบตน มาเล่นกันเราเหงา555555


    เหมือนจะตาย

    ทุกครั้งที่ริมฝีปากอ่อนนุ่มเปียกแฉะลากผ่านผิวผมลงไปเรื่อยๆแบบนั้น

    จะตาย

    ทุกครั้งที่ความร้อนจากฝ่ามือจินยองซึมลึกผ่านเนื้อผ้าเข้ามาจนตัวผมสั่น

    จะขาดใจตายตรงนั้น

    ในทุกๆครั้งที่เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยชื่อผม

    ซ้ำแล้วซ้ำอีก

    “แจ็คสัน...”

    “จินยอง...”

    ถ้าวันนึงจินยองหายไป ผมจะเป็นยังไงนะ

     

                   

     

     

     

     

                    เมื่อผมบอกว่าทนได้ ผมก็ทนได้จริงๆนั่นแหละ

    ความสัมพันธ์แสนอันตรายของผมและจินยองเริ่มต้นมาได้สองเดือนแล้ว และหมอนั่นก็เก่งเหลือเกินจนไม่เคยโดนคนที่บ้านจับได้สักครั้ง

                    อาจมีแค่ผมคนเดียวที่เอาแต่ระแวงว่าวันหนึ่งเธอคนนั้นจะรู้ความจริง

    จินยองจับมือผมเดินมาไกลเกินกว่าที่ผมจะเดินคนเดียวได้แล้ว ล้ำเส้นทุกอย่างที่เคยเป็นกรอบที่ห้ามผมจากการรักจินยอง ไม่มีคำว่าเพื่อน ไม่มีคำว่าสงสาร ไม่มีความรู้สึกเสียดาย มีแค่ความรักของผมกับจินยองเท่านั้นที่หล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ครั้งนี้

    ผมมาไกล และไม่คิดจะจำทางกลับด้วยซ้ำ ถ้าวันนึงจินยองปล่อยมือผมไปและทิ้งผมไว้คนเดียว ผมก็จะนั่งอยู่ตรงนั้น รอมันเดินกลับมาจับมือผมอีกครั้งแล้วพาผมไป

    แล้วถ้าจินยองไม่กลับมาล่ะ?

    ผมจะทำยังไง?

    จินยองไม่ทิ้งผมหรอก ผมรู้ มันบอกผมผ่านมือที่บีบมือผมเบาๆทุกครั้งที่ผมเผลอเหม่อมองวิวด้านนอกคอนโดนานๆหรือ ผ่านรอยยิ้มปลอบใจที่มอบให้ผมเวลาผมยิ้มเศร้าๆไปให้

    จินยองรู้ว่าผมกลัว...

                    “ขมวดคิ้วอีกแล้วนะ”

                    เสียงบ่นพร้อมความร้อนจากปลายนิ้วที่แตะเบาๆตรงหัวคิ้วของผม จนผมต้องเลยหน้าขึ้นมองเจ้าของสัมผัสอบอุ่นนั้น จินยองส่งยิ้มตาหยีมาให้เหมือนทุกครั้งที่ก่อกวนการทำงานของผมได้สำเร็จ

                    “อย่ากวน”

                    ผมพึมพำเบาๆ อาจจะเบาเกินกว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเพราะผมเองก็ไม่อยากพูดคำนั้น ผมชอบที่จินยองมาคอยกวนผมแบบนี้ แม้จะทำให้การทำงานของผมชะงัก แต่ก็ยังชอบ แจ็คสันเป็นคนไม่ดี อยากเหลวไหล อยากให้จินยองคว้าผมออกไปจากกองงานตรงหน้าแล้วหลอกล่อผมให้ลืมงานด้วยสัมผัสแสนเจ้าเล่ห์ของมัน

                    แต่จินยองก็คือจินยอง จินยองผู้แสนเข้าอกเข้าใจ และแสนดีกับงานของเขาเสมอ

                    เพราะอย่างนั้น จินยองเลยไม่กวนแจ็คสันอีก แถมยังเอาแต่ไถมือถือเล่นปล่อยให้ผมทำงานอย่างเต็มที่ด้วย น่าแปลกที่ผมกลับหงุดหงิดกับท่าทางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับจอมือถือของมัน ผมถอนหายใจออกมาแล้วหันมาสนใจงานที่ผมผัดมาหลายครั้งจนใกล้เดดไลน์เต็มทน

                    “ใครคือมาร์ค?

                    “หือ?

                    ผมเงยหน้ามองจินยองที่เงียบไปนานจู่ๆก็เอ่ยขึ้นมา ตอนนี้ไม่มีท่าทีอารมณ์ดีอีกแล้ว ผมเหลือบมองจอสมาร์ทโฟนเครื่องสวยที่เจ้าตัวชูขึ้นให้ดูด้วยท่าทีหงุดหงิด

                    โทรศัพท์ของผม

                    และบนจอก็เป็นรูปแชทล่าสุดของพี่มาร์คที่ส่งรูปที่ถ่ายคู่กันตอนเลี้ยงขอบคุณบริษัทมาให้

                    “พี่ที่ทำงาน”

                    ผมตอบสั้นๆและพยายามเอื้อมไปคว้าโทรศัพท์คืนจากจินยอง แต่เจ้าตัวกลับหลบไม่ยอมให้เอาคืนง่ายๆ ผมพยายามอยู่ครั้งสองครั้งก็หยุด แค่ถอนหายใจแล้วมองหน้าคนสูงกว่าแทน

                    จินยองไม่มีสิทธิมายุ่งกับขอส่วนตัวผมแบบนั้น

                    “สนิทกันมากเหรอ?

                    “อือ ก็ระดับนึง รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียน”

                    “ทำไมกูไม่เคยรู้จัก”

                    เพราะมึงไม่เคยสนใจน่ะสิ ตอนนี้ไม่ใช่แค่จินยองหรอกที่กำลังหงุดหงิด ผมเองก็ไม่เย็นเท่าไหร่เหมือนกัน ผมไม่ชอบให้มันมองผมด้วยแววตาแบบนั้น เหมือนผู้ใหญ่มองเด็กที่ทำความผิดมาสักอย่างทั้งๆที่ผมก็อยู่ดีๆ มีแค่มันนั่นแหละที่มาแอบส่องมือถือผมโดยไม่ขอ

                    แล้วยังมีหน้ามาโกรธผมอีก

                    “ตอนนี้ก็รู้จักแล้วไง เอาคืนมา”

                    เราสบตากันนิ่ง ผมมองหน้าจินยองด้วยท่าทางทีชัดเจนว่าผมเองก็ไม่มีอารมณ์มาเล่น จนจินยองยอมยื่นโทรศัพท์คืนผมในที่สุด ผมเหลือบตามองมือที่ยื่นโทรศัพท์ตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่เย็นลง ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้า

                    “อ๊ะ!

                    แรงดึงที่ข้อมือทำผมลอยหวือไปตามการกระชากจนแผ่นหลังสัมผัสกับโซฟาหนัง ผมนอนราบโดยมีจินยองตามมานอนทับจนดิ้นหนีไปไหนไม่ได้ โทรศัพท์เครื่องสวยของผมไม่อยู่ในมือจินยองและไม่อยู่ในมือผม มันคงตกไปที่ไหนสักแห่ง

                    แต่นั่นไม่สำคัญเท่าการกระทำเอาแต่ใจของคนที่นอนทับผมด้วยแววตาขึงขังตอนนี้

                    “กูไม่เล่นจินยอง งานยังไม่เสร็จ”

                    แต่จินยองก็ไม่ปล่อย ผมเลยยิ่งดิ้น แม้มือสองข้างจะขยับไม่ไดเลยเพราะถูกมันรวบแล้วทับไว้ด้วยน้ำหนักตัวของมัน บางทีผมก็คิดนะว่าถ้าผมไม่เตี้ย ผมอาจไมโดนรังแกแบบนี้

                    “มึงสนิทกับมาร์คมากเหรอ?

                    “ก็สนิท” ผมยอมตอบคำถามเพื่อตัดปัญหา

                    “สนิทเท่ากูมั้ย?

                    จะเท่าได้ไงวะ

                    “ว่าไง? เห็นนัดกินข้าวตั้งหลายครั้ง สนิทขนาดไหนเหรอ?

                    คราวนี้ผมเงียบไม่ยอมตอบ และไม่มองหน้ามันด้วยซ้ำ ผมเบี่ยงหน้าไปด้านข้างจะได้ไม่ต้องมองคนที่เอาแต่หาเรื่องผมแบบนั้น น้ำเสียงและท่าทางเหยียดหยันชวนให้โมโห ถ้าผมยังฝืนมองต่อผมคงต่อยมันแน่

                    คุยกันด้วยเหตุผลก็คงไม่ฟังหรอก ถ้าใจจะอคติไปแล้วแบบนั้น

                    “หึ”

                    จินยองเค่นเสียง ลมหายใจร้อนๆรดแก้มผมทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้แค่ไหน

                    “แจ็คสัน” เสียงทุ้มกระซิบที่หูของผมเบาๆ ตามด้วยความเจ็บปวดเล็กๆแล่นพล่านเมื่อฟันของมันขบเข้าที่หูเบาๆ ผมไม่เจ็บแต่ตกใจเสียจนเผลอหันไปสบตาคนที่ยิ้มมุมปากตรงหน้า

                    “อย่ามากัด”

                    “จะกัด”

                    จินยองเอ่ยแค่นั้นตามด้วยการกัดเข้าที่คอของผม แรงจูบวูบวาบทำเอาผมเผลอสติหลุดจนแทบลืมว่าทำอะไรอยู่ อย่าเคลิ้มเชียวนะแจ็คสัน จินยองทำตัวไม่น่ารัก ถ้ายังปล่อยให้ตามใจหมอนั่นจะเหลิง

                    อ่า...รู้สึกดีเป็นบ้า

                    “จิน...จินยอง ปล่อยโว้ย” ผมพยายามดิ้นหนีริมฝีปากที่ค้างอยู่ตรงต้นคอผมนานกว่าปกติ ถ้านานกว่านี้เป็นรอยแน่ๆ แล้วผมจะออกไปเจอคนข้างนอกยังไงเล่า

                    แต่ถึงจะดิ้นจะหนียังไงสุดท้ายก็เป็นจินยองเองที่ผละออกไป โดยจูบย้ำลงไปที่เดิมอีกครั้งเหมือนปิดงาน จากแววตาสะใจของมัน ผมคงห้ามไม่ทันแล้วล่ะ

                    “มึงแม่ง” ผมคาดโทษคนที่เอาแต่ยิ้ม อารมณ์หงุดหงิดตอนแรกมากขึ้นจนยากจะระงับ

                    “คนจะได้รู้ว่ามีเจ้าของ”

                    “กูไม่ใช่หมา”

                    “ก็ไม่ต้องเป็นหมา เป็นแจ็คสันก็มีเจ้าของได้”

                    จินยองตอบแค่นั้นก่อนจะก้มลงมาเอาจมูกฝังที่แก้มแรงๆอย่างมันเขี้ยว แต่ผมสิ ปวดไปหมดแล้วโว้ย

                    “เป็นแจ็คสันของกู ของกูคนเดียวพอแล้วเข้าใจมั้ย”

                    “ไม่!

                    ผมเถียงกลับด้วยความโมโห ทำไมจะต้องเออออกับมันด้วย ทำอะไรไม่คิดถึงใจผมเลยสักนิด ทั้งเรื่องโทรศัพท์ผม เรื่องรอยที่คอ จินยองไม่ได้สนใจความรู้สึกผมด้วยซ้ำ ก็แค่ตามใจตัวเองไปเรื่อยๆ

                    ผมอาจผิดเองที่ปล่อยให้มันเหลิงได้ขนาดนี้

                    ผมผลักมันออกอีกครั้งแต่ครั้งนี้กลับง่ายดาย เหมือนจินยองไม่ได้พยายามจะขังผมไว้ในกอดของมันแล้ว ผมลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปมองคนที่เคยนอนทับผมแต่ตอนนี้กลิ้งลงไปนั่งบนพื้น แววตาเรียบนิ่งว่างเปล่าของมันยังคงมองมาที่ผม

                    ผมถอนหายใจ จัดเสื้อผ้ายับๆให้เข้าที่และกลับไปทำงานของผมต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                    ให้ผมใจเย็นกว่านี้ค่อยเคลียร์ละกัน

     

     

                    ผมใจเย็นลงแล้วแตเราไม่คุยกัน แค่ส่งยิ้มให้กันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งนั่นดีแล้ว บางที มันอาจทำให้ผมไม่เคยตัวที่จะต้องรู้สึกดี ปล่อยให้รู้สึกแย่บ้างก็ดี ความสัมพันธ์ของผมกับมันจะได้ไม่สวยงามเกินไป ผมจะได้ไม่เสียดายเวลามันหายไป

                    สักวันหนึ่งจินยองจะหายไป อาจเป็นวันนี้ อาจเป็นพรุ่งนี้ อาจเป็นเมื่อไหร่ก็ได้ และผมจะเจ็บมากๆ แต่ผมคงโทษตัวเองนั่นแหละที่หลงรักจินยองได้มากขนาดนี้ ทั้งที่มันทำให้ผมทรมานเจียนตาย แต่กลับรู้สึกดีเสียจนถอนตัวไม่ขึ้น

                    สัมผัสนั้น

                    เสียงนั้น

                    ผมหมกมุ่นกับมันจนไม่สนใจความจริง

    “คิดอะไรอยู่ หือ?

    น้ำเสียงอบอุ่นพร้อมปลายจมูกที่ไถไปมาตรงแก้มของผมเรียกสติผมกลับมาจากความกลัวทุกอย่างเหมือนตื่นจากฝัน รอยยิ้มนั้นส่งมาให้ผมก่อนจะเหือดหายไปเมื่อเห็นว่าผมไม่ยิ้มตอบ

    “ถ้าวันนึงเราเลิกกันกูจะทำยังไง”

    “หืม?

    “กำลังคิดว่า ถ้ามึงหายไป...อื้อ”

    จูบไม่ใช่การแก้ปัญหาหรอกนะจินยอง

    แต่ผมไม่เคยปฏิเสธสัมผัสต่างๆที่จินยองมอบให้อยู่แล้ว ผมยินดีรับมันไว้ด้วยความเต็มใจ ไม่ว่าจะตอนที่ผมสุขทีสุดหรือเศร้าที่สุด ผมก็ยังยอมจูบมันอยู่ดี เพราะสัมผัสของคนที่รักมันเหมือนอากาศที่ผมขาดไม่ได้

    ความรู้สึกของผมมากกว่าคำว่ารัก เพราะตอนนี้ผมหลงคนตรงหน้าอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

    อยากจะรัก

    “จินยอง...”

    รักให้มากกว่านี้

    “กลับ...”

    ผมยอมหนีปัญหาไปเรื่อยๆแค่ได้รักมันก็พอ

    ผมดันไหล่อีกฝ่ายให้ออกห่างจากตัวแล้วหันหนีสัมผัสดื้อดึงเอาแต่ใจ จินยองยอมหยุดแต่โดยดี มือหนาลูบหัวผมเบา ผมไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง มันเขินแต่มันก็ยิ้มไม่ออก ความสุขของผมถูกกัดกินไปเพราะความกลัวพวกนั้น

    ผมอยากกลับไปเป็นแค่เพื่อนที่คิดไม่ซื่อ

    แค่แอบรักแอบมอง

    น่าขำที่ตอนนั้นผมโวยวายแทบตายคิดว่าตัวเองเจ็บปวดนักหนาเหมือนโลกทั้งโลกหม่นไปหมด แต่นั่นเทียบไม่ได้กับความรู้สึกของผมในตอนนี้ด้วยซ้ำ เพราะเมื่อจินตนาการที่มันหลอเลี้ยงใจผมกลายเป็นความจริงแล้ว ผมทนไม่ได้ที่ปล่อยให้มันหายไป

    “กลับบ้านได้แล้ว ดึกแล้ว”

    “ไม่กลับ”

    “ไม่ห่วงคนที่รอมึงอยู่ที่บ้านบ้างเหรอ”

    และนั่นทำให้จินยองชะงักทุกการกระทำ ผมอยากชมตัวเองที่เอาชนะจินยองได้แต่ครั้งนี้ผมไม่ดีใจเลยสักนิด ผมสบเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของจินยองแล้วได้แต่นิ่งเงียบ ผมไม่เคยพูดเรื่องนี้ขึ้นมาสักครั้งตอนที่เราอยู่ด้วยกัน อาจเพราะผมยังคงหงุดหงิดเรื่องก่อนหน้านี้ละมั้งเลยทำให้เผลอพูดไป

    “ทำไมเดี๋ยวนี้ไล่กูตลอดเลย”

    “ไม่ได้ไล่”

    “แต่ไม่อยากให้กูอยู่ด้วย” จินยองผละออกจากผม ลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าหงุดหงิด

    ผมเหลือบมองคนตัวสูงหยิบเสื้อผ้ามาใส่ด้วยอารมณ์ไม่สู้ดีนัก ผมเหนื่อยเกินกว่าจะมาเถียงกับมัน ทำไมถึงไม่เข้าใจว่าผมหวังดีกับเรื่องของเรามากต่างหากถึงได้ไล่ ผมไม่อยากให้ที่บ้านมันสงสัย ไม่อยากให้เรื่องของเรามันจบเร็วเกินไปก็เท่านั้น

    “พรุ่งนี้กูมีงานเช้า ยังไงตื่นมาก็ไม่เจอกันอยู่แล้ว มึงกลับไปนอนบ้านไม่ดีกว่าเหรอ มึงไม่ค่อยกลับบ้านแบบนี้เมียน้อยใจแย่” ...และเขาอาจสงสัยเอาได้....

    “หึ อย่ามาอ้างกูเลย”

    คำพูดประชดประชันนั้นปลุกอารมณ์ครุกรุ่นในตัวให้ผมลุกขึ้น แล้วมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาติดกระดุมด้วยใบหน้าหงุดหงิด

    “พูดอะไร”

    “ชอบทำงานมากนี่ ไม่รู้ว่างานสนุกหรืออย่างอื่นน่าสนใจกันแน่” จินยองเหลือบมองผมพร้อมรอยยิ้มเยาะที่ผมเกลียดแสนเกลียด

    เหมือนผมคือฝ่ายผิดที่ทำงานหนักให้ตัวเองไม่มานั่งคิดมากเรื่องของมันงั้นล่ะ

    “ถ้าพูดดีๆไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด”

    “ใช่ดิ มึงคงคิดทางออกเรื่องของเราไว้หมดแล้วสินะถึงได้ไม่ง้อกูแบบนี้”

    “จินยอง”

    ผมกดเสียงต่ำและสบตากับแววตาหาเรื่องนั้นนิ่ง ไม่มีคำพูดใดๆนอกจากดวงตาสองคู่ที่สื่อสารถึงกัน แลกความเจ็บปวดและความโกรธท่ามกลางแสงสลัวของห้องนอน จินยองเจ็บปวดแค่ไหนทำไมแจ็คสันจะไม่รู้ แต่จินยองล่ะ รู้บ้างไหมว่าผมก็เจ็บไม่ต่างกับมันเลย

    “กูไม่ได้จะไปไหนเลยจินยอง”

    “มึงอดทนกับกูไม่ได้นานหรอกแจ็คสัน กูรู้”

    “อย่ามาคิดแทนกู”

    ผมลุกจากเตียงไปหยุดตรงหน้าจินยอง สองมือกุมหน้าของอีกฝ่ายไว้ให้หันมาสบตาผมตรงๆ

    “มึงไม่รู้หรอกว่ากูอดทนเก่งแค่ไหน”

     

     

     

     

                    ผมรู้ว่าผมอดทนเก่ง แต่ไม่เคยรู้เหมือนกันว่าเก่งขนาดนี้

                    “อันนี้ล่ะ”

                    “สวยดี”

                    “มันพิเศษพอป่ะวะ วันเกิดเลยนะ”

                    จินยองวางสร้อยเส้นสวยลงที่เดิมแล้วเกลี่ยนิ้วไปที่เครื่องประดับชิ้นถัดมาในถาดเดียวกันอย่างตั้งใจ ปล่อยให้แจ็คสันยืนอยู่ตรงนั้น จ้องมองคนที่ตัวเองรัก เลือกของขวัญวันเกิดให้ภรรยาของมัน

                    “อันนี้ล่ะ”

                    จินยองเงยหน้ามองผมด้วยแววตาใสซื่ออีกครั้ง ในมือมีสร้อยเส้นยาวที่สวยไม่ต่างกับเส้นก่อนๆ แต่แจ็คสันไม่ได้ชื่นชมมันนัก ใจของผมด้านชาเกินไป

                    ผมโกรธ แต่ก็รู้ว่าไม่มีสิทธิโกรธ เพราะผมตกปากรับคำมาเอง

                    ยอมตกปากรับคำทั้งที่รู้ว่าจินยองจงใจทำเพื่อประชดผม

                    “แล้วแต่มึงเลย มึงรู้จักเขาดีที่สุดอยู่แล้ว”

                    ผมยิ้มให้จินยองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้มันจะเป็นยิ้มที่ทำเอาปวดแก้มไปหมด ตาก็แสบร้อนจนอยากหาน้ำมาล้างซะ ทำไมกัน ทำไมผมต้องมาทนใจดีกับเรื่องพวกนี้ด้วย

                    ถ้าผมเห็นแก่ตัวรักจินยองโดยไม่คิดสงสารผู้หญิงคนนั้นได้ก็คงดี

                    “นั่นสินะ”

                    จินยองพึมพำเบาๆแล้วส่งสร้อยเส้นนั้นให้พนักงานเอาไปใส่กล่อง ส่วนผมก็เลือกที่จะเดินหนีไปให้ห่างจากความเจ็บปวดตรงหน้าเท่าที่จะทำได้

                    “อ้าว แจ็คสัน”

                    “พ..พี่มาร์ค?

                    แววตาตกใจพลันเปลี่ยนเป็นแววตากังวลของมาร์คทำให้ผมรู้ตัวว่าตอนนี้ สีหน้าของผมคงไม่ดีเท่าไหร่

                    “โอเคมั้ย”

                    อยากตอบว่าไม่ แต่ทำไม่ได้

                    ผมพูดอะไรไม่ออก กลัวว่าถ้าขยับแม้แต่นิดเดียว น้ำตาอาจจะไหลไม่หยุดก็ได้

                    มาร์คถอนหายใจ ก่อนจะคว้าข้อมือของผมเพื่อลากออกไปจากร้านจิลเวอรี่นั่น ผมได้แต่ก้มหน้าตามแรงดึง น้ำใสๆอุ่นๆไหลจากดวงตาแดงก่ำอย่างห้ามไม่ได้ ได้แค่เดินตามคนตัวสูงกว่าไปเรื่อย

                    ผมหยุดลงตรงไหนสักมุมของห้างที่ไม่มีคนพลุกพล่าน ไหลของผมสั่นตามแรงสะอื้นแม้จะพยายามห้ามไม่ให้ร้องไห้แค่ไหนก็ไม่ได้ผล

                    แรงสะอื้นที่เพิ่มมากขึ้น จนในที่สุด มาร์คก็ทนไม่ไหว กอดผมเข้าจนได้

                    “เหนื่อยมั้ยครับ”

                    “ฮึก...”

                    “ไม่เป็นไรนะ”

                    คำปลอบเบาๆค่อยๆออกจากปากคนพูดน้อย ฟังบ้างไม่ฟังบ้างแต่อย่างน้อย ผมก็ไม่ต้องปั้นหน้าทำตัวสบายดี

                    แรงสั่นสม่ำเสมอจากไอโฟนในกระเป๋ากางเกงเรียกความสนใจของผมไปจากอ้อมกอดตรงหน้า ผมดึงมันออกมาพยายามปาดน้ำตาให้สามารถมองเห็นหน้าจอที่แสดงเบอร์และภาพรอยยิ้มของคนที่เขาไม่อยากเจอที่สุดอยู่

                    ผมกดวางสาย

                    จินยองไม่ควรเห็นผมตอนนี้

                    “ใส่นี่ไว้” แจ็คสันมองมาร์คทียื่นแว่นกันแดดให้ผม ผมสูดน้ำมูกและพยายามกลั้นสะอื้น รับเอาแว่นกันแดดมาใส่อย่างว่าง่าย ก่อนจะปล่อยให้มาร์คกุมมือเดินออกไปจากตรงนั้น

                    การที่อยู่ๆหายไปแบบนั้นคงเป็นเหตุให้ต้องทะเลาะกับจินยองอีกแน่ๆ แต่ไม่เป็นไร ผมอ้างงานเอาก็ได้ หรือแม้แต่บอกความจริงไปก็ยังได้เลย

                    เพราะในท้ายที่สุด พวกเราก็เป็นแค่เพื่อนกัน

    ถึงจะรักกันมาก แต่ก็เป็นเพื่อนที่รักกันมากก็เท่านั้นเอง

                   

     

                    จินยองไม่ได้โทรหาผมอีกจนกระทั่งผ่านมาอาทิตย์นึงแล้ว

                    เจ็ดวันที่ไม่มีการติดต่ออะไรกันเลย ไม่มีข้อความ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เหมือนหายไปอยู่คนละโลกแล้ว และผมเองถึงได้รู้ตัวว่าผมแม่งโคตรเสพติดมันเลย

                    แค่หายไปไม่กี่วันก็พาลทำผมกินอะไรไม่ลงไปหลายมื้อ น้ำหนักลงไปตั้งหลายโล

                    “ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกแล้ว”

                    “ครับ?” แจ็คสันหันไปมองมาร์คที่ถอนหายใจและส่ายหน้าเบาๆเหมือนระอาอะไรสักอย่าง ก็คงเบื่อผมนั่นแหละ ผมยังเบื่อตัวเองเลยนี่นา

                    “กลับบ้านไปนอนพักมั้ย นายดูไม่ไหวเลย”

                    “ผมไหวพี่ ลุยงานได้อีกเยอะ”

                    “งานอะไรล่ะ นายทำเป็นบ้าเป็นบ้าเป็นหลังจนไม่เหลือให้พี่ทำแล้วเนี่ย”

                    ก็จริง เพราะเขาไม่อยากให้จินยองมามีอิทธิพลมากนักเลยเอาเวลาไปลงกับงานเสียหมด ทำตัวให้ยุ่งๆมันจะได้ไม่มีเวลาไปคิดถึงรอยยิ้มของคนใจร้ายนั่น แต่ตอนนี้งานมันหมดแล้ว ผมเลยมานั่งคิดถึงมันอยู่แบบนี้

                    “งั้นผมกลับแล้วนะครับ”

                    มาร์คพยักหน้าตอบ ปล่อยแจ็คสันเก็บของแล้วเดินเอื่อยเฉี่อยและไม่อาสาไปส่งอย่างทุกที

                    อาสาไปก็เท่านั้น สุดท้ายก็โดนปฏิเสธอยู่ดีนี่นา

     

     

                    คอนโดแจ็คสันเงียบเหงาเหลือเกินเมื่อไม่มีคนตัวสูงมาคอยเดินบ่นนู้นนี่

                    ช่วงที่ผ่านมาจินยองไม่ได้มาที่นี่บ่อยแต่ก็มากพอจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่  เสื้อผ้าของมัน เอกสารงานหรือของใช้ส่วนตัวอย่างหนังสืออ่านเล่นที่ยังอ่านไม่จบตั้งอยู่ที่โซฟานั่งเล่น ตอนนี้ทุกอย่างยังคงอยู่ที่เดิมของมัน รอให้เจ้าของมาเก็บเข้าที่

                    หรือเก็บกลับไป

                    บางที มันอาจดีกว่าถ้าจินยองปล่อยมือผมไปจริงๆ

                    ผมอาจจะหลงทางอยู่สักพัก แต่สักวันผมจะดีขึ้น อย่างน้อย ผมก็เจ็บคนเดียว ไม่ทำให้ใครเจ็บด้วย

                    ไม่สิ จินยองต้องเจ็บด้วยสิ เรารักกันนี่นา

                    คิดบ้าอะไรอยู่วะ

                    ติ๊ดๆๆๆ กริ๊ก

                    เสียงสแกนคีย์การ์ดที่ประตูห้องและเสียงปลดล็อคทำให้ผมรีบหันไปหาผู้บุกรุก ถ้าให้เดาก็มีอยู่คนเดียวนั่นแหละที่มีคีย์การ์ดห้องผม

                    “ทำไมกลับเร็ว”

                    จินยองทักทายด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง คงจงใจมาที่นี่ช่วงผมไม่อยู่สินะ

                    “ป่วยนิดหน่อยพี่มาร์คเลยไล่กลับบ้าน”

                    “อืม”

                    ไม่มีถ้อยคำแสดงความเป็นห่วง ไม่แม้แต่จะถามอาการ แค่รับรู้ สั้นๆเหมือนไม่สลักสำคัญอะไร

                    “ค้างรึเปล่า”

                    “ไม่ มาเอาเอกสารที่ลืมไว้เฉยๆ”

                    “งั้นเหรอ...”

                    จินยองเดินผ่านผมไปยังโต๊ะทำงานที่มีข้าวของของมันวางรวมอยู่ ผมไม่เอางานกลับมาที่คอนโด โต๊ะทำงานเลยเป็นที่ให้จินยองเคลียร์งานมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

                    แต่ตอนนี้มันกำลังจะว่างเปล่าเพราะจินยองกวาดทุกอย่างลงกระเป๋าไปแล้ว

                    แจ็คสันอยากถามว่าทำไม แต่ก้รู้คำตอบอยู่แก่ใจ

                    เบื่อแล้วสินะ

                    ตอนจบมาถึงแล้ว

                    และแจ็คสันรู้สึกเหมือนจะตาย

    ถ้ามันหายไป

    ผมคงรู้สึกเหมือนจะตาย







    .........................................

    เดินทางใกล้ถึงจุดจบแล้วค้าบทุกคนค้าาาาาาาาาบบบบบบ // อย่าตีหัวไรต์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×