ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (SF) ‘CHANGE’ -2- เคลือบแคลง up 01.06.2015

    ลำดับตอนที่ #3 : [SF]::Dark Knight:: -1-

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ย. 57


     Dark Knight

    -1-

     

     

     

     

    เสียงดนตรีไทยประโคมท่วงทำนองโศกสลดและโหยไห้ ร่างที่ร่ายรำกวัดแกว่งดาบอันคมกริบอยู่เบื้องหลังก่อให้เกิดอาการอกสั่นขวัญผวา ดาบในมือเงื้อง่าทำท่าจะจ้วงฟันอยู่หลายหน เบื้องหน้าวิญญาณร้ายคือเหยื่อที่กำลังร้องไห้ให้กับวิญญาณที่โศกเศร้าอาดูรด้วยทุกข์ความทรมาน

    “มนัสวี เลิกเล่นสนุกซักที ถึงเวลาที่เธอต้องกลับบ้านนอนแล้วเด็กน้อย” เสียงนุ่มนั้นก้องกังวานไปทั่วห้องเก็บของ ประตูที่เคยเปิดกว้างมีเงาร่างบดบังแสงสลัวที่สาดส่อง ร่างเล็กผวาไปด้วยคิดว่าเป็นอีกหนึ่งดวงวิญญาณที่วนเวียนอยู่ในสถานศึกษา สวดมนตร์กลับไปกลับมาจนแทบฟังไม่เป็นภาษา กอดศีรษะของซากศพไว้แนบอกไม่ยอมปล่อย

    ทว่าพอร่างนั้นปรากฏเสียงบรรเลงที่หลอกหลอนกลับเงียบหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาอย่างเชื่องช้าแทบทำเธอหยุดหายใจ

    “ไม่ต้องกลัว เราเป็นคนไม่ใช่ผี” พูดประโยคนั้นอย่างนุ่มนวลเหมือนอ่านใจเธอออก แต่จะให้ปักใจเชื่อได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามจะบอกขัดแย้งกับสถานการณ์เหลือเกิน


    “อย่าเข้ามานะ!” เสียงเล็กหวีดร้องพร้อมกระถดตัวหนีจนแผ่นหลังติดกำแพง สติที่เพิ่งกลับเข้าที่เริ่มจะปั่นป่วนอีกครั้ง ซากที่อยู่ในห่อผ้าสีขมุกขมัวกระเด็นไปอีกทาง

    “บอกแล้วไงว่าเราเป็นคนไม่ใช่ผี เรามาช่วยเธอไม่ได้มาทำร้าย” เสียงเข้มขึ้นเล็กน้อยเหมือนขัดใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมเชื่อ มนัสวีหลับตาปี๋เมื่อร่างนั้นไล่ต้อนเธอให้จนมุม สองมือสั่นระริกประนมขึ้นเหนือศีรษะ สวดมนต์อ้อนวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือตนให้รอดพ้นจากภยันตรายเบื้องหน้า

    ผู้มาใหม่โน้มตัวลงไปหาร่างสั่นเทาที่เบียดชิดติดกับกำแพง ก่อนจะโอบกอดไว้แนบแน่น

    “ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรทำร้ายเธอได้แล้ว” คำปลอบโยนที่ดังอยู่ข้างหูแม้ไม่อ่อนหวานแต่กลับทำให้เธอเชื่อได้อย่างสนิทใจ

    ความอบอุ่นจากร่างกายที่มีเลือดมีเนื้อเฉกเช่นเดียวกันทำให้เธอวางใจ ประกอบกับกลิ่นหอมประหลาดที่กำลังกล่อมให้เธอสงบนิ่ง หรืออาจจะเป็นเพราะอ้อมกอดอุ่นที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยและคลายความหวาดกลัว จนเผลอกอดตอบอีกฝ่ายแน่นราวกับจะยึดไว้เป็นที่พึ่ง

    ทุกสิ่งรอบตัวเงียบงัน บรรยากาศอันน่าหวาดกลัวหายไป เหลือเพียงความมืดของยามค่ำคืนที่กลืนกินทุกสิ่งอย่าง

    “ไม่ต้องห่วงเรื่องวนิดา เราจัดการเอง แต่ตอนนี้เราต้องกลับบ้านกันก่อน” อ้อมกอดอุ่นคลายออกอย่างช้า ๆ เมื่อเห็นว่ามนัสวีสงบลง น่าแปลกที่วูบหนึ่งนั้นรู้สึกเสียดายที่ต้องผละห่าง

    พออีกฝ่ายพูดจบก็คว้ามือของเธอไว้อย่างถือวิสาสะแล้วพาเดินลงออกไปจากห้องเก็บของซึ่งเธอก็เดินตามไปอย่างว่าง่ายโดยไร้ข้อโต้แย้ง คิดเพียงว่าอยากออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด

    ตลอดทางมนัสวีเอาแต่ก้มหน้ามองแต่ปลายเท้าของตน เกรงว่าหากเงยหน้าขึ้นมองจะพบกับภาพชวนสยดสยองอย่างที่เคยเจอ  

    “ขึ้นรถ รีบออกไปจากที่นี่” กระชากประตูรถให้เปิดออกแล้วดันร่างเธอเข้าไปในห้องโดยสารอย่างรีบร้อน ซึ่งเธอก็คิดไม่ต่างกัน

     

     




     

    ทันทีที่รถพ้นเขตโรงเรียนมาได้ความอ่อนล้าก็เริ่มแสดงอาการ มนัสวีทิ้งน้ำหนักไปบนเบาะนุ่มอย่างเต็มที่ ผ่านทั้งความหวาดกลัวและความตื่นเต้นระทึกใจมานั้นต้องใช้พลังงานไปอย่างเหลือเฟือ พออยู่ในที่ปลอดภัยประสาทตึงเครียดจึงเริ่มคลายตัว

    “เธอรู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่ ที่นั่นตอนกลางคืนมันไม่ใช่สนามเด็กเล่นนะ” เสียงตำหนิดังจากคนขับทำให้นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว ดวงตาภายใต้กรอบแว่นเหลือบมองเสี้ยวหน้าในเงาสลัวอย่างพินิจ ความสงสัยในตัวบุคคลปริศนาเริ่มทำงานในทันที

    ก่อนหน้านี้ลืมคิดไปเลยว่าคนคนนี้รู้ความเป็นไปของเธอได้อย่างไร เมื่อตอนอยู่ที่โรงเรียนก็เรียกชื่อเธอได้ถูกต้อง  

    เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้เห็นหน้าของผู้มีพระคุณ (?) แม้จะเพียงเสี้ยวหน้าด้านเดียวก็ตาม จำได้ว่าทั้งคู่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอย่างแน่นอน ดูไปแล้วน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่น้ำเสียงและท่าทีวางอำนาจช่างขัดกับใบหน้าอ่อนเยาว์เหลือเกิน

    แต่ขณะเดียวกันก็ดูเป็นความขัดแย้งที่ลงตัวอย่างน่าประหลาด

    “ฉันต้องไป มันจำเป็น ไม่งั้นฉันก็ต้องตาย” ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่คนที่นั่งอยู่บนหลังพวงมาลัยกลับประสาทไวกว่า

    “หึ! จำเป็นที่จะต้องไปขุดคุ้ยตำนานเก่า ๆ พวกนั้นด้วยใช่ไหม?” คำถามติดประชดประชันพร้อมตวัดสายตามองเธอแวบหนึ่งก่อนหันไปมองถนนอย่างเดิม ความเร็วของรถเพิ่มขึ้น ดูเหมือนอีกคนกำลังโกรธ  มนัสวีก้มหน้านิ่งทั้งที่แปลกใจว่าทำไมอีกคนถึงได้รู้เรื่องเธอเสียละเอียดยิบ เม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง เธอเองก็ไม่ชอบที่ถูกคนแปลกหน้าตำหนิ แต่ก็หาเหตุผลมาโต้แย้งไม่ได้เช่นกัน จึงเลือกที่จะเงียบ

    “เธอไม่รู้ใช่ไหมว่ามันอันตรายแค่ไหน คิดว่าถ้าเธอทำตามเงื่อนไขที่ลงไว้ในเว็บบอร์ดบ้า ๆ พวกนั้นแล้วเรื่องมันจะจบหรือไง

    “แล้วเธอเป็นใคร ถึงได้รู้ดีไปซะทุกเรื่อง” เสียงลอดไรฟันหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ แต่ในความเงียบย่อมได้ยินอย่างชัดเจน ทันทีที่จบประโยครถก็ชะลอความเร็วลงอย่างกะทันหันก่อนหักเลี้ยวเข้าไปจอดบนไหล่ทาง ทำเอาคนที่ไม่ทันตั้งตัวศีรษะแทบจะทิ่มลงไปกับคอนโซลหน้ารถ

    “เราจะเป็นใครมันไม่สำคัญหรอกมนัสวี แต่เราเชื่อว่าเรารู้จักพวกนั้นดีกว่าเธอแน่ ๆ รู้ว่าอยากลองของ แต่ช่วยเล่นให้มันถูกที่ถูกเวลาหน่อยเถอะ” สารถีเลือดร้อนยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ ใช้สายตาดุดันข่มเธอจนตัวลีบเล็ก

    “เธอรู้อะไรไหม ถ้าเราไปถึงช้ากว่านั้นสักนิดมันไม่ไว้ชีวิตเธอแน่” นัยน์ตาสีเดียวกับรัตติกาลสะกดให้เธอจ้องมองอย่างไม่อาจเลี่ยงหลบ และกำลังบอกเธอว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่น

    “จากนี้ไปชีวิตเธอจะยุ่งยากยิ่งกว่าเดิมแน่ ๆ ประตูที่มันเปิดออกแล้ว ไม่มีทางจะปิดลงได้ง่าย ๆ หรอกนะ”


    ทิ้งคำพูดชวนเคลือบแคลงเอาไว้ให้เธอขบคิดแล้วออกรถไปโดยไม่ส่งสัญญาณเตือน

     

     

     

     

     

    รถแล่นมาจอดหน้าบ้านในเวลาย่ำรุ่งแสงอาทิตย์รำไรทาทาบขอบฟ้าทางทิศตะวันออก ไม่ต้องรอให้ใครออกคำสั่ง มนัสวีแทบจะกระโดดลงจากรถไปที่ประตูรั้ว ก่อนวิ่งพราดพราดเข้าไปในบ้านโดยไม่คิดจะร่ำลาเจ้าของรถ

    “วี หายไปไหนมาทั้งคืน รู้ไหมแม่กับแม่. ” ไม่รอให้จบประโยค มนัสวีโผเข้ากอดผู้เป็นแม่เต็มรักด้วยความรู้สึกมากมายที่ท่วมท้น แม่ถึงกับชะงักไปเมื่อเห็นอาการของลูกสาว จากที่จะต่อว่าก็กลายเป็นกอดตอบแล้วลูบหลังปลอบ

    “หนูขอโทษค่ะแม่ เพื่อนหนูมีปัญหา หนูก็เลยไปช่วยเค้ามา... หนูไม่ได้ทำอะไรเสียหายจริง ๆ นะคะ” คนที่เพิ่งเดินตามเข้ามาทีหลังแอบเหยียดยิ้มพร้อมนึกตำหนิในใจ

    ไม่ได้ทำเรื่องเสียหาย แต่ทำเรื่องฉิบหายมาสินะ....

    แม่ผละออกมองหน้าลูกสาวอย่างช่างใจ ก่อนเอ่ย “แม่เชื่อวีนะ แต่คราวหลังอย่าทำอย่างนี้อีกนะ”

    “ค่ะแม่” รับคำด้วยรอยยิ้มโล่งใจก่อนที่พ่อจะเข้ามาโอบไหล่เบา ๆ

    แม่มองผ่านศีรษะเธอไปด้วยสีหน้าเคลือบแคลงสงสัย

    “แล้วนั่น ลูกพาใครมาด้วยน่ะ”

    ประโยคของแม่ทำให้มนัสวีตาเบิกโพลง ความกลัวแล่นพล่านไปทั่วร่างอีกครั้ง ด้วยคิดไปว่าอาจเป็นวิญญาณร้ายที่ตามมาจากโรงเรียน

    “สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่”

    แต่เมื่อได้ยินเสียงที่เริ่มคุ้นเคยก็คลายกังวล

    “หนูเป็นเพื่อนวีเหรอจ๊ะ”

    แม่เอ่ยถามหลังจากที่รับไหว้เด็กผู้หญิงแปลกหน้าอย่างงุนงง มนัสวีมองตามสายตาของผู้ให้กำเนิดก็พบกับคนที่เธอเพิ่งผละจากมา และลืมอีกฝ่ายไปเสียสนิท แต่ท่าทีและน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปทำให้เธอไม่เข้าใจว่าอีกคนกำลังทำอะไรอยู่

    “ค่ะคุณแม่” พูดแล้วเดินเข้ามาในบ้านอย่างสงบเสงี่ยมผิดกับคนที่อยู่หลังพวงมาลัยไปเป็นคนละคน ตีหน้าเศร้าเหมือนเด็กทำความผิด.... ทำแบบนี้ต้องการอะไรกันแน่ ในเมื่อเธอก็ยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของอีกฝ่าย

    พ่อกับแม่มองหน้าลูกสาวสลับกับผู้มาใหม่อย่างขอคำตอบ

    คำตอบที่เธอเองก็ให้ไม่ได้เช่นกัน มนัสวีเผลอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ สมองที่เริ่มเฉื่อยชาจากการผักผ่อนไม่เพียงพอก็หาข้ออ้างมาให้กับแม่ไม่ได้

    “หนูชื่ออะไรเหรอลูก?”

    พ่อเอ่ยถามทำลายความเงียบ คลายสถานการณ์อันน่าอึดอัดลงไปได้บ้าง

    เอมค่ะ”

    “ทำไมพ่อไม่เคยเห็นหน้าเลยล่ะวี”

    พ่อหันมาซักเธอแต่จะให้ตอบอย่างไรในเมื่อเธอเองก็เพิ่งรู้จักชื่อเค้าพร้อมกันกับพ่อและแม่นี่แหละ

    “เค้าไม่เคยมาบ้านเราค่ะ เลยไม่เห็น”

    “หนูขอโทษนะคะที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่สบายใจเรื่องวี หนูมีปัญหากับที่บ้านเลยให้วีไปอยู่เป็นเพื่อน หนูขอโทษจริง ๆ ค่ะ”

    มนัสวีทำหน้าเหมือนกินยาขมเมื่อได้ฟังเรื่องโกหกที่อีกคนกุขึ้นมาสด ๆ ร้อน ๆ ซ้ำยังแสดงได้อย่างสมบทบาทอีกด้วย

    เสียงที่กำลังพูดกับพ่อและแม่ทั้งสั่นเครือและน่าสงสาร ใบหน้าก้มต่ำขณะที่สารภาพผิด

    ถ้าคนตรงหน้าเป็นนักแสดงคงได้รางวัลออสการ์ในฐานะที่ตีบทได้แตกกระจุย แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่มนัสวีถึงได้มีความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่อย่างนี้

    “เอาเถอะลูก ไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ ไว้ค่อยคุยกันทีหลังนะ” แม่เดินเข้าไปโอบไหล่คนที่อ้างว่าเป็นเพื่อนของลูกสาวด้วยความสงสารเพราะเชื่อละครตบตาฉากนั้นอย่างสนิทใจ

    “ลูก ๆ กินอะไรมาหรือยังล่ะ หิวกันไหม” พ่อเองก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดีไม่แพ้กัน แต่มนัสวีมีหลายเรื่องให้ต้องสะสางจึงต้องปฏิเสธไป

    “ไม่หิวค่ะ หนูพาเอมไปพักผ่อนก่อนนะคะ เมื่อคืนแทบไม่ได้นอนเลย” เธออ้างก่อนฉวยข้อมือเพื่อนใหม่ (?) ขึ้นไปบนห้องอย่างไม่รีรอ

     


     

     

    “เธอ...”

    “ยังไม่ต้องพูดอะไรตอนนี้ เรารู้ว่ามีหลายเรื่องที่เธอสงสัยและไม่เข้าใจ”

    พออ้าปากจะต่อว่าอีกฝ่ายกลับทำท่าเหมือนรู้ทัน พูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เธอกลับต้องเงียบฟัง พออยู่ด้วยกันตามลำพังบรรยากาศเดิมก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อคนตรงหน้าเปลี่ยนบทบาทเร็วราวกับพลิกฝ่ามือ

    “แล้วทำไมไม่อธิบายซักทีล่ะ?”

    “เราอธิบายแน่ แต่ต้องหลังนี้... เธอไปนอนก่อนดีกว่า” ท่ากอดอกหลวม ๆ ของเอมกลับทำให้มนัสวีรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคามกลาย ๆ

    “ยังคิดว่าฉันจะนอนหลับได้อีกเหรอ?” มนัสวีมองอีกคนด้วยสีหน้าอมทุกข์ หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ มา เธอเชื่อว่าคงข่มตาให้หลับลงได้ยาก

    “ได้สิ เรามีวิธี” การระบายยิ้มบาง ๆ พาให้ใบหน้าเรียบเฉยแลดูอ่อนโยนขึ้นทันตา มนัสวีปล่อยให้อีกฝ่ายถอดแว่นไปให้พ้นจากใบหน้าอย่างง่ายดาย

    “ไปอาบน้ำแล้วนอนเถอะนะ เชื่อเรา”

    มนัสวีถอยหายใจอย่างยอมแพ้ ก่อนฉวยเอาแว่นคู่ใจมาถือไว้เอง หมดแรงจะหาเรื่องต่อล้อต่อเถียงเพราะความง่วงเข้าครอบงำจนสมองเฉื่อยชา

    “ก็ได้”

     



     

     

    “พอจะนอนจริง ๆ แล้วนอนไม่หลับใช่ไหมล่ะ?” มนัสวีพลิกตัวกลับมามองคนที่เพิ่งออกจากห้องน้ำของเธอ พยักหน้ารับอย่างไม่อาย การที่มีคนคนนี้อยู่ใกล้ ๆ มันก็ทำให้เธออุ่นใจขึ้นมาก แม้จะยังมีคำถามมากมายที่ยังไม่ได้รับคำตอบก็ตาม

    “พอหลับตาลงทีไรมันก็เห็นภาพพวกนั้นตลอด” ริมฝีปากซีดเซียวพึมพำเหมือนละเมอ ความอ่อนล้าปรากฏชัดในสีหน้าและน้ำเสียง

    “เราอยู่ตรงนี้ทั้งคน ยังต้องกลัวอะไรอีก”

    คำพูดอวดตัวของอีกคนทำให้หัวคิ้วของมนัสวีขมวดมุ่น เหลือบตามองอย่างไม่เชื่อ

    “เธอไม่เชื่อเราก็อย่าดูถูกเรานะ ตอนอยู่ที่โรงเรียนเธอก็เห็น” เอมเดินมาทิ้งตัวลงบนที่นอนของเธอโดยไม่ได้เชื้อเชิญ และเชื่อว่าถึงจะห้ามไปก็เปล่าประโยชน์กับคนคนนี้อยู่ดี

    “ช่างมันเถอะ” มนัสวีถอนใจอย่างยอมแพ้ก่อนพลิกตัวหนีเพื่อตัดบท

    “เดี๋ยวสิ” แต่กลับถูกมือของอีกคนรั้งเอาไว้ โน้มตัวลงมาจนใบหน้าห่างกันแค่คืบ

    “.....”

    “ทำใจให้สบาย ไม่เป็นไรแล้วนะ” ดวงตาสีนิลที่มองสบดูอ่อนโยนและเป็นมิตรผิดจากตอนที่อยู่บนรถอย่างลิบลับ กลิ่นหอมอบอวลปะปนกับกลิ่นครีมอาบน้ำทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ มัวแต่หลงอยู่ในวังวนของนัยน์ตาคู่คม จนไม่ทันสังเกตว่ากำลังตกอยู่ใต้อาณัติของอีกฝ่าย รู้ตัวอีกทีก็เมื่อเรียวแขนของอีกคนวางทาบอยู่ข้างลำตัว ราวกับจงใจกักร่างเธอเอาไว้ในวงแขนนั้น

    ริมฝีปากอุ่นจรดลงบนหน้าผากแผ่วเบา ระเรื่อยลงมาจนถึงปลายจมูกและหยุดนิ่งที่ตำแหน่งเดียวกัน น่าแปลกที่เธอกลับยินยอมทั้งที่อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงเหมือนกัน และที่สำคัญเป็นเพียงคนแปลกหน้า จะโทษว่าเป็นเพราะความอ่อนแอหรือพลังบางอย่างจากคนตรงหน้าที่แทรกแซงเข้ามาจนเธอจนสูญเสียความเป็นตัวเอง

    ปฏิเสธไม่ได้ว่าสัมผัสจากริมฝีปากอุ่นทำให้รู้สึกดี  นอกจากจะไม่ปฏิเสธแล้วยังโอนอ่อนตามอย่างง่ายดาย ริมฝีปากสั่นระริกสนองตอบจุมพิตนุ่มนวลอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนที่รสสัมผัสอ่อนหวานจะค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นร้อนรุ่มด้วยการรุกล้ำที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า

    ริมฝีปากร้อนกำลังแผดเผาเธอให้มอดไหม้  ราวกับจะขโมยลมหายใจไปกักเก็บไว้แต่เพียงผู้เดียว มือเล็กจิกเล็กไปบนไหล่ของอีกฝ่ายเพื่อเตือนสติเมื่อเธอเริ่มขาดอากาศ และมันได้ผลเมื่อเรียวปากที่สร้างความหวั่นไหวให้ผละห่าง

    ทว่าไม่หยุดเท่านั้นเมื่อเธอรู้สึกร้อนวูบบริเวณลำคอ ความอุ่นชื้นจากปลายลิ้นมาพร้อมอาการแสบเล็ก ๆ บริเวณแผลที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุเมื่อวานนี้ แต่เพียงไม่นานความเจ็บนั้นก็หายไปแทนที่ด้วยอาการวูบไหวในช่องท้อง จนเผลอหลุดครางออกมาเบา ๆ

    “อื้อ”

    “จะไม่มีอะไรมาสร้างบาดแผลให้เธอได้อีก เพราะเธอ... ”

    เสียงในท้ายประโยคขาดหายไปขณะอีกคนพร่ำบ่นชิดซอกคอหอมกรุ่น พร้อมสติที่เริ่มเลือนรางของมนัสวี

     



     

    16.11.2014

     

    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×