ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (SF) ‘CHANGE’ -2- เคลือบแคลง up 01.06.2015

    ลำดับตอนที่ #4 : [SF] WIND - 1 - ลมหวน [ก้อย x ดาว]

    • อัปเดตล่าสุด 21 ธ.ค. 57


     

     ก่อนจะอ่านฟิคเรื่องนี้เรามาลองสะกดจิตตัวเองก่อนดีกว่า

    ลองนึกดู หากว่าในชีวิตวัยมัธยมของก้อยกับดาวไม่มีเรื่องวุ่นวาย

    ทั้งคู่เป็นแค่เด็กธรรมดา ๆ คนหนึ่ง

    ไม่มีเพจจิ้นรัก

    เพื่อน ๆ ในห้องไม่รุมแซวกันเป็นจริงเป็นจังแบบในเรื่อง....



    ไม่มีสถานการณ์พาไป

     

    ไม่มีฉากเล่นจ้องตา


    ไม่มีฉากห้องลองเสื้อ 


    ไม่มีฉากในห้องนอน



    ไม่มีฉากปาฉิ่ง



    เอาล่ะ 


    ถ้าพร้อมแล้วก็ลองเลื่อนลงมาอีกนิด

    .

    .
    อีกนิด
    .
    .

    อีกนิด
    .
    .
    .

    อีกนิดนึง
    .
    .



    .

     

     

     

    ปีการศึกษาใหม่เริ่มต้นล่าช้ากว่าทุกปี กว่าจะปิดเทอมแรกก็ล่วงเลยมาจนเกือบสิ้นปี ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลนี้หรือเปล่าที่ทำให้สายลมของฤดูหนาวพัดผ่านบางส่วนของประเทศไทยช้าตามไปด้วย คิดแล้วก็ได้แต่ขำในความเพ้อเจ้อของตัวเอง รู้สึกว่ายิ่งเขียนอะไรเยอะก็ยิ่งเพี้ยนขึ้นทุกวัน ดินฟ้าอากาศคงไม่ได้มารับรู้ด้วยหรอกว่าใครจะไปใครจะมา

    มือหนึ่งยกขึ้นเท้าคาง อีกมือควงปากกาเล่น ดวงตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย มองใบไม้ปลิดปลิวตามแรงลมแล้วร่วงหล่นลงบนพื้น ความเหงาก่อตัวขึ้นเงียบ ๆ จนต้องถอนหายใจเพื่อขับไล่มันออกไป อยู่ ๆ ความคิดถึงก็แอบย่องเข้ามาทักทายเพียงแค่ได้สัมผัสถึงกลิ่นไอของฤดูหนาว คนที่อยู่เกือบเหนือสุดของระเทศไทยคงจะหนาวยิ่งกว่านี้หลายเท่า

    พอคิดถึงใบหน้าของอีกคนก็พาลหงุดหงิด แววตาห่วงหาก็แปรเปลี่ยน เหมือนมีโทสะเล็ก ๆ จุดอยู่กลางดวงตา เหลือบมองไปยังสมาร์ทโฟนที่หน้าจอมืดสนิทอย่างค้อนเคือง ราวกับว่ามันเป็นตัวแทนของคนในห้วงคำนึง เคยไลน์หาก็นานเป็นวันกว่าจะตอบ บางทีผ่านไปสามวันเพิ่งมีข้อความตอบกลับมา ล่าสุดนี่เกือบสี่วันแล้วยังไม่ตอบ แถมยังไม่ใส่ใจจะเปิดอ่านมันด้วยซ้ำ

    รู้ดีว่าในฐานะเพื่อนไม่ควรจะคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเท่านี้... เธอก็เบื่อตัวเองเหมือนกันกลายที่เป็นคนขี้น้อยใจจนดูงี่เง่า แต่ความรู้สึกมันบังคับกันได้ที่ไหน และทั้งหมดนั่นก็เป็นความผิดของคนคนเดียว

    เกือบปีที่ไม่เจอกันเคยคิดถึงกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือจะมีแค่เธอที่คิดไปเองคนเดียว

    ระยะทางแค่หกร้อยกิโลเมตร จะบินไปหาตอนนี้ก็ยังได้ แต่เธอไม่ทำหรอก เดี๋ยวมันจะยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ แม้ว่าจะคิดถึงแทบตายก็ตาม..

    สามปีก่อนตอนเพิ่งจบม.6 ที่บอกจะไปเรียนต่อถึงเชียงใหม่ก็เล่นเอาจุกจนพูดไม่ออก ทั้งที่คุยกันไว้แล้วว่าจะเรียนที่เดียวกัน พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ กลับมาเปลี่ยนคำพูด ยอมรับเลยว่าตอนนั้นเธอทั้งโกรธทั้งน้อยใจ จนไม่อยากมองหน้า เคยคุยกันทุกวันก็หยุดไปช่วงหนึ่ง แต่ก็ไม่นานเท่าที่ตั้งใจเมื่อทนใจแข็งกับข้อความที่ส่งมาซ้ำ ๆ กับน้ำเสียงหงอย ๆ ที่ผ่านทางสายโทรศัพท์ไม่ได้

                พ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อสมาธิเริ่มกระเจิดกระเจิง เอื้อมมือไปพับแล็ปท็อปลงเพราะเปิดไว้ก็ไม่ได้อะไร นิ้วชี้ดันแว่นกรอบหนาขึ้นแล้วเอนหลังไปพิงเก้าอี้นวมตัวใหญ่จนทั้งร่างแทบจมหายไปกับเก้าอี้ หลับตาลงเพื่อรวบรวมสมาธิ ขืนยังมัวแต่คิดถึงคนอื่นต่อไปงานเขียนที่ตั้งใจไว้คงไม่คืบหน้า

     

     

     

     

                ก๊อก ก๊อก ก๊อก

                เสียงที่ดังแทรกความคิดเข้ามาทำให้เธอสะดุ้ง

                “ดาว เดี๋ยวพ่อกับแม่ออกไปข้างนอกนะ  ลูกจะออกไปไหนไหม”

    “ไม่ล่ะค่ะแม่”

    “งั้นก็ฝากดูแลบ้านด้วยนะ”

                “ค่าแม่”

              ทุกสิ่งรอบตัวเงียบลงอีกครั้งหลังจากที่แม่เดินลงบันไดไป

                ถ้าเป็นเมื่อก่อน ประโยคที่ได้ยินคงจะเป็น “แม่ไม่อยู่บ้าน อย่าออกไปเถลไถลที่ไหนนะ”  

    แต่กว่าที่เธอและแม่จะหันมาคุยกันอย่างเข้าใจก็ลำบากเอาการ เพราะความคิดของแม่ไม่ได้เปลี่ยนกันง่าย ๆ

                แต่กับบางคนที่เหมือนจะเข้าใจกันทุกเรื่อง พอเอาเข้าจริง ๆ กลับเหมือนไม่รู้อะไรเลย ไม่เคยหยั่งถึงความคิดที่แอบซ่อนอยู่เบื้องหลังดวงตากลมโตคู่นั้นได้ ทำให้เธอต้องจมอยู่กับความสับสนและคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจ

                ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเธอมองไม่ออกเองหรือว่าอีกฝ่ายบิดบังไม่ให้รู้กันแน่




     

     

    ความคิดที่ทำท่าจะโบยบินไปไกลกลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงกริ่งจากรั้วบ้านที่ดังรัวไม่หยุด คนกดกริ่งดูเหมือนจะไม่เกรงใจเจ้าของบ้านเลยสักนิด ปากกาในมือถูกโยนทิ้งลงบนโต๊ะไม่เบานัก  จริง ๆ แล้วอยากจะปาใส่หน้าคนที่รัวกริ่งอยู่หน้าบ้านมากกว่า แต่อยู่ไกลไปหน่อยโต๊ะเลยต้องรับกรรมแทน

    ถอนฉุนก่อนลุกขึ้นมองผ่านช่องหน้าต่างเพื่อดูหน้าคนไร้มารยาท ทว่าลักษณะของคนที่กำลังยืนชะเง้อชะแง้อยู่หน้าประตูแปรเปลี่ยนความโกรธเป็นความตกใจ

    ปัง !

     เผลอกระชากหน้าต่างปิดจนเกือบกระแทกหน้าตัวเอง ดวงตากระพริบปริบ ๆ เพ่งมองภาพนั้นอย่างไม่อยากเชื่อ ก่อนที่สองเท้าจะสับไปบนพื้นอย่างว่องไว เพื่อลงไปต้อนรับ..... เรียกว่าสะสางกับผู้มาเยือนจะเหมาะกว่า

     



     

     

    พอประตูรั้วถูกดึงให้เปิดออก ก็พบกับรอยยิ้มซื่อ ๆ ตาใส ๆ อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวของคนคุ้นเคย ในมือหอบข้าวของพะรุงพะรังซ้ำยังมีเป้ใบโตสะพายหลัง ดูเหมือนจะตรงดิ่งมาที่บ้านเธอก่อนที่จะแวะบ้านตัวเองด้วยซ้ำ แล้วแบบนี้จะให้ตีความยังไง เธอควรจะโกรธมันต่อดีไหม

    “.....หวัดดีแก”

    ทักทายด้วยน้ำเสียงน่าเริงโดยไม่สนใจสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของเธอสักนิด

    “มาไงเนี่ย?”

    เป็นคำแรกที่คิดออกหลังจากบังคับหัวใจที่เต้นรัวให้สงบลง

                “เดินมามั้ง”

                คุยกันไม่กี่คำมันก็วอนโดนกระทืบอีกแล้ว ความรู้สึกที่กำลังพองโตพลันห่อเหี่ยวลงทันทีเมื่อได้ฟังคำตอบ ริมฝีปากที่เตรียมจะฉีกยิ้มเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง

                “กวนตีน”

              เจอไม้นี้เข้าไปเป็นใครก็คงคิดไม่ต่างกัน จะดีใจก็ดีใจไม่สุดให้ตายเถอะ

                “น้องดาวทำไมพูดจาไม่สุภาพอย่างงี้ล่ะคะ ใครสั่งใครสอนแกวะเนี่ย” ยังมีหน้ามาพูดจายียวนกวนประสาท แถมยังยื่นมือมาขยี้ผมเธอเหมือนเธอเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ  

                “หุบปากไปเลยนะ”

                “ดุจังวุ้ย พันธุ์ไรเนี่ย” ยิ่งนานวันสกิลความกวนตีนของมันก็ยิ่งเพิ่มพูน เมื่อก่อนก็ว่ากวนประสาทแล้วนะ ทุกวันนี้เธอคิดว่ามันมากกว่าเดิมแบบเท่าตัว

                “แกอยากจะยืนอยู่หน้าบ้านฉันทั้งวันใช่มั้ย” ยืนเท้าสะเอวมองผู้มาใหม่อย่างเอาเรื่อง แต่ใช่ว่าอีกคนจะกลัวเสียเมื่อไหร่

                “ก็รออยู่ว่าเจ้าของบ้านมันจะชวนเข้าบ้านเมื่อไหร่” ว่าพลางยัดถุงของฝากจากเมืองเหนือใส่มือเธออย่างถือวิสาสะ  “หนักจะตายอยู่แล้วเนี่ย ช่วยหน่อยดิ”

              เล่นยัดเยียดกันขนาดนี้จะให้ปฏิเสธยังไง ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินนำอีกคนเข้าไปในบ้านด้วยใบหน้างอง้ำ แล้วแอบถอนหายใจเบา ๆ

     

     

                ความคิดถึงมายืนเรียกถึงหน้าบ้าน พร้อมด้วยแคบหมูและน้ำพริกหนุ่ม


     

                โรแมนติกสุด ๆ

     

     

     

     

     

     

                “คืนนี้นอนค้างที่นี่ใช่ไหมลูก”

                “ค่ะ เดินทางมาทั้งวันเมื่อยตัวไปหมด ต้องขอรับกวนนอนที่นี่ซักคืนนะคะแม่...”

                “ดีแล้วล่ะลูก ไม่ได้เจอกันซะนาน จะได้อยู่คุยกันต่อ” พ่อเองก็สนับสนุน

                ไอ้เรื่องทำตัวเนียน ๆ ประจบประแจงผู้ใหญ่คงไม่มีใครเกิน หลังอาหารมื้อค่ำก็ชวนพ่อแม่เธอคุยอย่างออกรส สารพัดที่จะสรรหาเรื่องมาเล่า จนเกือบสามทุ่มก็ไม่มีทีท่าว่าวงสนทนานี้จะเลิกรา

                “นี่ขึ้นเครื่องมาใช่ไหมลูก”

              “เปล่าค่ะ นั่งรถทัวร์มา”

                ไม่แปลกใจนักที่ได้ยินคำตอบ พอมาถึงห้องนอนของเธอก็หลับเป็นตาย กว่าจะมีแรงตื่นมาเห่าต่อก็เกือบเย็น

                “เหนื่อยแย่เลย ทำไมไม่ขึ้นเครื่องบินมาล่ะ เร็วด้วยสบายด้วย”

                แม่ถาม ซึ่งเธอเองก็อยากรู้คำตอบจึงเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

                “อยากนั่งมองวิวข้างทางค่ะ เก็บบรรยากาศ”

                พอได้ฟังแล้วก็แอบเบะปากให้กับเหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผลของคนข้าง ๆ

                “แล้วมันคุ้มไหมล่ะ”  พ่อถามอย่างเอ็นดู

                “ไม่คุ้มค่ะ หนูหลับมาตลอดทางเลย” จบประโยคก็เรียกเสียงหัวเราะลั่นห้องรับแขก

    “เอ๊า เป็นงั้นไป”

    “สอบเสร็จวิชาสุดท้ายหนูก็รีบขึ้นรถมาเลยนะเนี่ย รอไม่ไหวคิดถึงบ้าน”  ว่าพลางเหลือบมองคนที่เอาแต่นั่งกดรีโมทเปลี่ยนช่องเล่นไปเรื่อย แต่อีกคนคงไม่ทันเห็นและไม่ทันได้ฟังด้วยซ้ำ

    “แม่ว่ารีบพาก้อยขึ้นนอนได้แล้วดาว พักผ่อนซะนะลูก เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พ่อกับแม่ขอตัวก่อน”

    “ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

    พ่อกับแม่บอกก่อนเดินขึ้นบันได ปล่อยให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันตามลำพัง

                “แกจะดูทีวีต่อหรือจะขึ้นห้อง” เอ่ยถามเมื่ออีกคนเอาแต่เงียบ

                “ขึ้นห้องสิ ห้องฉันก็มีทีวี” พูดจบจอทีวีก็มืดลงเพราะรีโมทที่อยู่ในมือ ก่อนเดินนำขึ้นไปบนห้อง ทิ้งให้คนมองเกาศีรษะแกรก ๆ อย่างไม่เข้าใจ

     



     

     

    ห้องนอนห้องเดิมดูแปลกตาไปมาก เมื่อคิตตี้สีชมพูที่เคยจับจองพื้นที่เกือบทั้งหมดเหมือนถูกลดความสำคัญลง มีของประดับตกแต่งลวดลายอื่นโผล่มาแทนที่เกือบครึ่งต่อครึ่ง

    เมื่อต่างคนต่างไม่พูดความเงียบจึงกลืนกินทุกสิ่ง

    “นี่แกไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่องตัวเองเลยใช่มั้ย” ที่ถามไปไม่ใช่ว่าอยากจะไล่หรอก แค่อยู่ด้วยกันตามลำพังแล้วมันไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่า จะว่าเธอกำลังเขินก็ไม่ผิด

    บรรยากาศเดิม ๆ กับคนเดิม ๆ แต่กลับไม่คุ้นเคยเหมือนแต่ก่อน

    “ไม่”

    ช่วยคิดก่อนตอบสักนิดได้ไหม

    “เลยมาอาศัยบ้านคนอื่นเค้าว่างั้น” มองตามจนเดินมาถึงเตียง กลิ่นครีมอาบน้ำที่เธอใช้ประจำลอยฟุ้งจากตัวของอีกคนเมื่อขยับเข้าใกล้

    “ใช่ ประหยัดดี”

    “หน้าด้าน” และเธอก็ไม่รีรอที่จะสวนกลับไปทันควันเช่นกัน

    “ยอมรับ” ตอบรับหน้าระรื่น ก่อนทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของเธอหน้าตาเฉย

    “ช่วยเลิกกวนตีนสักนาทีจะตายมั้ย?”

    “ไม่ตาย...” เว้นช่วงไว้นิดหน่อยก่อนพูดต่อ “แต่ก็ไม่แน่แฮะ”

    “งั้นก็ทรมานให้ตายไปเลยนะแก” หมอนที่อยู่ใกล้มือถูกใช้เป็นอาวุธ ทำให้ผู้ถูกกระทำร้องโอดโอย

    “โอ๊ย เจ็บนะเว้ย”

    “อยากกวนตีนก่อนทำไม” ยิ้มอย่างสะใจก่อนหยิบรีโมทมาเปิดทีวีเพื่อให้ห้องไม่เงียบจนเกินไป

    “หรือว่าแกไม่อยากให้ฉันนอนด้วย งั้นฉันกลับตอนนี้ก็ได้นะ” ชำเหลืองมองอีกคนเพียงหางตา เพราะน้ำเสียงนั้นไม่ได้มีความน้อยใจเจือปนอยู่เลย คนพูดคงรู้ดีว่าถึงอย่างไรเธอก็ใจร้ายไม่ลง

    “จะกลับก็กลับเลย”

    “งั้น...ไม่กลับดีกว่า”

    “นึกว่าจะแน่” เธอเหยียดยิ้มให้คนปากดี

    “กรุงเทพฯ นี่ก็อากาศหนาวเหมือนกันนะ ถึงจะไม่เท่าเชียงใหม่ก็เถอะ” เหลือบมองคนข้าง ๆ ก็พบว่าหมอนที่เธอโยนใส่กลายเป็นหมอนข้างให้อีกคนนอนกอดไปเสียแล้ว

    “แหงล่ะ แกอาบน้ำไปเรียนบ้างป่ะเนี่ย”

    “เฮ้ย พูดงั้นได้ไง อาบสิ.... สองวันครั้ง”

    “อี๋ โสโครก” แกล้งทำท่าขยับหนีอย่างรังเกียจ เพียงไม่นานรายทีวีที่เปิดไว้ไม่ได้รับความสนใจจากใครทั้งสิ้น

    “ฉันล้อเล่นน่า”

    “แต่ฉันว่าแกพูดจริงว่ะ”

    “แกคิดว่าฉันเป็นคนสกปรกขนาดนั้นเลยเหรอ”

    “เออสิ”

    “เดี๋ยวโดน”

    ไม่ทันตั้งตัวเมื่อถูกเพื่อนตัวดีฉุดลงไปนอนด้วยกันบนเตียงแล้วกอดไว้แน่น ใบหน้าเธอซุกอยู่ในระดับเดียวกับรักแร้

    “ก้อยยยยยยย ปล่อยฉัน” ดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดพูดเสียงอู้อี้

    “ดมให้ขาดใจตายไปเลยนะ” เสียงนั้นดูสะใจเหมือนผู้ชนะ ยิ่งทำให้คนที่รู้สึกเป็นรองดิ้นรนสุดกำลัง งัดไม้ตายสุดท้ายขึ้นมาสู้ด้วยการจี้เอวกลับ จนอีกฝ่ายยอมปล่อยมือและเป็นฝ่ายร้องห้ามเสียเอง

    “ดาว พอแล้ว พอ”

    “ไม่.. แกแกล้งฉันก่อนทำไม”

    “ขอโทษษษษ..... ดาว พอ... หายใจไม่ทัน”

    เสียงนั้นเหมือนคนจะขาดใจแต่ไม่ทำให้เธอใจอ่อน ท้ายที่สุดข้อมือเล็กก็ถูกรวบไว้แล้วกดตรึงกับที่นอน

    “ขยับไม่ได้แล้วสิแก” พูดด้วยเสียงเหนื่อยหอบในขณะที่ใบหน้าเกือบจะชิดกัน คนที่เปลี่ยนมาถือไพ่เหนือกว่ายิ้มกริ่มอย่างผู้มีชัยทั้งที่จังหวะหายใจยังปั่นป่วน

    ชั่วขณะที่ความห่างเหินถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศในวันวาน และมันกำลังจะสิ้นสุดลง เมื่อตาสบตาแล้วรับรู้ถึงสภาวะเสี่ยงต่อความรู้สึก สติจึงถูกดึงกลับสู่ปัจจุบัน

    “เลิกเล่นได้แล้ว” สลัดมือให้หลุดจากพันธนาการที่หละหลวมแล้วผลักอีกคนจนเสียหลักลงไปนอนข้างกัน

    “เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย” ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ข้างหู รู้สึกถึงดวงตาที่มองมาแต่เธอไม่กล้ามองกลับ

    “แก่แล้วไงแก ฉันไม่เห็นเหนื่อย” พูดแก้เก้อไปอย่างนั้นทั้งที่เธอเองก็หอบไม่แพ้กัน

    “ปากดีว่ะ” หลังจากจบคำพูดนั้นก็ปล่อยให้เสียงทีวีดังกลบเสียงหัวใจที่เต้นถี่... ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการออกกำลัง แต่อีกส่วนนั้นมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ดีว่าสาเหตุคืออะไร

    “ทำไมแกไม่ตอบไลน์ฉันวะ” ความในใจที่ค้างคาถูกเอ่ยถามออกมาในที่สุด ตาจับจ้องอยู่แต่เพดานห้องอันคุ้นเคยราวกับไม่เคยเห็นมันมาก่อน ดีแล้วที่หันข้างคุยกัน ถ้าได้เห็นใบหน้าของอีกคนเธอก็ไม่รู้จะถามออกไปยังไง

     “ฉันขอโทษ..ฉันอยากเซอร์ไพรซ์แกเลยแกล้งเงียบไป”

    “เซอร์ไพรซ์เหมือนตอนเข้ามหาลัยน่ะเหรอ” น้ำเสียงเจือความน้อยใจ ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้น

    “แกยังโกรธเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ”

    “เปล่าหรอก....”

    “แต่บอกตรง ๆ นะ พอนึกถึงทีไรก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้” แต่ยิ่งพูดความในใจที่เก็บไว้ก็ยิ่งพรั่งพรู เธอจะหยุดความรู้สึกของตัวเองไม่อยู่แล้ว

    “ขี้น้อยใจเหมือนเดิมนะแก.... ยังขี้แยอยู่หรือเปล่าเนี่ย?” น้ำเสียงเหมือนหยอกล้อ คงอยากทำให้บรรยากาศดีขึ้น ก่อนที่ประโยคถัดไปจะแทงใจคนฟังจนพูดไม่ออก

    “ไม่ใช่ว่าตอนนั้นแกแอบร้องไห้เพราะฉันหรอกนะ”

    “.....” ไม่รู้จะโกหกยังไงเลยได้แต่เม้มปากแน่นและเงียบอยู่อย่างนั้น ทำให้อีกคนร้อนรนจนทนอยู่เฉยไม่ได้

    “ขอโทษนะ ไม่คิดว่ามันจะทำให้แกน้อยใจขนาดนี้” น้ำเสียงนุ่มที่ฟังดูอ่อนโยนพร้อมกับวงแขนที่ค่อย ๆ  รั้งเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่น

    “นอนเถอะ” เป็นเธอเองที่ดันตัวออกมาจากอีกคน ไม่ได้รังเกียจอ้อมกอดนั้นแต่จำต้องปฏิเสธ ทั้งหมดก็เพื่อความปลอดภัยต่อความรู้สึกตัวเองทั้งนั้น




    อย่ามาทำให้รู้สึกดีแล้วสุดท้ายก็เงียบหายไปได้ไหม  ไม่อยากเป็นเหมือนเมื่อก่อน ที่อะไร ๆ ก็เรียกหาแต่แก ฉันยืนได้ด้วยตัวเองแล้วก็ปล่อยฉันไว้อย่างเดิมดีกว่า

     

     

     

     


     

    “ฮัดเช่ย!

    พยายามแล้วที่จะไม่ส่งเสียงให้คนหลับสะดุ้งตื่น แต่ท้ายที่สุดก็ทนกับอาการคันยิบ ๆ ที่ปลายจมูกไม่ไหว คนที่นอนข้างกันจึงรู้สึกตัว

    “ดาว... เป็นอะไร” เอ่ยถามอย่างงัวเงีย หัวคิ้วขมวดยุ่ง เหมือนการลืมตาตื่นเป็นเรื่องยากลำบากมากสำหรับอีกคนมาก

    “เปล่า” ตอบเสียงอู้อี้ขึ้นจมูก แต่อาการที่ฟ้องอยู่มันโกหกใครไม่ได้

    “ภูมิแพ้รึเปล่า?” ตื่นมาก็ทำตัวแสนรู้ขึ้นมาทันที ตายังลืมไม่ขึ้นด้วยซ้ำ

    “รู้ได้ไง”

    “อากาศเปลี่ยนทีไรแกก็เป็นแบบนี้ทุกที” ไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งนาน ยังอุตส่าห์จำได้ เรื่องรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เคยพลาดเลยจริง ๆ

    “เรื่องปกติ ฉันชินแล้ว”

    “ท่าทางแกทรมานจะตาย ไม่น่าชิน.... แล้วกินยายังอะ” ลุกขึ้นมานั่งเผชิญหน้ากับเธอแต่ยังไม่วายขยี้ตางัวเงีย

    “ยัง” อาการส่ายหน้ารัว ๆ ทำให้อีกคนมีสีหน้าไม่พอใจ

    “ทำไมไม่รีบกิน อาการกำเริบแล้วจะหาว่าไม่เตือนนะ”

    “ก็มันเพิ่งเป็นอะ” เถียงคอเป็นเอ็นอย่างไม่ยอมแพ้ เพราะไม่ชอบให้ใครออกคำสั่ง

    “เวลาพี่สอนอย่าเถียงได้ป่ะ”

    “งั้นน้องขอถีบพี่ก่อนแล้วกัน” เห็นเธอทำท่าจะทำอย่างที่พูดจริง ๆ อีกคนรีบกระโดดหนีแทบไม่ทัน

    “แม่แกรู้ป่ะ ว่าลูกสาวป่าเถื่อนแบบนี้อะ” ไม่วายหันมาต่อว่า

    “แล้วพ่อแกรู้ยังว่าแกมาถึงกรุงเทพฯ แล้ว ได้โทรบอกเค้าบ้างไหม” กะว่าจะเอาคืน แต่มันกลับไม่สะทกสะท้านอะไร

    “รู้สิ” ซ้ำยังตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย

    “แล้วทำไมไม่รีบกลับบ้าน ไม่กลัวพ่อน้อยใจเหรอ”

    “พ่อฉันไม่ขี้น้อยใจเท่าคนแถวนี้หรอก” ดวงตาคมชำเลืองมองพร้อมอมยิ้มเหมือนรู้ทัน เกลียดสีหน้าแบบนี้ของมันจริง ๆ

    “แกหมายถึงใคร” ถามออกไปอย่างร้อนตัว

    “แล้วแถวนี้มีแมวตัวไหนบ้างล่ะ”

    “อ้าว พูดม้า ๆ อย่างงี้ได้ไงวะ”

    “ฮันแน่ ยอมรับแล้วอะดิ ทำโมโหกลบเกลื่อน”

    “ไปอาบน้ำเลยไป” พอเถียงไม่ออกเลยเลี่ยงด้วยการเปลี่ยนประเด็น

    “อาบกับพี่ไหมน้องสาว” ยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มจนเห็นลักยิ้มข้างขวาชัดเจน ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัวก็ทำให้เธอแทบผงะ  ลูกตาแพรวพราวเวลาได้มองใกล้ ๆ ทำใจเต้นแรงจนควบคุมไม่อยู่ เผลอเลียริมฝีปากตัวเองเร็ว ๆ ด้วยอาการประหม่า หวังว่ามันคงจะไม่ทันสังเกต...

    “ฉันเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่น้องเว้ย” นิ้วเรียวดันหน้าผากคนขี้แกล้งแรง ๆ จนผงะถอยหลัง ก่อนจะแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ผ่านสถานการณ์ยากลำบากไปได้อย่างหวุดหวิด

     

     

     

     

     

    “ฮัดเช่ย!

    เสียงจามที่ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าเรียกให้คนที่กำลังนอนเอกเขนกดูทีวีอยู่บนเตียงหันมาสนใจ

    “ไหวป่ะเนี่ย... เจ็บคอด้วยรึเปล่า” ทิ้งรีโมทแล้วเดินมาที่มุมส่วนตัวของเธอ เงาที่ปรากฏราง ๆ บนแล็ปท็อปทำให้เธอต้องรีบปรับองศาหน้าจอให้คว่ำลงเพื่อไม่ให้อีกคนได้เห็นตัวอักษรที่เรียงรายอยู่บนนั้น

    “นิดหน่อยน่ะ” เสียงอู้อี้ปนแหบบวกกับเสียงสูดน้ำมูกฟืดฟาด อาการแย่ลงกว่าเมื่อเช้าอย่างเห็นได้ชัด

    “รู้ว่าแพ้อากาศยังจะมานั่งถ่อลมอยู่ได้” มองหน้าต่างที่เธอเปิดไว้รับลมด้วยสายตาตำหนิ ก่อนจะดึงมันให้แคบลง เหลือเพียงช่องเล็ก ๆ ให้อากาศได้ถ่ายเท

    “ก็มันหายใจไม่ออก”

    “แง้มไว้แค่นี้ก็ได้มั้ง”

    “เสียบรรยากาศหมด”

    “บ่นไร”

    “เปล่า”

    คนที่ยืนซ้อนหลังหมุนเก้าอี้ของเธอให้หันกลับหลังโดยไม่บอกกล่าว ทำเอาเธอตกใจแทบหล่นเก้าอี้ และอดไม่ได้ที่จะโวยวายใส่ตัวต้นเหตุ

    “เล่นบ้าอะไรของแกวะ!

    แต่อีกคนกลับไม่สะทกสะท้าน ซ้ำยังโน้มตัวลงมาจนใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน มองเธอแล้วเอาแต่ยิ้ม

    “โถ น่าสงสาร... จามจนจมูกแดงเลยอะ” ปลายนิ้วแตะแผ่วเบาบนปลายจมูก เพราะติดพนักเก้าอี้เธอจึงถอยหนีไม่ได้ มือนั้นเย็นแต่ทำไมพอถูกสัมผัสถึงได้รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เธอเองก็ไม่เข้าใจ

    “จะมาล้อเพื่อ” ปัดมืออีกคนออกแล้วหมุนเก้าอี้หลบ ทนมองแววตาอบอุ่นที่เต็มไปด้วยความห่วงใยคู่นั้นไม่ไหว

    “ไปหาหมอไหมฉันพาไป” เสียงที่ให้ความรู้สึกเดียวกันดังอยู่ใกล้ ๆ

     “ไม่ล่ะ ไม่ได้เป็นไรมาก เดี๋ยวก็หาย”

    “ให้นอนซมทั้งวันก่อนใช่ไหมค่อยไป”

    “แกกลับไปที่ของแกได้แล้วไป ฉันขอเขียนนิยายตอนนี้ให้จบก่อน จะเอาไงค่อยว่ากัน โอเคไหม” เธอบอกตัดรำคาญ ซึ่งอีกคนก็ไม่ขัด

    “ตามใจแล้วกัน”



     

    พอหมดคนกวนใจก็คิดอะไรไม่ออกอยู่ดี เพราะในหัววนเวียนอยู่แต่กับเรื่องของคนคนเดียว โดยที่เจ้าตัวไม่ได้เดือดร้อนอะไรด้วยเลย

    ยกเท้าขึ้นมาวางบนเก้าอี้แล้วกอดเข่าหลวม ๆ เอียงแก้มซบลงบนหัวเข่า ปล่อยความคิดให้เป็นอิสระ อยากนึกถึงอะไร หรือใครก็ให้มันเป็นไป คิดเสียให้พอจะได้เลิกฟุ้งซ่าน.....

    ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เทพบุตรรูปงามในความฝันถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่รู้จักกันมานาน ที่เวลาฝนตกฟ้าร้องไม่เคยมานั่งกุมมือหรือโอบกอดปลอบโยนกัน เพราะเป็นมันที่กรี๊ดดังยิ่งกว่าเธอ

    ความเป็นจริงดูจะผิดเพี้ยนไปจากความฝันเสียทุกอย่าง ไม่ได้สมบูรณ์แบบและง่ายดายเหมือนในนิยายที่เธอเคยอ่าน ความรู้สึกนั้นซับซ้อนเกินกว่าจะทำความเข้าใจ แม้แต่ตัวเธอเองที่กว่าจะรู้ว่าสิ่งที่ต้องการคืออะไรก็เสียเวลาไปมากมาย

    แต่พอเธอมั่นใจความรู้สึกตัวเอง อีกคนกลับทำให้เธอลังเล  

    เหมือนสายลมในฤดูหนาว จะไปจะมาเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ หากลองเอื้อมมือคว้าก็พบเพียงความว่างเปล่า พอถึงเวลาก็พัดหายไปอย่างไร้ร่องรอย และอีกเนิ่นนานกว่าจะหวนกลับมา หากเผลอวางความรู้สึกไว้กับสายลมก็คงพบแต่ความผิดหวังอยู่ร่ำไป

     

     

     

     





     

     

    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×