ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คลัง Short fic #JJP #Jinson

    ลำดับตอนที่ #1 : Summer Love :: Harry styles ::love long distance

    • อัปเดตล่าสุด 9 ต.ค. 56


    Summer Love

     

    Can't believe you're packing your bags trying so hard not to cry.
    Had the best time and now it's the worst time but we have to say goodbye.

     

    ฉันก้มลงจ้องกลอนในสมุดตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย กลอนที่ฉันเขียนเอาไว้หลังจากใครคนหนึ่งกลับไปที่ของเขา

    ฉันไปแล้วนะ อย่าอู้ให้มากล่ะ เดี๋ยวลุงเบนไล่เธอออกซะก่อน”

    “อื้อ”

    “เจอกันซัมเมอร์หน้านะ”

    “อื้อ”

    “อย่าหนีไปไหนล่ะ ถ้าซัมเมอร์หน้าเธอไม่อยู่ที่ร้านเบเกอรี่ของลุงเบนล่ะก็ ฉันจะตามไปทำโทษถึงที่เลย”

    “อื้อ”

    ฉันได้แต่ตกปากรับคำผู้ชายคนนั้นโดยไม่ได้มองหน้าเขา ไม่ใช่ว่าโกรธ ไม่ใช่น้อยใจ แต่มันรู้สึกใจหายที่จู่ๆไอ้ผู้ชายหัวหยิกตรงหน้าจะกลับไปอังกฤษบ้านเขา และจะไม่ได้เจอกันตั้งเป็นปีๆ

    แฮรี่ สไตล์ เป็นหลานชายของ ลุงเบน เจ้าของร้านเบเกอรี่ใจดีวัยกลางคนที่รับฉันมาเป็นลูกมือทำขนมตั้งแต่ยังเด็กๆ ตอนนั้นลุงเบนป่วยเขาเลยขอให้แฮรี่ที่กำลังปิดเทอมภาคฤดูร้อนบินมาช่วยงานที่ร้านเบเกอรี่ที่ไทย ฉันยังจำได้ดี ครั้งแรกที่เราเจอกัน

    รอยยิ้มน่ารักนั่น

    คำพูดที่มักจะทำให้คนฟังยิ้มตามแม้จะไม่ได้ร่วมบทสนทนา

    ดวงตาสีสวยที่ทำให้รู้สึกดีทุกครั้งที่มอง...

    แค่ระยะเวลาสั้นๆเพียงสามเดือนของปิดเทอมภาคฤดูร้อนที่แสนสดใส กลับทำให้ฉันอยากยื้อเวลาออกไปให้นานที่สุด ได้เจอเขาทุกวัน ได้พูดคุยทำความรู้จักเขาแบบนั้น

    ฉันยังจำความรู้สึกตอนที่เขาก้าวเข้าไปในห้องพักผู้โดยสารได้ดี...

    หดหู่ และอึดอัดเหมือนโดนบีบรัดที่หัวใจแน่นๆ

    เกือบปีแล้วที่ฉันยังรอเขาอยู่ที่ร้านเบเกอรี่ ความรู้สึกมันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆเมื่อซัมเมอร์มาถึง อากาศร้อนแต่สดใส แสงแดดที่ส่องสว่างไปทั่วทุกที่ ลมอบอุ่นที่พัดผ่านไปทั่วทำให้ทุกหนแห่งดูสดใสและเต็มไปด้วยความสนุก เหมือนรอยยิ้มของเขา แต่ป่านนี้แล้วเจ้าของรอยยิ้มนั้นก็ยังไม่มา

    บางที เขาอาจลืมฉันไปแล้ว...

    “สมุดเล่มนั้นมันน่าสนใจอะไรขนาดนั้นน่ะ จ้องอยู่ได้ตั้งนาน”

    หือ เสียงนี้มัน...

    “ฮ..แฮรี่!!!

    รอยยิ้มที่ฉันจำได้แม่นยำแม้จะผ่านไปเกือบปีถูกส่งมาให้ฉันอย่างอบอุ่น แค่รอยยิ้มเท่านั้น แต่ร่างกายฉันมันแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ รู้สึกได้ถึงเลือดที่วิ่งขึ้นลงตั้งแต่หัวจรดเท้า หัวใจเต้นโครมครามเหมือนเพิ่งนั่งรถไฟเหาะมาร้อยรอบ  มือไม้ดูเกะกะ เพราะไม่รู้จะพาไปไว้ตรงไหน แต่ที่รู้แน่ๆคือ

    เขาอยู่ตรงนี้กับฉัน...อีกครั้ง

     

     

                “นึกว่าจะหนีไปแล้วซะอีก”

                “ไม่หนีหรอก ไม่อยากโดนทำโทษ”

                ฉันเงยหน้าตอบนิดหน่อยแล้วก้มลงมองเท้าตัวเองที่ก้าวไปช้าๆคู่ไปกับอีกคน ในมือกำถุงกระดาษที่บรรจุขนมร้อนๆสำหรับไปส่งให้ลูกค้าไว้แน่น ฉันจับจังหวะการเดินและพยายามก้าวไปให้พร้อมกันกับเขา ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา...

                นี่ฉันทำอะไรเนี่ย ปัญญาอ่อนชะมัด

                “ทำไมล่ะ นี่อุตส่าห์คิดบทลงโทษไว้อย่างดีเลยนะ น่าเสียดายชะมัด”

                ฉันมองเสี้ยวหน้าของคนที่ทำท่าเสียดายเป็นจริงเป็นจัง โถ่เอ๋ย ก็ถ้าอยากทำโทษนักก็บอกกันสิ ฉันจะได้แอบลางานซักสองสามวัน ดีกว่าให้คนตรงหน้าทำท่าผิดหวังจะเป็นจะตายแบบนี้น่ะ

                “แถวนี้เปลี่ยนไปเยอะเนอะ” เขาว่า

                “ก็ตั้งปีนึงนี่นา มีอะไรไม่เปลี่ยนบ้างล่ะ”

                “เธอไง...”

                เสียงแผ่วเบาที่ดังขึ้นพร้อมฝีเท้าที่หยุดเดิน ไม่เปลี่ยนเหรอ ไม่จริงหรอกอย่างน้อยก็ความรู้สึกที่ฉันมีนี่แหละที่เปลี่ยนแน่ๆ

                “น่ารัก...เหมือนเดิม”

                อะ..อะไรนะ

                งื้อ พูดอะไรออกมาน่ะแฮรี่ สไตล์ จะฆ่ากันรึไง

                “ทำไมหน้าแดงอย่างนั้นน่ะ ร้อนเหรอ?

                นี่นายไม่รู้จริงๆเหรอเนี่ย ฉันลูบแก้มตัวเองแรงๆแล้วออกเดินนำคนที่เพิ่งวางระเบิดใส่ฉันแล้วยังมีหน้ามาปั้นท่าไร้เดียงสาใส่อีก

                น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก...กรี๊ดดดดด

                ไม่ว่าเขาจะจริงจังกับคำพูดที่เอ่ยออกไปหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆมันทำให้ฉันอยากเอาหัวกระแทกขอบฟุตบาทแรงๆซักร้อยที จะได้เอาไอ้เสียงที่วนเวียนในหัวออกไปซะให้หมด

                “นี่ รอด้วยดิ จะรีบไปไหนน่ะเดี๋ยวก็สะดุดหัวทิ่มหรอก”

                “ไม่ พี่แฮซกลับไปเลย เดี๋ยวฉันไปส่งขนมเอง”

                “ได้ไงล่ะ” เขาวิ่งตีคู่มาอยู่ข้างฉันแล้วคว้ามือฉันเอาไว้  ฉันมองหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของแฮรี่อย่างไม่เข้าใจ

    “ก็ถ้ามาที่นี่แล้วเธอยังต้องเดินไปส่งขนมคนเดียว ฉันไม่มาให้เสียเวลาหรอก”

                ...

                ...

                โอเค ใครก็ได้เอาไม้หน้าสามฟาดฉันให้เป็นลมที ดีกว่าให้ผู้ชายคนนี้ปาระเบิดความฟินใส่หน้าฉันชนิดไม่มีเบรกอย่างนี้น่ะ!!!

     

     

     

     

    Cause you were mine for the summer now we know it's nearly over.
    Feels like snow in September but I always will remember.

                โอย ปวดหัวชะมัดเลย...

                “ไง ยัยหนู ถ้าไม่ไหวก็ไปพักซะนะ คนอื่นก็มีตั้งเยอะแยะไม่ต้องทำเองหรอก”ลุงเบนว่าพลางยกขนมออกจากเตาอบ ฉันยิ้มแหยให้ลุงเบน แต่ก็ยังกัดฟันกวนแป้งทำเค้กต่อ

                ไม่เอาหรอก แฮรี่อาจกำลังมาก็ได้

                ใช่แล้ว ฉันจะไม่เสียเวลารอหนึ่งปีฟรีๆ เพื่อกลับไปนอนซมที่บ้านหรอกนะ ซัมเมอร์นี้เขาจะต้องมาแน่ๆ และฉันจะรอเขาอยู่ที่นี่ เหมือนซัมเมอร์ที่ผ่านมา

                เอาล่ะ สูดหายใจลึกๆ...

    พรึบ!!!

                เฮ้ย ทำไมโลกมันมืดอย่างนี้เนี่ย!!!

               

     

     

                “ทำไมถึงฝืนตัวเองขนาดนี้นะ...”

                เสียงที่คุ้นเคยปลุกฉันจากภวังค์ นี่ฉันฝันถึงเขาอีกแล้วเหรอ อาการหนักแล้วนะเนี่ยฉัน

                เฮ้ย แต่ฉันกำลังกวนแป้งอยู่นี่นา แล้วทำไม...

                “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ เด็กดื้อ ตื่นก็ดีจะได้กินยา แล้วก็รับบทลงโทษซะดีๆ”

                เขามาแล้ว...

                “แน่ะ ยังจะจ้องหน้าอีก ทั้งดื้อทั้งซนแถมยังไม่เชื่อฟังอีก อย่างนี่ต้องโดนทำโทษหนักๆนะเนี่ย”

                “มาตั้งแต่เมื่อไร?

                “มาทันเห็นคนบางคนกำลังจะเอาหัวตัวเองไปจุ่มถาดแป้งนั่นแหละ”

                เอาอีกแล้ว ความรู้สึกแบบที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่เห็นหน้าเขา ฉันอยากกระโดดกอดเขาให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้จะไม่รู้ว่าทำไปในสถานะอะไรก็ตาม

                แค่...อยากกอดด้วยความคิดถึงเท่านั้น

                แฮรี่ส่งยามาให้ฉันพร้อมแก้วน้ำที่เขาถือเอาไว้ด้วยมืออีกข้าง ฉันได้แต่มองจ้องยาเม็ดเบ้อเริ่มสลับกับหน้าของเขา

                “ไม่ชอบกินยาเหรอ?

                “นั่นไม่ใช่ยาซักหน่อย ลูกระเบิดชัดๆ”

                แฮรี่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังๆ นี่ฉันพูดผิดตรงไหนล่ะ เม็ดใหญ่ขนาดนั้นน่ะ กินได้เป็นสิบคนเลยมั้ง แถมรสชาติยังขมปี๋ กินทีไรเป็นต้องอ้วกทุกทีสิน่า

                เขาวางแก้วน้ำและยาเม็ดนั้นลงที่โต๊ะตรงหัวเตียง แล้วใช้มือดึงฉันจากกองผ้าห่มแล้วจัดให้อยู่ในท่านั่งโดยมีหมอนดันหลังไว้หลายลูก

                ฉันมองใบหน้าที่ยื่นมาใกล้ฉันชนิดต้องกลั้นหายใจ ให้ตายสิ ฉันเขินนะอีตาบ้า

                “จะกินดีๆหรือจะให้ป้อน”

                “กินแบบไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่เอาหรอก ขม!!!

                “ไม่ขมหรอกเพราะไม่ได้ป้อนกับมือ ป้อนกับปากต่างหาก...”

                หา!!!!

                “ไง ฉันยินดีทำนะ ถือว่าลงโทษไง”

                “ไม่ๆๆ กินเองก็ได้”

                ฉันเอ่ยออกไปโดยไม่ทันคิด โอ้ย ผิดวิสัยอย่างแรง มีอย่างที่ไหนปฏิเสธจูบจากคนที่ชอบแบบนี้น่ะ หึ่ย มันน่าเอาหัวโขกเตียงให้ตายไปตรงนี้ซะดีไหมเนี่ย

                ฉันฝืนหยิบยาแล้วจ้องมันประหนึ่งจะให้มันสลายกลายเป็นผุยผงซะตรงนั้น ฉันเหลือบมองสายตาลุ้นๆของแฮรี่แล้วถอนหายใจ

                เอาวะ!!!

                ความขมของเม็ดยาแล่นผ่านลิ้นเข้าไปอย่างรวดเร็วจนรู้สึกคลื่นไส้ ฉันดื่มน้ำตามเข้าไปจนหมดแก้ว แต่ไอ้เม็ดยาเจ้ากรรมมันดันยังติดอยู่ที่ลิ้นจนกลืนไม่ได้

                ไม่ไหวแล้ว อุ๊บส์

                สัมผัสนุ่มๆและอุ่น ถูกประทับลงบนริมฝีปากของฉันอย่างรวดเร็วก่อนที่ยาจะถูกบ้วนออกมา ลิ้นอุ่นๆตวัดเข้ามาในปากดันเม็ดยาให้ลงไปในคอพร้อมกับน้ำที่ยังเหลืออยู่ เม็ดยาลงไปแล้ว เช่นเดียวกับความขมที่ค่อยๆจางลง แต่ริมฝีปากของคนตรงหน้ายังคงจูบฉันเหมือนกำลังควานหาอะไรซักอย่าง

                จูบอบอุ่นเหมือนท้องฟ้าฤดูร้อน เหมือนมีคนมาจุดพลุในหัวของฉัน เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นตรึงฉันไว้ให้รับสัมผัสจากริมฝีปากเขาอย่างไม่ขัดขืน

                เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนและฉันก็ไม่อยากให้มันหมุนไปอีก

                เนิ่นนานเท่าไรไม่รู้ ที่แฮรี่ค่อยๆถอนริมฝีปากออก ฉันรู้สึกเสียดายนะ แต่ก็ได้แต่ลืมตามองเขานิ่งอย่างไม่เข้าใจ

                “เอ่อ โทษที แค่อยากช่วยน่ะ”

                เป็นวิธีช่วยที่พิสดารมาก แถมเกรียนมากด้วย!!!

                “เอ่อ ไม่เป็นไร” แค่โดนผู้ชายที่แอบชอบจูบเท่านั้นเอ๊ง

                “พ...พักผ่อนซะนะ เดี๋ยวจะมาเยี่ยม” เขาพูดแค่นั้นแล้วก้าวเดินออกจากห้องไปอย่างเร่งรีบ ทำไมล่ะ จูบฉันมันแย่ขนาดต้องรีบชิ่งเลยรึไง

                คนอุตส่าห์รอมาตั้งนานนะ ทิ้งกันแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน...

     

                “อ้าปากสิ อ้าม เก่งมาก อ่ะๆ นี่น้ำ อื้ม ว่านอนสอนง่ายดีจริงๆ”

                เสียงเจื้อยแจ้วของแฮรี่ดังประกอบการป้อนอาหารฉันอย่างกับกำลังป้อนข้าวเด็กอนุบาล ฉันพยายามปั้นหน้างอให้ดูเข้ากับบรรยากาศเด็กถูกบังคับให้กินข้าว แต่มันเป็นต้องเผลอยิ้มตอนแฮรี่พูดจาน่ารักๆแบบนี้ทุกทีสิน่า

                ทำไมถึงได้ชอบทำให้หวั่นไหวอยู่เรื่อยเลยนะ

                ดวงตาสดใสนั่น ลักยิ้มน่ารักนั่น น้ำเสียงที่ฉันรอฟังมันมาเกือบปี

                และมันคุ้มค่าเสมอที่จะรอ...

                “เอาล่ะ ทีนี้ก็ยาลดไข้กลิ่นสตรอเบอรี่ สำหรับเด็กนิสัยไม่ดี ไม่ชอบกินยา...”

                ฉันจ้องช้อนยาที่บรรจุเต็มไปด้วยของเหลวสีชมพูข้น ทำไมไม่ให้กินยาเม็ดล่ะ เราจะได้จูบกันอีกไง นายจะได้ช่วยฉันอีกไง

                “อ้าว ยาน้ำก็ไม่ชอบเหรอ”

                ฉันถอนหายใจแล้วก้มลงกินยาที่ถือค้างไว้อยู่นานจนหมดโดยไม่งอแง เขายิ้มให้ฉันแล้ววางช้อนยาไว้บนโต๊ะข้างๆ

                “ทีนี้ก็นอนหลับซะ”

                “ไม่เอาไม่นอน ไม่ง่วง”

                “ต้องนอนสิ คนป่วยต้องพักผ่อน...”

                “แต่ฉันเพิ่งตื่นเองนะ น่านะ พี่แฮซไม่ต้องเฝ้าหรอก ยังไงนี่มันบ้านฉัน เปิดทีวีให้ก็พอแล้ว”

                แฮรี่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปเปิดทีวีแล้วถือรีโมตเดินตรงมาที่ฉัน แต่แทนที่จะยื่นรีโมตมาให้ฉัน กลับกลายเป็นว่าเขากลับเลิกผ้าห่มแล้วแทรกตัวนอนข้างๆฉันแทน!!!

                ฟดาก่เกดทดเอทกดเ!!!!!!

                “ท...ทำไรเนี่ย!!!

                “เธอไม่ง่วง แต่ฉันง่วง เอาล่ะ อยากดูทีวีไม่ใช่เหรอดูเลยเดี๋ยวนอนดูเป็นเพื่อน อ่ะ รีโมต”

                อื้อหือ ใครมันจะไปดูรู้เรื่องเล่า เล่นมานอนเบียดกันอย่างนี้แค่หายใจยังลำบากเลย ฮ่วย

                แฮรี่มองหน้าฉันประมาณว่า ดูทีวีดิ และรอยยิ้มนั่นทำให้ฉันต้องทำทีเป็นสนรายการการ์ตูนสกูปี้ดูที่เปิดค้างไว้อย่างจำใจ

                แม้สายตาจะจ้องตรงไปที่ทีวีแต่สมองฉันกลับมัวแต่วิเคราะห์ที่นอนซุกผ้าห่มเบียดกับฉันอยู่อย่างเผลอตัว

                เขามองฉันอยู่รึเปล่า?

                โอย ผมก็ไม่ได้หวี ทำไมต้องมาเจอฉันในสภาพยัยเพิ้งด้วยนะ

                เขาจะรู้รึเปล่าว่าฉันใจเต้นขนาดไหนน่ะ?

                ถ้าฉันหายใจเข้าแรงไปเขาจะหาว่าไม่เกรงใจไหมนะ?

                แล้วนี่ถ้าฉันหายใจออกแรงเกินไปเขาจะรำคาญไหมเนี่ย?

    จนในที่สุดก็อดรนทนไม่ได้หันไปมองแฮรี่จนได้...

                เขานอนกอดอกดูสกูบี้ดูอย่างสบายใจเฉิบ ฉันล่ะอยากเอาผ้าห่มมารัดคอตัวเองให้ตายไปจากโลกนี้ซะเดี๋ยวนี้เลยจริงๆ เขาดูไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าฉันไม่กล้าแม้แต่จะหายใจน่ะ

                ดูยิ้มเข้าสิ นี่ถ้าฉันเผลอบอกรักเขาไปจะว่ายังไง...

                ไม่เป็นไร ถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจริงๆฉันจะเอารีโมตในมือทุบหัวตัวเองแล้วแกล้งความจำเสื่อมซะ ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรซะอีก

                “จ้องขนาดนั้น ไม่ก้มลงมาจูบกันเลยล่ะ”

                “ได้เหรอ เฮ้ย ไม่ใช่ จ..จ้องอะไร อย่ามามั่วนะ”

                “เอ้า ก็เห็นอยู่ว่าจ้องหน้าเนี่ย ทำไม หล่อละสิ หอมแก้มได้นะไม่คิดตังค์หรอก”

                พูดไม่พูดเปล่า ยังทำท่าแก้มป่องยื่นแก้มมาใกล้ๆหน้าฉันอีก...

                ...

                อย่านะ

                อย่าเชียวนะ

                จุ๊บ...

                อ้ากกกกกก นี่ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย!!!!

                ไหนรีโมตบ้านั่นอยู่ไหน ฉันจะเอามันมาทุบหัวตัวเอง มันอยู่หนายยยยยยยยยย

                โอ้ย ไอ้คนตรงหน้าก็พูดอะไรมั่งสิ นิ่งเงียบอย่างนี้หมายความว่าไงเล่า อย่าให้ฉันเดาสิ

                ....

                ....

                ...

                “ง่วงรึยัง?

                หา?

                “นอนหลับซะ เดี๋ยวตอนเย็นจะพาไปวิ่งเล่น” เขาพูดแค่นั้น แต่นั้นจริงๆ มันดูผิดคาดอย่างรุนแรง แต่มันก็ดีกว่าถูกเมินใส่ล่ะนะ

                “ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะที่ต้องพาไปวิ่งเล่นน่ะ”ฉันเอ่ยเสียงเบาแต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นโสตประสาทของแฮรี่ไปได้

                “ใช่สิ ชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงอยู่เรื่อย ดื้อก็ดื้อ แถมยังทำตัวประหลาดๆอีก”

                ที่ทำไปเพราะใครกันเล่า เอาหน้าออกไปห่างๆนะ หายใจไม่ออกแล้วเนี่ย

    “หน้าแดงน่ะ ยัยเด็กติ๊งต๊อง”

                เออ รู้แล้ว!!!!

     

     

                “อย่ามองหน้ากันแบบนั้นสิ”

                “แบบไหน”

                “ก็แบบที่ทำให้ต้องกลับมาทุกซัมเมอร์ไง”

                “ก็กลับมาสิ...”

                “กลับมาอยู่แล้ว...”

                ฉันมองแฮรี่ที่กระชับเป้บนบ่าแล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงควานหาอะไรซักอย่าง มันเป็นแผ่นกระดาษพับทับกันไปมาหลายครั้ง แฮรี่ยื่นมันมาให้ฉัน

                “นี่ เบอร์โทร”

                “อือ จะโทรไป สัญญา”

                “ไม่ต้องสัญญา แค่อย่าลืมก็พอ”

                ฉันจ้องหน้าเขานิ่งด้วยความรู้สึกมากมายที่ฉันอยากบอก แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ฉันยังไม่พร้อมจะพูดออกไป เพราะมันอาจทำให้เขาไม่กลับมาอีก

                เสียงประกาศเตือนรอบสุดท้ายดังขึ้น เขาต้องไปแล้ว...

                แฮรี่ดึงฉันเข้าสู่อ้อมกอดโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว ฉันกอดเขาแน่น แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะคลายออกแล้ววิ่งออกมาโดยไม่หันกลับไปมองเขา

                เจอกันซัมเมอร์หน้านะ แฮรี่

     

     

     

     

    Wish that we could be alone now if we could find some place to hide.
    Make the last time just like the first time push a button and rewind
    .

                สามปีแล้ว ไม่สิ ถ้ารวมครั้งแรกที่เราเจอกัน นี่คือปีที่สี่ ที่เรารู้จักกัน...

                แต่เป็นแค่เก้าเดือนที่เคยใช้เวลาร่วมกัน...

                เขากำลังมา แฮรี่กำลังมาที่นี่แล้ว

                กรุ้งกริ้ง~~~~~

                เสียงกระดิ่งที่ติดอยู่ตรงประตูสั่นเพราะแรงเปิด ฉันหันไปที่ประตูด้วยใจลุ้นระทึก และภาพตรงหน้าก็ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อนับพันบินวนอยู่ในท้อง

                “ไง”

                “ไง”

                เราพูดเพียงแค่นั้น ก่อนที่ฉันจะโผเข้าสู่อ้อมแขนที่อ้ารับอย่างไม่ลังเล เขากระชับอ้อมกอดแน่น แต่ฉันกลับไม่รู้สึกอึดอัดเลยซักนิด กลับกันฉันกลับรู้สึกสบายและอบอุ่นจนไม่อยากผละออกไป

                “ขอบคุณนะที่รอ”

                เสียงกระซิบที่ข้างหูดังแผ่วเบา แค่สั้นๆแค่นั้น ฉันก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว แค่เขากลับมา แค่สามเดือนสั้นๆของทุกปี แค่ทุกซัมเมอร์ในชีวิตของฉัน เขาจะอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าจะในสถานะไหนก็ตาม

                “หิวรึเปล่า?

                “หิวสิ กินอะไรไม่ลงเลยรู้ไหม เป็นเพราะเธอแท้ๆเลย” แฮรี่แบะปากเหมือนเด็กกำลังงอน จนฉันเผลอบีบจมูกของเขาอย่างหมั่นเขี้ยวเบาๆ เขาทำทีเป็นแกล้งเจ็บแล้วหัวเราะออกมาพร้อมกับฉัน

                “พี่แฮซไม่กินเองนี่นา...”

                เสียงเจื้อยแจ้วดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เรื่องราวต่างๆถูกเล่าสู่กันฟังอย่างไม่รู้จบ พยายามตักตวงทุกวินาทีที่ฉันจะได้ใช้ก่อนเวลานั้นจะจบลง...อีกครั้ง

     

     

     

                “ชอบลอนดอนรึเปล่า?

                เสียงของคนที่ฉันคิดว่าหลับไปแล้วทำให้ฉันต้องละสายตาจากหนังสือ หันไปมองอีกคนที่นอนปิดตาอยู่อีกฟากของผ้าปูสำหรับรองนั่งปิกนิก เขานอนรอฟังคำตอบนิ่งๆทำให้ฉันตอบไปอย่างไม่ได้สงสัยว่าเขาอยากรู้ไปทำไม

                “ชอบสิ จริงๆฉันกะว่าพอจบจากไฮสคูลจะไปเรียนต่อด้านการเขียนที่มหาลัยในลอนดอนแหละ”

    และฉันก็จะได้อยู่ใกล้นายด้วย

                “มหาลัยไหนอ่ะ”

                “ไม่รู้สิ มหาลัยABC(ชื่อสมมุติ)มั้ง”

                ไม่มีเสียงตอบจากผู้ชายที่ฉันแอบรักมาตลอดสี่ปี เขายังคงนอนนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น

                เงียบเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น

                ทำไมมันทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆนะ

                “มีอะไรรึเปล่า” เขาส่ายหน้าโดยไม่ได้ลืมตา สีหน้านิ่งปราศจากรอยยิ้มนั่นทำให้ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเลยจริงๆ แฮรี่ไม่ใช่พวกนิ่งเงียบ เขาออกจะพูดเก่งด้วยซ้ำ

                “อีกไม่กี่วันพี่แฮซก็จะกลับแล้วสินะ”

                “...”

                “อีกตั้งนานแน่ะกว่าจะมาที่นี่อีก”

                และฉันควรบอกความรู้สึกของฉันให้เขารู้...

                ไม่ได้หรอก ไม่ใช่ตอนนี้

                “จริงๆแล้วฉันคงจะไม่กลับมาที่นี่แล้วล่ะ”

                ....

                ...

                อ..อะไรนะ

                ฉันไม่ได้ยิน ไม่อยากได้ยิน และไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนั้นจากเขาด้วย

                ไม่กลับมาแล้วงั้นเหรอ

                “ฮึก...” เสียงสะอื้นจากไหน

                “เธอร้องไห้เหรอ”

                “ฮึก ฮึก ฮือ”

                แฮรี่ลุกขึ้นทันทีแล้วหันกลับมามองฉันที่ยังคงนอนอยู่ที่เดิม ในสนามหญ้า ใต้ร่มต้นไม้ที่มีลมอุ่นของฤดูร้อนพัดไปมา กระทบกับใบหน้าจนรู้สึกเย็นวาบที่หางตา

                ฉันร้องให้...

                ฉันปิดหน้าเอาไว้ ไม่อยากให้เขาเห็นว่าฉันอ่อนแอแค่ไหน

                ฉันลืมไปได้ยังไงว่าซักวันหนึ่งมันจะต้องเกิดเหตุการณ์นี้ และมันอาจจะเป็นวันนี้

                ฉันคิดไปได้ยังไงว่าเขาจะทนมาหาฉันได้ทุกซัมเมอร์ แทนที่จะได้อยู่ใช้ชีวิตแสนสนุกอยู่ที่บ้านของเขา

                ฉันคิดไปได้ยังไงว่าเขาเองก็คิดแบบเดียวกันกับฉัน

                เขาจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว ไม่มีวันเวลาแบบนี้อีกแล้ว

    เขากำลังจะหายไปทั้งๆที่ฉันยังไม่ทันได้บอกเขาเลย ว่าฉันรู้สึกยังไง

    และบอกไปตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วเหมือนกัน...

     

     

    ฉันลางานมาสามวันแล้ว...

    และวันนี้แฮรี่ก็ต้องไปแล้วเหมือนกัน

    ฉันจ้องไปยังสมุดเล่มเดิม เล่มที่ฉันใช้บันทึกเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมาของฉันกับเขา กลอนสั้นๆที่บรรยายความรู้สึกของแต่ละซัมเมอร์ที่ผ่านมาไว้อย่างครบถ้วน และคอยย้ำเตือนฉันเสมอว่าเขาจะกลับมา

    และเขาสมควรได้รู้

    ฉันคว้าสมุดแล้วออกตัววิ่งตรงไปยังร้านเบเกอรี่ ขอให้ทันเถอะ แค่อยากให้เขาได้อ่านมันเท่านั้น ไม่ต้องตอบรับอะไรทั้งนั้น แค่รับรู้ว่าฉันรู้สึกยังไง

    “เดี๋ยว..อย่าเพิ่งไป”

    ร่างสูงของแฮรี่ชะงักเท้าที่กำลังก้าวขึ้นรถ แล้วหันมามองฉันที่กำลังก้มลงหอบอย่างหายใจไม่ทัน เขาวิ่งกลับมาตรงหน้าฉันแล้วยิ้ม ยิ้มที่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไม

    “นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว”

    “แค่เอาของมาให้เฉยๆ”

    เขาก้มลงมองสมุดปกหนังเล่มนั้นด้วยสายตาสงสัย

    อย่าถามอะไรนะ ได้โปรด ฉันไม่อยากเจ็บมากไปกว่านี้ แค่เห็นนายกำลังจะเดินไปขึ้นรถ แค่รู้ว่านายจะไม่กลับมาที่นี่อีก ฉันก็รู้สึกเหมือนมีใบมีดนับหมื่นมาเสียบเข้ากลางอก เหมือนมีคนเอาหนังยางเส้นใหญ่ๆมารัดหัวใจเอาไว้ให้แน่นขึ้น แน่นขึ้น จนแม้แต่หายใจก็ยังรู้สึกเจ็บไปหมด ถ้านายเอ่ยปากพูดอะไรอีกนิดฉันอาจรั้งนายไว้ ให้นายอยู่ที่นี่

    แม้มันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม

    “รับไว้สิ”

    ฉันถอยหลังช้าๆขณะที่เขาค่อยๆรับสมุดเล่มนั้นไป ฉันต้องไปแล้ว ต้องไปแล้วจริงๆ

    ไม่ทันที่จะหันหลังกลับ ฉันรู้สึกถึงแรงดึงที่ดึงฉันเอาไว้ที่ข้อมือ ก่อนจะดึงฉันเข้าสู่อ้อมกอดด้วยแรงเพียงน้อยนิด ทำไมกัน ทำไมเขาต้องทำอย่างนี้ด้วยนะ

    “ฉันจะรอ ไม่ว่านานแค่ไหนก็จะรอ”

    เสียงกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูจากผู้ชายที่ฉันหลงรักมาตลอดสี่ปี คำพูดนี้ควรเป็นของฉันไม่ใช่เหรอ มันเป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกมาตลอดไม่ใช่เหรอ เขาจะต้องรอฉันทำไม

    ฉันดิ้นสุดแรงจนเขายอมปล่อยแล้ววิ่งออกจากตรงนั้นโดยไม่หันกลับไปอีก

    ลาก่อน...

     

     

    ลอนดอนหน้าตาเป็นอย่างนี้นี่เอง

    น่าแปลกใจจริงๆที่ฉันยังตัดสินใจมาเรียนที่นี่ทั้งที่มันทำให้ฉันนึกถึงคนที่ใจร้ายและเห็นแก่ตัวที่สุด ผู้ชายที่หลอกให้ความหวังกันมาตลอดแล้วจู่ๆก็มาหายไป แถมยังมาพูดจาเพ้อเจ้ออีกต่างหาก และการมาอยู่ที่ลอนดอนทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกลับไปอยู่ในช่วงเวลานั้นอีกครั้ง

    แต่ไม่ใช่ฤดูร้อน เพราะฤดูร้อนผ่านไปแล้ว โดยไม่มีใครคนนั้นโผล่มากวนใจอีก...

    ฉันเดินไปรอบๆสวนของมหาลัยช้าๆ เสียงดนตรีแว่วมาจากวงดนตรีของพวกนักศึกษาที่มาเปิดเวทีเล่นกันตรงกลางสวน

    เสียงกีตาร์แผ่วเบากับความรู้สึกแห่งความทรงจำ

    Can't believe you're packing your bags
    Trying so hard not to cry
    Had the best time and now it's the worst time
    But we have to say goodbye

    เดี๋ยว!!! นี่มัน

    ฉันวิ่งไปยังเวทีทันทีที่เนื้อเพลงท่อนแรกถูกเอ่ยออกมา

    Don't promise that you're gonna write
    Don't promise that you'll call
    Just promise that you won't forget we had it all


    เสียงนี้ เสียงของเขา เพลงท่อนนี้มันไม่ใช่กลอนของฉัน แต่มันกลับทำให้ฉันนึกถึงคำพูดของเขาที่เคยเอ่ยเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว

    “ไม่ต้องสัญญา แค่อย่าลืมก็พอ”

    Don't say the word that's on your lips
    Don't look at me that way
     “อย่ามองหน้ากันแบบนั้นสิ”

     

    ความรู้สึกอุ่นๆที่ข้างแก้ม ไม่ได้เรียกความสนใจของฉันไปจากนักร้องบนเวทีได้เลย สายตาของฉันจ้องตรงไปที่เขา จ้องไปด้วยความรู้สึกหลากหลายโดยที่เขายังไม่สังเกตเห็น แต่เพียงไม่นานเขาก็เห็นฉัน

    เหมือนเด็กได้รับรางวัลเป็นตุ๊กตาตัวใหญ่ที่สุดในโลก

    เหมือนได้แหวกว่ายไปในอากาศ

    เหมือนแวนดี้กับปีเตอร์แพน

    เหมือนโลกทั้งโลกมีแค่ฉัน...กับเขา

    ตึกๆ ตึกๆ ตึกๆ

    และเหมือนหัวใจกลับมาเต้นอีกครั้ง

    “ฉันจะรอ ไม่ว่านานแค่ไหนก็จะรอ”

    เขารอฉันงั้นเหรอ ทำไมเขาถึงมั่นใจนักนะว่าฉันจะมาลอนดอน ถ้าฉันไม่ยอมมาละเขาจะไม่รอเก้อรึไง

    การรอใครนานๆมันเหนื่อย ฉันรู้ดี แต่มันคุ้มค่าเสมอที่จะรอเขา และคราวนี้เขารอฉัน

    ขอบคุณนะที่ยังรอ My Summer Love...

     

     

     

     

               

               

     

     

     

    Writer’s talk

                21 หน้า 4326 คำ...

    ....แต่จบด้วนมาก...

    ว่าแต่ใครสังเกตบ้างว่านางเอกชื่ออะไร?

    หาไม่เจออ่ะดิ

    นางเอกก็คุณไง......









    ขอบคุณTheme สวยๆ จาก slurpy


    Slerpy
    Theme
    ype="text/css">img:hover {border-top-left-radius: 30px;border-bottom-right-radius: 30px; .whateveryourpostdivis Img{border-top-left-radius: 30px;border- bottom-right-radius: 30px;}border-top-left-radius: 30px;border-bottom-right-radius: 30px;webkit-transition: 1s ease-in-out;moz-transition: 1s ease-in-out;ms-transition: 1s ease-in-out; -webkit-transition:0.7s; -moz-transition:0.7s; -o-transition:0.7s;}
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×