คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : (SF) NiorB: Call me by his name (3)
Call me by his name(3)
Couple: Jinyoung x JB
Position: NiorB
Status: Unfinished
Rate: PG-18
Chapter 3: Bea
Call me by his name
14 เรื่อง
บีมีหนังสิบสี่เรื่องที่เขาบุ๊คมาร์คไว้ไม่ยอมดูเพราะเขาอยากรอดูกับเจต
แต่บีเปลี่ยนใจแล้ว
เขาจะดูมันตอนนี้โดยไม่รอคนรักที่ไม่ยอมติดต่อหาเขาเลยตั้งแต่เมื่อคืนทั้งๆที่เขาก็บอกอีกฝ่ายไปแล้วว่าจะไปปาร์ตี้วันเกิดมาร์ค
‘โอเค’
สั้นๆง่ายๆแค่นั้นแล้วก็เงียบหายไป
ขนาดเมื่อคืนบีไม่รายงานอะไรเพิ่มเจตยังไม่คิดจะถามเขาเลยว่าถึงบ้านรึยัง เมามั้ย
หรืออะไรก็ตามที่ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นห่วงเขาสักนิด
ดังนั้น
บีจะใช้วันหยุดของเขาดูหนังพวกนี้ให้ตาแฉะ
นั่นแหละที่เขาทำได้
ไม่งั้นต้องโมโหไปลงกับเจตให้ต้องทะเลาะกันอีก
“บีเอาแต่ดูหนังตั้งแต่เช้าเลยเหรอ”
บีเหลือบมองคนที่ทำหน้าที่เป็นคนส่งอาหารสมัครเล่นเดินเข้ามาพร้อมถุงสองสามใบในมือ
ร่างสูงในเสื้อยืดสีเข้มกับกางเกงยีนส์
ผมที่ปกติเซ็ตเป็นทรงกลับปล่อยตามธรรมชาติแถมยังดูสั้นลงกว่าเดิม ส่งให้ใบหน้าอีกคนดูแปลกตาไปเยอะยิ่งไม่ใส่แว่นด้วย
“ไปตัดผมมาเหรอ?”
“อือ บีชอบมั้ย”
จินเหลือบมองคนที่นอนเลื้อยอยู่ที่โซฟาสภาพเดิมตั้งแต่ตอนที่เฟซไทม์หาเขาให้ซื้อข้าวมาให้แล้ว
จินวางกระเป๋าโน้ตบุ๊คลงบนโต๊ะอาหารข้างๆถุงของกิน
กลิ่นอาหารลอยอบอวลไปทั่วห้องจนคนขี้เกียจยอมลุก
“แปลกๆ
นายดูไม่เหมือนเจตแล้ว”
บีคว้ากล่องอาหารมาวางตรงหน้าแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสีหน้าของคนที่นั่งอยู่ก่อน
ดวงตาคู่สวยหมองลงไม่ประกายขี้เล่นอย่างปกติ
เอาแต่มองมือตัวเองไม่มองตามเขาเหมือนทุกที
“ไม่เหมือนก็ดีแล้วไงจิน”
บีทรุดลงนั่งข้างคนขี้น้อยใจ
ส่งยิ้มปลอบใจไปให้พร้อมเลื่อนจานอาหารไปตรงหน้าอีกคนและลงมือกับอาหารของตัวเองเมื่อเห็นว่าจินสีหน้าดีขึ้นแล้ว
เด็กมีปมนี่มันดูแลยากจริงๆ
“ไหนบอกจะรอดูเรื่องนี้กับเจตไง”
คนถูกถามมองตามที่อีกคนชี้
จอทีวียังคงฉายภาพฉากเปิดของเรื่องAbout timeที่เขาพอสทิ้งไว้ พูดขึ้นมาแล้วก็หงุดหงิดเลยแฮะ
“ขี้เกียจรอแล้ว
เบื่อ”
บีเหลือบมองมือถือตัวเองที่วางข้างๆจานข้าวอีกครั้ง
ไม่มีแจ้งเตือนข้อความอะไรใหม่ที่เป็นของเจตเลยจนเขาเบื่อจะรอแล้ว ถามว่าเข้าใจอีกคนไหมก็เข้าใจแหละ
แต่มันก็อดน้อยใจไม่ได้
ทำไมไม่ห่วง
ทำไมถึงได้มั่นใจนักว่าเขาจะดูแลตัวเองได้
ถ้าเกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ
กว่าเจตจะรู้เขาไม่ตายไปก่อนเหรอ
“เจตมันบอกว่ากำลังรีบเคลียร์งานจะได้กลับมาหาบีไวๆ
คงยุ่งๆแหละ”
“ไม่ต้องมาแก้ตัวแทนเลย”
คนถูกจับได้ยักไหล่แล้วจัดการกับอาหารตรงหน้าต่อ
อดไม่ได้ที่จะลอบสังเกตสีหน้าอีกคนเงียบๆ
วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้มองอีกคนใกล้ๆแบบนี้
ไฟลต์ของเจตคงมาถึงพรุ่งนี้ช่วงเย็นและเวลาของจินคงจะหมดอย่างเป็นทางการ
จินคิดว่าเขาจะหยุดตั้งแต่ที่ขับรถมาส่งบีเมื่อคืน
แต่ก็โดนเฟซไทม์มางอแงใส่แต่เช้า
“เมื่อคืนลืมโน๊ตบุ้คไว้บนรถ”
“บีรีบใช้รึเปล่า
ผมจะได้เอาไปให้”
“ไม่รีบ
แต่หิวอ่ะ ถ้าเข้ามาฝากซื้อของกินหน่อย เดี๋ยวเลี้ยง”
และจินก็มานั่งอยู่ตรงนี้
มานั่งมองบีคิดถึงไอ้เจตมัน
จินพยายามปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อย
วันนี้เขาก็มาในฐานะจิน ไม่ได้มาเป็นตัวแทนของใคร
แม้จะรู้ว่ามันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรก็ตาม
“บี
วันนี้ว่างใช่มั้ย ไปเที่ยวเล่นกัน”
“อารมณ์ไหนเนี่ย”
จินไม่ตอบจนบีละความสนใจจากอาหารตรงหน้ามาสบตาอีกคน
ดวงตาเศร้าๆแบบนั้นดูไม่เข้ากับยิ้มที่ส่งมาให้เลย
มันทำให้อีกคนดูน่าสงสารเข้าไปใหญ่
แค่นี้ก็เดาได้แล้วว่าอารมณ์ไหน
“จะไปไหนล่ะ”
“ไปถ่ายรูปเล่นกัน”
“ถ่ายรูป?”
“อือ”
“ก็ได้”
จินมองคนที่เขี่ยอาหารในจานเล่นโดยไม่มองเขาเหมือนกำลังใช้ความคิด
เขาได้แต่รอให้อีกฝ่ายพูดให้จบเพื่อให้แน่ใจว่าอีกคนตกลงจริงๆ เพราะเซ้นมันบอกว่าคนตรงหน้าต้องมีข้อแม้แน่ๆ
“แต่”
นั่นไง
“แต่อะไร”
บีเท้าคางมองคู่สนทนาด้วยรอยยิ้ม
จินพยายามเก็บอาการไม่ให้อีกคนรู้ว่าเขากำลังชื่นชมภาพตรงหน้ามากแค่ไหน
ทำไมถึงได้น่ามองขนาดนี้นะ ทั้งๆที่เห็นหน้ากันเกือบทุกวันแท้ๆ
“แต่นายต้องไม่แกล้งทำตัวเป็นเจตอีก”
“...”
“เพราะวันนี้บีจะไปถ่ายรูปเล่นกับจิน”
“...”
“แค่บีกับจิน
โอเคมั้ย”
แค่บีกับจิน
“โอเค”
จินไม่เคยชอบชื่อตัวเองเท่านี้มาก่อนเลย
Call
me by his name
จินเพิ่งเข้าใจเสน่ห์ของอากาศร้อนก็วันนี้เอง
เพราะวันนี้แดดมันแรงมากๆขนาดนั่งหลบแดดใต้ต้นไม้แล้วก็ยังรู้สึกได้ถึงไอแดด
ความร้อนรอบๆทำให้ไอศกรีมในมือของบีละลายเร็วขึ้นจนเจ้าตัวต้องรีบใช่ริมฝีปากแดงๆนั่นงับอย่างเอาเป็นเอาตาย
จินยกกล้องเพื่อจับภาพคนที่นั่งไขว่ห้างอยู่ตรงม้านั่งสีขาวจากไกลๆ รีบเก็บภาพนั้นให้ได้มากที่สุดก่อนคนโดนแอบถ่ายจะรู้ตัว
บีทำตัวน่ารักอีกแล้ว
ชาตินี้จะไปหาได้อีกที่ไหนกัน
“แอบถ่ายอีกแล้ว”
แชะ
จินแกล้งกดถ่ายอีกครั้งเพื่อจับภาพบีตอนกำลังโวยวาย
คนโดนแกล้งได้แต่เม้มปากด้วยความหมั่นเขี้ยว
อยากจะเอาคืนคนขี้แกล้งบ้างแต่ไอติมตรงหน้าก็กำลังละลาย
เขาเลยต้องรีบจัดการงับของหวานตรงหน้าให้หมดก่อน
“เลอะหมดแล้ว”
ตากล้องกิตติมาศักดิ์นั่งลงข้างๆและยกนิ้วขึ้นปาดครีมที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากให้เบาๆ
รอยยิ้มบางๆถูกส่งมาให้เป็นรางวัลทำเอาใจเต้นไปหมด
บีคงไม่รู้ว่าการกระทำเล็กน้อยของตัวเองมีผลกับใจเขาแค่ไหน
มีแต่จินนี่แหละที่คิดมากไปคนเดียว
“เมื่อกี้ผมเห็นร้านกาแฟตรงอีกฝั่ง
มีแอร์ด้วย ไปกันมั้ยบี”
“ไกลมั้ย
ขี้เกียจเดิน”
“นิดเดียวเอง
บีจะได้ไม่ต้องมานั่งร้อนแบบนี้”
รู้สึกผิดชะมัดที่พาอีกคนมาลำบาก
บีอาจจะไม่บ่นแต่หน้าแดงๆกับเม็ดเหงื่อที่ผุดพราวไปทั่วหน้ากับคอจนต้องซับตลอดเวลาก็บอกแทนหมดแล้ว
ถึงมันจะยิ่งทำให้อีกคนดูน่ามองมากๆก็เถอะ
“คิดว่าแค่ถ่ายเล่นๆไม่นึกว่าจะเก่งขนาดนี้”
คำชมของคนข้างๆทำเอาใจฟูอีกแล้ว
บ่อยแค่ไหนก็ไม่ชินสักทีทั้งๆที่มันก็แค่คำชมทั่วไปแท้ๆ
ชอบจังเวลาบีเรียกชื่อเขา
“เคยรับจ้างถ่ายรูปหาเงินไปเติมเกมส์สมัยเรียนน่ะ”
“เหตุผลน่าตีว่ะ”
รอยยิ้มสวยๆของบีสะกดจินได้เสมอ
เขาไม่สามารถละสายตาจากมันไปได้แม้แต่ครั้งเดียว
ริมฝีปากแดงๆน่าหมั่นเขี้ยวนั่นมันทำให้เขาเผลอคิดถึงจูบที่คาเฟ่แมวตอนที่เจอกันครั้งแรก
จูบแรกและจูบเดียวของเขากับบี
แลกกับการโดนต่อยไปทีนึงถือว่าคุ้มมากๆ
“แต่ต่อไปทำงานยุ่งๆ
นายคงไม่มีเวลามาถ่ายรูปเล่นแบบนี้หรอก”
“คนเราหาเวลาให้สิ่งที่รักได้เสมอแหละบี”
คำตอบง่ายๆของจินน่าแปลกใจสำหรับบี
นั่นสินะ ถ้าเป็นสิ่งที่รักยังไงก็คงหาเวลาให้มันได้เสมอนั่นแหละ
เพราะเราคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมัน
ง่ายๆแค่นั้น
“งั้นไว้คราวหลังจะถ่ายก็ชวนด้วยละกัน”
จินยิ้มกับประโยคน่ารักนั่น
บีคงไม่ได้คิดอะไร ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกดีจนหยุดยิ้มไม่ได้ คราวหลังให้ชวนมาด้วยงั้นเหรอ
ให้ตายสิวะบี จินอยากจะนัดถ่ายมันทุกวันไปเลย
แต่พรุ่งนี้เจ้าของเขากลับมาแล้ว
ต่อให้อยากชวนก็คงทำไม่ได้
“บีก็จ้างผมสิ”
“เอ้า
ถ่ายฟรีไม่ได้เหรอ”
“พามาถ่ายทีนึงก็ต้องเลี้ยงไอติมเลี้ยงขนมนายแบบ
กินก็จุ ถ้าถ่ายฟรีผมก็ขาดทุนสิ”
“บอกเองนี่ว่าเป็นค่าจ้างที่เป็นแบบให้
ไม่ได้ขอให้เลี้ยงซะหน่อย”
ใช่
ไม่ได้ขอให้เลี้ยงแต่ไปยืนเฝ้าหน้าร้านมองเขาทำตาเยิ้มแบบนั้นใครมันจะทนได้ล่ะ
ตอนลิ้นเล็กๆนั่นเลียริมฝีปากตัวเองเขาก็แทบจะเหมาไอติมให้ทั้งร้านแล้ว
ทำไมถึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำให้เขารักได้ขนาดนี้นะ
“บี”
“ว่า?”
“ขอบคุณนะ”
“เรื่องที่มาด้วยวันนี้อ่ะนะ
ไม่เห็นเป็นไรเลย”
“ไม่ใช่แค่วันนี้
แต่ช่วงเวลาสามเดือนที่ผ่านมาด้วย”
“...”
“ผมไม่มีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว”
อยู่ๆคนตรงหน้าก็ทำตัวซึ้งๆจนบีปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน
จินไม่ยอมมองหน้าเขาแต่มองทางข้างหน้าแทน
น้ำเสียงกับท่าทางของคนพูดไม่เห็นดูมีความสุขอย่างที่บอกเลย มันดูหม่นๆยังไงไม่รู้
“ต่อไปดูแลตัวเองดีๆ อย่ากินของหวานมากเกินไป
อย่าโหมงานจนดึก กินข้าวให้ตรงเวลา ไม่ใช่กินแต่ขนมเข้าใจมั้ย”
“บ่นเป็นลุงเลย
ทำอย่างกับจะลาไปไหน”
“ผมซีเรียสนะบี
ดูแลตัวเองให้ดี อย่าให้ต้องห่วง”
จินหันมาสบตาเขา
ท่าทางดุๆที่บีไม่เคยชินทำให้เขาได้แต่พยักหน้ารับคำ
“ไม่ต้องห่วงน่า
ดูแลตัวเองได้”
มือสองข้างของคนพูดวางลงบนไหล่ของอีกคนและบีบมันเบาๆเพื่อให้รู้ว่าเขาเองก็จริงจัง
บีแพ้ท่าทางเหมือนลูกแมวหลงทางของจินเสมอเลยมักเผลอตามใจอีกคนอยู่เรื่อย
แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เพราะมันไม่ใช่การแกล้งอ้อนอย่างทุกครั้ง
“บีก็ขอบคุณสามเดือนที่ผ่านมาเหมือนกัน
ไม่มีจินมาเล่นด้วยคงเหงาแย่”
“อย่ามาพูดจาน่ารักๆใส่สิบี”
“อ้าว”
“เหนื่อยว่ะ
น่ารักแต่กอดไม่ได้”
บีตีไหล่คนพูดจาเพ้อเจ้อไปหนึ่งทีก่อนจะเดินนำหน้าไปยังร้านกาแฟที่จินพูดถึงโดยไม่รอ
ไม่น่าเผลอเปิดทางให้เด็กนี่เลยจริงๆ
เห็นทำหน้าเศร้าๆแต่มีอารมณ์มาเล่นแบบนี้ก็คงไม่ต้องห่วงแล้ว
หยุดยิ้มได้แล้วบี
เดี๋ยวน้องมันก็เห็นพอดี แค่คำพูดเพ้อเจ้อของจินทำไมสลัดออกจากหัวไม่ได้ซะทีล่ะ
แย่แล้ว
บีควบคุมตัวเองให้หยุดคิดถึงบทสนทนาเมื่อกี้ไม่ได้
“เด็กบ้า”
Call me by his
name
จินขับรถพาอีกคนมาถึงคอนโดตอนสามทุ่มกว่าๆ
ตอนที่เขาปลุก
อีกคนก็แค่ลุกขึ้นนั่งงงๆก่อนจะปะติดปะต่อเรื่องได้ว่าถึงคอนโดแล้วจึงหันมาหาเขา
“กลับดีๆ”
“ฝันดีนะ”
คนขับไม่มีท่าทีงอแงอ้อนเขาเหมือนทุกครั้งจนบีแปลกใจ
วันนี้จินยิ้มเยอะแต่ก็ทำตัวแปลกๆทั้งวันเหมือนกัน บางทีก็ยืนจ้องหน้าเขานิ่งๆเหมือนจมอยู่ในความคิดทั้งๆที่มันไม่ใช่วิสัยของคนขี้เล่นอย่างจินเลย
“มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า
เล่าได้นะ”
ถ้าตามใจจินเลยเขาก็อยากจะระบายความรู้สึกของตัวเองให้อีกคนฟังอยู่หรอกแต่ก็รู้ว่าคงไม่ได้
จินไม่รู้ด้วยว่าจะอดทนรับคำตอบของบีได้แค่ไหนถ้าเผลอพูดเรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆ
เขาไม่เคยปิดบังความรู้สึก
แต่ก็ไม่เคยพูดตรงๆเหมือนกัน
ใจเขาคงพังไม่เป็นท่า
ถ้าต้องมาฟังคำปฏิเสธตรงไปตรงมาของบี ดังนั้นเลยเลี่ยงที่จะไม่พูดดีกว่า
ยังไงซะหลังจากนี้เขาคงต้องยอมออกห่างจากอีกคนแล้ว บีจะได้อยู่กับคนที่บีรักและเหมาะสม
ส่วนเขาก็จะเป็นน้องชายไอ้เจตที่บีเคยรู้จัก
“ดึกแล้ว
บีไปพักเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานอีก”
“ยังไม่ง่วง
แต่ถ้าจินไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร”
“ไม่ต้องมาทำเสียงน้อยใจเลยบี”
คนโดนดักทางไม่ตอบแค่เปิดประตูลงจากรถไปเฉยๆ
ปล่อยให้อีกคนเป็นเดือดเป็นร้อนต้องยอมดับเรื่องเดินตามลงไป
เออ
ก็ไม่อยากให้งอนนี่หว่า
“ไม่ใช่ไม่อยากเล่า
มันแค่ไม่มีอะไรจะเล่าต่างหาก”
“ไม่มีอะไรจริงเหรอ”
จินพยายามหนีสายตาจับผิดของคนตรงหน้าแต่ก็โดนมือนุ่มๆมากุมแก้มไว้ทั้งสองข้างไม่ให้หันหนี
จะเขินก็เขินแต่ก็กังวลว่าอีกคนจะจับโกหกได้มากกว่า
เอาวะ
หลบตาไม่ได้ก็จ้องกลับไปเลย จินสู้สายตากับอีกคนนิ่งเหมือนกำลังเล่นเกมแข่งจ้องตา
นานจนอีกคนถอนหายใจยอมแพ้
“เบื่อเด็กดื้อ”
“ผมไม่เป็นไรจริงๆ
อากาศร้อนมันเลยเพลียๆไง”
“ไม่เชื่อนะ
แต่ไม่อยากคุยด้วยแล้ว”
“บี”
“กลับดีๆ”
“โอย
ไม่เอาไม่แยกกันแบบนี้ คุยก่อนก็ได้”
จินคว้าคนที่ทำท่าเดินหนีให้หันมาคุยกันเหมือนเดิม
คนขี้งอนกอดอกเลิกคิ้วเหมือนรอให้เขาเป็นฝ่ายพูดก่อน จินมองอาการดื้อๆนั้นแล้วได้แต่ถอนหายใจยอมแพ้
“ขอกอดได้มั้ย”
คำขอร้องสั้นๆจากปากของจินไม่ใช่คำตอบของคำถาม
แต่บีกลับไม่ค้านอะไร
เพราะท่าทางเหนื่อยๆของคนพูดบอกอะไรได้มากกว่าคำพูดเยอะ
เหนื่อยเรื่องเขาสินะ
“กอดแล้วจะหายใช่มั้ย”
ดวงตาสองคู่ประสานกันนิ่งแทนบทสนทนา
มันเงียบแต่กลับเข้าใจกันโดยไม่ต้องอธิบายอะไรอีก บีแค่อ้าแขนรับร่างกายของคนที่โถมตัวเข้ามาแล้วโอบไว้
ตัวของจินอุ่นจนเจ้าของกอดเผลอซบหน้าลงกับไหล่ของอีกคน
แก้มของเขาวางบนไหล่ของจินได้พอดีเหมือนจับวางเลย
มือของบียกขึ้นลูบหลังอีกคนแทนการปลอบประโลม
หวังว่ากอดของเขาจะช่วยอะไรได้บ้าง แม้จะไม่มากแต่นี่คือทั้งหมดที่เขาให้ได้
บีรับรู้ได้ถึงสัมผัสบางเบาตรงลำคอ
แค่เสี้ยววินาทีสั้นๆจนแทบจับไม่ได้ เขาไม่ไดดุอีกคนที่แอบฉวยโอกาส
แค่ยกมือลูบหัวอีกคนเบาๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอีกคนไม่ชอบให้เล่นหัว
แต่น้องมันไม่ว่าอะไรนี่นา
ไม่เป็นไรมั้ง
“หายเหนื่อยยัง”
“ยัง
ขออยู่แบบนี้อีกสักพักนะ”
บีมองรอบๆตัวให้แน่ใจว่าพวกเขาอยู่ในมุมอับสายตาพอที่จะไม่ทำให้การกระทำของพวกเขารบกวนสายตาใครเข้า
จินขยับไปมาเพื่อซบหน้าลงกับไหล่เขาให้สบายขึ้นก่อนจะนิ่งไปอีกพักนึง
บีได้แต่ลูบหลังอีกคนเบาๆโดยไม่พูดอะไรปล่อยให้อีกคนกอดไปเรื่อยๆ
“บี จินขออะไรอย่างสิ”
“วันนี้งอแงจังเลย
อยากได้อะไรอีก หือ”
“ต่อไปถ้าเจตทำอะไรให้ไม่สบายใจ
บีบอกมันไปเลยนะ อย่าเก็บมาน้อยใจคนเดียวอีก”
“...”
“บีชอบเก็บเรื่องที่ไม่ชอบมาคิดคนเดียว
เรื่องบางเรื่องไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาอดทนเลย เจตรักบี มันต้องเข้าใจอยู่แล้ว”
“บางเรื่องบอกไปก็ทะเลาะกันเปล่าๆ”
“ทะเลาะก็ทะเลาะไปสิ
จะได้เข้าใจกันมากขึ้น”
“นี่เสี้ยมให้ตีกับเจตรึเปล่าเนี่ย”
“บี
ผมจริงจัง ผมไม่มีสิทธิมายุ่งเรื่องนี้หรอก แต่ผมไม่ชอบเห็นบีมานั่งรับมือกับความรู้สึกแย่คนเดียว”
“...”
“ผมอยู่ปลอบบีไม่ได้ตลอดหรอกนะ”
ความเงียบเข้าครอบคลุมเขาทั้งคู่อีกครั้ง
บีกระชับกอดแน่นขึ้นพลางคิดตามคำพูดของอีกคน บีไม่อยากงี่เง่า
บางเรื่องเขาก็ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย การเก็บอารมณ์มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ
ถึงเขาจะรู้สึกไม่ดี
แต่มันก็ได้ผล
“ถ้ารู้สึกไม่ดีให้พูดตรงๆใช่มั้ย
งั้นจินทำบ้างสิ”
“ไม่เกี่ยวละ”
คนโดนย้อนผละจากกอดเพื่อสบตาอีกคน
ท่าทางจริงจังไม่ยอมแพ้ทำให้จินอยากตีหัวตัวเองที่ขุดหลุมฝังตัวเองไปแบบนั้น
“เกี่ยวสิ
ถ้ามันได้ผลจริงจินก็ทำให้ดูเลย
บีก็ไม่ชอบเห็นจินรับมือกับความรู้สึกแย่ๆคนเดียวเหมือนกัน”
ตามหลักแล้วจินต้องแนะนำบีสิ
ไม่ใช่มาโดนต้อนเสียเอง
“บีพร้อมฟังเหรอ”
“ถ้าแค่เรื่องที่จินชอบบีก็ไม่ต้องบอก
อันนั้นรู้นานแล้ว”
“บี...”
“มีอะไรนอกจากเรื่องนี้อีก
อะไรทำให้ไม่สบายใจ”
มือสองข้างของจินยังคงวางค้างอยู่ที่เอวเขา
ท่าทางเหลอหลาดูไม่เหมาะกับคนแบบจินเลย ปกติคนตรงหน้าวางตัวได้ดีเสมอ
พอมาโดนต้อนให้จนมุมบ้างก็เสียศูนย์เหมือนกัน
“ไม่มีอะไร
ก็แค่...วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เราเจอกัน”
“วันสุดท้าย?”
“พอเจตกลับมา
ผมจะไม่มายุ่งกับบีอีก”
ห่ะ?
บีพยายามคิดตามคำพูดของอีกคนแต่ก็ไม่เข้าใจว่าจะสื่ออะไร
ทำไมวันนี้ถึงเป็นวันสุดท้าย แล้วทำไมเจตกลับมาถึงได้ทำให้มายุ่งไม่ได้
เจตไม่ได้เกลียดจินขนาดนั้นซะหน่อย
“ทำไมล่ะ
เจตกลับมานายก็แค่เลิกทำตัวเป็นเจต ไม่จำเป็นต้องเลิกเจอกันนี่”
“ผมเลิกเป็นเจตได้แต่ผมเลิกรักไม่ได้นี่”
“...”
“ถ้ายังอยู่ใกล้ๆบีแบบนี้
ผมไม่รับปากนะว่าจะไม่เผลอทำอะไรล้ำเส้นอีก”
บีกลืนน้ำลายพยายามเค้นคำพูดมาเถียงอีกคนแต่ก็ทำไม่ได้เพราะที่จินพูดมีเหตุผลทุกอย่าง
ความรู้สึกโหวงๆแปลกๆเหมือนถูกดึงให้ดิ่งจากที่สูงค่อยๆควบคุมร่างกายเขา
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน
“แล้วจู่ๆจะหายไปเลยเหรอ
ไม่คิดจะบอกกันหน่อยรึไง”
“เดี๋ยวเจตมาบีก็ไม่ว่างมาสนใจแล้ว”
ปั่ก
จินเบิกตากว้างเมื่อจู่ๆอีกคนก็ทุบอกเขาจนเจ็บ
ปากบางเม้มแน่นจนเห็นแนวสันกรามคมชัดขึ้น
ดวงตาเรียวเล็กมองเขามาอย่างหาเรื่องจนเขาเผลอตกใจ
“เด็กโง่”
“ผมพูดอะไรผิดล่ะ”
“ผิด! คิดเองเออเองทั้งนั้น รู้ได้ไงว่าไม่สน เคยถามเหรอ”
“...”
“แล้วก็ไอ้เรื่องเลิกยุ่งนี่ด้วย
ทำไมอ่ะ ทำไมเจอกันไม่ได้ เป็นเหมือนตอนนี้ไม่เห็นจะแย่ตรงไหนเลย”
“ถ้าอยู่ใกล้ๆแล้วจะตัดใจได้ยังไง”
“เดี๋ยวพอจินรู้จักนิสัยแย่ๆของบีก็เลิกชอบไปเองแหละ”
“บีก็รู้ว่ามันไม่ง่ายแบบนั้น”
“ลองดูก่อนสิ!”
“ไม่มีเหตุผลแล้วนะบี”
คำปรามของคนตรงหน้าทำเอาเถียงไม่ออกเพราะตอนนี้เขาก็งี่เง่าจริง
แต่อีกคนคิดจะหายไปจากชีวิตกันง่ายๆ ไม่คิดจะลาหรือปรึกษากันก่อน
นิสัยแบบนี้สมควรโดนเขางี่เง่าใส่แล้ว
“ถ้าจะไปอย่างน้อยก็มาคุยกันก่อนมั้ย
คิดถึงใจกันบ้างสิ”
บีพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง
สมองของเขาตื้อไปหมด
เหมือนอารมณ์ทุกอย่างมันตีกันจนจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าที่กำลังโมโหอีกคนมันเรื่องอะไรกันแน่
เพราะอีกคนไม่ลาหรือเพราะอีกคนจะไป
จินถอนหายใจและรวบตัวอีกคนเข้ามากอดเพราะทนเห็นแววตาตัดพ้อที่ส่งมาไม่ได้
จินรอให้อีกคนใจเย็นลงแล้วค่อยคุยกันต่อ บีใช้เวลานั้นทบทวนความคิดของตัวเองเงียบๆปล่อยให้อีกคนลูบผมเล่นเบาๆโดยไม่สะบัดตัวหนี
จินไม่อยากมายุ่งก็ดีแล้วนี่นา
เขาเองก็จะได้ไม่ต้องมารับมือกับความวุ่นวาย
จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอย่างที่ผ่านมา
อีกเดี๋ยวเจตก็กลับมา
อะไรที่เคยต้องขอให้จินช่วยก็มีเจตทำให้ ไม่มีจินก็ไม่เห็นเป็นไร
ดีซะอีกที่ไม่ต้องมาลำบากใจกับการไม่ตอบรับความรู้สึกของเด็กบ้าตรงหน้า
เหตุผลทุกอย่างมันชัด
เขาแค่ไม่อยากฟัง
ไม่อยากเข้าใจ
ความรู้สึกแปลกๆตีกันให้ยุ่ง
ทั้งโมโห ทั้งเศร้า ทั้งสงสาร
ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันจนเขาไม่รู้จะเริ่มรับมืออะไรก่อนดี
“ขอโทษที่งี่เง่า”
บีไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนและมันทำเขากังวล
“บีเข้าใจจินนะ
แต่มันโมโห รู้เหตุผลแล้วก็ยังโมโห ไม่ชอบตัวเองตอนนี้เหมือนกัน”
“ไม่เป็นไร
บอกกันตรงๆแบบนี้ดีแล้ว”
บีดันตัวเองออกจากกอดของอีกคนเพื่อจะคุยกันอีกครั้ง
เขาสูดลมหายใจเข้าอีกครั้งเป็นการเรียกสติ เช่นเดียวกับอีกคนที่ยืนรออย่างใจเย็น
“ถ้าเจอกันอีกจะทำยังไง
แกล้งไม่รู้จักกันเหรอ”
“ไม่ต้องหรอก
เรารู้จักกันแค่ไม่ได้ใกล้กันแบบนี้แล้ว”
“อือ
เข้าใจแล้ว”
ความเงียบโรยตัวจนรู้สึกได้ถึงความอึดอัดบางอย่างที่บีไม่ชิน
ปกติต่อให้เงียบมันก็แค่เงียบ ไม่ใช่เงียบแต่อึดอัดแบบนี้
“บีขึ้นห้องได้แล้ว
ดึกแล้ว”
“อือ”
“ฝันดีนะ”
“ฝันดี”
บียืนรอจนแน่ใจว่าจินจะไม่พูดอะไรต่อ เขาจึงตัดสินใจเดินเข้าคอนโดตัวเอง
ทุกก้าวที่เขาเดินห่างออกมามันเต็มไปด้วยความรู้สึกโหวงๆในอกจนอึดอัดไปหมด
บีเดินช้าว่าปกติ เหมือนอยากซื้อเวลาเพื่อรอดูให้แน่ใจว่าอีกคนจะไม่เปลี่ยนใจจริงๆ เขารอจนมั่นใจว่าอีกฝ่ายขับรถออกไปแล้ว จึงจะเดินไปที่ลิฟต์เพื่อกลับไปในที่ของตัวเองเช่นกัน
จินทำตามสัญญา ที่บอกว่าจะหยุดทุกอย่างตอนที่เจตกลับมา
แต่อยู่ๆ บีก็ไม่อยากให้เจตกลับมาเลย
Call me by his
name
อย่าเพิ่งหนีไปทีมจินกันหมดสิ เห็นใจเจตกับเวลาสองปีของเขาบ้าง555555555
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
ใครมีความเห็นยังไงไปบอกกันในแท็ก #ฟิคบตน ได้เสมอ พีซ!
ความคิดเห็น