ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คลัง Short fic #JJP #Jinson

    ลำดับตอนที่ #26 : (SF) NiorB: Call me by his name (3)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 611
      44
      24 พ.ย. 61

     Call me by his name(3)



    Couple: Jinyoung x JB 

    Position: NiorB

    Status: Unfinished

    Rate: PG-18




    Chapter 3: Bea




    Call me by his name





                14 เรื่อง

                บีมีหนังสิบสี่เรื่องที่เขาบุ๊คมาร์คไว้ไม่ยอมดูเพราะเขาอยากรอดูกับเจต

                แต่บีเปลี่ยนใจแล้ว เขาจะดูมันตอนนี้โดยไม่รอคนรักที่ไม่ยอมติดต่อหาเขาเลยตั้งแต่เมื่อคืนทั้งๆที่เขาก็บอกอีกฝ่ายไปแล้วว่าจะไปปาร์ตี้วันเกิดมาร์ค

                โอเค

                สั้นๆง่ายๆแค่นั้นแล้วก็เงียบหายไป ขนาดเมื่อคืนบีไม่รายงานอะไรเพิ่มเจตยังไม่คิดจะถามเขาเลยว่าถึงบ้านรึยัง เมามั้ย หรืออะไรก็ตามที่ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นห่วงเขาสักนิด

                ดังนั้น บีจะใช้วันหยุดของเขาดูหนังพวกนี้ให้ตาแฉะ

                นั่นแหละที่เขาทำได้ ไม่งั้นต้องโมโหไปลงกับเจตให้ต้องทะเลาะกันอีก

                “บีเอาแต่ดูหนังตั้งแต่เช้าเลยเหรอ”

                บีเหลือบมองคนที่ทำหน้าที่เป็นคนส่งอาหารสมัครเล่นเดินเข้ามาพร้อมถุงสองสามใบในมือ ร่างสูงในเสื้อยืดสีเข้มกับกางเกงยีนส์ ผมที่ปกติเซ็ตเป็นทรงกลับปล่อยตามธรรมชาติแถมยังดูสั้นลงกว่าเดิม ส่งให้ใบหน้าอีกคนดูแปลกตาไปเยอะยิ่งไม่ใส่แว่นด้วย

                “ไปตัดผมมาเหรอ?

                “อือ บีชอบมั้ย”

                จินเหลือบมองคนที่นอนเลื้อยอยู่ที่โซฟาสภาพเดิมตั้งแต่ตอนที่เฟซไทม์หาเขาให้ซื้อข้าวมาให้แล้ว จินวางกระเป๋าโน้ตบุ๊คลงบนโต๊ะอาหารข้างๆถุงของกิน กลิ่นอาหารลอยอบอวลไปทั่วห้องจนคนขี้เกียจยอมลุก

                “แปลกๆ นายดูไม่เหมือนเจตแล้ว”

                บีคว้ากล่องอาหารมาวางตรงหน้าแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสีหน้าของคนที่นั่งอยู่ก่อน ดวงตาคู่สวยหมองลงไม่ประกายขี้เล่นอย่างปกติ เอาแต่มองมือตัวเองไม่มองตามเขาเหมือนทุกที

                “ไม่เหมือนก็ดีแล้วไงจิน”

                บีทรุดลงนั่งข้างคนขี้น้อยใจ ส่งยิ้มปลอบใจไปให้พร้อมเลื่อนจานอาหารไปตรงหน้าอีกคนและลงมือกับอาหารของตัวเองเมื่อเห็นว่าจินสีหน้าดีขึ้นแล้ว

                เด็กมีปมนี่มันดูแลยากจริงๆ

                “ไหนบอกจะรอดูเรื่องนี้กับเจตไง”

                คนถูกถามมองตามที่อีกคนชี้ จอทีวียังคงฉายภาพฉากเปิดของเรื่องAbout timeที่เขาพอสทิ้งไว้ พูดขึ้นมาแล้วก็หงุดหงิดเลยแฮะ

                “ขี้เกียจรอแล้ว เบื่อ”

                บีเหลือบมองมือถือตัวเองที่วางข้างๆจานข้าวอีกครั้ง ไม่มีแจ้งเตือนข้อความอะไรใหม่ที่เป็นของเจตเลยจนเขาเบื่อจะรอแล้ว ถามว่าเข้าใจอีกคนไหมก็เข้าใจแหละ แต่มันก็อดน้อยใจไม่ได้

                ทำไมไม่ห่วง ทำไมถึงได้มั่นใจนักว่าเขาจะดูแลตัวเองได้

                ถ้าเกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ กว่าเจตจะรู้เขาไม่ตายไปก่อนเหรอ

                “เจตมันบอกว่ากำลังรีบเคลียร์งานจะได้กลับมาหาบีไวๆ คงยุ่งๆแหละ”

                “ไม่ต้องมาแก้ตัวแทนเลย”

                คนถูกจับได้ยักไหล่แล้วจัดการกับอาหารตรงหน้าต่อ อดไม่ได้ที่จะลอบสังเกตสีหน้าอีกคนเงียบๆ วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้มองอีกคนใกล้ๆแบบนี้ ไฟลต์ของเจตคงมาถึงพรุ่งนี้ช่วงเย็นและเวลาของจินคงจะหมดอย่างเป็นทางการ

                จินคิดว่าเขาจะหยุดตั้งแต่ที่ขับรถมาส่งบีเมื่อคืน แต่ก็โดนเฟซไทม์มางอแงใส่แต่เช้า

                “เมื่อคืนลืมโน๊ตบุ้คไว้บนรถ”

                “บีรีบใช้รึเปล่า ผมจะได้เอาไปให้”

                “ไม่รีบ แต่หิวอ่ะ ถ้าเข้ามาฝากซื้อของกินหน่อย เดี๋ยวเลี้ยง”

                และจินก็มานั่งอยู่ตรงนี้ มานั่งมองบีคิดถึงไอ้เจตมัน

                จินพยายามปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อย วันนี้เขาก็มาในฐานะจิน ไม่ได้มาเป็นตัวแทนของใคร แม้จะรู้ว่ามันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรก็ตาม

                “บี วันนี้ว่างใช่มั้ย ไปเที่ยวเล่นกัน”

                “อารมณ์ไหนเนี่ย”

                จินไม่ตอบจนบีละความสนใจจากอาหารตรงหน้ามาสบตาอีกคน ดวงตาเศร้าๆแบบนั้นดูไม่เข้ากับยิ้มที่ส่งมาให้เลย มันทำให้อีกคนดูน่าสงสารเข้าไปใหญ่

                แค่นี้ก็เดาได้แล้วว่าอารมณ์ไหน

                “จะไปไหนล่ะ”

                “ไปถ่ายรูปเล่นกัน”

                “ถ่ายรูป?

                “อือ”

                “ก็ได้”

                จินมองคนที่เขี่ยอาหารในจานเล่นโดยไม่มองเขาเหมือนกำลังใช้ความคิด เขาได้แต่รอให้อีกฝ่ายพูดให้จบเพื่อให้แน่ใจว่าอีกคนตกลงจริงๆ เพราะเซ้นมันบอกว่าคนตรงหน้าต้องมีข้อแม้แน่ๆ

    “แต่”

    นั่นไง

    “แต่อะไร”

    บีเท้าคางมองคู่สนทนาด้วยรอยยิ้ม จินพยายามเก็บอาการไม่ให้อีกคนรู้ว่าเขากำลังชื่นชมภาพตรงหน้ามากแค่ไหน ทำไมถึงได้น่ามองขนาดนี้นะ ทั้งๆที่เห็นหน้ากันเกือบทุกวันแท้ๆ

    “แต่นายต้องไม่แกล้งทำตัวเป็นเจตอีก”

    “...”

    “เพราะวันนี้บีจะไปถ่ายรูปเล่นกับจิน

    “...”

    “แค่บีกับจิน โอเคมั้ย”

    แค่บีกับจิน

    “โอเค”

    จินไม่เคยชอบชื่อตัวเองเท่านี้มาก่อนเลย

     

     

     

     

     

     

                Call me by his name

     

     

     

    จินเพิ่งเข้าใจเสน่ห์ของอากาศร้อนก็วันนี้เอง

    เพราะวันนี้แดดมันแรงมากๆขนาดนั่งหลบแดดใต้ต้นไม้แล้วก็ยังรู้สึกได้ถึงไอแดด ความร้อนรอบๆทำให้ไอศกรีมในมือของบีละลายเร็วขึ้นจนเจ้าตัวต้องรีบใช่ริมฝีปากแดงๆนั่นงับอย่างเอาเป็นเอาตาย จินยกกล้องเพื่อจับภาพคนที่นั่งไขว่ห้างอยู่ตรงม้านั่งสีขาวจากไกลๆ รีบเก็บภาพนั้นให้ได้มากที่สุดก่อนคนโดนแอบถ่ายจะรู้ตัว

    บีทำตัวน่ารักอีกแล้ว

    ชาตินี้จะไปหาได้อีกที่ไหนกัน

    “แอบถ่ายอีกแล้ว”

    แชะ

    จินแกล้งกดถ่ายอีกครั้งเพื่อจับภาพบีตอนกำลังโวยวาย คนโดนแกล้งได้แต่เม้มปากด้วยความหมั่นเขี้ยว อยากจะเอาคืนคนขี้แกล้งบ้างแต่ไอติมตรงหน้าก็กำลังละลาย เขาเลยต้องรีบจัดการงับของหวานตรงหน้าให้หมดก่อน

    “เลอะหมดแล้ว”

    ตากล้องกิตติมาศักดิ์นั่งลงข้างๆและยกนิ้วขึ้นปาดครีมที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากให้เบาๆ รอยยิ้มบางๆถูกส่งมาให้เป็นรางวัลทำเอาใจเต้นไปหมด บีคงไม่รู้ว่าการกระทำเล็กน้อยของตัวเองมีผลกับใจเขาแค่ไหน

    มีแต่จินนี่แหละที่คิดมากไปคนเดียว

    “เมื่อกี้ผมเห็นร้านกาแฟตรงอีกฝั่ง มีแอร์ด้วย ไปกันมั้ยบี”

    “ไกลมั้ย ขี้เกียจเดิน”

    “นิดเดียวเอง บีจะได้ไม่ต้องมานั่งร้อนแบบนี้”

    รู้สึกผิดชะมัดที่พาอีกคนมาลำบาก บีอาจจะไม่บ่นแต่หน้าแดงๆกับเม็ดเหงื่อที่ผุดพราวไปทั่วหน้ากับคอจนต้องซับตลอดเวลาก็บอกแทนหมดแล้ว ถึงมันจะยิ่งทำให้อีกคนดูน่ามองมากๆก็เถอะ

    “คิดว่าแค่ถ่ายเล่นๆไม่นึกว่าจะเก่งขนาดนี้”

    คำชมของคนข้างๆทำเอาใจฟูอีกแล้ว บ่อยแค่ไหนก็ไม่ชินสักทีทั้งๆที่มันก็แค่คำชมทั่วไปแท้ๆ

    ชอบจังเวลาบีเรียกชื่อเขา

    “เคยรับจ้างถ่ายรูปหาเงินไปเติมเกมส์สมัยเรียนน่ะ”

    “เหตุผลน่าตีว่ะ”

    รอยยิ้มสวยๆของบีสะกดจินได้เสมอ เขาไม่สามารถละสายตาจากมันไปได้แม้แต่ครั้งเดียว ริมฝีปากแดงๆน่าหมั่นเขี้ยวนั่นมันทำให้เขาเผลอคิดถึงจูบที่คาเฟ่แมวตอนที่เจอกันครั้งแรก

    จูบแรกและจูบเดียวของเขากับบี

    แลกกับการโดนต่อยไปทีนึงถือว่าคุ้มมากๆ

    “แต่ต่อไปทำงานยุ่งๆ นายคงไม่มีเวลามาถ่ายรูปเล่นแบบนี้หรอก”

    “คนเราหาเวลาให้สิ่งที่รักได้เสมอแหละบี”

    คำตอบง่ายๆของจินน่าแปลกใจสำหรับบี นั่นสินะ ถ้าเป็นสิ่งที่รักยังไงก็คงหาเวลาให้มันได้เสมอนั่นแหละ เพราะเราคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมัน

    ง่ายๆแค่นั้น

     “งั้นไว้คราวหลังจะถ่ายก็ชวนด้วยละกัน”

    จินยิ้มกับประโยคน่ารักนั่น บีคงไม่ได้คิดอะไร ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกดีจนหยุดยิ้มไม่ได้ คราวหลังให้ชวนมาด้วยงั้นเหรอ ให้ตายสิวะบี จินอยากจะนัดถ่ายมันทุกวันไปเลย

    แต่พรุ่งนี้เจ้าของเขากลับมาแล้ว ต่อให้อยากชวนก็คงทำไม่ได้

    “บีก็จ้างผมสิ”

    “เอ้า ถ่ายฟรีไม่ได้เหรอ”

    “พามาถ่ายทีนึงก็ต้องเลี้ยงไอติมเลี้ยงขนมนายแบบ กินก็จุ ถ้าถ่ายฟรีผมก็ขาดทุนสิ”

    “บอกเองนี่ว่าเป็นค่าจ้างที่เป็นแบบให้ ไม่ได้ขอให้เลี้ยงซะหน่อย”

    ใช่ ไม่ได้ขอให้เลี้ยงแต่ไปยืนเฝ้าหน้าร้านมองเขาทำตาเยิ้มแบบนั้นใครมันจะทนได้ล่ะ ตอนลิ้นเล็กๆนั่นเลียริมฝีปากตัวเองเขาก็แทบจะเหมาไอติมให้ทั้งร้านแล้ว

    ทำไมถึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำให้เขารักได้ขนาดนี้นะ

    “บี”

    “ว่า?

    “ขอบคุณนะ”

    “เรื่องที่มาด้วยวันนี้อ่ะนะ ไม่เห็นเป็นไรเลย”

    “ไม่ใช่แค่วันนี้ แต่ช่วงเวลาสามเดือนที่ผ่านมาด้วย”

    “...”

    “ผมไม่มีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว”

    อยู่ๆคนตรงหน้าก็ทำตัวซึ้งๆจนบีปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน จินไม่ยอมมองหน้าเขาแต่มองทางข้างหน้าแทน น้ำเสียงกับท่าทางของคนพูดไม่เห็นดูมีความสุขอย่างที่บอกเลย มันดูหม่นๆยังไงไม่รู้

     “ต่อไปดูแลตัวเองดีๆ อย่ากินของหวานมากเกินไป อย่าโหมงานจนดึก กินข้าวให้ตรงเวลา ไม่ใช่กินแต่ขนมเข้าใจมั้ย”

    “บ่นเป็นลุงเลย ทำอย่างกับจะลาไปไหน”

    “ผมซีเรียสนะบี ดูแลตัวเองให้ดี อย่าให้ต้องห่วง”

    จินหันมาสบตาเขา ท่าทางดุๆที่บีไม่เคยชินทำให้เขาได้แต่พยักหน้ารับคำ

    “ไม่ต้องห่วงน่า ดูแลตัวเองได้”

    มือสองข้างของคนพูดวางลงบนไหล่ของอีกคนและบีบมันเบาๆเพื่อให้รู้ว่าเขาเองก็จริงจัง บีแพ้ท่าทางเหมือนลูกแมวหลงทางของจินเสมอเลยมักเผลอตามใจอีกคนอยู่เรื่อย แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เพราะมันไม่ใช่การแกล้งอ้อนอย่างทุกครั้ง

    “บีก็ขอบคุณสามเดือนที่ผ่านมาเหมือนกัน ไม่มีจินมาเล่นด้วยคงเหงาแย่”

    “อย่ามาพูดจาน่ารักๆใส่สิบี”

    “อ้าว”

    “เหนื่อยว่ะ น่ารักแต่กอดไม่ได้”

    บีตีไหล่คนพูดจาเพ้อเจ้อไปหนึ่งทีก่อนจะเดินนำหน้าไปยังร้านกาแฟที่จินพูดถึงโดยไม่รอ ไม่น่าเผลอเปิดทางให้เด็กนี่เลยจริงๆ เห็นทำหน้าเศร้าๆแต่มีอารมณ์มาเล่นแบบนี้ก็คงไม่ต้องห่วงแล้ว

    หยุดยิ้มได้แล้วบี เดี๋ยวน้องมันก็เห็นพอดี แค่คำพูดเพ้อเจ้อของจินทำไมสลัดออกจากหัวไม่ได้ซะทีล่ะ

     แย่แล้ว บีควบคุมตัวเองให้หยุดคิดถึงบทสนทนาเมื่อกี้ไม่ได้

    “เด็กบ้า”

     

     

     

     

    Call me by his name

     

     

     

     

     

    จินขับรถพาอีกคนมาถึงคอนโดตอนสามทุ่มกว่าๆ ตอนที่เขาปลุก อีกคนก็แค่ลุกขึ้นนั่งงงๆก่อนจะปะติดปะต่อเรื่องได้ว่าถึงคอนโดแล้วจึงหันมาหาเขา

    “กลับดีๆ”

    “ฝันดีนะ”

    คนขับไม่มีท่าทีงอแงอ้อนเขาเหมือนทุกครั้งจนบีแปลกใจ วันนี้จินยิ้มเยอะแต่ก็ทำตัวแปลกๆทั้งวันเหมือนกัน บางทีก็ยืนจ้องหน้าเขานิ่งๆเหมือนจมอยู่ในความคิดทั้งๆที่มันไม่ใช่วิสัยของคนขี้เล่นอย่างจินเลย

    “มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า เล่าได้นะ”

    ถ้าตามใจจินเลยเขาก็อยากจะระบายความรู้สึกของตัวเองให้อีกคนฟังอยู่หรอกแต่ก็รู้ว่าคงไม่ได้ จินไม่รู้ด้วยว่าจะอดทนรับคำตอบของบีได้แค่ไหนถ้าเผลอพูดเรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆ

    เขาไม่เคยปิดบังความรู้สึก แต่ก็ไม่เคยพูดตรงๆเหมือนกัน

    ใจเขาคงพังไม่เป็นท่า ถ้าต้องมาฟังคำปฏิเสธตรงไปตรงมาของบี ดังนั้นเลยเลี่ยงที่จะไม่พูดดีกว่า ยังไงซะหลังจากนี้เขาคงต้องยอมออกห่างจากอีกคนแล้ว บีจะได้อยู่กับคนที่บีรักและเหมาะสม ส่วนเขาก็จะเป็นน้องชายไอ้เจตที่บีเคยรู้จัก

    “ดึกแล้ว บีไปพักเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานอีก”

    “ยังไม่ง่วง แต่ถ้าจินไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร”

    “ไม่ต้องมาทำเสียงน้อยใจเลยบี”

    คนโดนดักทางไม่ตอบแค่เปิดประตูลงจากรถไปเฉยๆ ปล่อยให้อีกคนเป็นเดือดเป็นร้อนต้องยอมดับเรื่องเดินตามลงไป

    เออ ก็ไม่อยากให้งอนนี่หว่า

    “ไม่ใช่ไม่อยากเล่า มันแค่ไม่มีอะไรจะเล่าต่างหาก”

    “ไม่มีอะไรจริงเหรอ”

    จินพยายามหนีสายตาจับผิดของคนตรงหน้าแต่ก็โดนมือนุ่มๆมากุมแก้มไว้ทั้งสองข้างไม่ให้หันหนี จะเขินก็เขินแต่ก็กังวลว่าอีกคนจะจับโกหกได้มากกว่า

    เอาวะ หลบตาไม่ได้ก็จ้องกลับไปเลย จินสู้สายตากับอีกคนนิ่งเหมือนกำลังเล่นเกมแข่งจ้องตา นานจนอีกคนถอนหายใจยอมแพ้

    “เบื่อเด็กดื้อ”

    “ผมไม่เป็นไรจริงๆ อากาศร้อนมันเลยเพลียๆไง”

    “ไม่เชื่อนะ แต่ไม่อยากคุยด้วยแล้ว”

    “บี”

    “กลับดีๆ”

    “โอย ไม่เอาไม่แยกกันแบบนี้ คุยก่อนก็ได้”

    จินคว้าคนที่ทำท่าเดินหนีให้หันมาคุยกันเหมือนเดิม คนขี้งอนกอดอกเลิกคิ้วเหมือนรอให้เขาเป็นฝ่ายพูดก่อน จินมองอาการดื้อๆนั้นแล้วได้แต่ถอนหายใจยอมแพ้

    “ขอกอดได้มั้ย”

    คำขอร้องสั้นๆจากปากของจินไม่ใช่คำตอบของคำถาม แต่บีกลับไม่ค้านอะไร

    เพราะท่าทางเหนื่อยๆของคนพูดบอกอะไรได้มากกว่าคำพูดเยอะ

    เหนื่อยเรื่องเขาสินะ

    “กอดแล้วจะหายใช่มั้ย”

    ดวงตาสองคู่ประสานกันนิ่งแทนบทสนทนา มันเงียบแต่กลับเข้าใจกันโดยไม่ต้องอธิบายอะไรอีก บีแค่อ้าแขนรับร่างกายของคนที่โถมตัวเข้ามาแล้วโอบไว้

     ตัวของจินอุ่นจนเจ้าของกอดเผลอซบหน้าลงกับไหล่ของอีกคน

    แก้มของเขาวางบนไหล่ของจินได้พอดีเหมือนจับวางเลย

    มือของบียกขึ้นลูบหลังอีกคนแทนการปลอบประโลม หวังว่ากอดของเขาจะช่วยอะไรได้บ้าง แม้จะไม่มากแต่นี่คือทั้งหมดที่เขาให้ได้

    บีรับรู้ได้ถึงสัมผัสบางเบาตรงลำคอ แค่เสี้ยววินาทีสั้นๆจนแทบจับไม่ได้ เขาไม่ไดดุอีกคนที่แอบฉวยโอกาส แค่ยกมือลูบหัวอีกคนเบาๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอีกคนไม่ชอบให้เล่นหัว

    แต่น้องมันไม่ว่าอะไรนี่นา

    ไม่เป็นไรมั้ง

    “หายเหนื่อยยัง”

    “ยัง ขออยู่แบบนี้อีกสักพักนะ”

    บีมองรอบๆตัวให้แน่ใจว่าพวกเขาอยู่ในมุมอับสายตาพอที่จะไม่ทำให้การกระทำของพวกเขารบกวนสายตาใครเข้า จินขยับไปมาเพื่อซบหน้าลงกับไหล่เขาให้สบายขึ้นก่อนจะนิ่งไปอีกพักนึง บีได้แต่ลูบหลังอีกคนเบาๆโดยไม่พูดอะไรปล่อยให้อีกคนกอดไปเรื่อยๆ

    “บี จินขออะไรอย่างสิ”

    “วันนี้งอแงจังเลย อยากได้อะไรอีก หือ”

    “ต่อไปถ้าเจตทำอะไรให้ไม่สบายใจ บีบอกมันไปเลยนะ อย่าเก็บมาน้อยใจคนเดียวอีก”

    “...”

    “บีชอบเก็บเรื่องที่ไม่ชอบมาคิดคนเดียว เรื่องบางเรื่องไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาอดทนเลย เจตรักบี มันต้องเข้าใจอยู่แล้ว”

    “บางเรื่องบอกไปก็ทะเลาะกันเปล่าๆ”

     

    “ทะเลาะก็ทะเลาะไปสิ จะได้เข้าใจกันมากขึ้น”

    “นี่เสี้ยมให้ตีกับเจตรึเปล่าเนี่ย”

    “บี ผมจริงจัง ผมไม่มีสิทธิมายุ่งเรื่องนี้หรอก แต่ผมไม่ชอบเห็นบีมานั่งรับมือกับความรู้สึกแย่คนเดียว”

    “...”

    “ผมอยู่ปลอบบีไม่ได้ตลอดหรอกนะ”

    ความเงียบเข้าครอบคลุมเขาทั้งคู่อีกครั้ง บีกระชับกอดแน่นขึ้นพลางคิดตามคำพูดของอีกคน บีไม่อยากงี่เง่า บางเรื่องเขาก็ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย การเก็บอารมณ์มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ

    ถึงเขาจะรู้สึกไม่ดี แต่มันก็ได้ผล

    “ถ้ารู้สึกไม่ดีให้พูดตรงๆใช่มั้ย งั้นจินทำบ้างสิ”

    “ไม่เกี่ยวละ”

    คนโดนย้อนผละจากกอดเพื่อสบตาอีกคน ท่าทางจริงจังไม่ยอมแพ้ทำให้จินอยากตีหัวตัวเองที่ขุดหลุมฝังตัวเองไปแบบนั้น

    “เกี่ยวสิ ถ้ามันได้ผลจริงจินก็ทำให้ดูเลย บีก็ไม่ชอบเห็นจินรับมือกับความรู้สึกแย่ๆคนเดียวเหมือนกัน”

    ตามหลักแล้วจินต้องแนะนำบีสิ ไม่ใช่มาโดนต้อนเสียเอง

    “บีพร้อมฟังเหรอ”

    “ถ้าแค่เรื่องที่จินชอบบีก็ไม่ต้องบอก อันนั้นรู้นานแล้ว”

    “บี...”

    “มีอะไรนอกจากเรื่องนี้อีก อะไรทำให้ไม่สบายใจ”

    มือสองข้างของจินยังคงวางค้างอยู่ที่เอวเขา ท่าทางเหลอหลาดูไม่เหมาะกับคนแบบจินเลย ปกติคนตรงหน้าวางตัวได้ดีเสมอ พอมาโดนต้อนให้จนมุมบ้างก็เสียศูนย์เหมือนกัน

    “ไม่มีอะไร ก็แค่...วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เราเจอกัน”

    “วันสุดท้าย?

    “พอเจตกลับมา ผมจะไม่มายุ่งกับบีอีก”

    ห่ะ?

    บีพยายามคิดตามคำพูดของอีกคนแต่ก็ไม่เข้าใจว่าจะสื่ออะไร ทำไมวันนี้ถึงเป็นวันสุดท้าย แล้วทำไมเจตกลับมาถึงได้ทำให้มายุ่งไม่ได้

    เจตไม่ได้เกลียดจินขนาดนั้นซะหน่อย

    “ทำไมล่ะ เจตกลับมานายก็แค่เลิกทำตัวเป็นเจต ไม่จำเป็นต้องเลิกเจอกันนี่”

    “ผมเลิกเป็นเจตได้แต่ผมเลิกรักไม่ได้นี่”

    “...”

    “ถ้ายังอยู่ใกล้ๆบีแบบนี้ ผมไม่รับปากนะว่าจะไม่เผลอทำอะไรล้ำเส้นอีก”

     บีกลืนน้ำลายพยายามเค้นคำพูดมาเถียงอีกคนแต่ก็ทำไม่ได้เพราะที่จินพูดมีเหตุผลทุกอย่าง ความรู้สึกโหวงๆแปลกๆเหมือนถูกดึงให้ดิ่งจากที่สูงค่อยๆควบคุมร่างกายเขา ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน

    “แล้วจู่ๆจะหายไปเลยเหรอ ไม่คิดจะบอกกันหน่อยรึไง”

    “เดี๋ยวเจตมาบีก็ไม่ว่างมาสนใจแล้ว”

    ปั่ก

    จินเบิกตากว้างเมื่อจู่ๆอีกคนก็ทุบอกเขาจนเจ็บ ปากบางเม้มแน่นจนเห็นแนวสันกรามคมชัดขึ้น ดวงตาเรียวเล็กมองเขามาอย่างหาเรื่องจนเขาเผลอตกใจ

    “เด็กโง่”

    “ผมพูดอะไรผิดล่ะ”

    “ผิด! คิดเองเออเองทั้งนั้น รู้ได้ไงว่าไม่สน เคยถามเหรอ”

    “...”

    “แล้วก็ไอ้เรื่องเลิกยุ่งนี่ด้วย ทำไมอ่ะ ทำไมเจอกันไม่ได้ เป็นเหมือนตอนนี้ไม่เห็นจะแย่ตรงไหนเลย”

    “ถ้าอยู่ใกล้ๆแล้วจะตัดใจได้ยังไง”

    “เดี๋ยวพอจินรู้จักนิสัยแย่ๆของบีก็เลิกชอบไปเองแหละ”

    “บีก็รู้ว่ามันไม่ง่ายแบบนั้น”

    “ลองดูก่อนสิ!

    “ไม่มีเหตุผลแล้วนะบี”

    คำปรามของคนตรงหน้าทำเอาเถียงไม่ออกเพราะตอนนี้เขาก็งี่เง่าจริง แต่อีกคนคิดจะหายไปจากชีวิตกันง่ายๆ ไม่คิดจะลาหรือปรึกษากันก่อน นิสัยแบบนี้สมควรโดนเขางี่เง่าใส่แล้ว

    “ถ้าจะไปอย่างน้อยก็มาคุยกันก่อนมั้ย คิดถึงใจกันบ้างสิ”

    บีพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง สมองของเขาตื้อไปหมด เหมือนอารมณ์ทุกอย่างมันตีกันจนจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าที่กำลังโมโหอีกคนมันเรื่องอะไรกันแน่

    เพราะอีกคนไม่ลาหรือเพราะอีกคนจะไป

    จินถอนหายใจและรวบตัวอีกคนเข้ามากอดเพราะทนเห็นแววตาตัดพ้อที่ส่งมาไม่ได้ จินรอให้อีกคนใจเย็นลงแล้วค่อยคุยกันต่อ บีใช้เวลานั้นทบทวนความคิดของตัวเองเงียบๆปล่อยให้อีกคนลูบผมเล่นเบาๆโดยไม่สะบัดตัวหนี

    จินไม่อยากมายุ่งก็ดีแล้วนี่นา เขาเองก็จะได้ไม่ต้องมารับมือกับความวุ่นวาย จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอย่างที่ผ่านมา

     อีกเดี๋ยวเจตก็กลับมา อะไรที่เคยต้องขอให้จินช่วยก็มีเจตทำให้ ไม่มีจินก็ไม่เห็นเป็นไร ดีซะอีกที่ไม่ต้องมาลำบากใจกับการไม่ตอบรับความรู้สึกของเด็กบ้าตรงหน้า

    เหตุผลทุกอย่างมันชัด

    เขาแค่ไม่อยากฟัง ไม่อยากเข้าใจ

    ความรู้สึกแปลกๆตีกันให้ยุ่ง ทั้งโมโห ทั้งเศร้า ทั้งสงสาร ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันจนเขาไม่รู้จะเริ่มรับมืออะไรก่อนดี

    “ขอโทษที่งี่เง่า”

    บีไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนและมันทำเขากังวล

    “บีเข้าใจจินนะ แต่มันโมโห รู้เหตุผลแล้วก็ยังโมโห ไม่ชอบตัวเองตอนนี้เหมือนกัน”

    “ไม่เป็นไร บอกกันตรงๆแบบนี้ดีแล้ว”

                บีดันตัวเองออกจากกอดของอีกคนเพื่อจะคุยกันอีกครั้ง เขาสูดลมหายใจเข้าอีกครั้งเป็นการเรียกสติ เช่นเดียวกับอีกคนที่ยืนรออย่างใจเย็น

                “ถ้าเจอกันอีกจะทำยังไง แกล้งไม่รู้จักกันเหรอ”

                “ไม่ต้องหรอก เรารู้จักกันแค่ไม่ได้ใกล้กันแบบนี้แล้ว”

                “อือ เข้าใจแล้ว”

                ความเงียบโรยตัวจนรู้สึกได้ถึงความอึดอัดบางอย่างที่บีไม่ชิน ปกติต่อให้เงียบมันก็แค่เงียบ ไม่ใช่เงียบแต่อึดอัดแบบนี้

                “บีขึ้นห้องได้แล้ว ดึกแล้ว”

                “อือ”

                “ฝันดีนะ”

                “ฝันดี”

                บียืนรอจนแน่ใจว่าจินจะไม่พูดอะไรต่อ เขาจึงตัดสินใจเดินเข้าคอนโดตัวเอง ทุกก้าวที่เขาเดินห่างออกมามันเต็มไปด้วยความรู้สึกโหวงๆในอกจนอึดอัดไปหมด 

    บีเดินช้าว่าปกติ เหมือนอยากซื้อเวลาเพื่อรอดูให้แน่ใจว่าอีกคนจะไม่เปลี่ยนใจจริงๆ เขารอจนมั่นใจว่าอีกฝ่ายขับรถออกไปแล้ว จึงจะเดินไปที่ลิฟต์เพื่อกลับไปในที่ของตัวเองเช่นกัน

                จินทำตามสัญญา ที่บอกว่าจะหยุดทุกอย่างตอนที่เจตกลับมา

                แต่อยู่ๆ บีก็ไม่อยากให้เจตกลับมาเลย

     

     

     

     

     

    Call me by his name

     

     

     

     

    อย่าเพิ่งหนีไปทีมจินกันหมดสิ เห็นใจเจตกับเวลาสองปีของเขาบ้าง555555555

    ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ใครมีความเห็นยังไงไปบอกกันในแท็ก  #ฟิคบตน ได้เสมอ พีซ!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×