คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : (SF) Jinson : Friendzoned (1)
Couple: Jinyoung x Jackson
Type: Short fiction
Style: Drama
Status : Unfinished
::::: ดัดแปลงมาจากฟิคเดิมที่เคยแต่งไว้
(ME at his wedding) :::::::
คนมีความรัก...มักจะหยุดยิ้มไม่ได้...
คนมีความรัก...มักจะสายตาดี
มองเห็นคนที่เขารักชัดเจนกว่าคนอื่นเสมอ..
และนั่นเป็นสาเหตุที่ผมได้แต่ลอบมองใบหน้าของคนมีความรักคนนั้น...จากตรงนี้
มุมที่แม้จะลับตาคนและไม่มีใครสงสัย
แต่ก็เป็นมุมใกล้พอจะเห็นเขาในระยะประชิด
ใกล้ซะจน เขามองข้ามไป
“อ่ะ อ้าปากสิจินเดี๋ยวป้อน”
ทำไมต้องเจ็บปวด ในเมื่อผมเลือกที่จะรับรู้มันเอง
“ผมไม่ชอบของหวาน ให้ผมป้อนคุณแทนดีกว่า..”
...ก็แค่ภาพคู่รักกำลังป้อนเค้กให้กัน
ผมไม่เคยรักใคร อย่างน้อยก็เชื่ออย่างนั้น
แต่ความรู้สึกอึดอัดในอกมันทำให้ผมเริ่มไม่แน่ใจ
ผมเคยเห็นภาพนี้หลายครั้ง ใช่ว่าจะไม่เจ็บปวด
แต่ไม่มีครั้งไหนที่ผมจะรู้สึกชัดเจนถึงความร้อนผ่าวที่ดวงตานิ่งสนิทของตัวเองเท่าครั้งนี้
อาจเป็นเพราะมันไม่ใช่แค่การป้อนเค้กเหมือนทุกครั้ง...
แต่เป็นการลองชิมเค้กแต่งงานของคนสองคนที่จะจัดขึ้นในไม่ช้า
ใช่ จินยองกำลังจะแต่งงานกับคนที่เขารัก...
.
...น่าเสียดายที่คนคนนั้นไม่ใช่แจ็คสัน
“ทำไมช่วงนี้มึงดูเงียบๆจัง”
จินยองกำลังยืนติดกระดุมเสื้อเชิ้ตอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ของห้องลองชุด
มันเอ่ยและมองหน้าผมผ่านกระจกบานนั้นด้วยสีหน้าสงสัย
ผมยิ้มให้มัน
เหมือนที่เพื่อนสนิทสองคนจะยิ้มให้กัน...
“หรือว่าโกรธที่กูแต่งงานโดยไม่ปรึกษามึง...”
“เปล่า”
จริงๆกูควรจะดีใจกว่านี้ ถ้ามึงเลือกที่จะลืมกูไปเลย จะได้ไม่ต้องอยู่ร่วมเป็นพยานในตอนนั้น
ตอนที่จินยองจูงมือเจ้าสาวของมันมาที่สวนหลังบ้าน
ตอนที่ผมกับแม่ของจินยองกำลังช่วยกันจัดอาหาร
ตอนที่พวกเขายกมือที่สวมแหวนออกมาให้ทุกคนเห็น
ตอนที่หัวใจของผมกระตุกแรงๆในเสี้ยววินาที
ก่อนที่จะไม่รับรู้ถึงมันอีกเลย...
“มึงดูเหมาะกับชุดเจ้าบ่าวมากๆเลย”
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง...”
จินยองขัดขึ้นเสียงนิ่งหลังจากติดกระดุมเม็ดสุดท้ายเสร็จ มันไม่ได้หยิบสูทสีดำสนิทที่สั่งตัดเพื่อใช้ในงานแต่งงานมาลองใส่
แต่เดินตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม มือหนาเอื้อมมากุมไหล่ผมไว้ทั้งสองข้าง
ความร้อนจากมือของมันทำให้เลือดในตัวผมสูบฉีดเร็วและแรงขึ้น แรงซะจนรู้สึกเหมือนกำลังจะระเบิด
จินยองดูดีเสมอในชุดสูท เพราะจินยองเป็นคนที่มีมาดนักธุรกิจ
แม้หลังๆจะไม่สนใจจะรักษาภาพพจน์ของตัวเองสักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังแพ้ดวงตาสีเฮเซลนัทล้อมกรอบด้วยขนตายาวเป็นแพที่ผมรู้สึกประหม่าทุกครั้งที่เผลอจ้อง
แม้มันจะไม่สดใสเหมือนเมื่อก่อนก็เถอะ
นึกว่าคนมีความรักจะหน้าตาสดใสกว่านี้ซะอีก...
“แค่เสียดายน่ะ นึกว่าจะได้ใส่ชุดเจ้าบ่าวก่อนมึง”
จินยองยังคงมองผมนิ่งเหมือนจะประเมินว่าโกหกรึเปล่า
และแน่นอนว่าถ้าผมเผลอจ้องตามันเข้า จินยองจะต้องรู้แน่ๆว่าผมรู้สึกยังไงกับมัน
ผมไม่อยากใส่ชุดเจ้าบ่าวก็จินยอง
ผมอยากใส่พร้อมมัน...
ผมเลือกที่จะมองหูกระต่ายบิดๆเบี้ยวๆที่จินยองผูกแทน ความบิดเบียวน่าหงุดหงิดทำให้ผมคลายมันออกแล้วผูกมันใหม่อีกครั้งโดยไม่ละสายตาจากหูกระต่ายอันนั้น
เพราะรู้ดีว่าจินยองกำลังจับโกหกผมอยู่ ผมบรรจงผูกมันช้าๆเหมือนจะซื้อเวลาที่จะได้อยู่ใกล้ชิดคนตรงหน้า
แม้มันจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆก่อนที่จินยองจะจากไปก็ตาม
“กูไม่ชอบให้มึงโกหก”
จินยองพูดต่อเสียงนิ่ง และละมือจากไหล่ผมเปลี่ยนมาเป็นดึงข้อมือผมที่กำลังผูกหูกระต่ายให้อยู่
เหมือนเป็นการบอกให้เลิกเบนความสนใจแล้วจ้องหน้ามันซะ ผมชะงักก่อนจะจ้องหน้ามันด้วยสายตาที่คิดว่านิ่งที่สุด
นี่คือข้อเสียอีกข้อของผม ผมไม่เคยโกหกจินยองได้เลยสักครั้ง
คงมีแต่เรื่องความรู้สึกของผมเท่านั้นละมั้ง ที่ไม่เคยโดนจับได้สักที
“มึงเป็นอะไรกันแน่ มีอะไรก็บอกกันตรงๆสิวะ”
กูรักมึง...
“ไม่พอใจตรงไหน ทำไมไม่พูดล่ะ”
ไม่พอใจที่มึงเห็นเธอคนนั้นมาก่อนกูเสมอ
ไม่พอใจ ที่มึงไม่เคยรับรู้ว่ากูรู้สึกยังไง
ไม่พอใจ แม้จะรู้ว่าไม่มีสิทธิ์ และนั่นคือสาเหตุที่ผมไม่พูดอะไรออกไป
“ป..ปล่อยกู ”
“ไม่ จนกว่ามึงจะพูดความจริง”
จินยองพูดด้วยเสียงเนิบนาบแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ พูดไม่พูดเปล่า มันขยับตัวมาใกล้ผมมากขึ้นเหมือนจะบีบให้ต้องจ้องตากัน
มือทั้งสองข้างของผมถูกพันธนาการไว้ด้วยมือข้างหนึ่งของจินยอง ส่วนอีกข้างนึงเขาก็ใช้มันเกลี่ยหน้าม้าที่บังหน้าผมออกเพื่อจะได้จับโกหกกันได้ถนัดๆ
และตอนนี้เองที่ผมรู้ตัวว่า ผมอ่อนแอเหลือเกิน
มันคงไม่รู้หรอก ว่าแค่การกระทำเล็กน้อยๆแค่นั้น มันก็ทำให้ผมเป็นบ้าจนคุมสติไม่อยู่ได้เหมือนกัน
ใกล้ซะจนเริ่มหายใจลำบาก...
ใกล้ซะจนเริ่มลังเล....
“กู..”
รักมึง...
“คือกู..”
“จินยองคะ เสร็จรึยัง”
...
...
...
เสียงเรียกของว่าที่เจ้าสาวเรียกความสนใจจากจินยองได้เป็นอย่างดี มันแทบจะปล่อยผมแล้ววิ่งออกไปเลยด้วยซ้ำมั้ง
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะดีไม่น้อย
จินยองหันกลับมามองหน้าผมอีกครั้งด้วยสายตาบ่งบอกว่ามันไม่ลืมแน่ๆ
ก่อนจะเดินไปหยิบสูทแล้วเดินออกจากห้องแต่งตัวไป
ผมมองแผ่นหลังของจินยองด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ค่อยๆหลั่งไหลออกมา
ขอบตาร้อนผ่าวอีกครั้งในรอบวัน
“อย่าเบี้ยวนัดงานเลี้ยงสละโสดของกูละกัน” จินยองตะโกนทิ้งท้ายก่อนจะสาวเท้าไปหาคู่หมั้นที่รออยู่ด้านนอก
ผมมองบานประตูที่ปิดลงแล้วยกมือขึ้นกุมหน้าตัวเองแน่นแล้วลอบมองไปในกระจกอย่างละอายใจ
ใบหน้าแดงๆลามไปถึงหูเพราะหัวใจที่เต้นรัวกับขอบตาและจมูกที่แดงไม่แพ้กันเพราะกลั้นน้ำตา
ความรู้สึกที่ถาโถมออกมาทำให้เริ่มสับสน คำพูดทิ้งท้ายของคนใจร้ายยังคงก้องอยู่ในหัว
อย่าเบี้ยวนัด...
แต่ใครสนล่ะ แค่เหตุการณ์เมื่อกี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าผมไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับจินยองหรอก
ดังนั้นสถานที่ๆมีแต่พวกเพื่อนสนิท มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์คอยจ้องจะบั่นทอนสติของผม
และมีตัวการที่น่ากลัวที่สุดอย่างจินยองอยู่รวมกันอย่างปาร์ตี้สละโสด ย่อมเป็นสถานที่สุดท้ายที่ผมอยากจะไป
ใช่แล้ว ผมเบี้ยวงานเลี้ยงสละโสดของเพื่อนสนิท
ก็นะ ใครมันจะวิ่งเข้าถ้ำเสือไปให้เสือขย้ำเล่า แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้จักจินยองดีพอที่จะเดาได้ว่า
คงโทรตามจิกกันในอีกไม่ช้า...
.........
.............
.................
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrr
เฮือก!!!!!
ผมหันไปมองโทรศัพท์มือถือข้างตัวอย่างตกใจ แน่นอนว่าคนที่โทรมาไม่ใช่ใครนอกจากคนใจร้ายคนนั้น
คงโทรมาตามให้ไปงานปาร์ตี้สละโสดแน่ๆ แต่ฝันไปเถอะครับ ในเมื่อตัดสินใจจะชิ่งแล้วไม่มีทางที่จะเปลี่ยนใจเด็ดขาด!!!!
ง..เงียบไปแล้ว
ติ๊ด..แจ็คสันเองครับ แต่ถ้าคุณได้ยินข้อความนี้แสดงว่าผมไม่สะดวกรับสายงล
กรุณาฝากข้อความไว้หลังเสียงนี้ แล้วผมจะติดต่อกลับไป....
ไม่กี่วินาทีหลังจากเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์เงียบลง
เสียงข้อความตอบรับอัตโนมัติของโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น ผมรีบวิ่งเหมือนคนบ้าไปที่เครื่องตอบรับก่อนจะชั่งใจว่าจะรับโทรศัพท์ดีรึเปล่า
กูรู้นะว่ามึงฟังอยู่ คิดจะเบี้ยวงานเลี้ยงสละโสดงั้นเหรอ กล้าดียังไงแจ็คสัน...
เสียงที่เจือไปด้วยความหงุดหงิดของจินยองดังผ่านเครื่องตอบรับออกมา
ผมลอบยิ้มนิดๆที่รู้ว่าอย่างน้อย การมีอยู่ของผมก็ยังมีอิทธิพลกับมันอยู่บ้าง
แม้มันจะเทียบไม่ได้เลยกับความใส่ใจที่เซนมีให้เจ้าสาวของมัน
..มึงทำให้กูโมโหนะ คิดว่าจะหนีได้รึไง คิดว่าจะไม่ตามไปเค้นถึงห้องใช่ไหมว่ามึงเกิดบ้าอะไรขึ้นมาน่ะ!!!!
น้ำเสียงบ่งบอกถึงความโมโหที่ทวีความรุนแรงขึ้นของจินยองทำให้ผมต้องกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่
ลองถ้าพูดแบบนี้ล่ะก็ มันต้องบุกมาที่ห้องผมเพื่อเค้นเอาความจริงจากอย่างที่ปากบอกไว้แน่ๆ
และนั่นมันจะต้องแย่มากๆ ทำไมถึงอยากรู้ความจริงนักนะ อีกอย่างงานเลี้ยงของมันก็มีคนเยอะแยะ
ขาดฉผมไปคนเดียวงานมันคงไม่กร่อยลงไปหรอก
ไหนบอกว่าไม่โกรธไง แล้วเบี้ยวนัดกูทำไม...
โว้ย!!! ก็ไม่ได้โกรธนี่
แค่มันเจ็บปวดที่ต้องยอมรับความจริงเฉยๆน่ะ!!!!!
กูรู้ว่ามึงได้ยิน นับหนึ่งถึงสาม
รีบรับโทรศัพท์ซะไม่งั้นจะบุกไปห้องนะแจ็คสัน..
ห่ะ..ม..ไม่ได้นะ
หนึ่ง
ถ้ามาถึงที่นี่ แล้วคิดจะเค้นความจริงกับผมจริงๆล่ะก็...
สอง
ไม่ๆๆ ถ้าขืนรับ ผมก็ต้องไปงานเลี้ยงน่ะสิ
สาม!!!!!! กริ๊ก
,ม่ายยยยยย จินยองวางสายไปแล้ว แจ็คสันเอ้ย รับแล้วแกล้งทำเป็นป่วยก็ได้นี่นา
ทำไมถึงได้คิดไม่ออกนะ พอภาวะคับขันแล้วกลายเป็นคนโง่ทุกทีเลยสิน่า บ้าที่สุด
ก็อกๆๆๆ
หือ!!!!
นี่อย่าบอกนะว่า...
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้เลยแจ็คสันหวัง!!!!
เวรกรรม...
“กูบอกให้ เปิด-ประ-ตู” เสียงเน้นย้ำทีละคำทำให้ฉันพอจะเดาได้ว่าหมอนั่นพยายามสะกัดกั้นอารมณ์ไม่ให้ขึ้นเสียงขนาดไหน
บ้าเอ้ย ถ้าผมไม่เปิดประตูมีหวังหมอนั่นได้พังเข้ามาแน่ ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าการหนีไม่ใช่หนทางแก้ไขปัญหา
แต่จะให้ทำไงล่ะ
บากหน้าไปงานเลี้ยงสละโสดของหมอนั่นด้วยสภาพอยากร้องให้ทุกวินาทีอย่างนั้นน่ะเหรอ
แค่วันนี้เห็นภาพพวกเขาชิมเค้กเส็งเคร็งนั่นด้วยกันก็เจ็บปวดจนพูดไม่ออกแล้ว
ผมเดินมาหยุดหน้าประตูที่ถูกเคาะอย่างไม่มีทีท่าว่าคนเคาะจะเหนื่อยและถอนหายใจเฮือกใหญ่
ยีผมตัวเองแรงๆให้ผมมันดูยุ่งๆเหมือนเพิ่งลุกจากที่นอนหมาดๆ
ขยี้ตาให้ขอบตาหายร้อนผ่าว แล้วเปิดประตูให้จินยองด้วยสีหน้าปกติที่สุด
“ไง..มึง..เห้ย...อย่าลากดิ
เจ็บนะเว้ย” จินยองไม่พูดอะไร มันแทบกระโจนเข้ามาในห้องด้วยซ้ำ
แถมพอเข้ามาแล้วยังลากผมไปยังห้องนอนอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ลากจนมาหยุดที่หน้าตู้เสื้อผ้าแบบwalk
in ด้วยสีหน้าที่ผมเดาไม่ออกว่ามันกำลังคิดอะไร จินยองกวาดตาไปยังราวแขวนก่อนจะหยิบชุดที่ตั้งใจซื้อมาเพื่อใส่ในงานเลี้ยงสละโสด
ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วผมจะไม่ถูกโรคกับสีแรงๆหรือลวดลายเยอะๆเท่าไร แต่ก็ยังตัดสินใจซื้อมันมาเพราะคิดว่าจะช่วยลบบรรยากาศอึมครึมที่เกิดขึ้นรอบตัวได้
ใช่
ผมแค่อยากดูสดใสกว่านี้
“ใส่ซะ..”
จินยองยัดชุดนั้นใส่มือผม ก่อนจะเดินหน้าตายไปนั่งที่เตียงนอนปล่อยให้ผมยืนงงกับการกระทำสุดเผด็จการของมัน
โอเค เอาจริงๆคืออึ้งที่มันบังเอิญเลือกชุดตัวที่ตั้งใจซื้อเพื่อใส่ไปงานเลี้ยงพอดีโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ
แถมยังไม่ได้เค้นคำสารภาพอย่างที่ผมคิดว่ามันจะทำ
“ต้องให้เลือกกางเกงในให้ด้วยไหมถึงจะแต่งตัวได้น่ะ”
จินยองเอ่ยเสียงเรียบที่ผมรู้ดีว่ามันเป็นการประชดตามแบบฉบับผู้ชายอย่างจินยอง
ผมกลอกตาก่อนจะกระแทกปิดประตูที่กั้นระหว่างโซนตู้เสื้อผ้ากับห้องนอนอย่างหงุดหงิดไม้แพ้กัน
ใช้เวลาแค่สิบนาทีในการยัดตัวเองลงในกางเกงยีนส์รัดรูปบวกกับการจัดผมที่ยุ่งเหยิงเพราะน้ำมือตัวเองก่อนหน้านี้ให้ดูดีอีกครั้ง
ผมรู้ว่าสกิลการแต่งตัวของผมมันไม่ได้พิถีพิถันอย่างที่คนทั่วๆไปควรเป็น แต่ภาพสะท้อนผ่านกระจกบานใหญ่ตรงหน้าทำให้ผมถึงกับกลืนน้ำลายดังเอื้อกกับเสื้อผ้าแนวใหม่แกะกล่องที่ส่งให้ผมดู
เอ่อ ดู..ดีขึ้นในทางที่อาจจะ เอ่อ ล่อแหลม ใช่ ล่อแหลมไปหน่อย
ครืด!!!
“เห้ย อะไรของมึงเนี่ย
จู่ๆก็เปิดเข้ามาไม่ให้ซุ่มให้เสียง นี่ถ้ายังแต่งตัวไม่เสร็จเล่า”
“ก็มึงไม่ล็อกเอง”
“ก็ไม่คิดว่าจะมีคนบ้าเปิดประตูตอนคนเค้าแต่งตัวนี่”
“ก็คนบ้าแบบกูนี่แหละ เลิกบ่นแล้วไปกันได้แล้ว
มาร์คโทรตามเป็นร้อยรอบแล้ว” ผมมองตามหลังของคนที่เดินหน้าตายออกไปอย่างไม่ทุกข์ร้อนด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ
รู้หรอกว่ารู้จักกันดี แต่เปิดพรวดพราดเข้ามาแบบเมื่อกี้ก็ไม่ไหวหรอกนะ ถึงผมจะรู้ว่าหมอนั่นคงคำนวณเวลาจากการแต่งตัวปกติของผมแล้วก็เถอะ
ถึงตอนนี้ ผมก็เริ่มสงสัย
ผมหลงรักผู้ชายอย่างจินยองได้ยังไงนะ
“กูชักสงสัยละนะว่ามึงเป็นเกย์รึเปล่า สาวๆเพียบขนาดนี้ ทำไมมึงดูไม่สนใจเลยล่ะ”
“ก็โสดเป็นเพื่อนมึงไง...”
จินยองพูดอย่างนั้นเมื่อนานมาแล้ว คำพูดธรรมดาที่ผมสลัดมันออกจากหัวไม่ได้สักที
“กูไม่ชอบหมอนั่นเลย...”
“แต่เขาเพิ่งชวนกูเดท มึงคิดว่าไงล่ะ”
“ก็ปฎิเสธไปสิ !!!”
คำพูดสั้นๆที่ผมคิดไปเองว่ามันหึงและมีอิทธิพลพอจะทำให้ผมปฏิเสธคำขอเดทจากหนุ่มฮอตอันดับต้นๆของโรงเรียน
“ผู้หญิงคนนั้นน่ะ
น่าสนใจดีนะ ว่าไหม”
“สนใจก็เข้าไปจีบสิ
ยืนบื้ออยู่ทำไม”
โอกาสแรก ที่ผมสนับสนุนให้จินยองได้เจอกับเธอคนนั้น
“ไอ้บ้านั่น !! ยัยนั่นไม่บอกกูสักคำว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“ใจเย็นๆก่อนสิ กูเชื่อว่ามันต้องไม่เป็นอย่างที่มึงคิด...”
ผมยังคงจำแรงที่ใช้กดไหล่จินยองให้ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นเพื่อรอฟังคำอธิบาย
จากแฟนสาวของมันได้แม่นยำ
ทั้งๆที่มีโอกาสมากมายที่จะทำให้พวกเขาเลิกกัน...
ทั้งๆที่มีโอกาส แต่ก็ยังคงปล่อยมันไป
เพราะรู้ดีถึงความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยน
รู้ดีว่า...แม้พวกเขาจะเลิกกัน จินยองก็ไม่ได้รักผมอยู่ดี...
“
รู้ใช่ไหมว่ากูยังไม่ยกโทษให้” จินยองเอ่ยทำลายความเงียบโดยไม่ละสายตาจากถนนเบื้องหน้า
ทำให้ผมหลุดภวังค์ละสายตาจากแสงสีของถนนยามค่ำคืนมามองหน้าคนข้างๆอย่างสงสัย
“ยกโทษ? เรื่อง?”
จินยองไม่ตอบ แค่ละสายตาจากถนนมามองหน้าผมด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับหลังจากที่ตีหน้าตายใส่ผมมาตลอดทาง
แล้วหันกลับไปมองถนนอย่างเดิมโดยไม่พูดอะไร
“ถ้าเป็นเรื่องเบี้ยวนัดละก็...”
“ก็รู้ตัวนี่ว่าทำผิดเรื่องอะไร” มันเอ่ยเสียงเรียบที่ฟังก็รู้ว่าพยายามกลั้นขำอยู่
ผมแทบจะตบกะโหลกตัวเองที่เพิ่งสำนึกได้ว่าเพิ่งยอมรับผิดแบบไม่ได้ตั้งใจ
หมอนี่ทำให้ผมร้อนตัวได้เสมอเลย
“เออใช่ กูยอมรับว่ากูจงใจเบี้ยวนัด แล้วไงล่ะ สุดท้ายกูก็โดนลากให้มากับมึงอยู่ดี”
จินยองถอนหายใจยาวๆเหมือนต้องการผ่อนคลายภาวะตึงเครียดนี้ซะ
เขาใช้มือข้างที่ว่างจากการกุมพวงมาลัยรถมาลูบหัวผมเบาๆ...
ตึกๆ ตึกๆ ตึกๆ
“น้อยใจเหรอ?”
“ทำไมต้องน้อยใจด้วย...” ไม่อยากยอมรับเลยว่าผมรับรู้ได้ถึงความน้อยใจในน้ำเสียงของตัวเอง
และคิดว่าจินยองก็ได้ยินเหมือนกัน มันละมือที่ลูบหัวผมอยู่ออก
เพื่อให้เลี้ยวรถเข้าจอดที่ลานจอดรถของคลับอันเป็นสถานที่จัดงานได้สะดวกขึ้น
รถจอดแล้ว แต่พวกเขายังไม่ลงจากรถ แน่นอนว่าจินยองอยากเคลียร์กับผมก่อนจะเข้าไปด้านใน
ส่วนผมก็พยายามอาศัยความมืดภายในรถปกปิดสีหน้าเจ็บปวดของตัวเอง แล้วหาจุดโฟกัสอื่นๆให้มองแทนที่จะเป็นหน้าของคนใจร้ายที่จี้จะเอาความจริงของผมไม่หยุด
“กูรู้ว่ามึงงอนที่กูชิงแต่งงานก่อนมึงจะมีแฟนใช่มั้ยล่ะ”
ใครบอก กูน้อยใจที่มึงแต่งงานกับคนอื่นต่างหาก ผมได้แต่เถียงกลับในใจ
“ช่วยไม่ได้นี่นา คนมาจีบตั้งเยอะแยะ แต่มึงมันเลือกมากชะมัด”
ไม่ได้เลือกมาก อันที่จริงกูไม่มีโอกาสเลือกด้วยซ้ำ เพราะถ้าเลือกได้กูคงเลือกคนอื่นที่ไม่ใช่มึงไปแล้ว
“สาวๆในงานนี้เพียบเลยนะ อีกอย่างพรุ่งนี้กูก็จัดที่นั่งให้มึงนั่งข้างๆพวกคนสวยๆด้วย
เชื่อสิว่ามึงต้องได้ออกเดทเร็วๆนี้แน่”
“...”
“แฟนกูบอกว่ามีแต่คนน่ารักๆ รับรองว่ามึงจะต้อง...”
“พอได้แล้ว...”
ผมเอ่ยเสียงแผ่ว
ถึงแม้ความมืดจะซ่อนดวงตาที่เริ่มเอ่อไปด้วยน้ำตาได้ แต่มันไม่สามารถซ่อนน้ำเสียงสั่นระริกของผมได้แม้แต่นิด
ไม่รู้จะเรียกสถานการณ์ตอนนี้ว่าอะไรดี ผลักไสไล่ส่งรึเปล่า คงใช่นั่นแหละ ผมไม่อยากฟังมันสาธยายถึงแผนการที่เอาผมไปจับคู่กับคนนั้นคนนี้
เพราะมันตอกย้ำให้ผมรู้ว่า มันไม่เคยหวงผมเหมือนที่ผมหวง..หึงมันเลยสักนิด
เจ็บว่ะ
“เข้าไปข้างในเถอะ คืนนี้กูต้องได้คนมาเป็นคู่ควงในงานแต่งมึงแน่
ไม่ต้องห่วงไปหรอก”
ผมพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติเท่าที่ทำได้ เอ่ยกับจินยองด้วยรอยยิ้มไม่แยแส
แล้วเปิดประตูพรวดพราดออกจากรถโดยไม่สนใจมันอีก เดินกึ่งวิ่งไปยังประตูคลับที่มีการ์ดคุมอยู่
แม้จะมีคนยืนต่อแถวรอใช้บริการอีกยาว แต่ผมไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น แค่ส่งยิ้มนิ่งๆให้ชายร่างบึกนิดหน่อยก่อนจะเอ่ยชื่อตัวเองให้เขาทราบ
ชายคนเดิมก้มหน้ามองในรายการที่ถืออยู่ กวาดสายตาไปมาก่อนจะเจอชื่อผมที่โซนวีไอพีอย่างทุกครั้ง
เขาพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้เข้าไป ส่วนผมก็ส่งยิ้มให้เขานิดหน่อยแล้วเดินตรงเข้าไปโดยไม่สนใจเจ้าของงานที่วิ่งตามมาติดๆ
ผมเดินไปยังโซนที่เป็นส่วนวีไอพี เสียงดนตรีบีทหนักๆที่ชวนให้ขยับแข้งขยับขาไม่สามารถทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย
ผมกวาดสายตาไปมา เพียงไม่นานก็เห็นมาร์คโบกไม้โบกมือเรียก
ข้างๆกันมีคุณหนูจากตระกูลชื่อดังนั่งอยู่ด้วย นี่แหละเขา
สาวๆล้อมไม่เว้นวาระเลยจริงๆ
ผมนั่งลงที่โซฟาแบบนั่งคนเดียวที่ไม่ห่างจากมาร์คเท่าไรนัก มาร์คส่งยิ้มและเอ่ยอะไรบางอย่างที่
ผมพยายามอ่านปากได้ความประมาณว่าผมมาสาย ผมจึงแค่ยักไหล่แล้วยกแก้วเตกีล่าของมันมาดื่มจนหมดช็อตหน้าตาเฉย
ใช่ ต้องย้อมใจซะก่อน
เอาละ ในเมื่อไอ้คนใจร้ายมันอยากให้มีคู่ สงสัยคงต้องสนองความต้องการหมอนั่นซะหน่อย
ฉันมองไปรอบๆก่อนจะสะดุดตาที่โต๊ะถัดไปไม่มาก พวกนี้คงเป็นเพื่อนที่ได้รับเชิญมาปาร์ตี้ของจินยองเหมือนกันและหนึ่งในนั้นก็มองผมไม่วางตา
ผมสบตาเขาแล้วยิ้มที่มุมปากนิดๆ ที่เหลือก็แค่รอให้เขาเดินมาหา
และด้วยสัญชาตญาณก็ทำให้ผมมั่นใจว่าอีกเดี๋ยวเขาก็ต้องมา ผมยกเตกีล่าขึ้นซดอีกช็อตด้วยท่าทีสบายๆ
ทั้งที่จริงๆแล้วมันทำให้คอร้อนเป็นไฟและเริ่มรู้สึกตัวลอยๆยังไงไม่รู้
“ให้ผมเลี้ยงอีกช็อตได้ไหมครับ”
นั่นไง บอกแล้วว่าเขาต้องมา ผมก้มหน้ามองแก้วช็อตเปล่าที่เคยใส่เตกีล่าอยู่ด้วยท่าทีแสร้งทำเป็นลังเล
ก่อนจะยิ้มแบบมีเลศนัยให้ดูน่าค้นหา
“ว่าไงครับ อีกสักช็อต”
“ไม่ปฎิเส...เหวอ” ไม่ทันจบประโยค ผมรับรู้ได้ถึงแรงดึงจากข้อมือข้างที่ถือแก้วช็อตอยู่
เจ้าของแรงก็ไม่ใช่ใครที่ไหนถ้าไม่ใช่ผู้ชายหน้าตายที่ใช้ให้ผมไปหาคู่เดท
“โทษทีว่ะ คริส แจ็คสันไม่ว่าง” จินยองเอ่ยเสียงเย็น
และใบหน้าก็นิ่งสนิทเดาอารมณ์ไม่ถูกเลย
และเป็นอีกครั้งที่ผมอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าเขาก็ ‘หึง’ ผมเหมือนกัน
“ว่างครับ” ผมเหลือบมองหน้าจินยองด้วยแววตานึกสนุกก่อนจะส่งยิ้มให้ผู้ชายที่ชื่อคริสอีกครั้ง
“อีกสักช็อตก็ดีครับ...คริส”
คริสยิ้มยิงฟันให้ผม ผู้ชายคนนี้หล่อเอาการเลยแฮะ
จะว่าไปมันก็คงไม่เลวร้ายเท่าไรหรอกใช่ไหมถ้าฉันจะลองเดทกับผู้ชายดูสักครั้ง
หากแต่มีบางอย่างชะงักความคิดนั้นเอาไว้ อาจจะเป็นเพราะมือของใครบางคนที่กุมข้อมือของผมแน่นเกินจำเป็น
ผมต้องก้าวต่อไป จะปล่อยให้ผู้ชายที่กำลังจะแต่งงานมามีอิทธิพลกับผมอีกไม่ได้
ผมสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของจินยอง แล้วเดินนำคริสไปยังเคาเตอร์บาร์โดยไม่มองกลับไปอีก
แอบสูดหายใจรับเอากลิ่นควันบุหรี่และน้ำหอมผสมกลิ่นเหล้าอ่อนๆเข้าปอดเพื่อสร้างความมั่นใจ
จำไม่ได้ว่าดื่มไปเท่าไร เพราะแก้วช็อตถูกเก็บไปเรื่อยๆจนผมไม่ทันได้นับ
รู้แต่ว่าตัวมันเหมือนลอยได้ ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าเท้ายังติดพื้นอยู่รึเปล่า
แตกต่างกับหัวที่หนักอึ้งเหมือนมีคนเอาหินมาถ่วงเอาไว้ให้ล้มลงไปกองตลอดเวลา
“
ขอตัวก่อนนะครับ” ผมกระซิบข้างหูคริสด้วยน้ำเสียงที่สุภาพและปกติที่สุด
คริสมองหน้าผมด้วยสายตาเป็นกังวลก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
“คุณอยากกลับแล้วเหรอครับ ให้ผมไปส่งไหม” เขาถามกลับ
ผมยิ้มรับอ่อนๆ ผมเองก็ไม่อยากเสียเวลาไปยืนโบกแท็กซี่ด้วยสภาพแบบนี้หรอก แต่ก็ไม่อยากนั่งรถไปกับคนที่เพิ่งรู้จักเหมือนกัน
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวฉันให้มาร์คไปส่งก็ได้ ขอตัวนะครับ”
“เราจะได้เจอกันอีกใช่ไหม” คริสเอ่ยด้วยน้ำเสียงลังเล
ผมพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วยื่นนามบัตรให้เขา คริสรับไว้ด้วยรอยยิ้มเช่นกัน แต่ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรต่อผมก็ชิ่งออกมาซะก่อน
ผมกวาดตาหามาร์ค เพื่อยืมรถหมอนั่นขับกลับคอนโด แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่อยู่เสียแล้ว
จึงได้แค่ถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจออกไปโบกแท็กซี่เอาดีกว่า
“ ไง นึกว่าจะอ้อนให้ไอ้คริสไปส่งสำเร็จซะอีก” เสียงกระซิบเย็นๆข้างหูดังฝ่าเสียงดนตรีบีทหนักๆที่ดังอยู่รอบตัว
ลมหายใจร้อนๆกับกลิ่นเหล้าทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเดาก็รู้ว่าจินยองกำลังโกรธ
“
กูแค่หาคู่ไปงานแต่งงาน” ผมหันไปกระซิบกลับ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากคลับ
จินยองนิ่งอยู่ตรงนั้นจนผมคิดว่ามันคงไม่เดินตามออกมาแล้ว
อาจจะตกใจกับรสนิยมทางเพศที่เปลี่ยนไปของผมมั้ง
“ แจ็คสัน!”
แต่เมื่อผมเดินออกมานอกคลับ
ผมก็ได้ยินเสียงเรียกไล่หลังและเสียงฝีเท้าที่วิ่งตามออกมา
“ให้กูไปส่งนะ” จินยองเอ่ยเบาๆด้วยท่าทีประหม่า
ผมควรปฏิเสธ แต่ผมไม่อยากทำ...
“กำลังรอให้มึงพูดคำนี้เลย..”
ขออีกนิดเดียว แค่นิดเดียวเท่านั้นก่อนผมจะไปจากจินยอง..
ไม่สิ... ก่อนจินยองจะไปจากผมต่างหาก
\
Writer's talk
เราแอบเอาฟิคเก่ามารีไซเคิล รู้สึกผิดแต่อยากเอาเรื่องนี้มาเขียนดราม่าบ้าง เพราะอันเก่าไม่วายแถมจบซะดีเชียว แลยเอามาเขียนใหม่ให้เป็นอีกอารมณ์ ชอบไม่ชอบยังไก็บอกน้า อยากได้ฟิคแนวไหนมาทวงได้ตลอดจ้า ถ้าว่างก้จะมาลงให้เด้อ
ความคิดเห็น