ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คลัง Short fic #JJP #Jinson

    ลำดับตอนที่ #32 : (SF)NiorB: Paris in the rain (1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.02K
      59
      14 ส.ค. 61


    Paris in the rain(1)

    Cause anywhere with you feels right.

    Couple: Jinyoung x JB

    Theme: Rainy

    Feedback: #ฟิคบตน

     

     ReadAwrite >>>> Clicks

     

     

     

    จินยองไม่ใช่นักพนัน การลงทุนของเขาผ่านการกลั่นกรองและวิเคราะห์สถิติมาอย่างดีเสมอ

    แต่บางครั้ง จินยองก็กล้าเสี่ยงอย่างน่าประหลาด

    สนามแข่งรถยามเย็นไม่คึกคักอย่างเช่นทุกวัน มีเพียงท้องฟ้าที่เริ่มมืดและอากาศชื้นๆประกอบเสียงเครื่องยนต์หวีดหวิวลอยผ่านลมของรถยนต์สองคันที่กำลังแล่นประลองความเร็วกันอยู่ในสนามดังก้องเท่านั้น

    ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทตัวสวยยืนมองการแข่งขันนั้นจากบนอัฒจันทร์ด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ดวงตาคู่สวยฉายแววกังวลลึกๆแม้จะพยายามซ่อนมันไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง สายตาจ้องตรงไปยังฟอมูล่าวันสีขาวประดับไปด้วยโลโก้สปอนเซอร์รายใหญ่อย่างมีสมาธิ

    จินยองไม่ได้สนใจรถ แต่สนใจคนที่ขับมันอยู่ต่างหาก

    เครื่องยนต์กำลังสูงสองคันเร่งความเร็วอย่างเต็มที่ ก่อนจะทิ้งช่วงจากกันและกันในช่วงเข้าโค้งสุดท้ายโดยสีแดงเข้าเส้นชัยไปอย่างเฉียดฉิว ธงตารางหมากรุกโบกสะบัดเป็นสัญญาณจบการแข่งขันทำให้คนที่เฝ้าสังเกตการณ์ยกยิ้ม

    ผลการแข่งขันออกมาอย่างที่คาดหวังไว้ ความกังวลเมื่อครู่ก็หายไปจนหมด เหลือแต่อารมณ์ตื่นเต้นเสียมากกว่า ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆและติดกระดุมสูทให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินไปยังทางออกที่เชื่อมกับทางออกสู่สนามแข่ง

    จินยองชนะ

    รถโกคาสสีแดงเจ้าของชัยชนะแล่นออกจากแทร็คเข้าสู่พิทเลนส์ซึ่งมีเจ้าหน้าที่สแตนด์บายอยู่สองสามคน จินยองเดินตรงไปยังนักขับที่กำลังถอดหมวกกันน็อกออก รอยยิ้มขี้เล่นและท่าทางสนุกสนานอันเป็นเอกลักษณ์ของเพื่อนสนิทส่งตรงมาให้เขาอย่างทุกครั้ง

    “มึงจ่ายกูมางามๆเลยไอ้หมา”

    “กูเคยเบี้ยวมึงเหรอแจ็ค”

    แจ็คสัน นักแข่งที่เพิ่งคว้าเอาชัยชนะมาได้อย่างเฉียดฉิวยักไหล่ให้เขาอย่างไม่ติดใจ ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางเมื่อเห็นว่าสายตาของเพื่อนสนิทมองข้ามไหล่เขาไปยังรถอีกคันที่แล่นมาจอดแล้ว

    “อย่าไปกวนตีพี่มันมาก แค่แพ้กูก็เจ็บใจแย่แล้วมั้ง”

    คำเตือนทิ้งท้ายพร้อมการตบไหล่หนักๆสองสามทีก่อนเจ้าตัวจะไป จินยองไม่ได้สนใจนักเพราะใจเขาจดจ่อกับท่าทางหัวเสียของชายหนุ่มหน้าดุที่เพิ่งก้าวลงจากรถคันสีขาวมากกว่า

    เขาชนะ แต่ที่น่าสนุกกว่าชัยชนะคือท่าทางหัวเสียของคนที่แพ้

     จินยองไม่ได้เดินไปหาแจบอม แต่เลือกที่จะส่งยิ้มท้าทายไปให้แทน ดวงตาเรียวเต็มไปด้วยความหงุดหงิดของอีกฝ่ายมองตรงมาที่เขาก่อนจะละสายตาไปก่อน นักขับหนุ่มในชุดหมีสีขาวพ่นลมหายใจฟึดฟัดวางหมวกกันน็อกลงบนหลังคารถ ก่อนจะยอมสาวเท้าไปหาคนที่ยืนลอยหน้าลอยตารออยู่อย่างเสียไม่ได้

    “พี่แพ้”

                    คนแพ้สบตากับชายในชุดสูทสีเข้ม ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาแรงๆแทนการระบายอารมณ์

    “ขี้โกงว่ะ”

    นักขับหนุ่มวุ่นวายกับการถอดถุงมือออกอย่างไม่สบอารมณ์นัก ในฐานะนักแข่งรถมืออาชีพ การแพ้ไม่ใช่เรื่องที่ทำใจได้ง่ายๆ โดยเฉพาะในการแข่งขันที่เขาตกลงรับปากไปเพราะมั่นใจว่าตัวเองจะชนะ

    เขาประมาทคนเจ้าเล่ห์อย่างจินยองมากเกินไป

     “พี่ไม่ได้บอกว่าต้องลงแข่งเองนี่”

    รอยยิ้มของผู้ชนะนั้นน่าหมั่นไส้ไม่เปลี่ยน

    “เหอะ”

    “เอาน่า มันก็แค่เกม”

    ผู้ชนะปลอบใจอีกคนด้วยรอยยิ้มที่ไม่ได้มีท่าทีสงสารเห็นใจแจบอมเลยแม้แต่นิด รสชาติแห่งชัยชนะหน้าหลงไหลเกินกว่าจะมาใส่ใจอารมณ์ของอีกคน สงครามย่อมมีผู้แพ้ แต่มันสนุกกว่าถ้าได้เห็นผู้แพ้พยายามสู้ไม่ถอยแบบนี้

    เดินมาติดกับเองแท้ๆ

    ยังมาตีหน้านิ่งทำเป็นไม่สนได้อีก เก่งจริงๆ

    “คราวนี้จะเอาอะไร”

    ชายหนุ่มในชุดสูทยิ้มรับคำถามห้วนๆของอีกฝ่ายอย่างจงใจกวนประสาท เสน่ห์บางอย่างจากท่าทางร้อนใจของนักขับหนุ่มทำให้คนตรงหน้าดูดีขึ้นจนเผลอไล่สายตาลงต่ำไปเรื่อยอย่างหยุดไม่ได้

    ชุดนักแข่งสร้างมาเพื่อปกปิดทุกส่วนของร่างกาย แต่มันกลับน่าค้นหาอย่างประหลาด

    “ใจร้อนจัง ไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือน ให้ผมถามสารทุกข์สุขดิบก่อนก็ไม่ได้”

    “ลีลาไม่เลิก ใครมันจะอยากคุยด้วย”

    นักขับหนุ่มพึมพำเบาๆกับตัวเองแต่อีกฝ่ายก็ไม่วายได้ยิน คนตรงหน้ายกยิ้มหน้าหมั่นไส้เอนเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด เจ้าเด็กอวดดีที่หลอกให้เขาเชื่อว่าจะลงสนามเอง แต่ดันส่งเพื่อนนักขับมืออาชีพมาแข่งแทน

     “ปากดีเหมือนลืมว่าแพ้เลยนะครับ”

                    คนแพ้มองค้อนใบหน้าหวานของอีกคนอย่างหมดทางเถียง ก็แพ้จริงและก็รู้ชะตากรรมตัวเองดีว่าต้องเจออะไร แต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรก็แค่เสียเปรียบ

    ”แล้วตกลงจะเอายังไง”

                    “ไม่บอก”

                    “...”

                    “ยังมีเวลาให้คุยอีกเยอะครับ เพราะงั้นอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย”

                    “...”

                    “ตอนนี้น่ะ”

                    “....”

                    “ไปเดทกันดีกว่า”




                    ___________________

                   




                   

                    จินยองเคยโลดแล่นในวงการแข่งรถอยู่ระยะหนึ่ง

     มันเป็นความหลงใหลของเด็กวัยรุ่นวัยสิบแปดที่อยากทำอะไรก็ทำ ประกอบกับการแข่งรถเป็นหนึ่งในธุรกิจครอบครัวที่พ่อเขาดูแล จินยองจึงมีโอกาสได้คลุกคลีในวงการนี้ตั้งแต่เด็กๆ

    ดังนั้น เมื่อทางบ้านมีความพร้อม ความสนใจของเขาเลยเป็นรูปธรรมมากขึ้น น่เริ่มมืดงฟ้ามืดท้องฟ้ามืดสนิท

                 แต่ตอนนี้เขาวางมือแล้วล่ะ มีเรื่องสำคัญกว่านั้นต้องทำ

    ถึงอย่างนั้น สิ่งหนึ่งที่ติดมาแม้จะวางมือจากการแข่งขันไปแล้วก็คือนิสัยเสพติดชัยชนะ

    หลายต่อหลายครั้งที่จินยองโดนย่นเรื่องนิสัยชอบเอาชนะของเขา แจบอมบอกว่าบางเกมก็เล่นเพื่อความสนุก จะจริงจังให้เครียดไปทำไม ตอนนั้นจินยองก็เออออไปตามเรื่อง เอนหัวซบอ้อนๆไปทีสองที แอบตีก้นไปครั้งสองครั้งจนอีกคนเลิกบ่นแล้วหันไปสนใจไอแพดตรงหน้า ปล่อยให้จินยองแอบเถียงในใจเบาๆว่าที่เรายังได้มานั่งคุยกันตอนนี้ก็เพราะเขาชอบเอาชนะไม่ใช่เหรอ(วะ)

    ผู้ชายเย่อหยิ่งที่ตอบรับทุกอย่างในตัวจินยองได้น่ะ คือชัยชนะที่เขาภาคภูมิใจที่สุดแล้ว

    จินยองจะไม่เสียเวลาเล่าประวัติอันยาวนานของเขากับแจบอม เอาเป็นว่ากว่าจินยองจะเข้ามาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยความน่ารักหมาน้อยของเด็กสิบแปดไปอ้อนอยู่เป็นปีกว่าจะได้ทำอะไรอย่างใจหวัง

    และแจ็คพ็อตแตกตอนเขาอายุสิบเก้า อยากย้อนเวลาไปกราบเท้าตัวเอง มึงแม่งตาถึงชะมัด

    แต่จะเรียกว่าชัยชนะซะทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะการแข่งครั้งนี้ยังอีกยาวไกล เหมือนแข่งเซอร์กิตที่ยังต้องลุ้นอีกพักใหญ่กว่าจะรู้ผลว่าใครคือผู้ชนะ

    เพราะตอนนี้จินยองและแจบอมไม่ได้เป็นแฟนกัน

    จะว่ายังไงดี

    ใช่ว่าจินยองจะไม่เคยเอ่ยปากขอคบอย่างจริงๆจัง แต่ทุกครั้งที่เขาทำ แจบอมก็แค่มองเขาเหมือนจินยองกำลังพูดจาเพ้อเจ้อ ก่อนจะหัวเราะและเอาแขนพาดบ่า กอดคอเขาเดินไปข้างหน้าโดยไม่ให้คำตอบ

                    คงเพราะเขาเด็กเกินไป อายุแค่ยี่สิบ คงยังไม่ดูจริงจังพอในสายตาของคนที่แก่กว่าเขาถึงสี่ปี ซึ่งก็ไม่เป็นไร เพราะสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีถมเถ

    ถึงเราจะยังไม่ได้คบกัน แต่มันล้ำลึกกว่านั้นในทุกๆแง่

    เพราะความรู้สึกของจินยองมีมากและไม่เคยลดลง ไม่ว่าจะต้องห่างกันด้วยระยะทางมากแค่ไหน เนิ่นนานเท่าไหร่ เมื่อเรากลับมาเจอกัน ตัวเขาก็คือจินยองของพี่แจบอม

    อย่างเช่นครั้งนี้ แจบอมต้องเก็บตัวแข่งฟอร์มูล่าวันที่ฝรั่งเศสสองเดือน ส่วนจินยองก็วุ่นวายกับการย้ายมาเรียนในมหาลัยจนแทบไม่มีเวลาได้เจอกัน จินยองต้องทุ่มเทกับการเรียนเพื่อเตรียมตัวรับมือกับธุรกิจหลายพันล้านซึ่งจะได้เป็นมรดก ภาระยิ่งใหญ่เกินตัวที่เขาเลี่ยงไม่ได้ทำให้เด็กขี้เล่นอย่างเขา ต้องยอมทิ้งความสนุกในชีวิตวัยยี่สิบมาสร้างเครดิตให้ตัวเองก่อนจะโดนพ่อแม่ตัดออกจากกองมรดก

    โดยการมาเรียนต่อที่โรงเรียนธุรกิจชื่อดัง

    มีเหตุผลมากมายที่จินยองยกมาอ้างกับพ่อแม่ ตอนที่เขาดึงดันจะเข้า Business schoolของอังกฤษ แทนที่จะไปต่ออเมริกาเหมือนพี่สาวเขา

                    หลักๆคือจินยองชอบหลักสูตรที่นี่ บรรยากาศ รุ่นพี่ที่รู้จักกำลังเรียนอยู่ เหตุผลมากมายร้อยแปดที่จินยองยกไปค้าน จนสุดท้ายพวกท่านก็ยอมให้ลูกชายคนเล็ก ที่ยอมวางมือจากวงการนักแข่งรถสมัครเล่นไปเรียนในที่ที่อยากไป

                    แต่สิ่งหนึ่งที่พวกท่านไม่รู้ คือเหตุผลส่วนตัวที่จินยองไม่เคยบอกใคร

                    การตัดสินใจของจินยองผ่านกระบวนการคิดมาอย่างดี และเหตุผลหลักๆในการเลือกครั้งนี้ คือสนามแข่งรถที่รองรับการแข่งกรังปรีซ์หลายสิบสนามทั่วยุโรป

                    อเมริกาน่ะ เทียบไม่ติดเลย

    เพราะสนามแข่งรถจำนวนมาก หมายถึงโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันมากไปด้วย และนั่นหมายความว่านักแข่งชื่อดังจะต้องมารวมตัวเก็บตัวอยู่แถบนี้บ่อยขึ้น

    สมมติการแข่งมีสองฤดูกาล เก็บตัวฤดูกาลละสองดือน

    นั่นหมายความว่าจินยองก็มีโอกาสมาหายใจร่วมทวีปกับแจบอมตั้งเกือบครึ่งปีแน่ะ

    อย่างเช่นการแข่งที่ฝรั่งเศสในฤดูกาลนี้ แน่นอนว่าการเดินทางจากอังกฤษไปฝรั่งเศสไม่ได้ใกล้ แต่ใกล้กว่าอเมริกาไปเกาหลีแน่ๆ เพราะงั้น จินยองเลยเลือกที่จะลงเรียนในยุโรป แทนที่จะไปจิตตกอยู่ที่นิวยอร์คกับพี่สาวเขา

    แบบนี้ก็ถือว่าจินยองไม่ได้ทิ้งอนาคตตัวเองใช่มั้ย

    เพราะแจบอมบอกว่าถ้าจินยองเป็นแค่คุณชายที่ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน คนที่มีอนาคตกว้างไกลในสายนักแข่งก็คงไม่คิดจะเสียเวลาด้วย

    แฟร์ดี สมกับฉายาหมาป่าผู้เย่อหยิ่งแห่งฟอมูล่าวัน คนที่จินยองหลงใหลตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้าจนสนใจการแข่งรถมาถึงตอนนี้

    ขอบคุณที่พ่อเขาสนใจธุรกิจทางนี้ จะทำอะไรมันก็ง่ายไปหมด ยากก็ตอนหาทางเข้าหานักแข่งมือหนึ่งเท่านั้น

    อ่า ไม่สิ

    “ผมนึกว่าพี่จะจองร้านหรูๆวิวหอไอเฟลซะอีก นี่อุตส่าห์ใส่สูทมาเลยนะ”

    “ใครใช้ให้ใส่มาล่ะ”

    “โถ่ พี่ครับ นี่เดทแรกในรอบสองเดือนเลยนะ”

    ที่ยากที่สุด คือการเก็บอีกคนไว้ได้นานๆต่างหาก

    จินยองไม่ได้หมายถึงเก็บไว้ในสังกัดค่ายรถแข่งที่บริษัทเขาดูแลหรอก แจบอมหนีไปตั้งแต่หมดสัญญาแล้วเพราะโดนแย่งตัวด้วยค่าสปอนฯจากMercedes หุ้นตกไปสองสามเดือนจนได้แจ็คสันมาร่วมทีมแทน

    ตอนนั้นแหละที่ทุกอย่างเริ่มชัดเจนขึ้น ไม่มีข้ออ้างทางธุรกิจ มีแค่แจบอมกับจินยอง มองหน้ากันที่ประตูคอนโดชั้นยี่สิบสี่ใจกลางกรุงโซลที่แจบอมพักอยู่ ก่อนจูบรวดเร็วอย่างพายุโหมกระหน่ำจะเริ่มขึ้น ดำเนินไปเรื่อยๆอย่างไม่มีใครคิดจะหยุด แล้วจบที่เราสองคนนอนหอบตรงพื้นปาเกต์เย็นๆของห้องรับแขก

    ฉันไม่ใช่ลูกจ้างพ่อนายแล้ว มีสิทธิอะไรมาสั่ง

    จินยองยังจำดวงตาเรียวดุที่จ้องมองมาอย่างท้าทายได้ดี รอยยิ้มของจินยองสะท้อนผ่านดวงตาสีดำสนิทนั่น เขาแค่กดจูบลงบนไฝสองเม็ดอันเป็นเอกลักษณ์ของอีกคน

    ณ วินาทีนั้นเองที่จินยองรู้ว่า ถ้าไม่ใช่เรื่องบนเตียง เขาก็ควบคุมอะไรคนตรงหน้าไม่ได้เลย

    จินยองนั่งมองแจบอมสั่งอาหารโดยไม่เอ่ยอะไร ปกติหน้าที่สั่งจะเป็นของเขา หมายถึงถามเจ้าตัวแล้วรวบรวมออเดอร์บอกบริกรอีกทีน่ะนะ แต่ที่ฝรั่งเศส แจบอมเป็นเจ้าบ้านเพราะมาเก็บตัวแข่งบ่อยๆ หน้าที่นั้นเลยตกเป็นของคนแก่กว่าโดยปริยาย

    ร้านที่แจบอมเลือกเป็นร้านกึ่งบาร์ที่มีดนตรีสดเล่นตอนช่วงสามทุ่มเป็นต้นไป เพลงแจซหวานๆทดแทนวิวมืดๆของตรอกคนบางตาที่ร้านตั้งอยู่ได้ดี จินยองก็แค่รู้สึกแปลกๆที่ใส่สูทอยู่คนเดียวทั้งร้านเท่านั้น

    สูทตัวสวยถูกถอดออกเหลือแค่เชิ้ตสีขาวด้านใน พับแขนเสื้อลวกๆจนเกือบถึงศอก โดยไม่ละสายตาไปจากคนที่กำลังเท้าคางฟังดนตรีสดอย่างตั้งใจ

    แจบอมรักเสียงเพลงและศิลปะ

                    ส่วนจินยองก็รักท่าทางตั้งใจของอีกคนเช่นกัน

                    “ที่นี่เพลงเพราะดีนะครับ”

                    “อือ เพื่อนแนะนำมานานแล้ว แต่เพิ่งมีโอกาสได้มานี่แหละ”

                    “หึ รอคู่เดทดีๆแบบผมอยู่ล่ะสิ”

                    แจบอมมองหน้าจินยอง ก่อนจะถอนหายใจแล้วซุกหน้ากับฝ่ามือปิดรอยยิ้มขบขันของตัวเอง ทำไมถึงได้หลงตัวเองหน้าตายแบบนั้นนะ

                    “ผมล้อเล่นน่า อย่างพี่เหรอจะรอผม นี่ขนาดคบกันมาตั้งสองปีแล-“

                    “ยังไม่คบ”

                    เห้อ ทีแบบนี้ทำไมไม่อ๊องบ้างล่ะอิมแจบอม

                    “นั่นแหละ ขนาดรู้จักกันมาสองปี พี่เพิ่งชวนผมเดทโต้งๆก็วันนี้แหละ”

                    “...”

                    “ถ้ารู้ว่าตอนห่างกันแล้วพี่ใจดีแบบนี้ ผมหนีมาเรียนต่อตั้งนานแล้ว”

                    จินยองยกยิ้มมุมปากมองคนที่กุมขมับอยู่อีกฟากโต๊ะ รอยยิ้มของแจบอมกว้างและทำเอาทั้งร้านสว่างไปหมด เป็นรอยยิ้มที่แจบอมใช้รับมือกับจินยองมาโดยตลอด

     ยิ้มใจดี ให้ความรู้สึกเย็นสบายเหมือนฝน

                    “ทำไมถึงได้เป็นเด็กแบบนี้นะ”

    ยิ้มแบบปลงตกกับความเว่อของพัคจินยอง

                    สองปีที่คบ...รู้จักกันมา แจบอมจะไม่เคยชวนเดทเลยรึไง แล้วที่ทำกับข้าวให้กินตอนอยู่เกาหลีเรียกอะไรเล่า จินยองก็พูดให้มันยิ่งใหญ่ไปงั้นแหละ กะอีแค่ชวนมาฝรั่งเศสช่วงที่เขามีเดย์ออฟ ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้

                    ไม่เจอกันตั้งเดือนกว่า ถ้ามีโอกาสได้เจอกันทำไมเขาจะไม่ชวนล่ะ

                    “เรียนเป็นไงบ้าง”

                    “พี่ถามเหมือนแม่ผมเลยอ่ะ”

                    แจบอมค้อนให้คนกวนประสาทไปที จนจินยองรีบเอื้อมมือมาจับมือเขาที่วางอยู่บนโต๊ะเป็นเชิงบอกว่าหยอกเล่น นักศึกษาหนุ่มไล้นิ้วโป้งวนๆที่มือเขาระหว่างประมวลคำตอบ เหมือนมันเป็นคำถามสัมภาษณ์งานที่ต้องตอบจริงจังทั้งที่เป็นแค่คำถามชวนคุยเล่นก็เท่านั้น

                    “สนุกนะ ผมก็ไม่เคยรู้ว่าตัวเองสนใจเรื่องพวกนี้เหมือนกัน”

                    “ดีแล้ว เพราะนายเองก็ดูไม่ได้จริงจังจะเอาดีด้านแข่งรถเท่าไหร่”

                    “จริงจังสิ ผมก็แค่ไม่เก่งพอจะเป็นนักแข่งมืออาชีพเหมือนพี่ต่างหาก”

                    นักขับหนุ่มส่ายหัวกับคำเถียง มองมือตัวเองที่ยังโดนกุมอยู่ จินยองน่ะเป็นนักขับที่เก่งกาจคนหนึ่ง จะเอาดีทางด้านนี้เลยก็ได้ โดยเฉพาะสายเซอร์กิตที่แข่งแบบเน้นการวางแผนขึ้นนำระยะยาว แต่เหมือนจินยองเองจะรู้ตัวว่าลึกๆแล้ว ตัวเองมีหน้าที่อะไรเลยไม่ยอมเข้าวงการเต็มตัวเสียที

                    จนตอนนี้วางมือไปแล้ว และเลือกจะเดินตามทางที่ทุกคนคาดหวัง

                    “เป็นนักธุรกิจก็ดีแล้ว จะได้ต่อยอดกิจการที่บ้านไง อีกอย่างถ้านายชอบมัน บางทีการมาเรียนต่ออาจไม่แย่อย่างที่นายคิดก็ได้”

                    “แย่ครับ ผมชอบวิชาที่เรียน แต่ผมไม่ชอบที่เราไม่ได้เจอกัน”

                    “เหอะ ปกติตอนอยู่เกาหลีเราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวันซะหน่อย”

                    “แต่ถ้าผมอยากเจอผมก็ไปหาพี่ได้ตลอดนี่ แล้วดูตอนนี้สิ เดือนสองเดือนถึงได้เจอกัน”

    น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจของคุณชายพัคทำเอาคนแก่กว่าส่ายหัว Long distance relationship ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่กับตัวแจบอมเอง เพราะเขาก็ไม่เคยรู้เลยว่าน้องมีบทบาทในชีวิตประจำวันเขามากขนาดนั้นจนกระทั่งต้องอยู่ไกลกันหลายร้อยหลายพันไมล์

    แจบอมไม่เคยรู้เลยว่าการไม่มีคนให้ดุมันน่าเบื่อจนต้องเลือกมาแข่งเซอร์กิตที่ฝรั่งเศสทั้งที่เขาเป็นสายแข่งแดรกที่เน้นความเร็วมากกว่า

    แต่ยุโรปมีเซอร์กิต แจบอมก็เลยคิดว่าการแข่งเซอร์กิตก็น่าสนุกดี

    อย่างน้อยการได้นั่งเถียงกันที่บาร์ในปารีสก็ไม่เลวเลย

     

     

                    ________________________________

     

     

     

     

                    แจบอมพาจินยองเดินเล่นในตัวเมืองปารีสได้สมกับที่ต้องมาเก็บตัวแข่งขันที่เมืองนี้บ่อยๆ เวลาร่วมชั่วโมงที่ชายหนุ่มไหล่กว้างสูงโปร่งในเสื้อยืดกางเกงกีฬาสบายๆเดินเคียงข้างชายหนุ่มอีกคนที่ใส่เสื้อเชิ้ตขาวกางเกงสแล็คเนื้อดีโดยมีสูทราคาแพงพาดบ่า

                    เป็นภาพที่แปลกประหลาด หากแต่รอยยิ้มของคนทั้งคู่ทำให้บรรยากาศรอบข้างนั้นแตกต่างออกไป

                    ไม่มีชาวปารีสคนไหนเห็นพวกเขากุมมือกัน แต่จินยองรับรู้ได้ถึงความอบอุ่น จากสายตาและรอยยิ้มที่คอยมองตามเขาเวลาที่เขาเดินไม่ระวัง หรือเสียงหัวเราะในทุกๆครั้งที่จินยองพยายามออกเสียงร้านภาษาฝรั่งเศสตาม Google translator

                    จินยองมาฝรั่งเศสเพื่อสิ่งนี้

                    นั่นอาจเป็นเหตุผลที่เขาเองก็ละสายตาจากแจบอมไปไม่ได้เลยสักวินาทีเดียว แม้หอไอเฟลจะอยู่ตรงหน้าแล้วก็ตาม

                    “ฝนจะตกแล้วล่ะ”

                    นักแข่งหนุ่มเงยหน้ามองฟ้ามืดสนิท สิ่งที่ทำให้เขาคาดการณ์ว่าฝนจะตกไม่ใช่ท้องฟ้า แต่เป็นคนท้องถิ่นที่พกร่มออกมาจากบ้านต่างหาก แต่พอเห็นจินยองเงยหน้าตามและขมวดคิ้วสงสัย แจบอมเลยแกล้งทำเหมือนทุกอย่างเป็นความสามารถของเขาที่มองออกว่าปารีสจะฝนตกเมื่อไหร่

                    ไม่รู้ทำไปทำไม แจบอมไม่ได้อยากให้จินยองมองว่าเขาเก่งเสียหน่อย

                    “งั้นกลับโรงแรมมั้ย”

                    “นายจองโรงแรมไว้เหรอ”

                    “ครับ เผื่อไว้น่ะ”

                    คนฟังขมวดคิ้ว สบตาจินยองที่จ้องกลับอย่างไม่ยอมแพ้ นั่นคือสัญญาณความไม่ชอบมาพากลที่แจบอมเรียนรู้จักการคลุกคลีใกล้ชิดกับน้องมากว่าสองปี จินยองไม่หลบตาเวลามีแผน

                    เหมือนตอนนี้

                    แจบอมพักอยู่ที่นี่มาสองเดือนแล้ว และที่พักของเขาก็ไม่ได้เล็กรูหนูจนจะให้จินยองมาพักด้วยไม่ได้ แจบอมเป็นนักแข่งของทีมดัง สวัสดิการไม่อั้นอยู่แล้ว

                    แต่จินยองก็ยังจองโรงแรมไว้ อย่างกับกลัวแจบอมจะไล่ให้ไปนอนที่อื่นงั้นแหละ

                    “อย่าทำหน้านิ่งแบบนั้นสิ ผมแค่อยากได้วิวหอไอเฟลโรแมนติกๆต่างหาก”

                    “สิ้นเปลืองชะมัด นายจะนอนมองมันทั้งคืนเลยรึไง”

                    จินยองแค่ยิ้ม เดินมาบีบไหล่แจบอมแล้วนวดเบาๆ ดันหลังให้เขาเดินไปข้างหน้าโดยมีคนเด็กกว่าเอนตัวมากระซิบข้างหู

                    “พี่จะได้มีอะไรดูเพลินๆตอนที่...”

                   

                    แล้วจินยองก็โดนขวดน้ำพลาสติกฟาดซ้ำๆตลอดทางเดินไปโรงแรม

     

     


     

                    _____________________________

     

     

     



                    เพราะเอาแต่เที่ยวเล่น แจบอมเลยเผลอลืมไปว่าตัวเองเป็นผู้แพ้ในเกมที่หลวมตัวไปรับปากจินยองไว้ เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะโดนลงโทษยังไง แต่จากประสบการณ์ จินยองคงไม่ขออะไรเล็กๆน้อยๆแน่ๆ เพราะเรื่องพวกนั้นนะ จินยองมีวิธีหว่านล้อมให้แจบอมยอมได้โดยไม่ต้องมาเล่นเกมกันให้ลำบาก

                    ชายหนุ่มสูดลมหายใจ พยายามทำใจให้สงบก่อนจะคลายปมริบบิ้นผ้าลื่นของกล่องกระดาษที่แจบอมได้เป็นบทลงโทษของผู้แพ้

                    โอ้

                    พระ

                    เจ้า

                    “น่ารักใช่มั้ยล่ะครับ”

                    แจบอมจ้องหน้าผู้ชนะที่ยื่นกล่องใบนี้ให้เขากับมือ จินยองเดินจากอีกฟากของห้องมาสวมกอดเอวเขา วางคางลงบนไหล่แล้วเอื้อมมือมาแย่งสิ่งที่อยู่ในมือแจบอมไปถือ

                    “ล้อเล่นใช่มั้ย”

                    แจบอมเหลือบมองเสี้ยวหน้าของคนเด็กกว่า ใบหน้าคมคายประดับไปด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจของจินยอง

                    น้องมันเอาจริงว่ะ

                    แจบอมสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะ..

                    พลั่ก!!

                    “ไม่โว้ยยย”

                    “โอ้ยพี่ ยันหน้าผมทำไมเล่า ก็พี่แพ้อ่ะ พี่ก็ต้องทำตามใจผมสิ”

    “ฝันไปเถอะ!!

                    “ไม่ฝันแล้ว ผมฝันมาเยอะแล้ว ยังไงผมก็ต้องได้เห็นพี่ในชุดนักเรียนญี่ปุ่น!!

                    แจบอมอ้าปากค้างไม่รู้จะด่าไอ้เด็กตรงหน้ายังไงให้มันสะเทือน ดวงตาเรียวดุเหลือบมองเสื้อนักเรียนญี่ปุ่นไซส์ใหญ่พิเศษเพื่อให้แน่ใจอีกครั้งว่าเขาไม่ได้ตาฝาด สลับกับใบหน้าจริงจังที่เริ่มแสดงอาการงอนจนแจบอมรับมือไม่ถูก

                    บ้าไปแล้ว ไอ้เด็กนี่มันชอบแบบนี้เหรอวะ

                    “แค่มัดแขนมัดขา ปิดตาด้วยเนคไทเหมือนครั้งก่อนไม่ได้รึไงเล่า!

                    คนโดนต่อรองถอนหายใจ วางชุดในมือลงในกล่องเบาๆเหมือนวางเด็กตัวเล็กๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกอดอกเอาเรื่องคนแพ้ที่กำลังจะผิดสัญญากับเขา แจบอมยืนอยู่อีกมุมของห้อง ห่างจากเขาเหมือนกลัวว่าถ้าใกล้กว่านี้จะโดนเขาจับแต่งตัวเป็นสาวน้อยแจแปนนีสอย่างที่ตั้งใจ

                    ซึ่งก็อาจจะจริง เพราะจินยองอยากเห็นมานานแล้วเหมือนกัน

                    “ไหนพี่บอกว่าถ้าแพ้จะทำตามใจผมทุกอย่างไง”

                    “ก็ใครจะนึกว่ามันจะเป็นเรื่องนี้ล่ะวะ”

                    “ไม่เอาไม่ขึ้นเสียงแบบนั้นสิ”

                    จินยองสาวเท้ามาใกล้แจบอมอีกนิด ดวงตากลมโตจดจ้องไปยังอีกฝ่ายเหมือนเสือเจ้าเล่ห์ที่พยายามกล่อมเหลื่อให้เชื่อใจ

                    “พี่อาจจะชอบก็ได้นะ”

                    โอ้โหไอ้...

                    แจบอมไม่รู้จะด่ายังไง นี่น้องมันคิดยังไงถึงได้อยากเห็นเขาในชุดแบบนั้น จินยองอายุแค่ยี่สิบแต่รสนิยมทางเพศแฟนตาซีเกินอายุมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ครั้งแรกที่แจบอมเผลอตัวให้เด็กมันปีนเกลียว เขาก็พอรู้ว่าเจ้าตัวร้ายใช่เล่น

                    แต่...แต่แบบนี้มันมากเกินไป

                    “สองเดือนที่ผ่านมาผมรอดตายเพราะคิดภาพพี่ในชุดน-

                    “พอ! ไม่ต้องพูด ไม่ใส่ก็คือไม่ใส่ ถ้าจะบังคับงั้นก็นอนคนเดียวไปละกัน ไปละ”

                    นั่นไม่ใช่คำขู่เพราะแจบอมกำลังคว้าเป้ใบโตของตัวเองไปจริงๆ คราวนี้ดูเหมือนว่าพี่จะไม่ยอมตามใจจินยองง่ายๆไม่ว่าเขาจะดื้อสักแค่ไหน

                    นี่แหละเหตุผลที่เขาจองโรงแรมไว้ เผื่อพี่มันถีบหัวส่งแบบนี้ยังไงล่ะ

                    “โอเคๆ ผมไม่บังคับพี่หรอก ไม่ใส่ก็ไม่ใส่”

                    แต่จินยองไม่อยากนอนคนเดียว เขาไม่ได้เดินทางจากอังกฤษมาฝรั่งเศสเพื่อนอนกอดกล่องชุดนักเรียนญี่ปุ่น

                    “เออ เอาไปทิ้งเลยนะ ไอ้ชุดนั่นน่ะ”

                    แจบอมวางกระเป๋าเลง มองตามอีกคนที่เดินหน้ายุ่งไปเก็บชุดใส่กล่องแถมผูกโบว์ให้ใหม่ไว้ดิบดี ก่อนจะยกันไปวางไว้ในตู้เสื้อผ้า

                    “บอกให้ทิ้งไง จะเก็บไว้ทำไมเล่า”

                    “ไม่ทิ้ง พี่ไม่อยากใส่เดี๋ยวผมก็หาเด็กอังกฤษมาใส่จนได้แหละ”

                    หน็อย เด็กอังกฤษงั้นเหรอ

                    ไม่แจบอม อย่าตกหลุมพรางเจ้าเด็กนั่น นายจะทำตามที่มันขอเพียงเพราะโดนประชดไม่ได้

                    “เออ หาให้ได้ละกัน ไซส์นั้นน่ะ”

                    แจบอมมองหน้าอีกคนที่ทำปากยื่นปากยาวน่าหยิกให้หลุดติดมือ จินยองจ้องเขากลับมาอย่างเข่นเขี้ยวไม่ยอมแพ้เมื่อเห็นว่าเขาไม่สนใจกับคำพูดนั้นก่อนจะเป็นฝ่ายละสายตาไปก่อน

     ร่างสูงเดินไปคว้าผ้าขนหนู มีการหันมาค้อนให้แจบอมอีกหนก่อนจะเดินหน้างอเข้าห้องน้ำไป

                    ดูมันดื้อ

                    แจบอมเหลือบมองตู้เสื้อผ้านิ่งๆ คิดถึงกล่องใบนั้นที่ตั้งอยู่ตรงมุมตู้ ก่อนจะถอนหายใจออกมายาว ถ้าตามใจหนึ่งครั้งก็ต้องตามใจตลอดไป

                    โกรธก็โกรธไปสิ ยังไงเขาก็ไม่ยอมให้ล้ำเส้นเด็ดขาด

                    จินยองอาบน้ำนานกว่าปกติ พออาบเสร็จก็เดินตรงไปแต่งตัว แล้วกระโดดลงเตียงไม่สนใจแจบอมด้วยซ้ำ เหอะ ไม่ง้อหรอกนะ คนแก่กว่าเลยเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเองบ้าง

                    คืนนี้แจบอมเตรียมตัวมาตั้งรับศึกหนัก แต่ดูเหมือนจะมีแค่ศึกอารมณ์มากกว่าที่เขาต้องเจอ

                    ตอนที่แจบอมออกมา จินยองอยู่บนเตียง นอนหันหน้าไปทางวิวหอไอเฟลนอกหน้าต่างบานใหญ่ จ้องมองสายฝนที่เทสาดบดบังบังแสงสีของเมืองปารีสยามค่ำคืน แจบอมมองคนตรงหน้าอย่างชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ ใจนึงก็อยากจะกลับที่พักตัวเองเสียตอนนี้เลย ทิ้งให้จินยองนอนคนเดียวกับวิวหอไอเฟลที่เจ้าตัวอยากมองนักหนา

    แต่อีกใจ ก็ไม่อยากฝ่าฝนไปนอนหนาวที่ห้องคนเดียวเหมือนกัน

    ดังนั้น แจบอมเลยปิดไฟทั้งห้องแล้วทิ้งตัวลงนอนข้างๆคนงี่เง่าอย่างเสียไม่ได้

                    วิวไอเฟลชัดขึ้นเมื่อทั้งห้องมืดลง

                    แจบอมมองมันผ่านไหล่ของจินยองก่อนจะหลับตาแล้วหันหน้าไปอีกทาง หันหลังให้จินยองบ้าง เขานับลมหายใจเข้าออกได้สิบสองครั้ง เท่ากับจำนวนโค้งในสนามแข่งที่เขาซ้อมวันนี้

                    และสะดุดลง เมื่อจินยองพลิกตัวและสอดแขนกอดเขาจากด้านหลัง หนำซ้ำยังยกขาเกยตั้งบนขาของแจบอมโดยไม่พูดอะไร มีเพียงลมหายใจอุ่นๆและรอยจูบร้อนๆตรงใบหูสองสามครั้งก่อนจะนิ่งไป

                    แจบอมเผลอเกร็งตัวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะผ่อนลมหายใจยาวๆที่ไม่รู้ว่ากลั้นไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาวางมือลงบนแขนหนักๆที่พาดอยู่ตรงหน้าท้องตัวเอง และหลับตาลง

                    แจบอมอาจจะเผลอตามใจจินยองในหลายๆเรื่อง เพราะน้องมีวิธีหลอกล่อสารพัดทำให้เขาตกลง

                    แต่ไม่ใช่ครั้งนี้

                    ไม่ใช่ชุดนักเรียนญี่ปุ่น

     

     

     

     

     

                    ______________________________

     

     

     



                    จินยองมองว่าการนอนกอดแจบอมเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่เขาตั้งใจว่าจะทำในปารีส

                    เพราะงั้น แทนที่เขาจะรีบตื่นแต่เช้ามาแต่งตัวออกไปเที่ยวเล่นอย่างที่แจบอมชวน จินยองกลับเอาแต่นอนกรนใส่หูแจบอมที่ตื่นก่อนและต้องนอนเล่นมือถือแก้เซ็งจนถึงสิบโมง

                    พวกเขาเริ่มต้นวันด้วยBrunchที่ร้านเล็กๆใกล้โรงแรม แจบอมยกวันหยุดให้จินยองทั้งวันเพราะมะรืนนี้จินยองก็ต้องกลับอังกฤษแล้ว จะว่าไประยะเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันมันสั้นเสียยิ่งกว่าสั้น เลยต้องตักตวงให้มากที่สุด

                    “อาทิตย์หน้าผมมาหาไม่ได้นะครับ มีวันหยุดแค่วันเดียว อีกวันต้องสุมหัวคิดโปรเจ็คต์”

                    จินยองในเสื้อสกรีนตัวอักษรว่าปาริเซียงเหมือนกลัวคนไม่รู้ว่าเป็นนักท่องเที่ยวรายงานกำหนดการก่อนจะงับขนมปังทาแยมที่แจบอมทาทิ้งไว้เข้าปาก เคี้ยวไปได้สองสามทีก็ตักแฮมเข้าปากอีก ตามด้วยออมเล็ตกลิ่นหอม และน้ำส้มอึกใหญ่

                    “แอบจัดปาร์ตี้วันเกิดให้ตัวเองกับสาวๆที่อังกฤษก็บอกมาเถอะ”

                    “อือ งานผมต้องใส่ชุดนักเรียนญี่ปุ่นด้วย ไม่งั้นไม่ให้เข้า”

                    แจบอมหัวเราะกับคำพูดประชดกลับของจินยอง มันเป็นการหยอกเอินที่ไม่มีอารมณ์แย่ๆปะปนอยู่ เป็นเพียงอีกเรื่องที่พวกเขาเห็นไม่ตรงกันแต่ก็เคารพซึ่งกันและกัน

                    สิ่งหนึ่งที่แจบอมชื่นชมในตัวจินยองคือความคิดความอ่านของอีกคน หลายครั้งที่จินยองอาจทำตัวงี่เง่าเอาแต่ใจ แต่มันก็เป็นเรื่องปกติของคนวัยนี้ แจบอมแก่กว่าน้องสามปี เขาต้องใจเย็นกว่าและหาวิธีรับมือให้ได้

                    เอาเข้าจริง จินยองน่ะ งี่เง่าน้อยกว่าที่เขาคิดเยอะ ทั้งๆที่เป็นลูกเศรษฐีที่ถูกเลี้ยงมาอย่างประคบประหงมแท้ๆ นั่นอาจเป็นเหตุผลที่เราคบกันมาถึงตอนนี้

                    ไม่สิ ไม่ได้คบ จังหวะเวลาและอีกหลายๆปัจจัยยังไม่เอื้อให้พวกเขาไปถึงตรงนั้น

                    จินยองเคยขอแจบอมเป็นแฟนนับครั้งไม่ถ้วน ครั้งแรกน่าจะตอนปีแรกที่รู้จักกัน หลังจากเราเดทกันไปได้หกเดือน มีอะไรในห้องเก็บอะไหล่ไปสองสามครั้งตามประสาเด็กวัยรุ่นที่ชอบความตื่นเต้น

                    ตอนนั้นจินยองก็เป็นแค่เด็กบ้านรวยซ่าๆที่ฮอตเข้าตาก็เท่านั้น เขาเลยปฏิเสธไปมั่นใจว่าเด็กดื้อรั้นที่ไม่เคยต้องพยายามเพื่อให้ได้อะไรอย่างจินยองคงไม่เสียเวลามาจริงจังเรื่องของเขา

                    ผิดคาด น้องไม่เคยยอมแพ้ และมันก็ลากยาวมาถึงตอนนี้

                    บางที ถ้าทุกอย่างเข้าที่เข้าทางกว่านี้ ตอนจินยองเรียนจบ แจบอมเริ่มวางมือจากการเดินสายแข่งทั่วโลก เราอาจได้ยกบทสนทนาที่เราเคยคุยกันในบ่ายวันอาทิตย์ มาถกกันแบบจริงจังก็ได้

                    “พี่แจบอม”

                    แจบอมหลุดจากภวังค์ เพิ่งรู้ว่าตัวเองทาแยมลงบนขนมปังจนเปียกแฉะไม่น่ากิน เขาวางมันลง สบตากับคนที่จ้องเขาจากอีกฟากโต๊ะ

                    “เรื่องเมื่อคืนน่ะ...ผม..ผมขอโทษ”

                    และแจบอมก็ยิ้มอีกแล้ว

                    “ช่างมันเถอะ”

                    “ผมไม่น่าบังคับพี่แบบนั้นเลย พี่คงรู้สึกไม่ดีใช่มั้ย เพราะผมเองก็รู้สึกแย่มากๆเหมือนกัน”

                    จินยองหยิบขนมปังเละๆเข้าปากอีกหน แต่ไม่ยอมสบตาแจบอมจนเขาต้องวางมีดทาเนยลงแล้วเอื้อมมือไปวางข้างหน้าน้อง จินยองมองมือเขานิ่ง ก่อนจะวางมือตัวเองลงทับมือเขาแล้วบีบมันแน่น

                    “ฉันใส่ชุดพวกนั้นแล้วไม่ดูดีแบบที่นายคิดหรอก อย่าเสียใจไปเลย”

                    “พี่อย่ามารู้ดีกว่าคนมองสิครับ”

                    “หึ”

                    แจบอมแค่นหัวเราะเมื่อเห็นว่าจินยองเลิกหูตกหางลู่ แถมแววตาประกายๆก็กลับมาแทบทันทีที่เจ้าเด็กนั่นนึกภาพตามคำพูดเขา น่าสงสารได้ไม่ถึงนาทีจริงๆ

                    “ชุดนั้นน่ะ ไม่ต้องหอบกลับอังกฤษเลยนะ ทิ้งไว้นี่แหละ”

                    “แต่ผมตัดมาแพงนะ พี่จะทิ้งจริงๆเหรอ”

                    “ทิ้งไม่ทิ้งก็ไม่ให้เอาไป”

                    จินยองทำหน้าหงอยๆอีกหนก่อนจะเปลี่ยนเป็นดี๊ดาเมื่อนึกถึงเหตุผลที่แจบอมไม่ยอมให้เอาชุดกลับไป

                    “กลัวผมเอาไปให้เด็กอังกฤษใส่แทนใช่มั้ยล่ะ”

                    แจบอมสบตากับคนที่ยิ้มมุมปากตรงหน้า คนแก่กว่ายักไหล่ งับขนมปังเข้าปาก

                    “อือ ไม่ต้องเห็นคนอื่นใส่หรอก”

                    “...”

                    “นายเห็นฉันใส่ชุดนั่นในจินตนาการก็พอแล้ว”

     

     






           ____________________________________

     

                   





     

                    ฝนตกอีกแล้ว

                    ดังนั้น แผนการเดินเที่ยวยามบ่ายเลยต้องพับเก็บไปทั้งหมด เปลี่ยนเป็นวิ่งฝ่าฝนไปยังห้องพักของแจบอมซึ่งอยู่ไม่ไกลแทน พวกเขาถึงโรงแรมด้วยสภาพเหมือนลูกหมาเปียกน้ำ จนแจบอมต้องเอาเสื้อผ้าของตัวเองมาให้จินยองเปลี่ยนเพราะกลัวจะป่วยเอา

                    "มิน่า แจ็คสันถึงบอกว่าทีมเราสวัสดิการห่วย"

                    แจบอมทอดสายตามองอีกคนที่กำลังกวาดสายตาสำรวจความโออ่าของห้องพัก เสื้อยืดแขนยาวของแจบอมดูใหญ่เทอะทะเมื่ออยู่บนตัวของจินยอง โดยเฉพาะช่วงไหล่ จนแขนเสื้อยาวตกลงจนปิดปลายนิ้ว แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจ เอาแต่เดินไปเดินมาบ่นพึมพำว่าต้องหาทุนมาเพิ่มให้นักขับทีมตัวเองบ้าง ไม่งั้นนักขับเก่งๆคงโดนแย่งตัวไปหมด

                    บางครั้งเขาก็เผลอลืมว่าคนตรงหน้าไม่ใช่เด็กวัยรุ่นติดเล่นอีกต่อไปแล้ว      

                    เจ้าบ้านเดินเข้าห้องน้ำปล่อยให้น้องสำรวจห้องตัวเองโดยไม่ห้าม ไดร์ขนาดเล็กหน้ากระจกถูกหยิบมาเป่าเส้นผมเปียกชื้นของตัวเองพอให้อุ่นๆ เขาป่วยไม่ได้เพราะต้องซ้อมอีกหลายนัด

                    แจบอมเป่าผมไปเรื่อยๆก่อนจินยองจะเดินเข้ามาสำรวจในห้องน้ำบ้าง มือหยิบจับนู่นนี่หน้ากระจกขึ้นมาดูเหมือนกำลังหาของจนคนที่มองอยู่นานอดถามไม่ได้

                    “หาอะไร”

                    “หาหลักฐานการมีกิ๊ก”

                    ซึ่งไม่น่าถามเลยจริงๆ

                    จินยองเปิดปิดลิ้นชักไปเรื่อยจนไปเจอผ้าขนหนูแบบดัดได้ที่เอาไว้โพกกันผมเปียกตอนล้างหน้า เด็กหนุ่มดูสนใจมันเป็นพิเศษ เอามาบิดๆเล่นสองสามที ก่อนจะยกขึ้นโพกหัวตัวเองดัดๆจนปลายสองข้างชี้ขึ้นเหมือนหูกระต่ายสีขาว

                    จินยองมองเงาตัวเองในกระจก นึกว่ามันจะน่ารักแต่กลายเป็นตลกซะอย่างนั้น

                    เล่นอะไรอยู่วะจินยอง ปัญญาอ่อนชิบ

                    แต่ไม่ทันที่จะยกมือคลายหูกระต่ายตลกๆฝีมือตัวเองออก จู่ๆแจบอมก็วางไดร์เป่าผมแล้วเอื้อมมือมาจัดหูกระต่ายสะเหล่อๆนั่นให้เท่ากันด้วยท่าทางตั้งใจ

                    โอเค เป็นกระต่ายก็ได้ จินยองเป็นอะไรก็ได้

                    “พี่แจบอมชอบกระต่ายมั้ยครับ”

                    กระต่ายหมาดๆแกล้งถาม วางมือสองข้างลงบนเอวของอีกคนอย่างติดนิสัย เหมือนสมองเขามีโปรแกรมติดตั้งเอาไว้ ว่าถ้าแจบอมเข้ามายืนในระยะนี้เมื่อไหร่จินยองจะต้องเอามือวางไว้ตรงนั้น

                    “ไม่ชอบ กระต่ายมันซื่อบื้อ”

                    “กระต่ายบางตัวก็ฉลาดนะครับ ตาถึงด้วย”

                    “อือ กระต่ายบางตัวก็ชอบเล่นมุกเสี่ยว เสียดายความน่ารักจริงๆ”

                    กระต่ายตัวใหญ่ยิ้มจนตาหยีเมื่อโดนพาดพิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบเล่นมุกเสี่ยว จริงๆจินยองก็คิดว่ามุกของเขาไม่เสี่ยว แถมยังดูมีชั้นเชิงด้วยซ้ำ แต่เพราะแจบอมโดนหยอดจนชินต่างหากถึงได้คิดว่ามันเสี่ยว

                    “ผมเคยเลี้ยงกระต่ายด้วยล่ะ”

                    คนรักสัตว์อวดอ้างสรรพคุณ อาศัยจังหวะที่แจบอมสนใจคำพูดของตัวเองขยับเข้าไปจนชิด มือที่เคยวางอยู่ตรงเอวเลื่อนต่ำลงไปจนวางแหมะอยู่ตรงสะโพกแทน

                    “กระต่ายเนี่ย มันชอบดมเจ้าของนะครับ”

                    ไม่ว่าเปล่า กระต่ายปลอมๆก็เริ่มกดจมูกลงสำรวจกลิ่นเป็นการสาธิต

                    จากแก้ม ไปยังคอ

                    จากสัมผัสทางจมูกเป็นริมฝีปากร้อนจัด

                    จากกระต่าย เป็นตัวอันตรายที่แจบอมไม่น่าปล่อยให้ได้โอกาส

     

                    กระต่ายลามกแบบนี้ทุกตัวมั้ยนะ

     

                    จินยองแสร้งเป็นกระต่ายได้ไม่นานเพราะหูกระต่ายเกะกะนั่นถูกกระชากออกตั้งแต่สิบนาทีแรกด้วยมือของแจบอม แรงอารมณ์ของคนแก่กว่ากำลังได้ที่และสัญชาตญาณของเขาก็บอกว่าในห้องน้ำคงไม่สนุก

                    แจบอมดูหงุดหงิดไม่น้อยที่จู่ๆกระต่ายตัวดีก็หยุดเล้าโลมเสียดื้อๆ แต่ก็อารมณ์เสียได้ไม่นานเพราะทันทีที่คนเด็กกว่าลากเขาออกมาจากห้องน้ำได้ จินยองก็แทบไม่เสียเวลาแม้แต่วินาที

                    เขารู้แล้วว่า สองเดือนที่ผ่านมา ไม่ได้มีแค่จินยองที่ต้องอดทน

                    น้ำหนักตัวของจินยองที่คร่อมตัวเขาอยู่กดแจบอมจมลึกลงไปกับเตียง ริมฝีปากยังคงลากไล้ตักตวงเอาจากร่างกายไปเรื่อยไม่รู้จักพอ

                    ความเย็นชื้นของผิวที่ผ่านการตากฝนมาของจินยอง กับผิวร้อนๆที่กำลังถูกปลุกเร้าของแจบอม

                    ร่างกายเริ่มถ่ายเทความร้อนแก่กันจนตอนนี้แยกความต่างไม่ได้ จินยองบันทึกทุกอย่างไว้ในความทรงจำ เพราะเขารู้ว่าอาจต้องใช้มันไปอีกหลายเดือน

                    ดังนั้น เขาเลยสนใจรายละเอียดมากขึ้นหลังจากเผลอใจร้อนไปพักใหญ่

                    เช่นการวาดนิ้วไปตามแผ่นหลังเนียนๆของแจบอมยามที่อีกคนขยับแอ่นตามจังหวะอารมณ์ หรือการสบตากัน ณ ช่วงอารมณ์พุ่งสู่จุดสูงสุด

                    จดจำสายตาที่แจบอมมองเขา

                    จดจำภาพเม็ดฝนที่สาดกระทบหน้าต่างตอนที่แจบอมใช้มันแทนจุดเกาะเพื่อทรงตัว

                    จดจำเสียงฝนแผ่วๆที่ลอดพ้นกำแพง คลอไปกับเสียงหอบหายใจของคนตรงหน้า

                    จินยองจดจำปารีสในคืนฝนตกเอาไว้...เท่าที่เขาจะมีสติรับรู้

                    เพราะพรุ่งนี้จินยองก็ต้องไปแล้ว

                    และแค่คิดถึงตรงนั้น เขาก็ไม่อยากให้คืนนี้สิ้นสุดลงเลย

                   

               --------------------------






    จินยองพยายามเรียนให้หนัก หนักจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน

    แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีช่วงที่เขาต้องพัก เช่นการมาแฮงเอ้าท์กับเพื่อนๆตามประสาเด็กเกาหลีในต่างแดน และพอเขาปล่อยให้ตัวเองว่าง

     “ใจลอยไปไหนเนี่ยพี่”

    “ปารีส”

    “ตอบแบบหน้าไม่อายเลยว่ะฮ่าๆๆๆ”

    ใจมันก็ลอยกลับไปหาแจบอมเสียทุกที

    จินยองเหลือบมองหน้ารุ่นน้องที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ โรงเรียนธุรกิจอาจมีเป็นร้อย แต่มีไม่กี่ที่หรอกที่ไฮโซเกาหลีจะส่งลูกมาเรียน ดังนั้นการที่จินยองมาเรียนต่อที่อังกฤษแล้วเจอยองแจ น้องชายที่รู้จักกันมานานก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

    “คิดถึงก็บินไปหาเขาดิ”

    ยองแจแนะนำตามประสา เจ้าตัวรู้จักแจบอมแค่ผิวเผินเกินกว่าจะมาเข้าใจความสัมพันธ์ของเขา มันเลยเอาแต่บอกว่าเรื่องปกติของคนเป็นแฟนกันที่จะคิดถึงกัน

    แต่ยองแจไม่รู้ว่าแจบอมน่ะ ใจร้ายจะตาย

    นี่ก็ผ่านมาอาทิตย์นึงแล้วที่จินยองบินกลับอังกฤษ และเขากลับมาพร้อมความตั้งใจว่าจะต้องทำให้แจบอมคิดถึงเขาจนบินมาหากันถึงที่นี่ให้ได้

    เริ่มจากไม่ส่งข้อความหามากเกินไป เว้นช่วงให้ได้คิดถึงกัน

    คอลกัน คุยกัน แต่ไม่มากเท่าที่ใจจินยองต้องการ เพราะถ้าทำแบบนั้น จินยองก็จะเป็นแค่เด็กที่เรียกร้องความรัก ไม่โตพอจะอยู่ในความสัมพันธ์ที่จริงจังกับแจบอมได้

                    จินยองจะทำให้แจบอมเห็นว่า เขาน่ะ ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นคลั่งรัก

                    ซึ่งจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ผลมันก็ชัดแล้วว่า นอกจากจินยองจะต้องโหมทำงานไม่ให้ตัวเองเผลอไปวุ่นวายกับแจบอมแล้ว เขาก็ไม่เห็นได้อะไรกลับมานอกจากอิโมจิเกาคางกับคำถามว่านายเผลอหลับอีกแล้วเหรอของแจบอมเวลาที่เขาตอบข้อความช้าลง

                    โอเค จินยองคิดเยอะไปเอง แผนการเด็กๆแบบนั้นน่ะ ทำอะไรคนแบบแจบอมได้ที่ไหน

    จินยองถอนหายใจ เหลือบมองหน้าจอมือถือที่ไม่มีแจ้งเตือนจากแจบอมเลย แม้เขาจะจงใจยั่วอารมณ์อีกฝ่ายโดยการส่งข้อความบอกว่ากำลังปาร์ตี้ พร้อมแนบภาพบรรยากาศที่มีสาวหุ่นดีๆในปาร์ตี้ติดเฟรมไปอีกสองสามคน

    แจบอมส่งกลับมาแค่ข้อความสั้นๆว่าขอให้สนุกนะ ฉันก็กำลังไปปาร์ตี้เหมือนกัน พร้อมกับอิโมจิยกนิ้วชี้และนิ้วก้อยที่เจ้าตัวชอบใช้

                    กลายเป็นว่าตอนนี้จินยองต้องมานั่งห่วงอีกฝ่ายเสียเอง

    ไม่หึงไม่แปลก แต่อย่างน้อยก็ต้องห่วงๆกันบ้างมั้ยวะ จริงๆตอนนี้ก็ดึกพอควร ไม่รู้ว่าแจบอมจะกลับจากปาร์ตี้หรือยัง ถึงนักแข่งหนุ่มจะไม่ใช่เด็กอนามัยเข้านอนตั้งแต่หัววันเหมือนจินยอง แต่ก็ไม่ใช่ค้างคาวที่จะอดนอนทั้งคืนแล้วตื่นเช้าไปซ้อมได้ เจ้าตัวนอนไม่เกินตีสองถ้ามีตารางงานในวันถัดไป และนี่ก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว

    โทร

    ไม่โทร

    โทร

    ไม่

    จินยองไม่โทร

    การแข่งครั้งนี้ยังอีกยาวไกล จินยองเคยแข่งเซอร์กิตมาหลายสนาม แค่เพราะเขาไม่ได้ขึ้นนำในการวิ่งรอบแรกไม่ได้หมายความว่าเขาจะหาทางเข้าเส้นชัยที่หนึ่งไม่ได้

    จินยองใจเย็น และการแข่งขันนี้จินยองจะต้องชนะ

    “ยองแจ ถามอะไรหน่อยสิ”

                    “ว่า?

                    “นายว่าพี่เหมือนเด็กมั้ย”

                    คนได้รับคำถามนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง มองหน้ารุ่นพี่ที่กำลังจ้องหน้ารอคำตอบจากปากเขาอย่างใจจดใจจ่อ

                    อะไรของพี่มันวะ

                    “ก็...เด็กนะ ไม่มีรอยเหี่ยวย่น มีตีนกาตอนยิ้มแต่-“

                    “ไม่ใช่สิวะ หมายถึงนิสัยอ่ะ พี่งี่เง่าจนน่าเบื่อมั้ย”

                    “อ่า โทษทีพี่ ถ้าเรื่องนั้นผมว่าพี่คิดมากแล้ว พี่จริงจังจะตายแต่ก็ไม่ได้ดุเหมือนที่ทุกคนคิด ผมว่าพี่มีความคิดที่น่านับถือดีอ่ะ”

                    “งั้นเหรอ..”

                    จินยองพยักหน้าเบาๆ ปล่อยตัวเองไว้กับคำตอบนั้น ถ้าในสายตาน้องๆเขาก็จริงจังจริงๆนั่นแหละ

                    แล้วทำไมมันยังไม่พอในสายตาแจบอมนะ

                    หรือจริงๆมันคือข้ออ้างของแจบอมที่จะปฏิเสธกันไปเรื่อยๆเท่านั้น

                    ไม่เป็นไร

                    จินยองรู้ว่าเขาไม่ใช่คนดีนัก เขาเห็นแก่ตัวเกินกว่าจะปล่อยให้แจบอมไปเจอคนอื่น รู้ว่าพี่ต้องอดทนกับหลายๆอย่างในตัวเขา และถึงจินยองจะพยายามเป็นคนที่ดีขึ้น มันก็คงยังไม่ดีพอจะยืนข้างๆพี่แจบอมหรอก

                    แต่จินยองจะยืน

                    และเขาก็จะไม่ปล่อยแจบอมไป เพราะจินยองน่ะแพ้ไม่เป็น

     

     

    --------------------------------------------

     

     

                    แจบอมไม่เคยกลัวสิ่งที่ควบคุมได้ยาก

                    เหมือนที่เขาไม่เคยกลัวความเร็วของรถ ไม่เคยกลัวว่าจะคุมมันไม่ได้ ไม่เคยกลัวว่าตัวเองจะแพ้

                    แจบอมไม่เคยกลัวอะไร เขาก็แค่รู้ว่าทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยดี

                    แต่วันนี้เขาทำได้ไม่ดีนัก สมาธิไม่นิ่งพอจะควบคุมความเร็วให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ จังหวะการเบรคและเร่งไม่ได้ดั่งใจสักอย่างจนโดนตำหนิไปหลายครั้ง

                    คนในทีมแยกย้ายกันเร็วกว่าปกติ เพราะทุกคนเห็นตรงกันว่าวันนี้แจบอมควรพักผ่อน

                    เขารู้สึกแย่กว่าเดิม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเชื่อฟังคำแนะนำของทุกคนที่เห็นตรงกัน

                    วันนี้ปารีสฟ้าสว่างสดใสเหมือนหลายๆวันที่ผ่านมา ไม่มีท่าทีว่าฝนจะตกเหมือนอาทิตย์ก่อน บรรยากาศเหมาะแก่การฝึกซ้อมเพื่อการแข่งในอีกไม่กี่วันข้างหน้ามาก แต่นักขับหนุ่มก็ยังทำผลงานได้ไม่ดีตามมาตรฐานที่วางไว้ นั่นทำให้เขาเริ่มมาคิดหาเหตุผลจริงๆของประสิทธิภาพการขับที่ลดลง

                    แต่จนแล้วจนรอดแจบอมก็ยังคิดไม่ออก

     ดังนั้น เขาจะโทษฟ้าโทษฝนที่ตกในปารีสไปก่อน

                    เพราะฝนไม่ตกมาสัปดาห์นึงแล้ว

                    ตอนฝนตก ปารีสไม่หนาว เตียงของเขาไม่เย็นชืดและกว้างแบบนั้น

                    ตอนฝนตก ดนตรีสดของร้านอาหารที่เขาพาจินยองไปเดทก็เพราะกว่านี้  วิวหอไอเฟลโรแมนติกกว่าทุกครั้ง ขนมปังทาแยมและน้ำส้มโง่ๆที่ร้านมื้อเช้าใกล้โรงแรมนั่นก็อร่อยกว่าที่เขาไปกินคนเดียวเป็นไหนๆ

                    ปารีสไม่สวยเหมือนตอนฝนตก

                    และทั้งๆที่ฝนไม่ควรตกที่นี่ แต่แจบอมก็ยังคิดถึงมันตลอดเวลา

                    คิดถึงชะมัด

    แจบอมละสายตาจากวิวนอกระเบียง ทิ้งตัวลงบนเตียงและสไลด์จอมือถือ ภาพความเป็นไปของคนที่เขารู้จักถ่ายทอดผ่านภาพถ่ายในอิริยาบทต่างๆและโพสต์ลงในอินสตาแกรม แจบอมดูมันผ่านๆก่อนจะแตะนิ้วลงที่รูปแว่นขยาย

                    เขาไม่ต้องเสียเวลากดหา Accountของจินยองก็ขึ้นเป็นตัวเลือกแรก

                    จินยองลงรูปไว้หกสิบแปดรูป เป็นรูปที่เจ้าตัวลงเพื่อตอบแทนแฟนๆสมัยยังโลดแล่นในวงการแข่งรถ น้องเคยลงรูปมากมายตามประสาวัยรุ่นที่เป็นที่สนใจของคนภายนอก จนกระทั่งเจ้าตัวโตขึ้นและโดนแฟนๆขุดไปเจอรูปที่เจ้าตัวบอกว่ามันน่าอาย เลยลบจนเหลือรูปดีๆแค่ไม่กี่รูป

    ก็ไม่รู้ทำไมแจบอมยังเข้ามาดู ทั้งๆที่รู้ว่าถ้าจินยองลงรูปก็คงไม่ลงในนี้ จินยองเลิกอัพเดทมานานแล้ว นับตั้งแต่หันไปเอาดีทางด้านธุรกิจ แม้จะมีแฟนๆมาคอมเม้นต์ขอร้อง จินยองก็ไม่เห็นสนใจ

    อย่าว่าแต่แฟนคลับเลย ขนาดแจบอมเอง จินยองยังไม่เห็นจะสนเลย

                ติ๊ง

                    ร่างกายแจบอมตื่นตัวกับเสียงแจ้งเตือนมือถือแค่เสี้ยวนาที ก่อนจะกลับสู่ภาวะปกติเมื่อเห็นว่าแจ้งเตือนข้อความมาจากมาร์ค ไม่ใช่จากจินยอง

    มาร์คหนึ่งในนักแข่งที่จะลงแข่งในครั้งนี้ แจบอมรู้จักมาตั้งแต่ยังเทรนอยู่ค่ายเดียวกัน เด็กแอลเอที่หันมาเอาดีทางด้านแข่งดริฟต์

                    แต่ก็ยอมมาแข่งเซอร์กิตเป็นเพื่อนแจบอม มาร์คแม่ง เพื่อนตาย

                    แจบอมกวาดตามองจอเพื่ออ่านทวนข้อความที่ได้รับวนไปวนมา ปกติเขาคงตอบข้อความกลับไปทันที แต่ตอนนี้เหมือนคิดอะไรก็ช้าไปหมด ซึ่งหลังจากอ่านวนพักนึงก็สรุปใจความได้ว่า

    มาร์คเพ้อเจ้ออีกแล้ว

                    มาแจมปาร์ตี้ห้องฉันเหอะ จะนอนซมคิดถึงแฟนไปถึงไหน

                    ใครคิดถึงแฟน หมายถึงแฟนที่ไหน บอกเป็นร้อยรอบว่ายังไม่คบกันก็ไม่ยอมเข้าใจเสียที

                    แค่โฮมซิกเฉยๆต่างหาก

                    ‘เออๆ โฮมซิกก็โฮมซิก ตอนนี้มาห้องฉันได้แล้ว มีคนอยากเจอนายด้วยล่ะ”

                    หือ?

                    แจบอมเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง อยู่ๆก็แอคทีฟขึ้นมาจนน่าประหลาดใจ กะอีแค่มาร์คบอกว่ามีคนอยากเจอ

                    แค่แวบหนึ่งที่สมองเขาบอกว่าคนที่ว่าอาจเป็นจินยองก็ได้

                    แจบอมหัวเราะกับความเพ้อเจ้อของตัวเอง รู้ตัวอีกทีก็เดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปหน้ากระจก ปัดผมยุ่งๆให้เข้าทรง คว้าคีย์การ์ด กระเป๋าตังค์และของจำเป็นอื่นๆ อีกมือก็กดส่งข้อความหาเพื่อนของตัวเองสั้นๆง่ายๆ

                    “อีกสิบนาทีเจอกัน”

                    คิดอะไรบ้าๆน่าแจบอม จินยองจะมาได้ไง ก็น้องมันบอกเองว่าสัปดาห์นี้ไม่ว่าง

    ถ้าแอบบินมาโดยไม่บอกเพื่อเซอร์ไพรส์กันก็ว่าไปอย่าง

     

     

     

     

                   

                    ---------------------------------------------

     

     

                    จินยองจะมาปารีสได้ไง ก็น้องมันบอกเองว่าสัปดาห์นี้ไม่ว่าง

                    เออ นั่นแหละ

                    จินยองยังอยู่ที่อังกฤษ มีความสุขกับงานปาร์ตี้ที่จัดในหมู่นักเรียนเกาหลีที่อยู่ที่นั่น แจบอมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับรูปห้องไฟสลัวๆที่จินยองส่งมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน คิดว่ามันต้องเป็นแผนหลอกตาของน้องมันแน่ๆ

                    เปล่าเลย น้องมันไม่มาจริงๆ

                    ตอนนี้เขาเลยเริ่มสงสัยว่าแล้วไอที่ตอบข้อความช้าลง คุยกันน้อยลง เหมือนกำลังเล่นสงครามประสาทกันในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาเพื่ออะไร ถ้าไม่ได้จะหลอกให้น้อยใจแล้วมาเซอร์ไพรส์กันทีหลัง

                    แจบอมหงุดหงิด แต่ก็ต้องข่มอารมณ์ไว้เพราะน้องมันไม่ได้ทำอะไรผิด จะไปโวยวายใส่ก็ใช่เรื่อง

                    จินยองคงยุ่งแหละ  จะมีเวลามาคอยอ้อนให้ทำนู่นทำนี่ให้เหมือนที่เกาหลีได้ยังไง

                    “ตอนนายอ่านหนังสือปรัชญาชีวิตยังไม่หน้าเครียดเท่านี้เลยนะ”

                    เจ้าของปาร์ตี้เดินทักพร้อมยื่นแก้วค็อกเทลสีสวยมาให้ แจบอมรับมันไว้แม้จะรู้ว่าเขาไม่ควรแตะแอลกอฮอล์ตอนนี้

                    “ตกลงคนที่นายบอกว่าอยากเจอฉันคือเด็กนั่นเหรอ”

                    “อือ แบมแบมมันจะมาสายแดร๊ก เลยอยากให้นายแนะนำน้องมันหน่อย”

                    “แล้วคนอื่นในทีมนายแนะนำไม่ได้รึไง”

                    “เอาน่า ปกตินายใจดีกับรุ่นน้องจะตาย ไม่งั้นจินยองมันจะหาช่องเข้าหานายได้ไง”

                    ใช่ แจบอมตกหลุมพรางของจินยองเพราะมุกขอคำแนะนำ เด็กนั่นเอาความกระตือรือร้นอยากเป็นนักแข่งมืออาชีพมาล่อเขา ถามนู่นถามนี่ แล้วสุดท้ายก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตแจบอมจนได้

                    ตอนแรกเขาก็ไม่เคยคิดว่ามันจะยั่งยืนหรอก เพราะเรื่องราวของแจบอมและจินยองเริ่มจากความสัมพันธ์ทางกาย และมันก็มีแค่นั้นมานานจนแจบอมชินที่มีอีกคนในชีวิต และยอมให้จินยองยืนข้างกันมาตลอดหลายปี

    เวลาที่ผ่านมาทั้งหมดสร้างความเชื่อใจให้แจบอมเชื่อว่า น้องคงจริงจังกับเขาแล้วจริงๆ เพราะแม้จะมีโอกาสได้เจอคนมากมาย จินยองก็ยังเลือกที่จะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน

    แต่เขาอาจจะลืมนึกไปว่า บางที ที่ทุกอย่างมันผ่านมาได้ถึงตอนนี้เพราะพวกเขามีกันและกันในชีวิตหรือเปล่า พอต้องห่างกัน ต่างคนต่างใช้ชีวิตแบบนี้ เราเลยแทบไม่มีจุดร่วมที่จะเดินมายืนข้างกันได้อีก

     ไม่ได้ทำกับข้าวให้กิน ไม่ได้นอนคุยเรื่อยเปื่อยจนเช้า ไม่มีเรื่องในชีวิตประจำวันให้ต้องดูแล ไม่มีเรื่องแข่งรถให้สนใจ

     เหมือนค่อยๆห่างไปเรื่อยๆจนแทบไม่เหลือเรื่องจะคุยกันได้แล้ว

    “มาร์ค”

    “ว่าไง”

    “นายเคยบอกว่าตอนนายเด็กๆ นายชอบเล่นสกีใช่มั้ย”

    “อ่าฮะ”

    “แล้วทำไมเดี๋ยวนี้ไม่เห็นนายไปออกทริปเล่นสกีเลยล่ะ”

    คนโดนถามนิ่งไป เหมือนเจ้าตัวก็ไม่เคยสนใจจะถามคำถามนี้กับตัวเองเหมือนกัน มาร์คลูบคางก่อนจะให้คำตอบกับนักขับร่วมรุ่นอย่างง่ายๆ

    “อาจเพราะฉันไม่ค่อยว่างสนใจด้วยมั้ง”

     “เพราะนายไม่ได้อยู่กับมันสินะ”

    “ฉันก็แค่สนุกกับการเล่นสกีกับเพื่อนตอนอายุสิบแปดมากกว่าตอนนี้”

    “แล้วตอนนายอายุสิบแปดกับตอนนี้มันต่างกันตรงไหน”

    “ตอนอายุสิบแปดฉันไม่ต้องตื่นมาซ้อม ไม่ต้องหาเงินซื้อบ้าน ไม่ต้องสนใจสปอนเซอร์ไง ตอนนี้น่ะ แค่ได้เล่นเกมที่ห้องทั้งวันก็สวรรค์ดีๆนี่เอง จะเอาเวลาที่ไหนไปออกทริปล่ะ”

    “...”

    “พอโตขึ้น เรื่องที่เคยทำให้ตื่นเต้นอาจจะน่าเบื่อสำหรับเราไปแล้วก็ได้”

    “...”

    “และถ้าเราไม่รักมันแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลต้องทำมันเพียงเพราะเราเคยรักมันนี่นา”

    มาร์คยิ้มให้แจบอม โดยที่ไม่รู้สักนิดว่าคำพูดเหล่านั้นวนเวียนอยู่ในสมองแจบอมเหมือนเสียงก้องๆในโบสถ์

                    แจบอมยกแก้วเครื่องดื่มในมือขึ้นกระดกจนพร่องไปครึ่งแก้ว รสชาติหวานปนขมและความเย็นของมันช่วยให้แจบอมใจสงบลง และไม่ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้

                    “ขอออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อย ถ้าน้องมันมาก็โทรเรียกละกัน”

    พอโตขึ้น เรื่องที่เคยทำให้ตื่นเต้นอาจจะน่าเบื่อสำหรับเราไปแล้วก็ได้

     

     

     

                    ----------------------------------------------------

                   

     

    จินยองอ่านหนังสือบรรทัดเดิมวนไปวนมาสี่รอบแล้ว แต่ก็ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง

    เขาเลยตัดสินใจปิดมัน ปิดโคมไฟอ่านหนังสือ และทิ้งตัวลงบนเตียงพร้อมมือถือที่ไม่มีแจ้งเตือนเลยสักข้อความ แจบอมไม่ส่งข้อความอะไรมา แต่จินยองไม่อยากทำตัวเป็นเด็กช่างตื๊อ วุ่นวายกับอีกคนจนเหมือนจับผิด

    เราคบกันมาสองปี(ถึงจะไม่เป็นทางการก็เถอะ) แน่นอนว่าจินยองต้องรู้ว่าควรวางขอบเขตตัวเองไว้ตรงไหนที่จะไม่ทำให้อีกคนอึดอัด แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เรากำลังอยู่ในช่วงปรับเปลี่ยน ความสัมพันธ์กำลังก้าวไปข้างหน้า

    ขนาดเรียกร้องความสนใจธรรมดายังไม่รู้เลยจะทำยังไง นับประสาอะไรกับการง้อ ตอนนี้ระยะทางทำให้จินยองไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะถ้าเราทะเลาะกัน เขาจะทำหน้าอ้อนๆให้อีกคนใจอ่อนไม่ได้แล้ว

    จินยองก็มีดีอยู่แค่นั้นแหละ และตอนนี้มุขที่ว่าก็ใช้ไม่ได้เพราะดันอยู่คนละประเทศ

                    นักศึกษาหนุ่มนอนคว่ำ จ้องมือถือราคาแพงของตัวเองอยู่หลายนาที ความหวังแห้งเหือดลงเหลือแค่ความกังวลที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ และระบายผ่านจังหวะการเคาะนิ้วชี้ลงบนจอ ถี่ขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ ก่อนจะหยุดลงพร้อมเสียงถอนหายใจ

                    จะไม่โทรมาจริงๆเหรอวะ

                    จินยองลุกขึ้นนั่ง คงต้องซฺทอัพสักหน่อย อย่างน้อยก็จะได้ไม่ว่างมาคิดมากเรื่องแจบอม

                    ซิทอัพทำให้เขาโมโหน้อยลง มันบีบให้จินยองต้องหายใจเชื่องช้าเป็นจังหวะ มีสมาธิและเจ็บปวดเกินกว่าจะไปอารมณ์เสียใส่ใคร

                    โดยเฉพาะกับคนที่ออกไปปาร์ตี้ดึกๆดื่นๆทั้งที่ก็รู้ว่าตัวเองน่ารักขนาดนั้น

                   

     

     

     

                    ---------------------------------------------

                   

                   

                   

                    แอลกอฮอล์หอมหวานขึ้นในทุกๆแก้วที่เราดื่มเข้าไป

                    แจบอมไม่แน่ใจว่าตัวเองดื่มไปแก้วที่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้ทุกอย่างรอบตัวดูรวดเร็วไปหมด เขาทำเครื่องดื่มหกใส่มาร์คไปรอบหนึ่ง และก็มีเด็กอวดดีที่ชื่อแบมแบมพยายามจะประคองเขาทั้งๆที่ตัวเองเป็นฝ่ายยื่นแก้วแอลกอฮอล์ให้เขาเองกับมือทุกครั้ง

                    “ไหวมั้ยพี่”

                    แจบอมไม่ได้ตอบ แค่ก้มหน้าก้มตาควานหามือถือที่หน้าจะตกอยู่แถวนี้ ก่อนจะไปเจอมันอยู่ในมือแบมแบม เขาเลยแย่งมันคืนพร้อมส่งสายตาคาดโทษอีกคนที่แอบเอามือถือเขาไป

                    เด็กขี้ขโมย!

                    “นิสัยไม่ดีเลยนะ”

                    แจบอมชี้หน้าคาดโทษ ดุน้องมันด้วยคำพูดที่รุนแรงที่สุดเท่าที่สมองมึนๆของเขาจะคิด แบมแบมหัวเราะ พยายามแย่งมือถือคืนแต่ไม่สำเร็จเพราะแจบอมไม่ยอมง่ายๆ

                    เขาเมาจนหาเบอร์จินยองไม่เจอ คงต้องกดเอง

                    “พี่จะโทรไปไหนเนี่ย มาร์คช่วยหน่อย เพื่อนยูเมาใหญ่แล้ว”

                    แบมแบมพยุงร่างชายหนุ่มรุ่นพี่เอาไว้และแทบจะถลาไปหามาร์คเมื่อเห็นรุ่นพี่กลับมาจากห้องน้ำ แจบอมดื่มหนักมากกว่าปกติ ซึ่งจากที่ฟังอีกคนพ่นมาหลังจากสติเริ่มหลุดไปพร้อมเหล้าแก้วแล้วแก้วเล่า แบมแบมจับใจความได้ว่าพี่เขาทะเลาะกับแฟน

                    ตลกดี คิดถึงเขา แต่ย้ำอยู่นั่นว่าโฮมซิก

                    “แจบอม ไม่เอา”

                    “ยุ่งน่ามาร์ค”

                    “สภาพนายตอนนี้จะคุยกับจินยองรู้เรื่องได้ยังไง”

                    “ฉันจะไปอังกฤษ ไปตอนนี้ จองเครื่องบินเลยมาร์ค จอง!

                    มาร์คแย่งมือถือกลับมา และส่งมันคืนเจ้าของที่แท้จริงซึ่งก็คือแบมแบม แจบอมงอแงอยู่พักใหญ่ จนมาร์คเปลี่ยนจากห้ามอีกฝ่ายเป็นยกมือถือมาถ่ายคลิปแทน ลำบากแบมต้องมาช่วยจับไม่ให้อีกคนโวยวายหนักว่าเดิม

                    และเหมือนพระเจ้าคิดว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มันวุ่นวายไม่พอ อยู่ๆมือถือเขาก็ดันสายเข้าตอนนี้

                    “ฮัลโหลครับ”

                    “เอ่อ พอดีผมเห็นสายค้างน่ะครับ เลยโทรกลับ”

                    แบมแบมพยายามฟังเสียงจากปลายสาย จับใจความอะไรไม่ค่อยได้ และเขาก็วุ่นวายเกินกว่าจะมาคุย

                    “พี่แจบอมอยู่นิ่งๆก่อนพี่”

                    “...”

                    “ไว้ผมโทรกลับนะครับ ตอนนี้ไม่สะดวกจริงๆ”

                    แบมแบมวางสาย พยายามช่วยมาร์คประคองแจบอมไปที่ห้องนอน มือถือในมือสั่นอีกครั้งแต่เขาไม่ได้กดรับ

                    แค่ไม่รับสายสักครั้งคงไม่มีใครตายหรอกมั้ง






     #ฟิคบตน


    __________________________

        


         กลับมาอีกครั้งหลังจากเว้นช่วงไปหลายเดือน ออกตัวก่อนว่ามือตกไปเยอะ ทำใจนิดนึงนะคะ555555 

         บอกความรู้สึกหลังอ่านได้ที่ #ฟิคบตน เหมือนเดิม และขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันกาวมาถึงตรงนี้ ซารังเง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×