คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : (SF) ‘CHANGE’ - 2 - เคลือบแคลง
-2-
เคลือบแคลง
“มุก ตื่น มุกกกกกก” แรงเขย่าและเสียงเล็ก
ๆ ที่ดังอยู่ข้างหูช่างน่ารำคาญเหลือเกินในความคิดของคนที่กำลังมีความสุขกับการนอน
พลิกตัวหนีก็แล้ว เอาผ้าห่มมาคลุมโปงก็แล้วแต่ผู้ก่อกวนก็ยังคงไม่ละความพยายาม
“.. เราไม่ใช่..มุก. มัน..อยู่.อีกห้อง” เสียงอู้อี้ที่พึมพำกับหมอนใบใหญ่จนจับใจความไม่ได้
แต่หากคนฟังได้ยินเต็มประโยคก้อยคงไม่ได้นอนสบายบนเตียงอย่างตอนนี้แน่
“ไอ้ขี้เซา!! ตื่นได้แล้ว” เมื่ออีกคนจงใจตะโกนใส่หูก็ทำให้นอนต่อไม่ได้อีกต่อไป
“โอย...ตื่นแล้ว ๆ ปลุกอะไรแต่เช้าวะ”
คนขี้เซาจำต้องแงะตัวเองออกจากที่นอนด้วยความยากลำบาก ตวัดสายตามองอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคือง
ก่อนจะพบว่าบนเตียงไม่ได้มีเพียงตนและดาว แต่ยังมีอีกหนึ่งคนที่กำลังขย่มเตียงช่วย
‘พี่สาว’ อย่างเอาเป็นเอาตาย
เพื่อร่วมมือกันก่อกวนความสงบของเธอ
“เช้าอะไรวะมุก จะแปดโมงอยู่แล้วเนี่ย”
“มุกอะไรอีก”
หลังจากทวนชื่อที่ถูกเรียกสติก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง
ลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วเพ่งมองใบหน้าใสของอีกคนเพื่อเตือนตนเองให้รู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
และตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่
“ตื่น ๆ ...... มุกตื่นแล้ว” หนูน้อยปรบมือแปะ ๆ
ดีอกดีใจที่ตนเองทำงานสำเร็จ ก้อยอดมองอย่างค้อนเคืองไม่ได้ เห็นเมื่อวานมองดาวอย่างคนแปลกหน้า
แต่ไหงเช้านี้ถึงได้เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยไปเสียได้
“นี่นอนจนลืมชื่อตัวเองเลยเหรอ”
และเสียงบ่นพึมพำนั้นก็คงไม่พ้นหูคนฟังไปได้
“จะบ้าไง ใครจะลืมชื่อตัวเอง”
พูดพลางบิดปากหาวหวอดใหญ่
แสร้งบิดขี้เกียจเพื่อเลี่ยงหลบการสบตากับอีกคนที่เอาแต่จ้องหน้าเธอเขม็ง แล้วก็พบเป้าหมายใหม่ที่นั่งตาแป๋วอยู่ใกล้
ๆ จึงเอื้อมมือไปคว้าตัวเด็กหญิงแก้มยุ้ยขึ้นมานั่งบนตักแล้วลงโทษด้วยการหอมแก้มฟอดใหญ่
“มานี่เลยตัวแสบ”
เด็กหญิงตัวน้อยหัวเราะคิกคักชอบใจ กลายเป็นสงครามย่อม ๆ
ระหว่างพี่สาวคนใหม่กับเด็กตัวป้อม คนที่กลายเป็นส่วนเกินโดยไม่ตั้งใจมองทั้งคู่อย่างเหนื่อยหน่าย
“นี่ สองคน จะเลิกเล่นได้ยัง รีบนะเนี่ยถึงมาปลุก....
เดี๋ยวไปรับพี่ ๆ เค้าไม่ทันนะเว้ยมุก”
“ฮะ? รับใครนะ”
เลิกหยอกน้องมีนชั่วคราวแต่ยังกอดไว้ไม่ยอมปล่อย มองหน้าดาวอย่างไม่เข้าใจ
“พี่มุกกับพี่กัสไง เดี๋ยวเค้าจะมาถึงกันแล้ว”
“มุก.....มุกไหน” เสียงพึมพำหลุดรอดจากริมฝีปากเพียงแผ่วเบา
ใจหายวาบเพียงได้ยินชื่อพี่สาวฝาแฝด โดยที่ไม่ทันได้พิจารณาบริบทแวดล้อมในประโยคของดาว
คนมีความผิดโดนสะกิดนิดเดียวก็ถึงกับหนาวสันหลัง เมื่อคืนเรื่องส่วนสูงก็ทำเอาหัวใจเกือบวายไปครั้งหนึ่งแล้ว
“พี่มุกกับพี่กัสลูกลุงปานน่ะ เราคุยกันไว้เมื่อคืนก่อนจะนอนแกลืมไปเหรอ”
“โอ๊ย!!!
ทำไมต้องให้พูดอะไรซ้ำซากด้วยเนี่ย” ดาวบ่นอุบ
ผละไปจากเตียงหน้ายุ่งเมื่อเพื่อนไม่ได้ดั่งใจ
“อ....อ่อ เหรอ” หลังจากโล่งอกที่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดก็นั่งหน้ามึนอยู่บนเตียง
เพราะเมื่อคืนเธอจำได้ที่ไหนว่าคุยอะไรไว้บ้าง ดาวเล่นพูดตอนใกล้จะหลับก็ตอบรับส่ง
ๆ ไปอย่างนั้น
อาการอ่อนเพลียจากการเดินทางทำให้ค่ำคืนแรกในสถานที่แปลกใหม่ไม่น่าอึดอัดอย่างที่เป็นกังวล
พอหัวถึงหมอนตาก็เหมือนจะปิดลงทันที ถ้าเป็นคืนต่อ ๆ
ไปก็ไม่แน่ใจว่าจะหลับลงหรือเปล่ากับการที่มีดาวนอนอยู่ข้าง ๆ
“นี่แกไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเลยใช่ไหมเมื่อคืน”
ดาวหันมาเท้าสะเอวมองอย่างเอาเรื่อง อีกครั้งที่รู้สึกหายใจไม่ทั่วเพราะรู้ว่าเป็นต้นเหตุให้ดาวอารมณ์เสีย
“ฟัง แต่จำไม่ได้” ก้มหน้าพูดกับเด็กน้อยบนตักงึมงำ
ไม่อยากสบตาวาวโรจน์ด้วยโทสะของคนที่ตนคิดไม่ซื่อ
“เอาเข้าไป” ดาวถอนหายใจแรง
กลอกตาไปมา ใจหนึ่งก็นึกรำคาญ อีกใจก็อดแปลกใจไม่ได้ที่มุกดูหงอให้เธอเกินไป
ปกติคงได้เถียงคอเป็นเอ็น ไม่มีทางหรอกที่จะยอมกันง่าย ๆ แบบนี้
“พี่มุกไปอาบน้ำก่อนนะคะ อยู่กับพี่ดาวก่อนนะ”
ท่าทางเซื่องซึมกับน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจที่กระซิบกับน้องมีนทำให้ดาวแยกแยะอารมณ์ไม่ออก
ไม่รู้ว่าจะโกรธต่อดีหรือจะขำดี เลยกลายเป็นว่าตอนนี้เธอปั้นสีหน้าไม่ค่อยจะถูก
“ไปด้วย”
เจ้าตัวป้อมที่เปลี่ยนข้างกะทันหันยกมือขึ้นเกาะพี่สาวคนใหม่เอาไว้ไม่ยอมปล่อย จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปที่ดาว
แม้จะมีท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ อยู่บ้างก็ตาม
“น้องมีน มามะ เดี๋ยวพาไปดูการ์ตูนข้างล่าง
ให้พี่มุกอาบน้ำก่อนนะคนเก่ง” ดาวเดินมาหย่อนตัวนั่งลงข้าง ๆ
เพื่อกล่อมน้องน้อยให้ยอมปล่อยมือจากเพื่อนสนิท เจ้าตัวเล็กมองหน้าคนที่โตกว่าทั้งคู่สลับกันอย่างช่างใจ
“แป๊บเดียว เดี๋ยวพี่มุกก็ตามเรามาแล้ว
เชื่อพี่ดาวนะคะ” ขณะที่ดาวกำลังคะยั้นคะยอก้อยก็พยักหน้าให้แทนคำสัญญา เด็กน้อยจึงปล่อยให้ก้อยเป็นอิสระยอมทำตามที่ดาวร้องขอแต่โดยดี
“น่าหมั่นไส้ ทีกับเรานะตั้งนานกว่าจะยอมเล่นด้วย
กับพี่มุกไม่ถึงวันเกาะแจเชียว” อาศัยจังหวะที่พี่น้องกำลังหยอกล้อกันอยู่บนเตียงปลีกตัวออกมาเงียบ
ๆ แก้มยุ้ย ๆ ของเจ้าตัวเล็กถูกหยิกเหมือนกำลังมันเขี้ยว
เห็นแล้วแทบลืมความรู้สึกก่อนหน้าไปจนสิ้น แล้วอดยิ้มตามไปกับภาพความน่ารักนั้นไปด้วยไม่ได้
สายลมฤดูร้อนในเวลาเช้าตรู่ไม่ได้พัดพาความอบอ้าวมาเยือนเช่นทุกที
กลิ่นโกโก้ร้อนกรุ่นอยู่ในแก้วตรงหน้าปะปนกับกลิ่นกาแฟเข้มข้นของสมาชิกคนอื่นรอบโต๊ะ
ทว่าสายตากลับมีไว้มองแค่คนคนเดียว คนที่แม้เหนื่อยแสนเหนื่อยกับการเดินทางแต่ก็ไม่ยอมปล่อยภาพบรรยากาศสวยงามของเมืองเหนือให้คลาดสายตา
เสี้ยวหน้าที่มองเห็นจากด้านข้างประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
ขณะที่สายตามองผ่านเลนส์กล้องเพื่อเก็บบันทึกภาพความทรงจำเหล่านั้นเอาไว้ในเมมโมรี่การ์ดของกล้องตัวโปรด
ระเบียงที่ยกสูงจากพื้นเกือบสิบเมตรบวกกับทำเลของห้องอาหารที่ตั้งอยู่บนที่สูงทำให้ทัศนียภาพในการมองเห็นกว้างไกล
และทั่วถึง ผมยาวที่เกล้าไว้บนศีรษะอย่างลวก ๆ
เป็นปอยหลุดลุ่ยหยอกล้อกับลมเอื่อย ๆ ร่างโปร่งบางที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ธรรมดาแต่กลับดูดีมากมายเมื่อมารวมกันอยู่บนตัวของผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า
ใจที่กำลังจดจ่ออยู่กับกล้องถ่ายรูปทำให้ไม่รู้สึกตัวแม้จะถูกสายตาคู่หนึ่งจ้องมองมานาน
แสงแดดอ่อน ๆ
ที่ตกกระทบกับร่างนั้นทำให้องค์ประกอบของภาพที่มองผ่านสายตาชื่นชมยิ่งดูสวยงามยิ่งขึ้นไปอีก
เจ้าของดวงตากลมโตแฝงแววซุกซนคู่นั้นนั่งเท้าคางอมยิ้มมองอยู่ไม่ห่างกัน กระทั่งโกโก้ในแก้วคลายความร้อนจนเกือบเย็นชืด
“มุก”
“.....”
“มุก”
“หือ?” ถึงกับสะดุ้งเมื่อรู้ตัว
ก่อนหันขวับไปมองคนเรียกสีหน้าเหรอหรา
“ไม่หิวเหรอ โกโก้เย็นหมดแล้วนั่นน่ะ” รวมไปถึงแซนวิช
อาหารเช้าอย่างง่าย ๆ ที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้ให้ก็แหว่งไปเพียงนิดเดียว
“ทำไม วิวมันสวยจนละสายตาไม่ได้ขนาดนั้นเลยเหรอ”
พี่สาวต่างสายเลือดเอ่ยทักทั้งขยับตัวมามองตามสายตาของมุก ใบหน้าที่ค่อนไปทางฝั่งตะวันตกมีแววรู้เท่าทัน
“ก็สวยน่ะสิ
ไม่งั้นเพื่อนพี่เพลงจะลุกขึ้นไปถ่ายรูปกันเหรอ” แต่คนที่เอาตัวรอดเก่งก็ยังไม่ยอมจนมุม แม้หลักฐานทั้งหมดจะมัดตัวจนดิ้นไม่หลุดก็ตาม
“รวมไปถึงคนนั้นด้วยใช่ป่ะ?”
พยักพเยิดไปที่บุคคลเป้าหมายด้วยรอยยิ้มล้อเลียน
“จะกินพี่เค้าแทนข้าวเช้าเลยไหมล่ะ”
ยิ่งพูดยิ่งแทงใจดำ นึกอยู่แล้วว่าพฤติกรรมของเธอคงไม่ลอดพ้นสายตาคมกริบของสาวลูกครึ่งหัวใจไทยคนนี้ไปได้ โชคดีที่ไม่เสียงนี้เป็นเพียงเสียงกระซิบที่ได้ยินกันแค่สองคน
ไม่เช่นนั้นก็คงไม่รู้จะทนมองหน้าพี่ ๆ ร่วมทริปอย่างไรไหว
“พูดอะไรของพี่เนี่ย”
รู้ว่าเป็นคนตรงไปตรงมา เพียงแต่ครั้งนี้ออกจะตรงเกินไปสักนิด
“ก็พูดอย่างที่เห็น
ตาเยิ้มเลยนะแก ไม่รู้ตัวบ้างเลยเหรอ”
“ไม่ขนาดนั้นมั้ง”
มือยกขึ้นลูบท้ายทอย พูดอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงเพราะความขัดเขิน
“นี่ถ้าก้อยมันมาด้วยนะ
สนุกล่ะงานนี้”
“ดีแล้วล่ะที่มันไม่มา”
มุกสวนกลับไปทันควัน เพราะหากก้อยมาด้วยกันคนที่จะเละเป็นโจ๊กก็คือเธอ เพราะเพลงกับน้องสาวฝาแฝดเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยยิ่งกว่าเธอผู้มีสายเลือดเดียวกันเสียอีก
“เขินล่ะสิ....
ไม่กล้าบอกเค้าใช่ป่ะ เดี๋ยวพี่บอกให้เอาไหมว่าแกชอบพี่เค้ามากกกกกกก” ใบหน้าขาวจัดยื่นเข้ามาใกล้
แกล้งลากเสียงยาวล้อเลียนเธออีกหน
“พอเลย
เลิกล้อได้แล้ว” คนเอาแต่ใจกอดอกหน้าคว่ำ สื่อว่ากำลังอารมณ์ไม่ดี คนเป็นพี่ลุกขึ้นเต็มความสูงกว่าร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรตามอย่างชาวตะวันตก
ก่อนโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูมุกเบา ๆ
“คิดจะปีนเกลียวมันต้องกล้า
ๆ หน่อยดิวะ”
ทิ้งท้ายด้วยการยีผมยาวสลวยของคนอ่อนกว่าจนยุ่งเหยิง
แม้จะรู้ตัวอยู่แล้วก็ยังหลบไม่พ้น ดวงตากลมมองตามแผ่นหลังของร่างสูงโปร่งไปอย่างค้อนเคือง
ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าควรจะติดต่อกลับไปหาน้องสาวฝาแฝดที่เธอโยนปัญหาใหญ่ไปให้
สมาร์ทโฟนที่วางอยู่ข้างถ้วยเครื่องดื่มสีเข้มจึงถูกหยิบขึ้นมาใช้งาน
Mooky_P :
ตอนนี้เราถึงเชียงใหม่แล้วนะ
Mooky_P : เป็นยังไงบ้าง
คืนแรกของแกกับดาว
เห็นข้อความกำกวมที่พี่สาวฝาแฝดทิ้งไว้ในไลน์ตั้งแต่เช้าก็ทำให้คิ้วขมวดชิดกันอย่างหงุดหงิด
เป็นคนก่อปัญหาไว้แท้ ๆ ยังมีอารมณ์มาล้อเล่นอีก รัวนิ้วตอบไปเร็ว ๆ อย่างมีอารมณ์
PraewPailin : มีความสุขเจียนตายเลยล่ะ
PraewPailin : พอใจยัง!
ส่งข้อความนั้นเสร็จก็เก็บโทรศัพท์เครื่องของมุกไว้อย่างรวดเร็ว
เพราะไม่อยากให้คนที่นั่งข้างกันทันเห็นข้อความที่ทั้งคู่คุยโต้ตอบกัน
“.....”
และคนในความคิดก็ไม่ได้ทันสังเกตอะไรอย่างที่นึกกลัว
เพียงแต่พฤติกรรมแปลก ๆ ที่ดาวกำลังทำอยู่ทำให้ก้อยต้องเป็นฝ่ายตั้งข้อสงสัยเสียเอง
เมื่อครู่ยังส่งเสียงหัวเราะลั่นรถระหว่างที่คุยกับพี่มุกพี่กัสอยู่เลย แต่อยู่ ๆ
ก็เงียบไปเฉย ๆ แล้วยื่นหน้ามาทำจมูกฟุดฟิดใกล้ ๆ จนก้อยต้องเอนตัวหลบ
ก้มมองคนตัวเล็กกว่าด้วยรอยยิ้มเอ็นดูระคนขบขัน
“เป็นอะไรอะดาว”
“แกเปลี่ยนกลิ่นน้ำหอมเหรอ”
แม้จะตกใจอยู่บ้างแต่อารมณ์อยากแกล้งมันมีมากกว่าเมื่อเห็นตาใส ๆ
มองเธออย่างขอคำตอบ อีกทั้งยังผ่านสถานการณ์เสี่ยง ๆ
มาหลายครั้งหลายคราวจึงรับมือกับมันได้ดีขึ้น
“ใช่ เพิ่งเปลี่ยน แกเป็นหมาเหรอถึงได้จมูกดีนัก”
“ไม่ใช่เว้ย”
“งั้นก็ดมซะให้พอเลยนะ” แม้ดาวจะปฏิเสธเสียงแข็งแต่ก้อยกลับคว้าไหล่เล็กเอาไว้แล้วออกแรงกระตุกเพียงนิด
เท่านั้นคนที่ไม่ทันตั้งตัวก็ตกมาอยู่ในอ้อมกอดของเธอกลาย ๆ ใบหน้าอ่อนเยาว์ซุกซบอยู่บริเวณซอกคอพอดิบพอดี
วินาทีที่ตกอยู่ในอ้อมกอดอุ่นพร้อมกับกลิ่นที่ไม่คุ้นเคย
วูบหนึ่งดาวกลับรู้สึกว่าคนคนนี้เหมือนไม่ใช่เพื่อนสนิทของเธอคนเดิม ความรู้สึกประหลาดที่แล่นวาบเข้าสู่ความคิดทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกคนเพื่อย้ำความมั่นใจให้กับตนเอง และพบว่าอีกฝ่ายก็มองเธออยู่แล้วพอดี
“เป็นไง หืม? หอมพอไหม?”
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่มุกมองเธอด้วยแววตาอ่อนหวานเช่นนี้
มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหรือว่าเธอไม่เคยสังเกตกันแน่ ความอ่อนโยนที่แผ่มาจากดวงตาคู่โตก่อความรู้สึกประหลาดให้แล่นพล่านไปทั่วร่าง
แม้แต่ใบหน้าก็เหมือนจะเห่อร้อนขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน
อาการแบบนี้ไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด
“ไม่เห็นหอมเลย”
ดาวกำลังโกหกคำโตขณะที่ดันตัวให้ออกห่างจากอีกคน เพราะเธอกำลังรู้สึกตรงกันข้าม
น้ำหอมกลิ่นใหม่ของเพื่อนสนิทคงมีเวทมนตร์ มันทำให้เธอเคลิ้มไปโดยไม่รู้ตัว
และมันไม่ควรจะเกิดขึ้น
“เหรอ จริงอะ”
ก้อยจับคอเสื้อของตนขึ้นมาสูดกลิ่นอย่างเสียความมั่นใจ
รู้ว่าดาวแกล้งตอบไปอย่างนั้นแต่ก็อดคิดไม่ได้อยู่ดี
“เด็ก ๆ แวะกินข้าวกันก่อนนะ
พี่มุกกับพี่กัสยังไม่ได้กินอะไรมาเลย” เสียงทุ้มของพ่อเรียกความสนใจจากทุกคน
รวมไปถึงก้อยที่ปล่อยเรื่องกลิ่นน้ำหอมไว้ข้างหลัง
“ได้ค่ะ/ค่ะพ่อ” ก้อยกับดาวรับคำพร้อมกัน
“ให้ไวเลยค่ะน้าพล
นังมุกมันหิวจนกระเพาะจะละทุกอยู่แล้วค่ะ ท้องร้องดังน่ารำคาญมากบอกเลย” เสียงห้าวที่พยายามดัดให้หวานยังไงก็ไม่หวานดังใจ
กำลังบ่นน้องสาวร่างอวบกระปอดกระแปด จริตในน้ำเสียงบวกกับท่าทางของกัสเรียกเสียงหัวเราะให้ทุกคนในรถได้อย่างเคย
เว้นก็แต่คนที่ถูกว่า
“อยากกินร้องเท้าแทนข้าวใช่ไหมนังแองกัส”
“เก็บไว้แทะเองเหอะมึง”
รถแล่นมาจอดที่หน้าร้านขายก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟร้านหนึ่ง
ขัดจังหวะสงครามน้ำลายย่อม ๆ ระหว่างสองพี่น้องที่กำลังดำเนินอยู่
และก่อนที่ผู้โดยสารทั้งคันรถจะหัวเราะจนท้องแข็งตายไปเสียก่อน
เพียงไม่นานเย็นตาโฟทะเลชามโตก็ถูกยกมาวางต่อหน้า
ขนาดคนที่กินข้าวเช้ามาแล้วอย่างก้อยและดาวยังอดที่จะกลืนน้ำลายตามไม่ได้ เหลือบไปเห็นเครื่องปรุงที่วางอยู่กลางโต๊ะ
ก้อยทำท่าจะเอื้อมมือไปหยิบเมื่อเห็นพี่ ๆ
ของดาวตักมาปรุงแล้วชิมอย่างถึงรสถึงชาติ แต่ก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้เพราะมุกไม่ชอบกินอาหารรสจัด
แม่ค้ายกมาเสิร์ฟยังไงมุกก็กินทั้งอย่างนั้น ไม่ค่อยปรุงเพิ่ม
มองแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจและนึกตำหนิพี่สาวฝาแฝดในใจอยู่คนเดียว
“มองทำไมคะหนู
จะปรุงบ้างเหรออะเดี๋ยวพี่ตักให้” เห็นเด็กตาโตมองมาตาปริบ
ๆ ก็อยากแสดงน้ำใจตามประสาสาวงาม (?) รักเด็ก
“เดี๋ยวววววววววววว!!”
แต่ก่อนที่พริกในช้อนจะหล่นลงไปในชามเย็นตาโฟของก้อย
ตะเกียบจากมือที่สามก็ยื่นมาห้ามทัพไว้ได้ทันท่วงที
“ถ้าไม่อยากเห็นคนร้องไห้ก็อย่าเลยค่ะพี่กัส”
“ทำไมอะ”
“มุกมันกินเผ็ดไม่ได้”
“จริงเหรอหนูมุก”
“ค่ะ” จริงก็ได้
ก้อยพยักหน้ารับเนือย ๆ
ก้มมองชามเย็นตาโฟของตนอย่างสุดเซ็ง
“สาระแน แส่ไม่เข้าเรื่อง” สาวอวบได้ทีกระแนะกระแหนพี่ชายหัวใจสาวด้วยคำเจ็บแสบ
“เก็บปากไว้กินข้าวเถอะอิหมู” ซึ่งคนเป็นพี่ก็ไม่ยอมให้ว่าอยู่ฝ่ายเดียว
กุ้งในชามถูกตักเข้าปากเคี้ยวอย่างเชื่องช้า ใช่ว่าเย็นตาโฟที่นี่จะไม่อร่อย
แต่คนเคยชินกับรสชาติเผ็ดร้อนให้มากินอาหารที่รสอ่อนกว่า มันไม่คุ้นปากเลยไม่ค่อยเจริญอาหารเท่าที่ควร
ในใจก็พร่ำโทษแต่ตัวต้นเหตุที่ทำให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากครั้งแล้วครั้งเล่า กลับไปจะหาทางเอาคืนให้หนัก...
แต่จะวิธีไหนนั้นก็ยังนึกไม่ออก เพราะเท่าที่ผ่านมาก็ไม่เคยแก้เผ็ดมุกได้สำเร็จสักที
“อื๋อ..”
แต่เมื่อก้มลงมองชามของตนอีกครั้งก็ต้องพบกับความประหลาดใจเมื่อกุ้งตัวโตที่นอนอยู่ในถ้วยอันตรธานหายอย่างไร้ร่องรอย
ก่อนจะรู้ที่มาเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของคนข้าง ๆ
“ขอนะ” หัวขโมยเคี้ยวกุ้งเต็มปากเต็มคำพร้อมส่งยิ้มจนตาปิดมาให้
ดูมีความสุขจนน่าหมั่นไส้ แถมยังเตรียมปกป้องชามของตนเองไว้อย่างดี
ก้อยเม้มปากแน่น หรี่ตามองแล้วแอบคาดโทษไว้ในใจ
ท่ามกลางความเคลือบแคลงของดาวที่ไม่นึกว่าเพื่อนสนิทจะยอมแพ้ง่าย ๆ อย่างผิดวิสัย....
...ฝากไว้ก่อนเถอะดาว...
ความคิดเห็น