คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : (SF) Jinson : Friendzoned (5)
Couple: Jinyoung x Jackson Type: Short fiction Style: Drama Status: Unfinished |
อย่าลืมส่งฟีดแบ็คเป็นกำลังใจกันนะคะ
เราเปิดแท็กแล้ว #ฟิคบตน มาเล่นกันเราเหงา555555
เหมือนจะตาย
ทุกครั้งที่ริมฝีปากอ่อนนุ่มเปียกแฉะลากผ่านผิวผมลงไปเรื่อยๆแบบนั้น
จะตาย
ทุกครั้งที่ความร้อนจากฝ่ามือจินยองซึมลึกผ่านเนื้อผ้าเข้ามาจนตัวผมสั่น
จะขาดใจตายตรงนั้น
ในทุกๆครั้งที่เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยชื่อผม
ซ้ำแล้วซ้ำอีก
“แจ็คสัน...”
“จินยอง...”
ถ้าวันนึงจินยองหายไป
ผมจะเป็นยังไงนะ
เมื่อผมบอกว่าทนได้
ผมก็ทนได้จริงๆนั่นแหละ
ความสัมพันธ์แสนอันตรายของผมและจินยองเริ่มต้นมาได้สองเดือนแล้ว
และหมอนั่นก็เก่งเหลือเกินจนไม่เคยโดนคนที่บ้านจับได้สักครั้ง
อาจมีแค่ผมคนเดียวที่เอาแต่ระแวงว่าวันหนึ่งเธอคนนั้นจะรู้ความจริง
จินยองจับมือผมเดินมาไกลเกินกว่าที่ผมจะเดินคนเดียวได้แล้ว
ล้ำเส้นทุกอย่างที่เคยเป็นกรอบที่ห้ามผมจากการรักจินยอง ไม่มีคำว่าเพื่อน
ไม่มีคำว่าสงสาร ไม่มีความรู้สึกเสียดาย
มีแค่ความรักของผมกับจินยองเท่านั้นที่หล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ครั้งนี้
ผมมาไกล และไม่คิดจะจำทางกลับด้วยซ้ำ
ถ้าวันนึงจินยองปล่อยมือผมไปและทิ้งผมไว้คนเดียว ผมก็จะนั่งอยู่ตรงนั้น
รอมันเดินกลับมาจับมือผมอีกครั้งแล้วพาผมไป
แล้วถ้าจินยองไม่กลับมาล่ะ?
ผมจะทำยังไง?
จินยองไม่ทิ้งผมหรอก ผมรู้ มันบอกผมผ่านมือที่บีบมือผมเบาๆทุกครั้งที่ผมเผลอเหม่อมองวิวด้านนอกคอนโดนานๆหรือ ผ่านรอยยิ้มปลอบใจที่มอบให้ผมเวลาผมยิ้มเศร้าๆไปให้
จินยองรู้ว่าผมกลัว...
“ขมวดคิ้วอีกแล้วนะ”
เสียงบ่นพร้อมความร้อนจากปลายนิ้วที่แตะเบาๆตรงหัวคิ้วของผม
จนผมต้องเลยหน้าขึ้นมองเจ้าของสัมผัสอบอุ่นนั้น จินยองส่งยิ้มตาหยีมาให้เหมือนทุกครั้งที่ก่อกวนการทำงานของผมได้สำเร็จ
“อย่ากวน”
ผมพึมพำเบาๆ
อาจจะเบาเกินกว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเพราะผมเองก็ไม่อยากพูดคำนั้น
ผมชอบที่จินยองมาคอยกวนผมแบบนี้ แม้จะทำให้การทำงานของผมชะงัก แต่ก็ยังชอบ
แจ็คสันเป็นคนไม่ดี อยากเหลวไหล อยากให้จินยองคว้าผมออกไปจากกองงานตรงหน้าแล้วหลอกล่อผมให้ลืมงานด้วยสัมผัสแสนเจ้าเล่ห์ของมัน
แต่จินยองก็คือจินยอง
จินยองผู้แสนเข้าอกเข้าใจ และแสนดีกับงานของเขาเสมอ
เพราะอย่างนั้น
จินยองเลยไม่กวนแจ็คสันอีก
แถมยังเอาแต่ไถมือถือเล่นปล่อยให้ผมทำงานอย่างเต็มที่ด้วย
น่าแปลกที่ผมกลับหงุดหงิดกับท่าทางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับจอมือถือของมัน
ผมถอนหายใจออกมาแล้วหันมาสนใจงานที่ผมผัดมาหลายครั้งจนใกล้เดดไลน์เต็มทน
“ใครคือมาร์ค?”
“หือ?”
ผมเงยหน้ามองจินยองที่เงียบไปนานจู่ๆก็เอ่ยขึ้นมา
ตอนนี้ไม่มีท่าทีอารมณ์ดีอีกแล้ว ผมเหลือบมองจอสมาร์ทโฟนเครื่องสวยที่เจ้าตัวชูขึ้นให้ดูด้วยท่าทีหงุดหงิด
โทรศัพท์ของผม
และบนจอก็เป็นรูปแชทล่าสุดของพี่มาร์คที่ส่งรูปที่ถ่ายคู่กันตอนเลี้ยงขอบคุณบริษัทมาให้
“พี่ที่ทำงาน”
ผมตอบสั้นๆและพยายามเอื้อมไปคว้าโทรศัพท์คืนจากจินยอง
แต่เจ้าตัวกลับหลบไม่ยอมให้เอาคืนง่ายๆ ผมพยายามอยู่ครั้งสองครั้งก็หยุด
แค่ถอนหายใจแล้วมองหน้าคนสูงกว่าแทน
จินยองไม่มีสิทธิมายุ่งกับขอส่วนตัวผมแบบนั้น
“สนิทกันมากเหรอ?”
“อือ
ก็ระดับนึง รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียน”
“ทำไมกูไม่เคยรู้จัก”
เพราะมึงไม่เคยสนใจน่ะสิ
ตอนนี้ไม่ใช่แค่จินยองหรอกที่กำลังหงุดหงิด ผมเองก็ไม่เย็นเท่าไหร่เหมือนกัน
ผมไม่ชอบให้มันมองผมด้วยแววตาแบบนั้น
เหมือนผู้ใหญ่มองเด็กที่ทำความผิดมาสักอย่างทั้งๆที่ผมก็อยู่ดีๆ มีแค่มันนั่นแหละที่มาแอบส่องมือถือผมโดยไม่ขอ
แล้วยังมีหน้ามาโกรธผมอีก
“ตอนนี้ก็รู้จักแล้วไง
เอาคืนมา”
เราสบตากันนิ่ง
ผมมองหน้าจินยองด้วยท่าทางทีชัดเจนว่าผมเองก็ไม่มีอารมณ์มาเล่น จนจินยองยอมยื่นโทรศัพท์คืนผมในที่สุด
ผมเหลือบตามองมือที่ยื่นโทรศัพท์ตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่เย็นลง ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้า
“อ๊ะ!”
แรงดึงที่ข้อมือทำผมลอยหวือไปตามการกระชากจนแผ่นหลังสัมผัสกับโซฟาหนัง
ผมนอนราบโดยมีจินยองตามมานอนทับจนดิ้นหนีไปไหนไม่ได้
โทรศัพท์เครื่องสวยของผมไม่อยู่ในมือจินยองและไม่อยู่ในมือผม
มันคงตกไปที่ไหนสักแห่ง
แต่นั่นไม่สำคัญเท่าการกระทำเอาแต่ใจของคนที่นอนทับผมด้วยแววตาขึงขังตอนนี้
“กูไม่เล่นจินยอง
งานยังไม่เสร็จ”
แต่จินยองก็ไม่ปล่อย
ผมเลยยิ่งดิ้น
แม้มือสองข้างจะขยับไม่ไดเลยเพราะถูกมันรวบแล้วทับไว้ด้วยน้ำหนักตัวของมัน
บางทีผมก็คิดนะว่าถ้าผมไม่เตี้ย ผมอาจไมโดนรังแกแบบนี้
“มึงสนิทกับมาร์คมากเหรอ?”
“ก็สนิท”
ผมยอมตอบคำถามเพื่อตัดปัญหา
“สนิทเท่ากูมั้ย?”
จะเท่าได้ไงวะ
“ว่าไง?
เห็นนัดกินข้าวตั้งหลายครั้ง
สนิทขนาดไหนเหรอ?”
คราวนี้ผมเงียบไม่ยอมตอบ
และไม่มองหน้ามันด้วยซ้ำ
ผมเบี่ยงหน้าไปด้านข้างจะได้ไม่ต้องมองคนที่เอาแต่หาเรื่องผมแบบนั้น
น้ำเสียงและท่าทางเหยียดหยันชวนให้โมโห ถ้าผมยังฝืนมองต่อผมคงต่อยมันแน่
คุยกันด้วยเหตุผลก็คงไม่ฟังหรอก
ถ้าใจจะอคติไปแล้วแบบนั้น
“หึ”
จินยองเค่นเสียง
ลมหายใจร้อนๆรดแก้มผมทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้แค่ไหน
“แจ็คสัน”
เสียงทุ้มกระซิบที่หูของผมเบาๆ ตามด้วยความเจ็บปวดเล็กๆแล่นพล่านเมื่อฟันของมันขบเข้าที่หูเบาๆ
ผมไม่เจ็บแต่ตกใจเสียจนเผลอหันไปสบตาคนที่ยิ้มมุมปากตรงหน้า
“อย่ามากัด”
“จะกัด”
จินยองเอ่ยแค่นั้นตามด้วยการ
‘กัด’
เข้าที่คอของผม
แรงจูบวูบวาบทำเอาผมเผลอสติหลุดจนแทบลืมว่าทำอะไรอยู่ อย่าเคลิ้มเชียวนะแจ็คสัน
จินยองทำตัวไม่น่ารัก ถ้ายังปล่อยให้ตามใจหมอนั่นจะเหลิง
อ่า...รู้สึกดีเป็นบ้า
“จิน...จินยอง
ปล่อยโว้ย” ผมพยายามดิ้นหนีริมฝีปากที่ค้างอยู่ตรงต้นคอผมนานกว่าปกติ
ถ้านานกว่านี้เป็นรอยแน่ๆ แล้วผมจะออกไปเจอคนข้างนอกยังไงเล่า
แต่ถึงจะดิ้นจะหนียังไงสุดท้ายก็เป็นจินยองเองที่ผละออกไป
โดยจูบย้ำลงไปที่เดิมอีกครั้งเหมือนปิดงาน จากแววตาสะใจของมัน ผมคงห้ามไม่ทันแล้วล่ะ
“มึงแม่ง” ผมคาดโทษคนที่เอาแต่ยิ้ม
อารมณ์หงุดหงิดตอนแรกมากขึ้นจนยากจะระงับ
“คนจะได้รู้ว่ามีเจ้าของ”
“กูไม่ใช่หมา”
“ก็ไม่ต้องเป็นหมา
เป็นแจ็คสันก็มีเจ้าของได้”
จินยองตอบแค่นั้นก่อนจะก้มลงมาเอาจมูกฝังที่แก้มแรงๆอย่างมันเขี้ยว
แต่ผมสิ ปวดไปหมดแล้วโว้ย
“เป็นแจ็คสันของกู
ของกูคนเดียวพอแล้วเข้าใจมั้ย”
“ไม่!”
ผมเถียงกลับด้วยความโมโห
ทำไมจะต้องเออออกับมันด้วย ทำอะไรไม่คิดถึงใจผมเลยสักนิด ทั้งเรื่องโทรศัพท์ผม
เรื่องรอยที่คอ จินยองไม่ได้สนใจความรู้สึกผมด้วยซ้ำ ก็แค่ตามใจตัวเองไปเรื่อยๆ
ผมอาจผิดเองที่ปล่อยให้มันเหลิงได้ขนาดนี้
ผมผลักมันออกอีกครั้งแต่ครั้งนี้กลับง่ายดาย
เหมือนจินยองไม่ได้พยายามจะขังผมไว้ในกอดของมันแล้ว
ผมลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปมองคนที่เคยนอนทับผมแต่ตอนนี้กลิ้งลงไปนั่งบนพื้น
แววตาเรียบนิ่งว่างเปล่าของมันยังคงมองมาที่ผม
ผมถอนหายใจ
จัดเสื้อผ้ายับๆให้เข้าที่และกลับไปทำงานของผมต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ให้ผมใจเย็นกว่านี้ค่อยเคลียร์ละกัน
ผมใจเย็นลงแล้วแตเราไม่คุยกัน
แค่ส่งยิ้มให้กันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งนั่นดีแล้ว บางที
มันอาจทำให้ผมไม่เคยตัวที่จะต้องรู้สึกดี ปล่อยให้รู้สึกแย่บ้างก็ดี
ความสัมพันธ์ของผมกับมันจะได้ไม่สวยงามเกินไป ผมจะได้ไม่เสียดายเวลามันหายไป
สักวันหนึ่งจินยองจะหายไป
อาจเป็นวันนี้ อาจเป็นพรุ่งนี้ อาจเป็นเมื่อไหร่ก็ได้ และผมจะเจ็บมากๆ
แต่ผมคงโทษตัวเองนั่นแหละที่หลงรักจินยองได้มากขนาดนี้ ทั้งที่มันทำให้ผมทรมานเจียนตาย
แต่กลับรู้สึกดีเสียจนถอนตัวไม่ขึ้น
สัมผัสนั้น
เสียงนั้น
ผมหมกมุ่นกับมันจนไม่สนใจความจริง
“คิดอะไรอยู่ หือ?”
น้ำเสียงอบอุ่นพร้อมปลายจมูกที่ไถไปมาตรงแก้มของผมเรียกสติผมกลับมาจากความกลัวทุกอย่างเหมือนตื่นจากฝัน
รอยยิ้มนั้นส่งมาให้ผมก่อนจะเหือดหายไปเมื่อเห็นว่าผมไม่ยิ้มตอบ
“ถ้าวันนึงเราเลิกกันกูจะทำยังไง”
“หืม?”
“กำลังคิดว่า ถ้ามึงหายไป...อื้อ”
จูบไม่ใช่การแก้ปัญหาหรอกนะจินยอง
แต่ผมไม่เคยปฏิเสธสัมผัสต่างๆที่จินยองมอบให้อยู่แล้ว
ผมยินดีรับมันไว้ด้วยความเต็มใจ ไม่ว่าจะตอนที่ผมสุขทีสุดหรือเศร้าที่สุด
ผมก็ยังยอมจูบมันอยู่ดี เพราะสัมผัสของคนที่รักมันเหมือนอากาศที่ผมขาดไม่ได้
ความรู้สึกของผมมากกว่าคำว่ารัก
เพราะตอนนี้ผมหลงคนตรงหน้าอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
อยากจะรัก
“จินยอง...”
รักให้มากกว่านี้
“กลับ...”
ผมยอมหนีปัญหาไปเรื่อยๆแค่ได้รักมันก็พอ
ผมดันไหล่อีกฝ่ายให้ออกห่างจากตัวแล้วหันหนีสัมผัสดื้อดึงเอาแต่ใจ
จินยองยอมหยุดแต่โดยดี มือหนาลูบหัวผมเบา ผมไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง
มันเขินแต่มันก็ยิ้มไม่ออก ความสุขของผมถูกกัดกินไปเพราะความกลัวพวกนั้น
ผมอยากกลับไปเป็นแค่เพื่อนที่คิดไม่ซื่อ
แค่แอบรักแอบมอง
น่าขำที่ตอนนั้นผมโวยวายแทบตายคิดว่าตัวเองเจ็บปวดนักหนาเหมือนโลกทั้งโลกหม่นไปหมด
แต่นั่นเทียบไม่ได้กับความรู้สึกของผมในตอนนี้ด้วยซ้ำ
เพราะเมื่อจินตนาการที่มันหลอเลี้ยงใจผมกลายเป็นความจริงแล้ว
ผมทนไม่ได้ที่ปล่อยให้มันหายไป
“กลับบ้านได้แล้ว ดึกแล้ว”
“ไม่กลับ”
“ไม่ห่วงคนที่รอมึงอยู่ที่บ้านบ้างเหรอ”
และนั่นทำให้จินยองชะงักทุกการกระทำ
ผมอยากชมตัวเองที่เอาชนะจินยองได้แต่ครั้งนี้ผมไม่ดีใจเลยสักนิด
ผมสบเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของจินยองแล้วได้แต่นิ่งเงียบ
ผมไม่เคยพูดเรื่องนี้ขึ้นมาสักครั้งตอนที่เราอยู่ด้วยกัน
อาจเพราะผมยังคงหงุดหงิดเรื่องก่อนหน้านี้ละมั้งเลยทำให้เผลอพูดไป
“ทำไมเดี๋ยวนี้ไล่กูตลอดเลย”
“ไม่ได้ไล่”
“แต่ไม่อยากให้กูอยู่ด้วย” จินยองผละออกจากผม ลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าหงุดหงิด
ผมเหลือบมองคนตัวสูงหยิบเสื้อผ้ามาใส่ด้วยอารมณ์ไม่สู้ดีนัก
ผมเหนื่อยเกินกว่าจะมาเถียงกับมัน ทำไมถึงไม่เข้าใจว่าผมหวังดีกับเรื่องของเรามากต่างหากถึงได้ไล่
ผมไม่อยากให้ที่บ้านมันสงสัย ไม่อยากให้เรื่องของเรามันจบเร็วเกินไปก็เท่านั้น
“พรุ่งนี้กูมีงานเช้า
ยังไงตื่นมาก็ไม่เจอกันอยู่แล้ว มึงกลับไปนอนบ้านไม่ดีกว่าเหรอ
มึงไม่ค่อยกลับบ้านแบบนี้เมียน้อยใจแย่” ...และเขาอาจสงสัยเอาได้....
“หึ อย่ามาอ้างกูเลย”
คำพูดประชดประชันนั้นปลุกอารมณ์ครุกรุ่นในตัวให้ผมลุกขึ้น
แล้วมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาติดกระดุมด้วยใบหน้าหงุดหงิด
“พูดอะไร”
“ชอบทำงานมากนี่
ไม่รู้ว่างานสนุกหรืออย่างอื่นน่าสนใจกันแน่” จินยองเหลือบมองผมพร้อมรอยยิ้มเยาะที่ผมเกลียดแสนเกลียด
เหมือนผมคือฝ่ายผิดที่ทำงานหนักให้ตัวเองไม่มานั่งคิดมากเรื่องของมันงั้นล่ะ
“ถ้าพูดดีๆไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด”
“ใช่ดิ มึงคงคิดทางออกเรื่องของเราไว้หมดแล้วสินะถึงได้ไม่ง้อกูแบบนี้”
“จินยอง”
ผมกดเสียงต่ำและสบตากับแววตาหาเรื่องนั้นนิ่ง
ไม่มีคำพูดใดๆนอกจากดวงตาสองคู่ที่สื่อสารถึงกัน
แลกความเจ็บปวดและความโกรธท่ามกลางแสงสลัวของห้องนอน จินยองเจ็บปวดแค่ไหนทำไมแจ็คสันจะไม่รู้
แต่จินยองล่ะ รู้บ้างไหมว่าผมก็เจ็บไม่ต่างกับมันเลย
“กูไม่ได้จะไปไหนเลยจินยอง”
“มึงอดทนกับกูไม่ได้นานหรอกแจ็คสัน กูรู้”
“อย่ามาคิดแทนกู”
ผมลุกจากเตียงไปหยุดตรงหน้าจินยอง
สองมือกุมหน้าของอีกฝ่ายไว้ให้หันมาสบตาผมตรงๆ
“มึงไม่รู้หรอกว่ากูอดทนเก่งแค่ไหน”
ผมรู้ว่าผมอดทนเก่ง
แต่ไม่เคยรู้เหมือนกันว่าเก่งขนาดนี้
“อันนี้ล่ะ”
“สวยดี”
“มันพิเศษพอป่ะวะ
วันเกิดเลยนะ”
จินยองวางสร้อยเส้นสวยลงที่เดิมแล้วเกลี่ยนิ้วไปที่เครื่องประดับชิ้นถัดมาในถาดเดียวกันอย่างตั้งใจ
ปล่อยให้แจ็คสันยืนอยู่ตรงนั้น จ้องมองคนที่ตัวเองรัก
เลือกของขวัญวันเกิดให้ภรรยาของมัน
“อันนี้ล่ะ”
จินยองเงยหน้ามองผมด้วยแววตาใสซื่ออีกครั้ง
ในมือมีสร้อยเส้นยาวที่สวยไม่ต่างกับเส้นก่อนๆ แต่แจ็คสันไม่ได้ชื่นชมมันนัก
ใจของผมด้านชาเกินไป
ผมโกรธ
แต่ก็รู้ว่าไม่มีสิทธิโกรธ เพราะผมตกปากรับคำมาเอง
ยอมตกปากรับคำทั้งที่รู้ว่าจินยองจงใจทำเพื่อประชดผม
“แล้วแต่มึงเลย
มึงรู้จักเขาดีที่สุดอยู่แล้ว”
ผมยิ้มให้จินยองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แม้มันจะเป็นยิ้มที่ทำเอาปวดแก้มไปหมด ตาก็แสบร้อนจนอยากหาน้ำมาล้างซะ ทำไมกัน
ทำไมผมต้องมาทนใจดีกับเรื่องพวกนี้ด้วย
ถ้าผมเห็นแก่ตัวรักจินยองโดยไม่คิดสงสารผู้หญิงคนนั้นได้ก็คงดี
“นั่นสินะ”
จินยองพึมพำเบาๆแล้วส่งสร้อยเส้นนั้นให้พนักงานเอาไปใส่กล่อง
ส่วนผมก็เลือกที่จะเดินหนีไปให้ห่างจากความเจ็บปวดตรงหน้าเท่าที่จะทำได้
“อ้าว แจ็คสัน”
“พ..พี่มาร์ค?”
แววตาตกใจพลันเปลี่ยนเป็นแววตากังวลของมาร์คทำให้ผมรู้ตัวว่าตอนนี้
สีหน้าของผมคงไม่ดีเท่าไหร่
“โอเคมั้ย”
อยากตอบว่าไม่
แต่ทำไม่ได้
ผมพูดอะไรไม่ออก
กลัวว่าถ้าขยับแม้แต่นิดเดียว น้ำตาอาจจะไหลไม่หยุดก็ได้
มาร์คถอนหายใจ
ก่อนจะคว้าข้อมือของผมเพื่อลากออกไปจากร้านจิลเวอรี่นั่น ผมได้แต่ก้มหน้าตามแรงดึง
น้ำใสๆอุ่นๆไหลจากดวงตาแดงก่ำอย่างห้ามไม่ได้ ได้แค่เดินตามคนตัวสูงกว่าไปเรื่อย
ผมหยุดลงตรงไหนสักมุมของห้างที่ไม่มีคนพลุกพล่าน
ไหลของผมสั่นตามแรงสะอื้นแม้จะพยายามห้ามไม่ให้ร้องไห้แค่ไหนก็ไม่ได้ผล
แรงสะอื้นที่เพิ่มมากขึ้น
จนในที่สุด มาร์คก็ทนไม่ไหว กอดผมเข้าจนได้
“เหนื่อยมั้ยครับ”
“ฮึก...”
“ไม่เป็นไรนะ”
คำปลอบเบาๆค่อยๆออกจากปากคนพูดน้อย
ฟังบ้างไม่ฟังบ้างแต่อย่างน้อย ผมก็ไม่ต้องปั้นหน้าทำตัวสบายดี
แรงสั่นสม่ำเสมอจากไอโฟนในกระเป๋ากางเกงเรียกความสนใจของผมไปจากอ้อมกอดตรงหน้า
ผมดึงมันออกมาพยายามปาดน้ำตาให้สามารถมองเห็นหน้าจอที่แสดงเบอร์และภาพรอยยิ้มของคนที่เขาไม่อยากเจอที่สุดอยู่
ผมกดวางสาย
จินยองไม่ควรเห็นผมตอนนี้
“ใส่นี่ไว้”
แจ็คสันมองมาร์คทียื่นแว่นกันแดดให้ผม ผมสูดน้ำมูกและพยายามกลั้นสะอื้น
รับเอาแว่นกันแดดมาใส่อย่างว่าง่าย ก่อนจะปล่อยให้มาร์คกุมมือเดินออกไปจากตรงนั้น
การที่อยู่ๆหายไปแบบนั้นคงเป็นเหตุให้ต้องทะเลาะกับจินยองอีกแน่ๆ
แต่ไม่เป็นไร ผมอ้างงานเอาก็ได้ หรือแม้แต่บอกความจริงไปก็ยังได้เลย
เพราะในท้ายที่สุด
พวกเราก็เป็นแค่เพื่อนกัน
ถึงจะรักกันมาก แต่ก็เป็นเพื่อนที่รักกันมากก็เท่านั้นเอง
จินยองไม่ได้โทรหาผมอีกจนกระทั่งผ่านมาอาทิตย์นึงแล้ว
เจ็ดวันที่ไม่มีการติดต่ออะไรกันเลย
ไม่มีข้อความ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เหมือนหายไปอยู่คนละโลกแล้ว
และผมเองถึงได้รู้ตัวว่าผมแม่งโคตรเสพติดมันเลย
แค่หายไปไม่กี่วันก็พาลทำผมกินอะไรไม่ลงไปหลายมื้อ
น้ำหนักลงไปตั้งหลายโล
“ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกแล้ว”
“ครับ?”
แจ็คสันหันไปมองมาร์คที่ถอนหายใจและส่ายหน้าเบาๆเหมือนระอาอะไรสักอย่าง
ก็คงเบื่อผมนั่นแหละ ผมยังเบื่อตัวเองเลยนี่นา
“กลับบ้านไปนอนพักมั้ย
นายดูไม่ไหวเลย”
“ผมไหวพี่
ลุยงานได้อีกเยอะ”
“งานอะไรล่ะ
นายทำเป็นบ้าเป็นบ้าเป็นหลังจนไม่เหลือให้พี่ทำแล้วเนี่ย”
ก็จริง เพราะเขาไม่อยากให้จินยองมามีอิทธิพลมากนักเลยเอาเวลาไปลงกับงานเสียหมด
ทำตัวให้ยุ่งๆมันจะได้ไม่มีเวลาไปคิดถึงรอยยิ้มของคนใจร้ายนั่น แต่ตอนนี้งานมันหมดแล้ว
ผมเลยมานั่งคิดถึงมันอยู่แบบนี้
“งั้นผมกลับแล้วนะครับ”
มาร์คพยักหน้าตอบ
ปล่อยแจ็คสันเก็บของแล้วเดินเอื่อยเฉี่อยและไม่อาสาไปส่งอย่างทุกที
อาสาไปก็เท่านั้น
สุดท้ายก็โดนปฏิเสธอยู่ดีนี่นา
คอนโดแจ็คสันเงียบเหงาเหลือเกินเมื่อไม่มีคนตัวสูงมาคอยเดินบ่นนู้นนี่
ช่วงที่ผ่านมาจินยองไม่ได้มาที่นี่บ่อยแต่ก็มากพอจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่
เสื้อผ้าของมัน
เอกสารงานหรือของใช้ส่วนตัวอย่างหนังสืออ่านเล่นที่ยังอ่านไม่จบตั้งอยู่ที่โซฟานั่งเล่น
ตอนนี้ทุกอย่างยังคงอยู่ที่เดิมของมัน รอให้เจ้าของมาเก็บเข้าที่
หรือเก็บกลับไป
บางที มันอาจดีกว่าถ้าจินยองปล่อยมือผมไปจริงๆ
ผมอาจจะหลงทางอยู่สักพัก
แต่สักวันผมจะดีขึ้น อย่างน้อย ผมก็เจ็บคนเดียว ไม่ทำให้ใครเจ็บด้วย
ไม่สิ
จินยองต้องเจ็บด้วยสิ เรารักกันนี่นา
คิดบ้าอะไรอยู่วะ
ติ๊ดๆๆๆ กริ๊ก
เสียงสแกนคีย์การ์ดที่ประตูห้องและเสียงปลดล็อคทำให้ผมรีบหันไปหาผู้บุกรุก
ถ้าให้เดาก็มีอยู่คนเดียวนั่นแหละที่มีคีย์การ์ดห้องผม
“ทำไมกลับเร็ว”
จินยองทักทายด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
คงจงใจมาที่นี่ช่วงผมไม่อยู่สินะ
“ป่วยนิดหน่อยพี่มาร์คเลยไล่กลับบ้าน”
“อืม”
ไม่มีถ้อยคำแสดงความเป็นห่วง
ไม่แม้แต่จะถามอาการ แค่รับรู้ สั้นๆเหมือนไม่สลักสำคัญอะไร
“ค้างรึเปล่า”
“ไม่
มาเอาเอกสารที่ลืมไว้เฉยๆ”
“งั้นเหรอ...”
จินยองเดินผ่านผมไปยังโต๊ะทำงานที่มีข้าวของของมันวางรวมอยู่
ผมไม่เอางานกลับมาที่คอนโด โต๊ะทำงานเลยเป็นที่ให้จินยองเคลียร์งานมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
แต่ตอนนี้มันกำลังจะว่างเปล่าเพราะจินยองกวาดทุกอย่างลงกระเป๋าไปแล้ว
แจ็คสันอยากถามว่าทำไม
แต่ก้รู้คำตอบอยู่แก่ใจ
เบื่อแล้วสินะ
ตอนจบมาถึงแล้ว
และแจ็คสันรู้สึกเหมือนจะตาย
ถ้ามันหายไป
ผมคงรู้สึกเหมือนจะตาย
.........................................
เดินทางใกล้ถึงจุดจบแล้วค้าบทุกคนค้าาาาาาาาาบบบบบบ // อย่าตีหัวไรต์
ความคิดเห็น