คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : [SF] WIND - 1 - ลมหวน [ก้อย x ดาว]
ก่อนจะอ่านฟิคเรื่องนี้เรามาลองสะกดจิตตัวเองก่อนดีกว่า
ลองนึกดู หากว่าในชีวิตวัยมัธยมของก้อยกับดาวไม่มีเรื่องวุ่นวาย
ทั้งคู่เป็นแค่เด็กธรรมดา ๆ คนหนึ่ง
ไม่มีเพจจิ้นรัก
เพื่อน ๆ ในห้องไม่รุมแซวกันเป็นจริงเป็นจังแบบในเรื่อง....
ไม่มีสถานการณ์พาไป
ไม่มีฉากเล่นจ้องตา
ไม่มีฉากห้องลองเสื้อ
ไม่มีฉากในห้องนอน
ไม่มีฉากปาฉิ่ง
เอาล่ะ
ถ้าพร้อมแล้วก็ลองเลื่อนลงมาอีกนิด
.
.
อีกนิด
.
.
อีกนิด
.
.
.
อีกนิดนึง
.
.
.
ปีการศึกษาใหม่เริ่มต้นล่าช้ากว่าทุกปี กว่าจะปิดเทอมแรกก็ล่วงเลยมาจนเกือบสิ้นปี ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลนี้หรือเปล่าที่ทำให้สายลมของฤดูหนาวพัดผ่านบางส่วนของประเทศไทยช้าตามไปด้วย คิดแล้วก็ได้แต่ขำในความเพ้อเจ้อของตัวเอง รู้สึกว่ายิ่งเขียนอะไรเยอะก็ยิ่งเพี้ยนขึ้นทุกวัน ดินฟ้าอากาศคงไม่ได้มารับรู้ด้วยหรอกว่าใครจะไปใครจะมา
มือหนึ่งยกขึ้นเท้าคาง อีกมือควงปากกาเล่น ดวงตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย มองใบไม้ปลิดปลิวตามแรงลมแล้วร่วงหล่นลงบนพื้น ความเหงาก่อตัวขึ้นเงียบ ๆ จนต้องถอนหายใจเพื่อขับไล่มันออกไป อยู่ ๆ ความคิดถึงก็แอบย่องเข้ามาทักทายเพียงแค่ได้สัมผัสถึงกลิ่นไอของฤดูหนาว คนที่อยู่เกือบเหนือสุดของระเทศไทยคงจะหนาวยิ่งกว่านี้หลายเท่า
พอคิดถึงใบหน้าของอีกคนก็พาลหงุดหงิด แววตาห่วงหาก็แปรเปลี่ยน เหมือนมีโทสะเล็ก ๆ จุดอยู่กลางดวงตา เหลือบมองไปยังสมาร์ทโฟนที่หน้าจอมืดสนิทอย่างค้อนเคือง ราวกับว่ามันเป็นตัวแทนของคนในห้วงคำนึง เคยไลน์หาก็นานเป็นวันกว่าจะตอบ บางทีผ่านไปสามวันเพิ่งมีข้อความตอบกลับมา ล่าสุดนี่เกือบสี่วันแล้วยังไม่ตอบ แถมยังไม่ใส่ใจจะเปิดอ่านมันด้วยซ้ำ
รู้ดีว่าในฐานะเพื่อนไม่ควรจะคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเท่านี้... เธอก็เบื่อตัวเองเหมือนกันกลายที่เป็นคนขี้น้อยใจจนดูงี่เง่า แต่ความรู้สึกมันบังคับกันได้ที่ไหน และทั้งหมดนั่นก็เป็นความผิดของคนคนเดียว
เกือบปีที่ไม่เจอกันเคยคิดถึงกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือจะมีแค่เธอที่คิดไปเองคนเดียว
ระยะทางแค่หกร้อยกิโลเมตร จะบินไปหาตอนนี้ก็ยังได้ แต่เธอไม่ทำหรอก เดี๋ยวมันจะยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ แม้ว่าจะคิดถึงแทบตายก็ตาม..
สามปีก่อนตอนเพิ่งจบม.6 ที่บอกจะไปเรียนต่อถึงเชียงใหม่ก็เล่นเอาจุกจนพูดไม่ออก ทั้งที่คุยกันไว้แล้วว่าจะเรียนที่เดียวกัน พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ กลับมาเปลี่ยนคำพูด ยอมรับเลยว่าตอนนั้นเธอทั้งโกรธทั้งน้อยใจ จนไม่อยากมองหน้า เคยคุยกันทุกวันก็หยุดไปช่วงหนึ่ง แต่ก็ไม่นานเท่าที่ตั้งใจเมื่อทนใจแข็งกับข้อความที่ส่งมาซ้ำ ๆ กับน้ำเสียงหงอย ๆ ที่ผ่านทางสายโทรศัพท์ไม่ได้
พ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อสมาธิเริ่มกระเจิดกระเจิง เอื้อมมือไปพับแล็ปท็อปลงเพราะเปิดไว้ก็ไม่ได้อะไร นิ้วชี้ดันแว่นกรอบหนาขึ้นแล้วเอนหลังไปพิงเก้าอี้นวมตัวใหญ่จนทั้งร่างแทบจมหายไปกับเก้าอี้ หลับตาลงเพื่อรวบรวมสมาธิ ขืนยังมัวแต่คิดถึงคนอื่นต่อไปงานเขียนที่ตั้งใจไว้คงไม่คืบหน้า
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงที่ดังแทรกความคิดเข้ามาทำให้เธอสะดุ้ง
“ดาว เดี๋ยวพ่อกับแม่ออกไปข้างนอกนะ ลูกจะออกไปไหนไหม”
“ไม่ล่ะค่ะแม่”
“งั้นก็ฝากดูแลบ้านด้วยนะ”
“ค่าแม่”
ทุกสิ่งรอบตัวเงียบลงอีกครั้งหลังจากที่แม่เดินลงบันไดไป
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ประโยคที่ได้ยินคงจะเป็น “แม่ไม่อยู่บ้าน อย่าออกไปเถลไถลที่ไหนนะ”
แต่กว่าที่เธอและแม่จะหันมาคุยกันอย่างเข้าใจก็ลำบากเอาการ เพราะความคิดของแม่ไม่ได้เปลี่ยนกันง่าย ๆ
แต่กับบางคนที่เหมือนจะเข้าใจกันทุกเรื่อง พอเอาเข้าจริง ๆ กลับเหมือนไม่รู้อะไรเลย ไม่เคยหยั่งถึงความคิดที่แอบซ่อนอยู่เบื้องหลังดวงตากลมโตคู่นั้นได้ ทำให้เธอต้องจมอยู่กับความสับสนและคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจ
ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเธอมองไม่ออกเองหรือว่าอีกฝ่ายบิดบังไม่ให้รู้กันแน่
ความคิดที่ทำท่าจะโบยบินไปไกลกลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงกริ่งจากรั้วบ้านที่ดังรัวไม่หยุด คนกดกริ่งดูเหมือนจะไม่เกรงใจเจ้าของบ้านเลยสักนิด ปากกาในมือถูกโยนทิ้งลงบนโต๊ะไม่เบานัก จริง ๆ แล้วอยากจะปาใส่หน้าคนที่รัวกริ่งอยู่หน้าบ้านมากกว่า แต่อยู่ไกลไปหน่อยโต๊ะเลยต้องรับกรรมแทน
ถอนฉุนก่อนลุกขึ้นมองผ่านช่องหน้าต่างเพื่อดูหน้าคนไร้มารยาท ทว่าลักษณะของคนที่กำลังยืนชะเง้อชะแง้อยู่หน้าประตูแปรเปลี่ยนความโกรธเป็นความตกใจ
ปัง !
เผลอกระชากหน้าต่างปิดจนเกือบกระแทกหน้าตัวเอง ดวงตากระพริบปริบ ๆ เพ่งมองภาพนั้นอย่างไม่อยากเชื่อ ก่อนที่สองเท้าจะสับไปบนพื้นอย่างว่องไว เพื่อลงไปต้อนรับ..... เรียกว่าสะสางกับผู้มาเยือนจะเหมาะกว่า
พอประตูรั้วถูกดึงให้เปิดออก ก็พบกับรอยยิ้มซื่อ ๆ ตาใส ๆ อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวของคนคุ้นเคย ในมือหอบข้าวของพะรุงพะรังซ้ำยังมีเป้ใบโตสะพายหลัง ดูเหมือนจะตรงดิ่งมาที่บ้านเธอก่อนที่จะแวะบ้านตัวเองด้วยซ้ำ แล้วแบบนี้จะให้ตีความยังไง เธอควรจะโกรธมันต่อดีไหม
“.....หวัดดีแก”
ทักทายด้วยน้ำเสียงน่าเริงโดยไม่สนใจสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของเธอสักนิด
“มาไงเนี่ย?”
เป็นคำแรกที่คิดออกหลังจากบังคับหัวใจที่เต้นรัวให้สงบลง
“เดินมามั้ง”
คุยกันไม่กี่คำมันก็วอนโดนกระทืบอีกแล้ว ความรู้สึกที่กำลังพองโตพลันห่อเหี่ยวลงทันทีเมื่อได้ฟังคำตอบ ริมฝีปากที่เตรียมจะฉีกยิ้มเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง
“กวนตีน”
เจอไม้นี้เข้าไปเป็นใครก็คงคิดไม่ต่างกัน จะดีใจก็ดีใจไม่สุดให้ตายเถอะ
“น้องดาวทำไมพูดจาไม่สุภาพอย่างงี้ล่ะคะ ใครสั่งใครสอนแกวะเนี่ย” ยังมีหน้ามาพูดจายียวนกวนประสาท แถมยังยื่นมือมาขยี้ผมเธอเหมือนเธอเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ
“หุบปากไปเลยนะ”
“ดุจังวุ้ย พันธุ์ไรเนี่ย” ยิ่งนานวันสกิลความกวนตีนของมันก็ยิ่งเพิ่มพูน เมื่อก่อนก็ว่ากวนประสาทแล้วนะ ทุกวันนี้เธอคิดว่ามันมากกว่าเดิมแบบเท่าตัว
“แกอยากจะยืนอยู่หน้าบ้านฉันทั้งวันใช่มั้ย” ยืนเท้าสะเอวมองผู้มาใหม่อย่างเอาเรื่อง แต่ใช่ว่าอีกคนจะกลัวเสียเมื่อไหร่
“ก็รออยู่ว่าเจ้าของบ้านมันจะชวนเข้าบ้านเมื่อไหร่” ว่าพลางยัดถุงของฝากจากเมืองเหนือใส่มือเธออย่างถือวิสาสะ “หนักจะตายอยู่แล้วเนี่ย ช่วยหน่อยดิ”
เล่นยัดเยียดกันขนาดนี้จะให้ปฏิเสธยังไง ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินนำอีกคนเข้าไปในบ้านด้วยใบหน้างอง้ำ แล้วแอบถอนหายใจเบา ๆ
ความคิดถึงมายืนเรียกถึงหน้าบ้าน พร้อมด้วยแคบหมูและน้ำพริกหนุ่ม
โรแมนติกสุด ๆ
“คืนนี้นอนค้างที่นี่ใช่ไหมลูก”
“ค่ะ เดินทางมาทั้งวันเมื่อยตัวไปหมด ต้องขอรับกวนนอนที่นี่ซักคืนนะคะแม่...”
“ดีแล้วล่ะลูก ไม่ได้เจอกันซะนาน จะได้อยู่คุยกันต่อ” พ่อเองก็สนับสนุน
ไอ้เรื่องทำตัวเนียน ๆ ประจบประแจงผู้ใหญ่คงไม่มีใครเกิน หลังอาหารมื้อค่ำก็ชวนพ่อแม่เธอคุยอย่างออกรส สารพัดที่จะสรรหาเรื่องมาเล่า จนเกือบสามทุ่มก็ไม่มีทีท่าว่าวงสนทนานี้จะเลิกรา
“นี่ขึ้นเครื่องมาใช่ไหมลูก”
“เปล่าค่ะ นั่งรถทัวร์มา”
ไม่แปลกใจนักที่ได้ยินคำตอบ พอมาถึงห้องนอนของเธอก็หลับเป็นตาย กว่าจะมีแรงตื่นมาเห่าต่อก็เกือบเย็น
“เหนื่อยแย่เลย ทำไมไม่ขึ้นเครื่องบินมาล่ะ เร็วด้วยสบายด้วย”
แม่ถาม ซึ่งเธอเองก็อยากรู้คำตอบจึงเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
“อยากนั่งมองวิวข้างทางค่ะ เก็บบรรยากาศ”
พอได้ฟังแล้วก็แอบเบะปากให้กับเหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผลของคนข้าง ๆ
“แล้วมันคุ้มไหมล่ะ” พ่อถามอย่างเอ็นดู
“ไม่คุ้มค่ะ หนูหลับมาตลอดทางเลย” จบประโยคก็เรียกเสียงหัวเราะลั่นห้องรับแขก
“เอ๊า เป็นงั้นไป”
“สอบเสร็จวิชาสุดท้ายหนูก็รีบขึ้นรถมาเลยนะเนี่ย รอไม่ไหวคิดถึงบ้าน” ว่าพลางเหลือบมองคนที่เอาแต่นั่งกดรีโมทเปลี่ยนช่องเล่นไปเรื่อย แต่อีกคนคงไม่ทันเห็นและไม่ทันได้ฟังด้วยซ้ำ
“แม่ว่ารีบพาก้อยขึ้นนอนได้แล้วดาว พักผ่อนซะนะลูก เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พ่อกับแม่ขอตัวก่อน”
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
พ่อกับแม่บอกก่อนเดินขึ้นบันได ปล่อยให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันตามลำพัง
“แกจะดูทีวีต่อหรือจะขึ้นห้อง” เอ่ยถามเมื่ออีกคนเอาแต่เงียบ
“ขึ้นห้องสิ ห้องฉันก็มีทีวี” พูดจบจอทีวีก็มืดลงเพราะรีโมทที่อยู่ในมือ ก่อนเดินนำขึ้นไปบนห้อง ทิ้งให้คนมองเกาศีรษะแกรก ๆ อย่างไม่เข้าใจ
ห้องนอนห้องเดิมดูแปลกตาไปมาก เมื่อคิตตี้สีชมพูที่เคยจับจองพื้นที่เกือบทั้งหมดเหมือนถูกลดความสำคัญลง มีของประดับตกแต่งลวดลายอื่นโผล่มาแทนที่เกือบครึ่งต่อครึ่ง
เมื่อต่างคนต่างไม่พูดความเงียบจึงกลืนกินทุกสิ่ง
“นี่แกไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่องตัวเองเลยใช่มั้ย” ที่ถามไปไม่ใช่ว่าอยากจะไล่หรอก แค่อยู่ด้วยกันตามลำพังแล้วมันไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่า จะว่าเธอกำลังเขินก็ไม่ผิด
บรรยากาศเดิม ๆ กับคนเดิม ๆ แต่กลับไม่คุ้นเคยเหมือนแต่ก่อน
“ไม่”
ช่วยคิดก่อนตอบสักนิดได้ไหม
“เลยมาอาศัยบ้านคนอื่นเค้าว่างั้น” มองตามจนเดินมาถึงเตียง กลิ่นครีมอาบน้ำที่เธอใช้ประจำลอยฟุ้งจากตัวของอีกคนเมื่อขยับเข้าใกล้
“ใช่ ประหยัดดี”
“หน้าด้าน” และเธอก็ไม่รีรอที่จะสวนกลับไปทันควันเช่นกัน
“ยอมรับ” ตอบรับหน้าระรื่น ก่อนทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของเธอหน้าตาเฉย
“ช่วยเลิกกวนตีนสักนาทีจะตายมั้ย?”
“ไม่ตาย...” เว้นช่วงไว้นิดหน่อยก่อนพูดต่อ “แต่ก็ไม่แน่แฮะ”
“งั้นก็ทรมานให้ตายไปเลยนะแก” หมอนที่อยู่ใกล้มือถูกใช้เป็นอาวุธ ทำให้ผู้ถูกกระทำร้องโอดโอย
“โอ๊ย เจ็บนะเว้ย”
“อยากกวนตีนก่อนทำไม” ยิ้มอย่างสะใจก่อนหยิบรีโมทมาเปิดทีวีเพื่อให้ห้องไม่เงียบจนเกินไป
“หรือว่าแกไม่อยากให้ฉันนอนด้วย งั้นฉันกลับตอนนี้ก็ได้นะ” ชำเหลืองมองอีกคนเพียงหางตา เพราะน้ำเสียงนั้นไม่ได้มีความน้อยใจเจือปนอยู่เลย คนพูดคงรู้ดีว่าถึงอย่างไรเธอก็ใจร้ายไม่ลง
“จะกลับก็กลับเลย”
“งั้น...ไม่กลับดีกว่า”
“นึกว่าจะแน่” เธอเหยียดยิ้มให้คนปากดี
“กรุงเทพฯ นี่ก็อากาศหนาวเหมือนกันนะ ถึงจะไม่เท่าเชียงใหม่ก็เถอะ” เหลือบมองคนข้าง ๆ ก็พบว่าหมอนที่เธอโยนใส่กลายเป็นหมอนข้างให้อีกคนนอนกอดไปเสียแล้ว
“แหงล่ะ แกอาบน้ำไปเรียนบ้างป่ะเนี่ย”
“เฮ้ย พูดงั้นได้ไง อาบสิ.... สองวันครั้ง”
“อี๋ โสโครก” แกล้งทำท่าขยับหนีอย่างรังเกียจ เพียงไม่นานรายทีวีที่เปิดไว้ไม่ได้รับความสนใจจากใครทั้งสิ้น
“ฉันล้อเล่นน่า”
“แต่ฉันว่าแกพูดจริงว่ะ”
“แกคิดว่าฉันเป็นคนสกปรกขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เออสิ”
“เดี๋ยวโดน”
ไม่ทันตั้งตัวเมื่อถูกเพื่อนตัวดีฉุดลงไปนอนด้วยกันบนเตียงแล้วกอดไว้แน่น ใบหน้าเธอซุกอยู่ในระดับเดียวกับรักแร้
“ก้อยยยยยยย ปล่อยฉัน” ดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดพูดเสียงอู้อี้
“ดมให้ขาดใจตายไปเลยนะ” เสียงนั้นดูสะใจเหมือนผู้ชนะ ยิ่งทำให้คนที่รู้สึกเป็นรองดิ้นรนสุดกำลัง งัดไม้ตายสุดท้ายขึ้นมาสู้ด้วยการจี้เอวกลับ จนอีกฝ่ายยอมปล่อยมือและเป็นฝ่ายร้องห้ามเสียเอง
“ดาว พอแล้ว พอ”
“ไม่.. แกแกล้งฉันก่อนทำไม”
“ขอโทษษษษ..... ดาว พอ... หายใจไม่ทัน”
เสียงนั้นเหมือนคนจะขาดใจแต่ไม่ทำให้เธอใจอ่อน ท้ายที่สุดข้อมือเล็กก็ถูกรวบไว้แล้วกดตรึงกับที่นอน
“ขยับไม่ได้แล้วสิแก” พูดด้วยเสียงเหนื่อยหอบในขณะที่ใบหน้าเกือบจะชิดกัน คนที่เปลี่ยนมาถือไพ่เหนือกว่ายิ้มกริ่มอย่างผู้มีชัยทั้งที่จังหวะหายใจยังปั่นป่วน
ชั่วขณะที่ความห่างเหินถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศในวันวาน และมันกำลังจะสิ้นสุดลง เมื่อตาสบตาแล้วรับรู้ถึงสภาวะเสี่ยงต่อความรู้สึก สติจึงถูกดึงกลับสู่ปัจจุบัน
“เลิกเล่นได้แล้ว” สลัดมือให้หลุดจากพันธนาการที่หละหลวมแล้วผลักอีกคนจนเสียหลักลงไปนอนข้างกัน
“เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย” ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ข้างหู รู้สึกถึงดวงตาที่มองมาแต่เธอไม่กล้ามองกลับ
“แก่แล้วไงแก ฉันไม่เห็นเหนื่อย” พูดแก้เก้อไปอย่างนั้นทั้งที่เธอเองก็หอบไม่แพ้กัน
“ปากดีว่ะ” หลังจากจบคำพูดนั้นก็ปล่อยให้เสียงทีวีดังกลบเสียงหัวใจที่เต้นถี่... ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการออกกำลัง แต่อีกส่วนนั้นมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ดีว่าสาเหตุคืออะไร
“ทำไมแกไม่ตอบไลน์ฉันวะ” ความในใจที่ค้างคาถูกเอ่ยถามออกมาในที่สุด ตาจับจ้องอยู่แต่เพดานห้องอันคุ้นเคยราวกับไม่เคยเห็นมันมาก่อน ดีแล้วที่หันข้างคุยกัน ถ้าได้เห็นใบหน้าของอีกคนเธอก็ไม่รู้จะถามออกไปยังไง
“ฉันขอโทษ..ฉันอยากเซอร์ไพรซ์แกเลยแกล้งเงียบไป”
“เซอร์ไพรซ์เหมือนตอนเข้ามหาลัยน่ะเหรอ” น้ำเสียงเจือความน้อยใจ ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้น
“แกยังโกรธเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ”
“เปล่าหรอก....”
“แต่บอกตรง ๆ นะ พอนึกถึงทีไรก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้” แต่ยิ่งพูดความในใจที่เก็บไว้ก็ยิ่งพรั่งพรู เธอจะหยุดความรู้สึกของตัวเองไม่อยู่แล้ว
“ขี้น้อยใจเหมือนเดิมนะแก.... ยังขี้แยอยู่หรือเปล่าเนี่ย?” น้ำเสียงเหมือนหยอกล้อ คงอยากทำให้บรรยากาศดีขึ้น ก่อนที่ประโยคถัดไปจะแทงใจคนฟังจนพูดไม่ออก
“ไม่ใช่ว่าตอนนั้นแกแอบร้องไห้เพราะฉันหรอกนะ”
“.....” ไม่รู้จะโกหกยังไงเลยได้แต่เม้มปากแน่นและเงียบอยู่อย่างนั้น ทำให้อีกคนร้อนรนจนทนอยู่เฉยไม่ได้
“ขอโทษนะ ไม่คิดว่ามันจะทำให้แกน้อยใจขนาดนี้” น้ำเสียงนุ่มที่ฟังดูอ่อนโยนพร้อมกับวงแขนที่ค่อย ๆ รั้งเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่น
“นอนเถอะ” เป็นเธอเองที่ดันตัวออกมาจากอีกคน ไม่ได้รังเกียจอ้อมกอดนั้นแต่จำต้องปฏิเสธ ทั้งหมดก็เพื่อความปลอดภัยต่อความรู้สึกตัวเองทั้งนั้น
อย่ามาทำให้รู้สึกดีแล้วสุดท้ายก็เงียบหายไปได้ไหม ไม่อยากเป็นเหมือนเมื่อก่อน ที่อะไร ๆ ก็เรียกหาแต่แก ฉันยืนได้ด้วยตัวเองแล้วก็ปล่อยฉันไว้อย่างเดิมดีกว่า
“ฮัดเช่ย!”
พยายามแล้วที่จะไม่ส่งเสียงให้คนหลับสะดุ้งตื่น แต่ท้ายที่สุดก็ทนกับอาการคันยิบ ๆ ที่ปลายจมูกไม่ไหว คนที่นอนข้างกันจึงรู้สึกตัว
“ดาว... เป็นอะไร” เอ่ยถามอย่างงัวเงีย หัวคิ้วขมวดยุ่ง เหมือนการลืมตาตื่นเป็นเรื่องยากลำบากมากสำหรับอีกคนมาก
“เปล่า” ตอบเสียงอู้อี้ขึ้นจมูก แต่อาการที่ฟ้องอยู่มันโกหกใครไม่ได้
“ภูมิแพ้รึเปล่า?” ตื่นมาก็ทำตัวแสนรู้ขึ้นมาทันที ตายังลืมไม่ขึ้นด้วยซ้ำ
“รู้ได้ไง”
“อากาศเปลี่ยนทีไรแกก็เป็นแบบนี้ทุกที” ไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งนาน ยังอุตส่าห์จำได้ เรื่องรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เคยพลาดเลยจริง ๆ
“เรื่องปกติ ฉันชินแล้ว”
“ท่าทางแกทรมานจะตาย ไม่น่าชิน.... แล้วกินยายังอะ” ลุกขึ้นมานั่งเผชิญหน้ากับเธอแต่ยังไม่วายขยี้ตางัวเงีย
“ยัง” อาการส่ายหน้ารัว ๆ ทำให้อีกคนมีสีหน้าไม่พอใจ
“ทำไมไม่รีบกิน อาการกำเริบแล้วจะหาว่าไม่เตือนนะ”
“ก็มันเพิ่งเป็นอะ” เถียงคอเป็นเอ็นอย่างไม่ยอมแพ้ เพราะไม่ชอบให้ใครออกคำสั่ง
“เวลาพี่สอนอย่าเถียงได้ป่ะ”
“งั้นน้องขอถีบพี่ก่อนแล้วกัน” เห็นเธอทำท่าจะทำอย่างที่พูดจริง ๆ อีกคนรีบกระโดดหนีแทบไม่ทัน
“แม่แกรู้ป่ะ ว่าลูกสาวป่าเถื่อนแบบนี้อะ” ไม่วายหันมาต่อว่า
“แล้วพ่อแกรู้ยังว่าแกมาถึงกรุงเทพฯ แล้ว ได้โทรบอกเค้าบ้างไหม” กะว่าจะเอาคืน แต่มันกลับไม่สะทกสะท้านอะไร
“รู้สิ” ซ้ำยังตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“แล้วทำไมไม่รีบกลับบ้าน ไม่กลัวพ่อน้อยใจเหรอ”
“พ่อฉันไม่ขี้น้อยใจเท่าคนแถวนี้หรอก” ดวงตาคมชำเลืองมองพร้อมอมยิ้มเหมือนรู้ทัน เกลียดสีหน้าแบบนี้ของมันจริง ๆ
“แกหมายถึงใคร” ถามออกไปอย่างร้อนตัว
“แล้วแถวนี้มีแมวตัวไหนบ้างล่ะ”
“อ้าว พูดม้า ๆ อย่างงี้ได้ไงวะ”
“ฮันแน่ ยอมรับแล้วอะดิ ทำโมโหกลบเกลื่อน”
“ไปอาบน้ำเลยไป” พอเถียงไม่ออกเลยเลี่ยงด้วยการเปลี่ยนประเด็น
“อาบกับพี่ไหมน้องสาว” ยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มจนเห็นลักยิ้มข้างขวาชัดเจน ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัวก็ทำให้เธอแทบผงะ ลูกตาแพรวพราวเวลาได้มองใกล้ ๆ ทำใจเต้นแรงจนควบคุมไม่อยู่ เผลอเลียริมฝีปากตัวเองเร็ว ๆ ด้วยอาการประหม่า หวังว่ามันคงจะไม่ทันสังเกต...
“ฉันเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่น้องเว้ย” นิ้วเรียวดันหน้าผากคนขี้แกล้งแรง ๆ จนผงะถอยหลัง ก่อนจะแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ผ่านสถานการณ์ยากลำบากไปได้อย่างหวุดหวิด
“ฮัดเช่ย!”
เสียงจามที่ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าเรียกให้คนที่กำลังนอนเอกเขนกดูทีวีอยู่บนเตียงหันมาสนใจ
“ไหวป่ะเนี่ย... เจ็บคอด้วยรึเปล่า” ทิ้งรีโมทแล้วเดินมาที่มุมส่วนตัวของเธอ เงาที่ปรากฏราง ๆ บนแล็ปท็อปทำให้เธอต้องรีบปรับองศาหน้าจอให้คว่ำลงเพื่อไม่ให้อีกคนได้เห็นตัวอักษรที่เรียงรายอยู่บนนั้น
“นิดหน่อยน่ะ” เสียงอู้อี้ปนแหบบวกกับเสียงสูดน้ำมูกฟืดฟาด อาการแย่ลงกว่าเมื่อเช้าอย่างเห็นได้ชัด
“รู้ว่าแพ้อากาศยังจะมานั่งถ่อลมอยู่ได้” มองหน้าต่างที่เธอเปิดไว้รับลมด้วยสายตาตำหนิ ก่อนจะดึงมันให้แคบลง เหลือเพียงช่องเล็ก ๆ ให้อากาศได้ถ่ายเท
“ก็มันหายใจไม่ออก”
“แง้มไว้แค่นี้ก็ได้มั้ง”
“เสียบรรยากาศหมด”
“บ่นไร”
“เปล่า”
คนที่ยืนซ้อนหลังหมุนเก้าอี้ของเธอให้หันกลับหลังโดยไม่บอกกล่าว ทำเอาเธอตกใจแทบหล่นเก้าอี้ และอดไม่ได้ที่จะโวยวายใส่ตัวต้นเหตุ
“เล่นบ้าอะไรของแกวะ!”
แต่อีกคนกลับไม่สะทกสะท้าน ซ้ำยังโน้มตัวลงมาจนใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน มองเธอแล้วเอาแต่ยิ้ม
“โถ น่าสงสาร... จามจนจมูกแดงเลยอะ” ปลายนิ้วแตะแผ่วเบาบนปลายจมูก เพราะติดพนักเก้าอี้เธอจึงถอยหนีไม่ได้ มือนั้นเย็นแต่ทำไมพอถูกสัมผัสถึงได้รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เธอเองก็ไม่เข้าใจ
“จะมาล้อเพื่อ” ปัดมืออีกคนออกแล้วหมุนเก้าอี้หลบ ทนมองแววตาอบอุ่นที่เต็มไปด้วยความห่วงใยคู่นั้นไม่ไหว
“ไปหาหมอไหมฉันพาไป” เสียงที่ให้ความรู้สึกเดียวกันดังอยู่ใกล้ ๆ
“ไม่ล่ะ ไม่ได้เป็นไรมาก เดี๋ยวก็หาย”
“ให้นอนซมทั้งวันก่อนใช่ไหมค่อยไป”
“แกกลับไปที่ของแกได้แล้วไป ฉันขอเขียนนิยายตอนนี้ให้จบก่อน จะเอาไงค่อยว่ากัน โอเคไหม” เธอบอกตัดรำคาญ ซึ่งอีกคนก็ไม่ขัด
“ตามใจแล้วกัน”
พอหมดคนกวนใจก็คิดอะไรไม่ออกอยู่ดี เพราะในหัววนเวียนอยู่แต่กับเรื่องของคนคนเดียว โดยที่เจ้าตัวไม่ได้เดือดร้อนอะไรด้วยเลย
ยกเท้าขึ้นมาวางบนเก้าอี้แล้วกอดเข่าหลวม ๆ เอียงแก้มซบลงบนหัวเข่า ปล่อยความคิดให้เป็นอิสระ อยากนึกถึงอะไร หรือใครก็ให้มันเป็นไป คิดเสียให้พอจะได้เลิกฟุ้งซ่าน.....
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เทพบุตรรูปงามในความฝันถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่รู้จักกันมานาน ที่เวลาฝนตกฟ้าร้องไม่เคยมานั่งกุมมือหรือโอบกอดปลอบโยนกัน เพราะเป็นมันที่กรี๊ดดังยิ่งกว่าเธอ
ความเป็นจริงดูจะผิดเพี้ยนไปจากความฝันเสียทุกอย่าง ไม่ได้สมบูรณ์แบบและง่ายดายเหมือนในนิยายที่เธอเคยอ่าน ความรู้สึกนั้นซับซ้อนเกินกว่าจะทำความเข้าใจ แม้แต่ตัวเธอเองที่กว่าจะรู้ว่าสิ่งที่ต้องการคืออะไรก็เสียเวลาไปมากมาย
แต่พอเธอมั่นใจความรู้สึกตัวเอง อีกคนกลับทำให้เธอลังเล
เหมือนสายลมในฤดูหนาว จะไปจะมาเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ หากลองเอื้อมมือคว้าก็พบเพียงความว่างเปล่า พอถึงเวลาก็พัดหายไปอย่างไร้ร่องรอย และอีกเนิ่นนานกว่าจะหวนกลับมา หากเผลอวางความรู้สึกไว้กับสายลมก็คงพบแต่ความผิดหวังอยู่ร่ำไป
ความคิดเห็น