ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ศึกไทยใหญ่เมืองคัง...ชี้ชะตาบัลลังก์หงสาวดี
::ศึกไทยใหญ่เมืองคัง...ชี้ชะตาบัลลังก์หงสาวดี::
::พุทธศักราช ๒๑๒๑ ขาลศก::
พระยาจีนจันตุลอบลงเรือสำเภาจีนหนีออกจากกรุงศรีอยุธยาไปทางปากน้ำหมายจะออกทะเลเพื่อกลับสู่เขมร พันวิกรมโยธารีบนำความขึ้นกราบทูลให้พ่ออยู่หัวทรงทราบ ขณะนั้นพระนเรศวรแลพระเอกาทศรถเสด็จมาประทับแรมในกรุงศรีอยุธยาด้วย พระองค์ทั้งสองจึงอาสานำกำลังออกสกัดพร้อมด้วยข้าหลวงที่ติดตามมาจากสองแคว
พระอินทราธิปราชนัดดาเข้าเวรอยู่บนกำแพงเมือง ทอดพระเนตรเห็นกระบวนเรือพระที่นั่งทรงเครื่องยุทธพิชัย ตรัสถามทหารได้ความว่า พระยาจีนจันตุลอบลงเรือสำเภาจีนหนีออกไปทางปากน้ำ พระนเรศวรแลพระเอกาทศรถเสด็จทางชลมารคหมายจักนำตัวกลับมารับอาญา พระอินทราธิปจึงรีบลงเรือปืน พร้อมขุนพิทักษ์ราชกิจ หมื่นฤทธิณรงค์ พันโยธารักษ์ พันประจักษ์กมล ไพร่พลทหารล้อมเมืองแลทหารจีนอีก ๑๐ ลำเรือเร่งออกติดตาม
ด้วยกระบวนเรือของพระอินทราธิปเป็นเรือเร็วจึงติดตามทันกระบวนเรือของพระนเรศวรและพระเอกาทศรถ เมื่อพระองค์ทั้งสองทอดพระเนตรเห็นว่าเป็นเรือเร็วก็ให้เร่งฝีพายล่วงหน้าไปก่อน กองเรือของพระอินทราธิปไล่ทันเรือสำเภาของพระยาจีนจันตุที่ปากน้ำแลได้ยิงต่อสู้กันเป็นการใหญ่ ไม่นานนักกองเรือของพระนเรศวรและพระอนุชาก็ตามมาทัน
พระอินทราธิปให้ฝีพายเร่งไปจนเทียบได้กับเรือพระยาจีนจันตุ พระองค์แลขุนพิทักษ์ปีนขึ้นเรือพระยาจีนจันตุแลเข้าต่อสู้กับพวกกุลีจีน พระยาจีนจันตุออกมาประยุทธ์กับพระอินทราธิป พระอินทราธิปกระโดดปล้ำจนกระโจนลงไปในน้ำ แลต่อสู้กันอยู่ในน้ำนั้น
ฝ่ายพระนเรศวรทรงเร่งเรือพระที่นั่งขึ้นหน้า แล้วทรงยืนที่หน้ากัญญาเรือประทับพระแสงปืนนกสับยิงใส่เรือสำเภาโดยมิได้หวั่นเกรงต่อห่ากระสุนที่ฝ่ายศัตรูยิงมาแม้แต่น้อย
กระสุนนัดหนึ่งต้องรางพระแสงปืนแตก พระเอกาทศรถทอดพระเนตรเห็นดังนั้นเกรงว่าพระเชษฐาจะทรงเป็นอันตราย จึงทรงเร่งเรือเข้าป้องกันแลระดมยิงปืนใส่ศัตรู
พระอินทราธิปถูกกระสุนปืนข้าศึกเข้าที่แขนซ้าย ขุนพิทักษ์ราชกิจรีบกระโจนลงไปช่วย พระยาจีนจันตุได้ทีจึงว่ายน้ำเข้าหาเรือ พวกกุลีจีนช่วยกันฉุดขึ้นมาจากน้ำ
เรือสำเภาแล่นได้ทางลมทะเลก็กางใบ เรือรบไทยที่ติดตามมาเป็นเรือยาวสู้แรงลมทะเลไม่ จึงได้เพียงแต่ยิงไล่หลังเรือสำเภาจีนที่กำลังแล่นห่างออกไป
ทหารล้อมเมืองเร่งฝีพายนำพระอินทราธิปกลับเข้ากรุงศรีอยุธยา
"ขอบใจเจ้ามากอินทราธิป ที่ช่วยพี่จนตัวได้รับอันตราย" พระนเรศวรตรัสพลางทอดพระเนตรพระอนุชา
พระอินทราธิปทำท่ายกมือขึ้นประนมกราบทูล
"เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันพระพุทธเจ้าข้า" พระอินทราธิปแข็งใจตอบ พลางมองไปยังหญิงงามผู้กำลังชันเข่าเข้ามาถวายพระสุธารสต่อพระองค์เจ้าทั้งสอง นางแต่งกายอย่างข้าสนมชาววัง สไบโปร่งแสงสีชมพูพาดไหล่ซ้าย กำไลข้อมือแลต่างหูทองคำ มวยผมเกล้ารวบไว้บนศีรษะมีปิ่นทองรูปนกยูงปักอยู่
"แม่หญิง...สมเด็จพ่อ สมเด็จแม่รู้เรื่องนี้แล้วรึยัง"
หญิงงามวางเครื่องสุธารสลงข้างๆที่ประทับ ก่อนจะประนมมือกราบทูล
"ทรงทราบแล้วเพคะ กำลังเสด็จมา..." หญิงงามตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน พระอินทราธิปพยักหน้า ก่อนที่นางจะชันเข่าถอยออกไป
พระขัตติบุรุษทั้งสองสบพระเนตรกันแล้วยิ้มมุมโอษฐ์เล็กน้อย
"นั่นแน่! น้องพี่มีสาวงามคอยปรนนิบัติ ผู้ใดกันรึ ฤๅจักเป็นชายาเจ้า" พระนเรศวรตรัสหยอก
พระอินทราธิปถลึงตา
"มิใช่พระเจ้าข้า นางเป็นผู้ตรวจการณ์ที่หม่อมฉันตั้งให้ดูแลคัดเลือกชาวจีนมาฝึกทหาร เคยเป็นสหายคบหากันมาตั้งแต่คราวกรุงแตก"
พระนเรศยิ้มรับ ก่อนที่พระอินทราธิปจะกระแอมไอ
"อีกไม่นานคงจักหายนะน้องพี่ พี่ใคร่จักได้เจ้าไปเป็นขุนศึกช่วยฝึกทหารที่สองแควนัก พระองค์ขาวเล่าให้พี่ฟังถึงเรื่องเจ้าขับไล่พระยาละแวกเมื่อสองสามปีก่อน" พระนเรศวรตรัสต่อพระอินทราธิปพลันผินพระพักตร์ไปทางพระเอกาทศรถ พระเอกาทศรถสบพระเนตรพลันตรัส
"ข่าวว่าเจ้านำทัพเพียงห้าร้อยต่อตีกับเขมรนับหมื่น สมเด็จพี่ท่านทรงชื่นชมยิ่งนัก" พระอินทราธิปได้รับฟังคำตรัสของพระเอกาทศรถแล้วก็ทรงแย้มพระโอษฐ์มุมปากด้วยยินดี
"พี่มีเจตน์อันแน่วแน่ที่จักกอบกู้กรุงศรีอยุธยาให้เป็นเอกราชมิต้องขึ้นต่อหงสาวดี เพลานี้พี่เร่งฝึกกองโจรเป็นอันมาก หมายใช้เมื่อสบโอกาส ผิว่าคราใดกรุงศรีอยุธยาจักสามารถแยกชาติแยกแผ่นดินออกจากหงสาวดีได้" พระนเรศวรตรัสด้วยความมุ่งมั่น พระอินทราธิปเงยพระพักตร์ขึ้นมอง รับรู้พระวิริยะของพระนเรศวร ก่อนจะตรัส
"หม่อมฉันเองก็ใคร่จักให้แผ่นดินของสมเด็จพระปิตุลามิต้องขึ้นต่อหงสาวดีดุจเดียวกับสมเด็จพี่ทั้งสอง..."
พระอินทราธิปกระแอมไอเล็กน้อย ก่อนจะตรัสต่อ
"..หากแต่เพลานี้หม่อมฉันเป็นที่นายกองล้อมเมืองมีการจักต้องป้องกันกรุงศรีอยุธยา หามีโอกาสที่จักไปร่วมทัพกับสมเด็จพี่ทั้งสองได้ แต่แท้จริงในใจของหม่อมฉันใคร่จักไปร่วมด้วยยิ่งนัก..." พระอินทราธิปตรัสไม่ทันจบก็กระไอออกมาเป็นการใหญ่
พระเอกาทศรถรินพระสุธารสป้อนพระอนุชาบรรเทาอาการไอ แล้วรินอีกจอกหนึ่งส่งให้พระเชษฐา
"เอาเถิด เอาเถิด พี่ได้ยินเจ้าพูดดังนี้ก็ดีใจแล้ว หากเจ้ามีใจคิดกอบกู้สุวรรณปฐพีเยี่ยงนี้แล้วไซร้ อันว่าเรื่องของตำแหน่งหน้าที่นั้นพี่จักกราบทูลสมเด็จพ่อให้หาคนดีมีฝีมือมาทำการแทนเจ้าเอง"
พระนเรศวรจิบพระสุธารส
"พี่จักรับเจ้าไปร่วมทัพกับพี่ที่สองแคว เจ้าจักว่าเยี่ยงไร" พระนเรศวรตรัสต่อพระอินทราธิป พระอินทราธิปสบพระเนตรพลันแย้มพระโอษฐ์นัยว่าทรงเห็นด้วยอย่างยิ่ง ก่อนจะประนมมือตรัส
"เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นพระเจ้าข้า"
"เพลานี้เจ้าจงพักผ่อนเถิด ประเดี๋ยวพี่จักไปเฝ้าสมเด็จพ่อ แลจักทูลขอตัวเจ้ากับองค์สมเด็จท่าน"
พระนเรศวรกับพระเอกาทศรถเสด็จพระดำเนินออกนอกพระตำหนักไป พระอินทราธิปประนมมือขึ้นถวายบังคมลา หญิงสาวรูปงามเห็นว่าพระองค์เจ้าทั้งสองเสด็จกลับไปแล้ว จึงเดินเข้ามานั่งใกล้ๆพระที่นั่งของพระอินทราธิปพลันหยิบผ้าซับพระองค์ขึ้นชำระพระวรกายให้พระโอรส
พระอินทราธิปทอดพระเนตรนางด้วยความเอ็นดู นางเองก็เช็ดไปยิ้มไปประหนึ่งว่าการดูแลพระอินทราธิปเป็นหน้าที่ที่นางชื่นชอบและมีความสุขยิ่งนักที่ได้กระทำ
พระอินทราธิปค่อยๆเอื้อมมือไปกุมมือนางไว้
"เป็นเยี่ยงไรบ้างเล่าแม่หญิง อยู่ในรั้วในวังอ้ายอีขี้ข้ามันปฏิบัติกับเจ้า ได้ดีเฉกเช่นมันปฏิบัติต่อข้าหรือไม่" พระอินทราธิปตรัสถามด้วยเสียงนุ่มนวล
สาวงามสบตาเจ้าชายหนุ่ม
"หม่อมฉันเป็นเพียงแม่หญิงต่ำต้อย มิใช่เจ้านายสูงศักดิ์เยี่ยงพระองค์ ที่บ่าวไพร่มันปฏิบัติกับหม่อมฉันนั้นก็เพียงพออยู่แล้ว มิต้องถึงกับเสมือนพระองค์ดอกเพคะ"
"ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ให้กล่าวกับข้าเยี่ยงสามัญชน"
"มิได้ดอกเพคะ เดี๋ยวผู้อื่นมาได้ยินเข้า จักเอาไปนินทาว่าหม่อมฉันเป็นไพร่ดึงฟ้า ต่ำสูงมิรู้จักที่"
"แล้วในนี้มีใครอื่นอีกเล่านอกเสียจากเจ้ากับข้า" แม่หญิงวรางคณามองกวาดสายตาไปรอบๆห้อง พระอินทราธิปตรัสต่อ
"กล่าวกับข้าเยี่ยงสามัญชนเถิดแม่หญิง อย่าลืมว่าข้าเป็นสหายกับเจ้า"
"ก็ได้เพคะ"
"แน่ะ...ยังมิเลิกพูดอีก"
"..." แม่หญิงก้มหน้าเอียงอาย เผยรอยยิ้มนิดๆ พระอินทราธิปเอื้อมมือไปเชยคางนางขึ้นมาพลันตรัสอย่างนุ่มนวล
"ข้าจักไปพิษณุโลก จำต้องจากเจ้าไปไกลอีกแล้ว ลางทีอาจจะต้องกรำศึกหนัก พลาดพลั้งไปอาจมิได้กลับมาพบเจ้าอีก"
"อย่าพูดเยี่ยงนั้นอินทราธิป มิสู้เป็นมงคลนัก"
"ข้าเป็นนักรบ ชีวิตผูกอยู่กับความตายทุกเพลา จักเลิกก็มิได้ด้วยว่าเป็นหน้าที่แห่งขัตติยบุรุษ เมื่อเกิดมาเพื่อรบแล้ว ข้าก็ต้องทำให้เต็มที่ มิให้เสียเชิงชายชาติกษัตริย์..."
"...ความตายที่ข้าพูดถึงคือจุดสิ้นสุดของนักรบทุกผู้ หากแต่ขึ้นอยู่กับว่าได้ตายอย่างสมศักดิ์ศรีแห่งนักรบหรือไม่" พระอินทราธิปจ้องตาแม่หญิงอย่างลึกซึ้ง
"หากท่านตาย ข้าจักอยู่กับใคร่เล่าอินทราธิป..." แม่หญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน นางเอื้อมมือมากุมมือพระอินทราธิปที่ยังกุมมืออีกข้างหนึ่งของนางไว้ก่อนจะกล่าวต่อ
"ข้าจากบ้านจากเมืองมาด้วยศรัทธาในตัวท่าน หมายถวายตัวถวายใจให้เจ้านายที่ยังมีลมปราณ หาใช่ถวายน้ำตาให้องค์วีรบุรุษที่ประดิษฐานอยู่ในพระโกฏิ..."
"ไยเจ้ากล่าวเยี่ยงนี้ เรายังมิใช่ผัวเมีย มิได้ร่วมหอสมรสกันตามประเพณี หากบุญวาสนาของข้าแล้วสิ้นถึงแก่พิราลัย เจ้ายังมีสิทธิ์ที่จะมีคู่ครองอื่นได้อยู่"
แม่หญิงมองตาเจ้าชายหนุ่ม ก่อนจะขมวดคิ้ว
"อ้อ...เยี่ยงนั้นเองหรอกรึ ที่แท้ท่านก็เอาความตายขึ้นมาอ้าง แลผลักไสข้าให้บุรุษอื่น แล้วท่านก็จักได้ไปมีหญิงอื่นตามหัวเมืองต่างๆที่ท่านรบแล้วมีชัย" แม่หญิงงอนเล็กน้อย นางสะบัดหน้าหนีพระหัตถ์ของพระอินทราธิป
พระอินทราธิปยิ้มชอบใจ
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า มิใช่ มิใช่ แม่หญิงเจ้าอย่าเข้าใจผิด ข้าเพียงแต่...เอ่อ...เพียง...เอ่อ..." พระอินทราธิปมิรู้ว่าจักกล่าวต่อไปอย่างไร
"เพียงอะไร ท่านมิต้องมาแก้ตัว ข้ารู้ชายชาตินักรบล้วนเจ้าชู้ด้วยกันทั้งสิ้น"
"โถ่...แม่หญิง ข้ามิได้คิดเยี่ยงนั้นจริงๆ" พระอินทราธิปตรัสอ้อน พลางเอื้อมพระหัตถ์ลูบแก้มแม่หญิงวรางคณาที่กำลังงอน แล้วตรัส
"เอาเยี่ยงนี้ หากกลับจากพิษณุโลกคราวหน้า ข้าจักให้เสด็จพ่อมาสู่ขอเจ้ากับพันวนารักษ์" พระอินทราธิปกล่าวด้วยน้ำเสียงหวาน
วรางคณานิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง
"..." นางตกใจในคำตรัสของพระอินทราธิป พลันเงยหน้ามองด้วยนัยน์ตาเสมือนว่าอยากให้พระอินทราธิปตรัสย้ำอีกครั้ง
"มิได้ยินที่ข้าพูดหรือ กลับจากพิษณุโลกข้าจักไปขอเจ้า" พระอินทราธิปตรัสย้ำ แม่หญิงเริ่มยิ้มอย่างเขินอาย
พระอินทราธิปอมยิ้ม ก่อนจะเยี่ยมหน้าเข้าใกล้นาง
"ข้าขอหมั้นเจ้าไว้ก่อนนะ" พระอินทราธิปตรัสพลันไสพระองค์ขึ้นหอมแก้มแม่หญิงวรางคณา แม่หญิงตกใจ ตบหน้าพระอินทราธิปอย่างแรง
พระอินทราธิปเอื้อมพระหัตถ์ขึ้นจับแก้มพลางตรัส
"โอ๊ย...ไม่ให้ก็บอกกันดีๆก็ได้นี่ มิเห็นต้องลงไม้ลงมือเลย"
"ท่านนี่ร้ายกาจนัก ฉวยโอกาสทีเผลอ! ชายชาตินักรบกะล่อนทุกคนไป..." นางเอื้อมมือจับแก้มบริเวณที่ถูกหอม
ไม่เอาแล้ว...ข้าจักกลับเรือน" แม่หญิงวรางคณาร้องบอกบ่าวไพร่ พลันเดินลงจากพระตำหนักไป พระอินทราธิปรู้นัยว่าแม่หญิงเขินก็ชอบใจเป็นการใหญ่ ล้มพระองค์ลงนอ ลูบพระพักตร์ตรงรอยที่ถูกตบ แลยิ้มอย่างอารมณ์ดี
แม่หญิงวรางคณากลับถึงเรือนก็ไม่ปราศรัยกับใคร เก็บตัวอยู่ในห้องเพียงลำพัง นางเดินไปนั่งหน้าคันฉ่องมองตัวเองในกระจก ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นลูบแก้มข้างที่ถูกพระอินทราธิปหอม พลันอมยิ้มอย่างเอียงอาย
นางพูดกับตัวเอง
"เกิดมาข้ายังมิเคยถูกใครหอมแก้ม นี่ครั้งแรกก็ทำเอาตกใจเสียขนาดนี้ หนำซ้ำยังตบพระอินทราธิปเสียหน้าหัน แล้วต่อไปถ้าพบพระองค์อีก ข้าจะกล้าสู้หน้าพระองค์หรือ..." นึกไปก็ยิ้มไปตามแบบหญิงสาวเพิ่งเจริญวัยมิเคยมีความรัก...
ครั้นเมื่อพระอินทราธิปหายจากพระอาการประชวรแล้วก็ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าให้เป็นนายทัพหน้าแห่งกองทัพพิษณุโลกสองแคว พระองค์โปรดให้หลวงองอาจสัตยา ขุนพิทักษ์ราชกิจ หมื่นฤทธิณรงค์ พันโยธารักษ์ พันประจักษ์กมลเข้าร่วมทัพกับพระองค์ตามเดิม และคัดเลือกไพร่พล ๕๐๐ นายจากทหารล้อมเมืองทั้งไทยจีนเข้าร่วมในกองทัพนี้ด้วย
พระนเรศวรมหาอุปราชา พระเอกาทศรถราชบุตร และพระอินทราธิปราชนัดดา เสด็จพระดำเนินออกจากกรุงศรีอยุธยาพร้อมด้วยไพร่พล ๒๐๐๐ นาย มุ่งหน้าสู่พิษณุโลก
::พุทธศักราช ๒๑๒๔ มะเส็งศก::
...พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองมหาราชสวรรคตด้วยพระชนมายุ ๖๕ พรรษา พระมหาอุปราชามังไชยสิงห์ขึ้นสืบราชสมบัติทรงพระนามว่า พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง พระองค์ทรงตั้งมังกะยอชวาหรือมังสามเกียดพระโอรสพระองค์ใหญ่ขึ้นเป็นพระมหาอุปราช บรรดาเจ้าเมืองต่างๆที่ขึ้นต่อหงสาวดีต้องเข้าเฝ้าจักรพรรดิพระองค์ใหม่ตามโบราณราชประเพณี
ทางฝ่ายกรุงศรีอยุธยาสมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดให้พระนเรศวรเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ในครั้งนี้เจ้าฟ้าไทยใหญ่เมืองคังมิได้มาเข้าเฝ้าถือเป็นการแข็งเมือง พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงจึงทรงให้จัดกำลังยกไปตีเมืองคัง โดยพระองค์ใคร่จะทดสอบฝีมือแม่ทัพรุ่นใหม่จึงรับสั่งให้พระมหาอุปราช พระสังขทัตเจ้าเมืองตองอู แลพระนเรศวรจัดคนละทัพยกไปในการศึกครั้งนี้
เมืองคังเป็นเมืองของชาวไทยใหญ่ตั้งอยู่บนภูเขาสูงมีทางขึ้นลงเฉพาะเพียงทางเดียวยากต่อการเข้าตี แม่ทัพทั้งสามร่วมวางแผนการรบด้วยกัน โดยให้จัดทัพเข้าตีทัพละวัน เริ่มจากทัพพระมหาอุปราช มาทัพพระสังขทัต และทัพพระนเรศวรเป็นอันดับสุดท้าย
ผ่านไป ๒ ราตรี ทัพพระมหาอุปราชแลทัพพระสังขทัตยังไม่สามารถเข้าตีเมืองคังได้
พระนเรศวร พระเอกาทศรถและพระอินทราธิปเฝ้าสังเกตการณ์ในเพลาที่ทัพทั้งสองเข้าตี จึงทราบว่าไม่สามารถที่จะเข้าตีเมืองคังได้เนื่องด้วยทหารไทยใหญ่อยู่บนที่สูงได้เปรียบยิ่งนัก
เพลาว่างทั้งสามพระองค์ทรงแต่งเป็นกองโจรออกสำรวจภูมิประเทศ
ก่อนการเข้าตีในคืนที่สามอันเป็นคราวของทัพไทย พระนเรศวรทรงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองโดยพร้อมกันเพื่อวางแผนการยุทธ์
"คืนแรกเพียงเห็นเราก็รู้ว่าทัพมังสามเกียดจักตีเมืองคังมิได้ ด้วยว่าทหารไทยใหญ่สะกัดทัพไว้ตั้งแต่เชิงเขา พวกที่สูงก็ระดมโปรยหิน เหวี่ยงหินลงมา ไพร่พลหงสาวเสียกำลังไปเป็นอันมาก...
คืนต่อมาทัพนัดจินหน่องราชบุตรตองอูก็ดำเนินกลศึกดุจเดียวกับทัพหงสา หากแต่พวกเมืองคังนั้นก็ยังต่อต้านได้แข็งแกร่งไม่แพ้วันแรก" พระนเรศวรตรัสต่อแม่ทัพนายกองทั้งหลาย พลันตรัสต่อ
"เราออกสำรวจภูมิประเทศกับพระอนุชาทั้งสอง พบทางลับเข้าสู่เมืองคังที่ด้านหลังดอยทางหนึ่ง เป็นทางขึ้นลงสะดวกนัก พกวชาวเมืองลักลอบลงมาขนน้ำขึ้นเมืองกัน
ปากทางที่เชิงเขานั้นเป็นป่าทึบยากแก่การตรวจพบ เราใคร่จักใช้กลศึกให้กำลังส่วนน้อยทำทีว่าจักเข้าตีทางหน้าเมืองเช่นทัพทั้งสองก่อนหน้า กำลังส่วนใหญ่ให้ใช้เส้นทางลับนี้ไปซุ่มอยู่หลังเมือง...
...แลเข้าตีกระหนาบเมื่อศัตรูหลงกลยกกำลังมารบพุ่งด้านหน้าเมืองเสียหมด พวกท่านเห็นว่าเป็นเยี่ยงไร" พระนเรศวรตรัสกลศึกให้เสนาธิการทั้งหลายพิจารณา
"หม่อมฉันเห็นว่าเป็นกลศึกที่แยบคายยิ่งนักพระพุทธเจ้าข้า หากทำเยี่ยงนี้เราจักได้ชัยชำนะอย่างเด็ดขาดสามารถจับตัวเจ้าฟ้าไทยใหญ่ได้เป็นแน่" พระยาเสนาณรงค์ประนมมือขึ้นกราบทูล พระนเรศวรทอดพระเนตรไปโดยรอบไม่มีนายทัพผู้ใดเสนอความคิดเห็นจึงทรงตรัสสั่งว่า
"ดี! ถ้าเช่นนั้นออกญาพระยาแม่ทัพนายกองทั้งหลายจงฟังเรา..." พระนเรศวรลุกขึ้นตรัสสั่งการ
"ให้ขุนอินทรเดชคุมกำลังหนึ่งในสามทำทีเข้าตีด้านหน้าถนอมกำลังรบไว้ให้มากที่สุด อย่ารุกเข้าโจมตีจนกว่าประตูเมืองจะเปิด กำลังที่เหลือจงตั้งทัพรั้งไว้อยู่หลังดอย ให้ทแกล้วทหารกล้าแม่ทัพนายกองทั้งสิ้นอยู่ในบัญชาแห่งเรา"
"รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า" แม่ทัพนายกองทั้งหลายประนมมือขึ้นรับพระบัญชา
ตกเพลาค่ำกองทัพกรุงศรีอยุธยาจัดกระบวนทัพตามกลศึกของพระนเรศวรขึ้นไปซุ่มตามแผนที่วางไว้ ครั้นเมื่อเพลาตี ๔ ทัพขุนอินทรเดชจึงระดมยิงธนูเพลิงเข้าใส่ทหารเมืองคังแลทำทีตะโกนโห่ร้องเสมือนว่าจะยกเข้าตีทางหน้าเมือง ฝ่ายทหารไทยใหญ่พากันมาป้องกันเมืองทางด้านหน้าจนหมดสิ้น
พระนเรศวรทรงนำกองทหารลัดเลาะขึ้นดอยคังทางเส้นทางลับที่ค้นพบ ทอดพระเนตรเห็นประตูเมืองทางด้านหลังปลอดทหารก็ยกพลเข้าโจมตี ไพร่พลพาดบันไดปีนกำแพงเมืองโดยสะดวก วิ่งเข้าทำลายประตูเมือง สุมไฟเผากำแพงเมืองพังลงมา
พระนเรศวรปีนเข้าเมืองได้แล้ว ก็ตะโกนสั่งทหารว่าผู้ใดสามารถเปิดประตูเมืองทางด้านหน้าให้ทัพขุนอินทรเดชเข้ามาได้จักปูนบำเหน็จให้แก่มันผู้นั้น บรรดาทหารหาญกำลังใจฮึกเหิมต่างไล่ฆ่าฟันทหารไทยใหญ่ที่เข้ามาขัดขวางล้มตายไปเป็นอันมาก
ฝ่ายทหารเมืองคังถูกตีกระหนาบทั้งจากทางด้านหน้าและด้านหลังก็เสียขวัญ แต่ยังคงรักษากำแพงเมืองไว้ได้อย่างมั่นคง
พระนเรศวร พระเอกาทศรถพร้อมด้วยทหารเอกจำนวนหนึ่งมุ่งตรงไปยังประตูเมือง เห็นว่ามีทหารรบกันอยู่หนาแน่นยากที่จักเปิดประตูเมืองได้ จึงรับสั่งให้ทหารลอบปีนกำแพงเมืองออกไปส่งข่าวให้ขุนอินทรเดชบุกทำลายประตูเมืองเข้ามา ฝ่ายขุนอินทรเดชไม่รอช้ารีบสั่งทหารเข้าตีเมืองคังทันที
ทางพระนเรศวร พระเอกาทศรถ พระอินทราธิป หลวงองอาจสัตยา ขุนพิทักษ์ราชกิจ หมื่นฤทธิณรงค์ พันโยธารักษ์ พันประจักษ์กมล พร้อมหมู่ทะลวงฟันจำนวนหนึ่งบุกเข้าเขตวังหมายจะจับกุมเจ้าฟ้าไทยใหญ่แลพรรคพวก
ครั้นเมื่อฝ่ายกรุงศรีอยุธยาบุกเข้าถึงพระราชมณเฑียรที่ประทับของเจ้าฟ้าไทยใหญ่ได้ก็เข้าประยุทธ์กันเป็นสามารถ เจ้าฟ้าเมืองคังทรงเครื่องยุทธพิชัยออกรบอย่างกล้าหาญ
พระนเรศวรเข้ารบพุ่งประดาบกับเจ้าฟ้าเมืองคัง
ทหารองครักษ์ไทยใหญ่โถมกายเข้าหาพระนเรศหมายป้องกันองค์เจ้าฟ้า พระนเรศพลิกพระแสงดาบตวัดเข้าเฉือนเข้ากลางลำตัว
เจ้าฟ้าไทยใหญ่ได้ทีจ้วงแทงพระนเรศ พระนเรศพลิกองค์หลบแล้วเตะข้อมือเจ้าฟ้าไทยใหญ่ พระแสงดาบหลุดจากมือ
พระนเรศวรทรงเกิดพระดำริขึ้นฉับพลันนั้นว่าไทยใหญ่กับไทยสยามนั้นเป็นพี่น้องท้องเดียวมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมานาน การที่จะสู้รบฆ่าฟันกันนั้นมิอยู่ในวิสัยของสายโลหิตไทยด้วยกัน พระองค์ทิ้งเก็บพระแสงดาบเข้าฝักดังเดิมก่อนจะเปล่งพระวาจาต่อเจ้าฟ้าไทยใหญ่เมืองคัง
"พ่อเจ้า! ยอมจำนนเถิด เราเองก็เป็นไทยด้วยกัน หม่อมฉันมิต้องการให้ไทยด้วยกันต้องมาเข่นมาฆ่ากันเอง!"
"ข้าเจ้าคงยอมจำนนมิได้ดอกพ่อเจ้า ไตเฮามิใคร่จักอยู่ภายใต้อำนาจอ้ายม่านพม่าหงสาวดีมัน!" เจ้าฟ้าเมืองคังตรัสตอบพลันพลิกองค์หลบคมดาบ และถีบทหารที่เข้ามาประยุทธ์ออกห่างองค์ไป
"ไทยสยามก็มิใคร่จักอยู่ใต้ตีนอ้ายพม่ามันเช่นกัน พ่อเจ้า! หากแต่บัดนี้เรายังมิพร้อมด้วยประการใด อ้ายพม่ามันมีไพร่พลมากกว่าเราอยู่โข แม้นเราจักรวมกำลังกันทั้งไทยใหญ่ไทยน้อยก็หาทัดเทียมอ้ายพม่ามันได้ไม่!"
"แม้นสู้มันมิได้ ไตเฮาก็จักสู้!"
พระนเรศชักพระแสงดาบขึ้นปัดป้องทหารไทยใหญ่ที่ถือหอกโถมเข้ามา พระเอกาทศรถเห็นพระเชษฐามีภัยก็เข้ามาถวายอารักขา
"ดำริดูให้ดีก่อนเถิดพ่อเจ้า! ที่เจ้าฟ้าไทยใหญ่ปกครองมาหลายชั่วราชวงศ์นั้นมิใช่เพื่อให้ประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุขหรือ! บัดนี้ไทยใหญ่เดือดร้อนกันทุกผู้เพราะพ่อเจ้ามิยอมอ่อนข้อต่อหงสาวดี หากพ่อเจ้ายอมจำนนแล้วไซร้มีหรือที่อ้ายพวกหงสามันจะยกมาต่อมาตีมาข่มเหงรังแก!"
เจ้าฟ้าเมืองคังเริ่มทำทีฉึกคิด พระเอกาทศรถเห็นดังนั้นก็ตรัสเสริม
"จริงอย่างสมเด็จพระเชษฐาเราว่า...แผ่นดินเอกราชใดก็มิต้องการจักอยู่ใต้อำนาจแผ่นดินอื่นทั้งสิ้น หากแต่บัดนี้เราต่อกรมันหาได้ไม่ สู้เราทำทีอ่อนน้อมเพื่อสงวนชาติสงวนพงศ์ ครั้นสบโอกาสประเทศชาติเราเข้มแข็งคราใด ค่อยประกาศเอกราชเหนือมัน มิดีกว่าหรือพ่อเจ้า!"
เจ้าฟ้าเมืองคังหันมาทางพระเอกา
"หากยอมจำนนเพลานี้ ข้าเจ้าก็ต้องถูกนันทบุเรงมันประหารชีวิตเอาอยู่ดี" เจ้าฟ้าไทยใหญ่ตรัสอย่างขลาดกลัว พระนเรศวรได้ทีจึงตรัส
"พ่อเจ้ารักตัวกลัวตาย รักพระชนม์ชีพของพระองค์เองมากกว่าราษฎร นี่หรือกษัตริย์! มิเห็นแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์บ้าง" เจ้าฟ้าไทยใหญ่ได้ยินเยี่ยงนั้นก็เกิดขัตติยะสังเวช ทรงดำรินึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนหันไปทางพระนเรศแล้วตรัส
"พ่อเจ้าหมายจะแยกตัวเป็นเอกราชเยี่ยงนั้นจริงๆหรือ"
"ใช่! เยี่ยงไรเสียไทยก็ต้องเป็นไทย ไทยจักต้องมิขึ้นกับผู้ใด"
"ถ้าเช่นนั้น ข้าเจ้าขอพระกรุณา ข้าเจ้าขอฝากประชาชนชาวไตทุกผู้ไว้ในพระราชานุเคราะห์ด้วย" ทันใดเจ้าฟ้าไทยใหญ่ก็วางอาวุธประกาศยอมจำนนต่อพระนเรศวร
ทหารเมืองคังเห็นดังนั้นก็วางอาวุธ ทหารกรุงศรีเข้าประคองทหารไทยใหญ่ที่บาดเจ็บ บ้างนั่งจับเข่าปรับทุกข์ บ้างขอโทษขอโพย บ้างแลกเปลี่ยนของดีมีอาคมต่อกันด้วยเข้าใจดีถึงความจำเป็นแห่งการเข้ารบพุ่งซึ่งกันและกัน
ฝ่ายชาวเมืองต่างออกมาสวามิภักดิ์ต่อพระนเรศวร
พระนเรศวรคุมตัวเจ้าฟ้าไทยใหญ่เสด็จกลับหงสาวดี พระมหาอุปราชและพระสังขทัตนัดจินหน่องทรงริษยาและเกลียดชังพระนเรศวรยิ่งนัก ครั้นเมื่อเสด็จถึงหงสาวดี พระเจ้านันทบุเรงทรงพระราชทานรางวัลให้พระนเรศวร แต่ก็ทรงไม่พอพระทัยและอับอายยิ่งนักที่พระโอรสไม่สามารถจับตัวเจ้าฟ้าเมืองคังมาถวายได้ พระองค์เริ่มนึกระแวงต่อพระนเรศวรว่าต่อไปในภายหน้าอาจจักเป็นเสี้ยนหนามที่สำคัญ
พระเจ้าหงสาวดีนันทุบเรงสั่งประหารชีวิตเจ้าฟ้าไทยใหญ่เมืองคัง แต่พระนเรศวรทรงใช้กุศโลบายทูลบอกเหตุว่าเจ้าฟ้าไทยใหญ่ยอมจำนนแล้วเสมือนหนึ่งเป็นตัวประกันต่อเจ้าฟ้าไทยใหญ่เมืองอื่นมิให้กล้าแข็งข้อ หากจะประหารชีวิตเห็นทีจะไม่มีประโยชน์ เพียงทัพหงสาวดียกไปตีเมืองคังคราวนี้เมืองคังก็ย่อยยับหนักหนาแล้ว จึงขอพระราชทานละเว้นโทษประหาร เจ้าฟ้าไทยใหญ่จึงถูกจองจำอยู่ในคุกหลวงแห่งหงสาวดีแทน
พระนเรศวรประทับอยู่ที่หงสาวดีระยะหนึ่งเพื่อเข้าเฝ้าพระสุพรรณกัลยา ในครานั้นเองก็ทรงได้พบกับสมเด็จพระพี่นางที่มิได้เจอกันมานาน พระเอกาทศรถเมื่อทรงได้เห็นพระพี่นางก็ทรงกลั้นพระอัสสุชลไม่อยู่ หมายใจจักกอดพระพี่นางให้สมที่คิดถึง แต่ติดด้วยกฎมณเฑียรยาล
"เป็นเยี่ยงไรบ้างพี่หญิง สิ้นบารมีพระเจ้าบุเรงนองไปแล้ว พี่หญิงยังอยู่สุขสบายดีหรือไม่พระเจ้าข้า" พระนเรศวรตรัสถามพระพี่นางด้วยความเป็นห่วง
"พี่ยังสบายดีองค์ดำมิได้ลำบากเท่าใดดอก ทุกคนที่นี่ดีกับพี่ยิ่งนัก จักมีก็แต่พระมเหสีทั้งหลายที่มิสู้จะชอบหน้ากันเท่าไร" พระสุพรรณกัลยาตรัสต่อพระนเรศวรแลพระเอกาทศรถ
"แล้วพระเจ้าหงสาวดีองค์ใหม่เล่าพี่หญิง ดีกับท่านหรือไม่"
"พระองค์ก็ทรงเมตตาพี่ดีดุจพระผ่านพิภพราชบิดา แต่พี่ไม่รู้ว่าเจ้าชำนะศึกเมืองคังครานี้พระองค์ซึ่งชิงชังเจ้าหนักหนา จักพาลมาถึงพี่ด้วยหรือไม่"
"อดทนไว้เถิดพี่หญิง บัดนี้สิ้นแผ่นดินพระเจ้าบุเรงนอง หม่อมฉันมิพักจำต้องเกรงใจผู้ใดแล้ว สบโอกาสคราใดหม่อมฉันจักแยกกรุงศรีอยุธยาออกจากหงสาวดี แลจักมารับตัวพี่หญิงกลับไปอยู่ด้วยกัน" พระนเรศวรตรัสอย่างองอาจ
"จงรอบคอบพระองค์ดำ อย่าได้ทำการใดผลีผลาม พี่ได้ข่าวว่าเจ้าได้อินทราธิปมาช่วยในทัพรึ" พระสุพรรณกัลยาตรัสถาม
"พระเจ้าข้า สมเด็จพ่ออวยยศให้เป็นที่นายทัพล้อมพระนคร เมื่อก่อนยังเคยวิ่งเล่นอยู่ด้วยกัน บัดนี้เจริญวัยแล้วเก่งกล้าสามารถ นี่ได้ความชอบด้วยขับไล่ทัพเขมรเมื่อคราวสมเด็จพ่อยกทัพไปช่วยหงสารบที่ล้านช้าง"
"ดีแล้วที่ได้คนดีมีฝีมือมาอยู่ด้วย"
"พระเจ้าข้า" พระนเรศวรตรัสรับ ทันใดนั้นเสียงบ่าวไพร่ร้องบอกถึงการมาเยือนของใครคนหนึ่ง ทั้งสามพระองค์ผินพระพักตร์ไปที่หน้าประตู ปรากฏเป็นหญิงสูงศักดิ์แต่งกายแบบมอญ
"เจ้านางมินตยา" พระสุพรรณกัลยาคำนับหญิงมอญสูงศักดิ์
"ตามสบายเถิดเจ้านางสุพรรณกัลยา ข้ายินดีด้วยนะพระองค์ดำ พระองค์ขาว" เจ้านางมินตยาผินพระพักตร์ไปตรัสกับพระองค์ชายทั้งสอง พระสุพรรณกัลยาเห็นว่าพระองค์ชายทั้งสองทรงระแวงจึงตรัส
"นี่พระนางมินตยา เป็นพระชายาองค์หนึ่งของพระเจ้าบุเรงนอง เดิมเป็นธิดาเจ้าเมืองเมาะตะมะ พระนางดีกับพี่มาก คอยช่วยเหลือพี่ทุกอย่าง นำข่าวทางกรุงศรีมาบอกพี่อยู่ประจำ" เจ้านางมินตยายิ้มให้พระองค์ชายทั้งสอง
"ขอบพระทัยเจ้านางมากที่ช่วยดูแลพี่หญิงของข้า" พระเอกาทศรถตรัสพลางยิ้มอย่างเป็นมิตร
"ข้าเต็มใจที่ได้ช่วยเหลือเจ้านางสุพรรณกัลยา วันนี้ข้านำข่าวทางกรุงศรีมาบอก บัดนี้พระยาละแวกยกทัพมาตีเอาเมืองเพชรบุรีไปได้แล้ว" พระนางมินตยาตรัสทูลพระนเรศวร
"พระยาละแวกอีกแล้วรึ!" พระนเรศวรตรัสด้วยความโกรธ
"เขมรสันดานลอบกัดมิเคยเปลี่ยนแปลง" พระเอกาทศรถตรัสเสริม ทันใดนั้นพระอินทราธิปก็วิ่งผละเข้ามาในพระตำหนักพลันกราบทูลข่าวทางเขมรให้พระองค์ทั้งสองทรงทราบด้วยน้ำเสียงร้อนพระทัย
"สมเด็จพี่! เขมรยกมาเอาเพชรบุรีไปได้แล้วพระเจ้าข้า!"
พระนเรศพยักพระพักตร์ พลันตรัส
"ขอบใจเจ้ามาก เจ้านางมินตยาเพิ่งแจ้งแก่พี่เมื่อสักครู่นี้เอง" พระสุพรรณกัลยาได้ยินพระนเรศวรตรัสต่อทหารผู้นี้เช่นพี่น้อง ก็ทรงรู้ทันทีว่านี่คือพระอินทราธิป พระนางปราดเนตรตั้งแต่เบื้องบนสู่เบื้องล่าง
"อินทราธิปหรือนี่! เจริญวัยสง่างามยิ่งนัก"
พระอินทราธิปหันมามองพระนางด้วยความฉงน แต่โครงพักตร์ของพระนางนั้นยังคงงามไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งกาลก่อน
"พี่หญิง! พระองค์จริงๆด้วย หม่อมฉันมิทันได้มอง ขอพระราชทานอภัย" พระอินทราธิปคุกเข่าประนมมือขึ้นกราบทูล
"มิเป็นไร มิเป็นไร พี่ดีใจเหลือที่ได้พบเจ้าอีกอินทราธิป"
"หม่อมฉันเองก็เช่นกันพระพุทธเจ้าข้า" พระราชวงศ์ทั้งหลายต่างอาลัยอาวรณ์ถึงความหลังเมื่อครั้งยังเยาว์...
...บุเรงนองสิ้นชีพพระชันษา
โอรสาขึ้นนั่งบัลลังก์ต่อ
หวังลูกชื่อลือดังมังกะยอ
กลับให้พ่ออัปยศหมดศรัทธา...
::พุทธศักราช ๒๑๒๑ ขาลศก::
พระยาจีนจันตุลอบลงเรือสำเภาจีนหนีออกจากกรุงศรีอยุธยาไปทางปากน้ำหมายจะออกทะเลเพื่อกลับสู่เขมร พันวิกรมโยธารีบนำความขึ้นกราบทูลให้พ่ออยู่หัวทรงทราบ ขณะนั้นพระนเรศวรแลพระเอกาทศรถเสด็จมาประทับแรมในกรุงศรีอยุธยาด้วย พระองค์ทั้งสองจึงอาสานำกำลังออกสกัดพร้อมด้วยข้าหลวงที่ติดตามมาจากสองแคว
พระอินทราธิปราชนัดดาเข้าเวรอยู่บนกำแพงเมือง ทอดพระเนตรเห็นกระบวนเรือพระที่นั่งทรงเครื่องยุทธพิชัย ตรัสถามทหารได้ความว่า พระยาจีนจันตุลอบลงเรือสำเภาจีนหนีออกไปทางปากน้ำ พระนเรศวรแลพระเอกาทศรถเสด็จทางชลมารคหมายจักนำตัวกลับมารับอาญา พระอินทราธิปจึงรีบลงเรือปืน พร้อมขุนพิทักษ์ราชกิจ หมื่นฤทธิณรงค์ พันโยธารักษ์ พันประจักษ์กมล ไพร่พลทหารล้อมเมืองแลทหารจีนอีก ๑๐ ลำเรือเร่งออกติดตาม
ด้วยกระบวนเรือของพระอินทราธิปเป็นเรือเร็วจึงติดตามทันกระบวนเรือของพระนเรศวรและพระเอกาทศรถ เมื่อพระองค์ทั้งสองทอดพระเนตรเห็นว่าเป็นเรือเร็วก็ให้เร่งฝีพายล่วงหน้าไปก่อน กองเรือของพระอินทราธิปไล่ทันเรือสำเภาของพระยาจีนจันตุที่ปากน้ำแลได้ยิงต่อสู้กันเป็นการใหญ่ ไม่นานนักกองเรือของพระนเรศวรและพระอนุชาก็ตามมาทัน
พระอินทราธิปให้ฝีพายเร่งไปจนเทียบได้กับเรือพระยาจีนจันตุ พระองค์แลขุนพิทักษ์ปีนขึ้นเรือพระยาจีนจันตุแลเข้าต่อสู้กับพวกกุลีจีน พระยาจีนจันตุออกมาประยุทธ์กับพระอินทราธิป พระอินทราธิปกระโดดปล้ำจนกระโจนลงไปในน้ำ แลต่อสู้กันอยู่ในน้ำนั้น
ฝ่ายพระนเรศวรทรงเร่งเรือพระที่นั่งขึ้นหน้า แล้วทรงยืนที่หน้ากัญญาเรือประทับพระแสงปืนนกสับยิงใส่เรือสำเภาโดยมิได้หวั่นเกรงต่อห่ากระสุนที่ฝ่ายศัตรูยิงมาแม้แต่น้อย
กระสุนนัดหนึ่งต้องรางพระแสงปืนแตก พระเอกาทศรถทอดพระเนตรเห็นดังนั้นเกรงว่าพระเชษฐาจะทรงเป็นอันตราย จึงทรงเร่งเรือเข้าป้องกันแลระดมยิงปืนใส่ศัตรู
พระอินทราธิปถูกกระสุนปืนข้าศึกเข้าที่แขนซ้าย ขุนพิทักษ์ราชกิจรีบกระโจนลงไปช่วย พระยาจีนจันตุได้ทีจึงว่ายน้ำเข้าหาเรือ พวกกุลีจีนช่วยกันฉุดขึ้นมาจากน้ำ
เรือสำเภาแล่นได้ทางลมทะเลก็กางใบ เรือรบไทยที่ติดตามมาเป็นเรือยาวสู้แรงลมทะเลไม่ จึงได้เพียงแต่ยิงไล่หลังเรือสำเภาจีนที่กำลังแล่นห่างออกไป
ทหารล้อมเมืองเร่งฝีพายนำพระอินทราธิปกลับเข้ากรุงศรีอยุธยา
<><><><><><><><><><>
::พระราชวังหลวง::
"ขอบใจเจ้ามากอินทราธิป ที่ช่วยพี่จนตัวได้รับอันตราย" พระนเรศวรตรัสพลางทอดพระเนตรพระอนุชา
พระอินทราธิปทำท่ายกมือขึ้นประนมกราบทูล
"เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันพระพุทธเจ้าข้า" พระอินทราธิปแข็งใจตอบ พลางมองไปยังหญิงงามผู้กำลังชันเข่าเข้ามาถวายพระสุธารสต่อพระองค์เจ้าทั้งสอง นางแต่งกายอย่างข้าสนมชาววัง สไบโปร่งแสงสีชมพูพาดไหล่ซ้าย กำไลข้อมือแลต่างหูทองคำ มวยผมเกล้ารวบไว้บนศีรษะมีปิ่นทองรูปนกยูงปักอยู่
"แม่หญิง...สมเด็จพ่อ สมเด็จแม่รู้เรื่องนี้แล้วรึยัง"
หญิงงามวางเครื่องสุธารสลงข้างๆที่ประทับ ก่อนจะประนมมือกราบทูล
"ทรงทราบแล้วเพคะ กำลังเสด็จมา..." หญิงงามตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน พระอินทราธิปพยักหน้า ก่อนที่นางจะชันเข่าถอยออกไป
พระขัตติบุรุษทั้งสองสบพระเนตรกันแล้วยิ้มมุมโอษฐ์เล็กน้อย
"นั่นแน่! น้องพี่มีสาวงามคอยปรนนิบัติ ผู้ใดกันรึ ฤๅจักเป็นชายาเจ้า" พระนเรศวรตรัสหยอก
พระอินทราธิปถลึงตา
"มิใช่พระเจ้าข้า นางเป็นผู้ตรวจการณ์ที่หม่อมฉันตั้งให้ดูแลคัดเลือกชาวจีนมาฝึกทหาร เคยเป็นสหายคบหากันมาตั้งแต่คราวกรุงแตก"
พระนเรศยิ้มรับ ก่อนที่พระอินทราธิปจะกระแอมไอ
"อีกไม่นานคงจักหายนะน้องพี่ พี่ใคร่จักได้เจ้าไปเป็นขุนศึกช่วยฝึกทหารที่สองแควนัก พระองค์ขาวเล่าให้พี่ฟังถึงเรื่องเจ้าขับไล่พระยาละแวกเมื่อสองสามปีก่อน" พระนเรศวรตรัสต่อพระอินทราธิปพลันผินพระพักตร์ไปทางพระเอกาทศรถ พระเอกาทศรถสบพระเนตรพลันตรัส
"ข่าวว่าเจ้านำทัพเพียงห้าร้อยต่อตีกับเขมรนับหมื่น สมเด็จพี่ท่านทรงชื่นชมยิ่งนัก" พระอินทราธิปได้รับฟังคำตรัสของพระเอกาทศรถแล้วก็ทรงแย้มพระโอษฐ์มุมปากด้วยยินดี
"พี่มีเจตน์อันแน่วแน่ที่จักกอบกู้กรุงศรีอยุธยาให้เป็นเอกราชมิต้องขึ้นต่อหงสาวดี เพลานี้พี่เร่งฝึกกองโจรเป็นอันมาก หมายใช้เมื่อสบโอกาส ผิว่าคราใดกรุงศรีอยุธยาจักสามารถแยกชาติแยกแผ่นดินออกจากหงสาวดีได้" พระนเรศวรตรัสด้วยความมุ่งมั่น พระอินทราธิปเงยพระพักตร์ขึ้นมอง รับรู้พระวิริยะของพระนเรศวร ก่อนจะตรัส
"หม่อมฉันเองก็ใคร่จักให้แผ่นดินของสมเด็จพระปิตุลามิต้องขึ้นต่อหงสาวดีดุจเดียวกับสมเด็จพี่ทั้งสอง..."
พระอินทราธิปกระแอมไอเล็กน้อย ก่อนจะตรัสต่อ
"..หากแต่เพลานี้หม่อมฉันเป็นที่นายกองล้อมเมืองมีการจักต้องป้องกันกรุงศรีอยุธยา หามีโอกาสที่จักไปร่วมทัพกับสมเด็จพี่ทั้งสองได้ แต่แท้จริงในใจของหม่อมฉันใคร่จักไปร่วมด้วยยิ่งนัก..." พระอินทราธิปตรัสไม่ทันจบก็กระไอออกมาเป็นการใหญ่
พระเอกาทศรถรินพระสุธารสป้อนพระอนุชาบรรเทาอาการไอ แล้วรินอีกจอกหนึ่งส่งให้พระเชษฐา
"เอาเถิด เอาเถิด พี่ได้ยินเจ้าพูดดังนี้ก็ดีใจแล้ว หากเจ้ามีใจคิดกอบกู้สุวรรณปฐพีเยี่ยงนี้แล้วไซร้ อันว่าเรื่องของตำแหน่งหน้าที่นั้นพี่จักกราบทูลสมเด็จพ่อให้หาคนดีมีฝีมือมาทำการแทนเจ้าเอง"
พระนเรศวรจิบพระสุธารส
"พี่จักรับเจ้าไปร่วมทัพกับพี่ที่สองแคว เจ้าจักว่าเยี่ยงไร" พระนเรศวรตรัสต่อพระอินทราธิป พระอินทราธิปสบพระเนตรพลันแย้มพระโอษฐ์นัยว่าทรงเห็นด้วยอย่างยิ่ง ก่อนจะประนมมือตรัส
"เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นพระเจ้าข้า"
"เพลานี้เจ้าจงพักผ่อนเถิด ประเดี๋ยวพี่จักไปเฝ้าสมเด็จพ่อ แลจักทูลขอตัวเจ้ากับองค์สมเด็จท่าน"
พระนเรศวรกับพระเอกาทศรถเสด็จพระดำเนินออกนอกพระตำหนักไป พระอินทราธิปประนมมือขึ้นถวายบังคมลา หญิงสาวรูปงามเห็นว่าพระองค์เจ้าทั้งสองเสด็จกลับไปแล้ว จึงเดินเข้ามานั่งใกล้ๆพระที่นั่งของพระอินทราธิปพลันหยิบผ้าซับพระองค์ขึ้นชำระพระวรกายให้พระโอรส
พระอินทราธิปทอดพระเนตรนางด้วยความเอ็นดู นางเองก็เช็ดไปยิ้มไปประหนึ่งว่าการดูแลพระอินทราธิปเป็นหน้าที่ที่นางชื่นชอบและมีความสุขยิ่งนักที่ได้กระทำ
พระอินทราธิปค่อยๆเอื้อมมือไปกุมมือนางไว้
"เป็นเยี่ยงไรบ้างเล่าแม่หญิง อยู่ในรั้วในวังอ้ายอีขี้ข้ามันปฏิบัติกับเจ้า ได้ดีเฉกเช่นมันปฏิบัติต่อข้าหรือไม่" พระอินทราธิปตรัสถามด้วยเสียงนุ่มนวล
สาวงามสบตาเจ้าชายหนุ่ม
"หม่อมฉันเป็นเพียงแม่หญิงต่ำต้อย มิใช่เจ้านายสูงศักดิ์เยี่ยงพระองค์ ที่บ่าวไพร่มันปฏิบัติกับหม่อมฉันนั้นก็เพียงพออยู่แล้ว มิต้องถึงกับเสมือนพระองค์ดอกเพคะ"
"ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ให้กล่าวกับข้าเยี่ยงสามัญชน"
"มิได้ดอกเพคะ เดี๋ยวผู้อื่นมาได้ยินเข้า จักเอาไปนินทาว่าหม่อมฉันเป็นไพร่ดึงฟ้า ต่ำสูงมิรู้จักที่"
"แล้วในนี้มีใครอื่นอีกเล่านอกเสียจากเจ้ากับข้า" แม่หญิงวรางคณามองกวาดสายตาไปรอบๆห้อง พระอินทราธิปตรัสต่อ
"กล่าวกับข้าเยี่ยงสามัญชนเถิดแม่หญิง อย่าลืมว่าข้าเป็นสหายกับเจ้า"
"ก็ได้เพคะ"
"แน่ะ...ยังมิเลิกพูดอีก"
"..." แม่หญิงก้มหน้าเอียงอาย เผยรอยยิ้มนิดๆ พระอินทราธิปเอื้อมมือไปเชยคางนางขึ้นมาพลันตรัสอย่างนุ่มนวล
"ข้าจักไปพิษณุโลก จำต้องจากเจ้าไปไกลอีกแล้ว ลางทีอาจจะต้องกรำศึกหนัก พลาดพลั้งไปอาจมิได้กลับมาพบเจ้าอีก"
"อย่าพูดเยี่ยงนั้นอินทราธิป มิสู้เป็นมงคลนัก"
"ข้าเป็นนักรบ ชีวิตผูกอยู่กับความตายทุกเพลา จักเลิกก็มิได้ด้วยว่าเป็นหน้าที่แห่งขัตติยบุรุษ เมื่อเกิดมาเพื่อรบแล้ว ข้าก็ต้องทำให้เต็มที่ มิให้เสียเชิงชายชาติกษัตริย์..."
"...ความตายที่ข้าพูดถึงคือจุดสิ้นสุดของนักรบทุกผู้ หากแต่ขึ้นอยู่กับว่าได้ตายอย่างสมศักดิ์ศรีแห่งนักรบหรือไม่" พระอินทราธิปจ้องตาแม่หญิงอย่างลึกซึ้ง
"หากท่านตาย ข้าจักอยู่กับใคร่เล่าอินทราธิป..." แม่หญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน นางเอื้อมมือมากุมมือพระอินทราธิปที่ยังกุมมืออีกข้างหนึ่งของนางไว้ก่อนจะกล่าวต่อ
"ข้าจากบ้านจากเมืองมาด้วยศรัทธาในตัวท่าน หมายถวายตัวถวายใจให้เจ้านายที่ยังมีลมปราณ หาใช่ถวายน้ำตาให้องค์วีรบุรุษที่ประดิษฐานอยู่ในพระโกฏิ..."
"ไยเจ้ากล่าวเยี่ยงนี้ เรายังมิใช่ผัวเมีย มิได้ร่วมหอสมรสกันตามประเพณี หากบุญวาสนาของข้าแล้วสิ้นถึงแก่พิราลัย เจ้ายังมีสิทธิ์ที่จะมีคู่ครองอื่นได้อยู่"
แม่หญิงมองตาเจ้าชายหนุ่ม ก่อนจะขมวดคิ้ว
"อ้อ...เยี่ยงนั้นเองหรอกรึ ที่แท้ท่านก็เอาความตายขึ้นมาอ้าง แลผลักไสข้าให้บุรุษอื่น แล้วท่านก็จักได้ไปมีหญิงอื่นตามหัวเมืองต่างๆที่ท่านรบแล้วมีชัย" แม่หญิงงอนเล็กน้อย นางสะบัดหน้าหนีพระหัตถ์ของพระอินทราธิป
พระอินทราธิปยิ้มชอบใจ
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า มิใช่ มิใช่ แม่หญิงเจ้าอย่าเข้าใจผิด ข้าเพียงแต่...เอ่อ...เพียง...เอ่อ..." พระอินทราธิปมิรู้ว่าจักกล่าวต่อไปอย่างไร
"เพียงอะไร ท่านมิต้องมาแก้ตัว ข้ารู้ชายชาตินักรบล้วนเจ้าชู้ด้วยกันทั้งสิ้น"
"โถ่...แม่หญิง ข้ามิได้คิดเยี่ยงนั้นจริงๆ" พระอินทราธิปตรัสอ้อน พลางเอื้อมพระหัตถ์ลูบแก้มแม่หญิงวรางคณาที่กำลังงอน แล้วตรัส
"เอาเยี่ยงนี้ หากกลับจากพิษณุโลกคราวหน้า ข้าจักให้เสด็จพ่อมาสู่ขอเจ้ากับพันวนารักษ์" พระอินทราธิปกล่าวด้วยน้ำเสียงหวาน
วรางคณานิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง
"..." นางตกใจในคำตรัสของพระอินทราธิป พลันเงยหน้ามองด้วยนัยน์ตาเสมือนว่าอยากให้พระอินทราธิปตรัสย้ำอีกครั้ง
"มิได้ยินที่ข้าพูดหรือ กลับจากพิษณุโลกข้าจักไปขอเจ้า" พระอินทราธิปตรัสย้ำ แม่หญิงเริ่มยิ้มอย่างเขินอาย
พระอินทราธิปอมยิ้ม ก่อนจะเยี่ยมหน้าเข้าใกล้นาง
"ข้าขอหมั้นเจ้าไว้ก่อนนะ" พระอินทราธิปตรัสพลันไสพระองค์ขึ้นหอมแก้มแม่หญิงวรางคณา แม่หญิงตกใจ ตบหน้าพระอินทราธิปอย่างแรง
พระอินทราธิปเอื้อมพระหัตถ์ขึ้นจับแก้มพลางตรัส
"โอ๊ย...ไม่ให้ก็บอกกันดีๆก็ได้นี่ มิเห็นต้องลงไม้ลงมือเลย"
"ท่านนี่ร้ายกาจนัก ฉวยโอกาสทีเผลอ! ชายชาตินักรบกะล่อนทุกคนไป..." นางเอื้อมมือจับแก้มบริเวณที่ถูกหอม
ไม่เอาแล้ว...ข้าจักกลับเรือน" แม่หญิงวรางคณาร้องบอกบ่าวไพร่ พลันเดินลงจากพระตำหนักไป พระอินทราธิปรู้นัยว่าแม่หญิงเขินก็ชอบใจเป็นการใหญ่ ล้มพระองค์ลงนอ ลูบพระพักตร์ตรงรอยที่ถูกตบ แลยิ้มอย่างอารมณ์ดี
แม่หญิงวรางคณากลับถึงเรือนก็ไม่ปราศรัยกับใคร เก็บตัวอยู่ในห้องเพียงลำพัง นางเดินไปนั่งหน้าคันฉ่องมองตัวเองในกระจก ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นลูบแก้มข้างที่ถูกพระอินทราธิปหอม พลันอมยิ้มอย่างเอียงอาย
นางพูดกับตัวเอง
"เกิดมาข้ายังมิเคยถูกใครหอมแก้ม นี่ครั้งแรกก็ทำเอาตกใจเสียขนาดนี้ หนำซ้ำยังตบพระอินทราธิปเสียหน้าหัน แล้วต่อไปถ้าพบพระองค์อีก ข้าจะกล้าสู้หน้าพระองค์หรือ..." นึกไปก็ยิ้มไปตามแบบหญิงสาวเพิ่งเจริญวัยมิเคยมีความรัก...
<><><><><><><><><>
ครั้นเมื่อพระอินทราธิปหายจากพระอาการประชวรแล้วก็ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าให้เป็นนายทัพหน้าแห่งกองทัพพิษณุโลกสองแคว พระองค์โปรดให้หลวงองอาจสัตยา ขุนพิทักษ์ราชกิจ หมื่นฤทธิณรงค์ พันโยธารักษ์ พันประจักษ์กมลเข้าร่วมทัพกับพระองค์ตามเดิม และคัดเลือกไพร่พล ๕๐๐ นายจากทหารล้อมเมืองทั้งไทยจีนเข้าร่วมในกองทัพนี้ด้วย
พระนเรศวรมหาอุปราชา พระเอกาทศรถราชบุตร และพระอินทราธิปราชนัดดา เสด็จพระดำเนินออกจากกรุงศรีอยุธยาพร้อมด้วยไพร่พล ๒๐๐๐ นาย มุ่งหน้าสู่พิษณุโลก
<><><><><><><><><>
::พุทธศักราช ๒๑๒๔ มะเส็งศก::
...พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองมหาราชสวรรคตด้วยพระชนมายุ ๖๕ พรรษา พระมหาอุปราชามังไชยสิงห์ขึ้นสืบราชสมบัติทรงพระนามว่า พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง พระองค์ทรงตั้งมังกะยอชวาหรือมังสามเกียดพระโอรสพระองค์ใหญ่ขึ้นเป็นพระมหาอุปราช บรรดาเจ้าเมืองต่างๆที่ขึ้นต่อหงสาวดีต้องเข้าเฝ้าจักรพรรดิพระองค์ใหม่ตามโบราณราชประเพณี
ทางฝ่ายกรุงศรีอยุธยาสมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดให้พระนเรศวรเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ในครั้งนี้เจ้าฟ้าไทยใหญ่เมืองคังมิได้มาเข้าเฝ้าถือเป็นการแข็งเมือง พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงจึงทรงให้จัดกำลังยกไปตีเมืองคัง โดยพระองค์ใคร่จะทดสอบฝีมือแม่ทัพรุ่นใหม่จึงรับสั่งให้พระมหาอุปราช พระสังขทัตเจ้าเมืองตองอู แลพระนเรศวรจัดคนละทัพยกไปในการศึกครั้งนี้
เมืองคังเป็นเมืองของชาวไทยใหญ่ตั้งอยู่บนภูเขาสูงมีทางขึ้นลงเฉพาะเพียงทางเดียวยากต่อการเข้าตี แม่ทัพทั้งสามร่วมวางแผนการรบด้วยกัน โดยให้จัดทัพเข้าตีทัพละวัน เริ่มจากทัพพระมหาอุปราช มาทัพพระสังขทัต และทัพพระนเรศวรเป็นอันดับสุดท้าย
ผ่านไป ๒ ราตรี ทัพพระมหาอุปราชแลทัพพระสังขทัตยังไม่สามารถเข้าตีเมืองคังได้
พระนเรศวร พระเอกาทศรถและพระอินทราธิปเฝ้าสังเกตการณ์ในเพลาที่ทัพทั้งสองเข้าตี จึงทราบว่าไม่สามารถที่จะเข้าตีเมืองคังได้เนื่องด้วยทหารไทยใหญ่อยู่บนที่สูงได้เปรียบยิ่งนัก
เพลาว่างทั้งสามพระองค์ทรงแต่งเป็นกองโจรออกสำรวจภูมิประเทศ
ก่อนการเข้าตีในคืนที่สามอันเป็นคราวของทัพไทย พระนเรศวรทรงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองโดยพร้อมกันเพื่อวางแผนการยุทธ์
"คืนแรกเพียงเห็นเราก็รู้ว่าทัพมังสามเกียดจักตีเมืองคังมิได้ ด้วยว่าทหารไทยใหญ่สะกัดทัพไว้ตั้งแต่เชิงเขา พวกที่สูงก็ระดมโปรยหิน เหวี่ยงหินลงมา ไพร่พลหงสาวเสียกำลังไปเป็นอันมาก...
คืนต่อมาทัพนัดจินหน่องราชบุตรตองอูก็ดำเนินกลศึกดุจเดียวกับทัพหงสา หากแต่พวกเมืองคังนั้นก็ยังต่อต้านได้แข็งแกร่งไม่แพ้วันแรก" พระนเรศวรตรัสต่อแม่ทัพนายกองทั้งหลาย พลันตรัสต่อ
"เราออกสำรวจภูมิประเทศกับพระอนุชาทั้งสอง พบทางลับเข้าสู่เมืองคังที่ด้านหลังดอยทางหนึ่ง เป็นทางขึ้นลงสะดวกนัก พกวชาวเมืองลักลอบลงมาขนน้ำขึ้นเมืองกัน
ปากทางที่เชิงเขานั้นเป็นป่าทึบยากแก่การตรวจพบ เราใคร่จักใช้กลศึกให้กำลังส่วนน้อยทำทีว่าจักเข้าตีทางหน้าเมืองเช่นทัพทั้งสองก่อนหน้า กำลังส่วนใหญ่ให้ใช้เส้นทางลับนี้ไปซุ่มอยู่หลังเมือง...
...แลเข้าตีกระหนาบเมื่อศัตรูหลงกลยกกำลังมารบพุ่งด้านหน้าเมืองเสียหมด พวกท่านเห็นว่าเป็นเยี่ยงไร" พระนเรศวรตรัสกลศึกให้เสนาธิการทั้งหลายพิจารณา
"หม่อมฉันเห็นว่าเป็นกลศึกที่แยบคายยิ่งนักพระพุทธเจ้าข้า หากทำเยี่ยงนี้เราจักได้ชัยชำนะอย่างเด็ดขาดสามารถจับตัวเจ้าฟ้าไทยใหญ่ได้เป็นแน่" พระยาเสนาณรงค์ประนมมือขึ้นกราบทูล พระนเรศวรทอดพระเนตรไปโดยรอบไม่มีนายทัพผู้ใดเสนอความคิดเห็นจึงทรงตรัสสั่งว่า
"ดี! ถ้าเช่นนั้นออกญาพระยาแม่ทัพนายกองทั้งหลายจงฟังเรา..." พระนเรศวรลุกขึ้นตรัสสั่งการ
"ให้ขุนอินทรเดชคุมกำลังหนึ่งในสามทำทีเข้าตีด้านหน้าถนอมกำลังรบไว้ให้มากที่สุด อย่ารุกเข้าโจมตีจนกว่าประตูเมืองจะเปิด กำลังที่เหลือจงตั้งทัพรั้งไว้อยู่หลังดอย ให้ทแกล้วทหารกล้าแม่ทัพนายกองทั้งสิ้นอยู่ในบัญชาแห่งเรา"
"รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า" แม่ทัพนายกองทั้งหลายประนมมือขึ้นรับพระบัญชา
<><><><><><><><><><>
ตกเพลาค่ำกองทัพกรุงศรีอยุธยาจัดกระบวนทัพตามกลศึกของพระนเรศวรขึ้นไปซุ่มตามแผนที่วางไว้ ครั้นเมื่อเพลาตี ๔ ทัพขุนอินทรเดชจึงระดมยิงธนูเพลิงเข้าใส่ทหารเมืองคังแลทำทีตะโกนโห่ร้องเสมือนว่าจะยกเข้าตีทางหน้าเมือง ฝ่ายทหารไทยใหญ่พากันมาป้องกันเมืองทางด้านหน้าจนหมดสิ้น
พระนเรศวรทรงนำกองทหารลัดเลาะขึ้นดอยคังทางเส้นทางลับที่ค้นพบ ทอดพระเนตรเห็นประตูเมืองทางด้านหลังปลอดทหารก็ยกพลเข้าโจมตี ไพร่พลพาดบันไดปีนกำแพงเมืองโดยสะดวก วิ่งเข้าทำลายประตูเมือง สุมไฟเผากำแพงเมืองพังลงมา
พระนเรศวรปีนเข้าเมืองได้แล้ว ก็ตะโกนสั่งทหารว่าผู้ใดสามารถเปิดประตูเมืองทางด้านหน้าให้ทัพขุนอินทรเดชเข้ามาได้จักปูนบำเหน็จให้แก่มันผู้นั้น บรรดาทหารหาญกำลังใจฮึกเหิมต่างไล่ฆ่าฟันทหารไทยใหญ่ที่เข้ามาขัดขวางล้มตายไปเป็นอันมาก
ฝ่ายทหารเมืองคังถูกตีกระหนาบทั้งจากทางด้านหน้าและด้านหลังก็เสียขวัญ แต่ยังคงรักษากำแพงเมืองไว้ได้อย่างมั่นคง
พระนเรศวร พระเอกาทศรถพร้อมด้วยทหารเอกจำนวนหนึ่งมุ่งตรงไปยังประตูเมือง เห็นว่ามีทหารรบกันอยู่หนาแน่นยากที่จักเปิดประตูเมืองได้ จึงรับสั่งให้ทหารลอบปีนกำแพงเมืองออกไปส่งข่าวให้ขุนอินทรเดชบุกทำลายประตูเมืองเข้ามา ฝ่ายขุนอินทรเดชไม่รอช้ารีบสั่งทหารเข้าตีเมืองคังทันที
ทางพระนเรศวร พระเอกาทศรถ พระอินทราธิป หลวงองอาจสัตยา ขุนพิทักษ์ราชกิจ หมื่นฤทธิณรงค์ พันโยธารักษ์ พันประจักษ์กมล พร้อมหมู่ทะลวงฟันจำนวนหนึ่งบุกเข้าเขตวังหมายจะจับกุมเจ้าฟ้าไทยใหญ่แลพรรคพวก
ครั้นเมื่อฝ่ายกรุงศรีอยุธยาบุกเข้าถึงพระราชมณเฑียรที่ประทับของเจ้าฟ้าไทยใหญ่ได้ก็เข้าประยุทธ์กันเป็นสามารถ เจ้าฟ้าเมืองคังทรงเครื่องยุทธพิชัยออกรบอย่างกล้าหาญ
พระนเรศวรเข้ารบพุ่งประดาบกับเจ้าฟ้าเมืองคัง
ทหารองครักษ์ไทยใหญ่โถมกายเข้าหาพระนเรศหมายป้องกันองค์เจ้าฟ้า พระนเรศพลิกพระแสงดาบตวัดเข้าเฉือนเข้ากลางลำตัว
เจ้าฟ้าไทยใหญ่ได้ทีจ้วงแทงพระนเรศ พระนเรศพลิกองค์หลบแล้วเตะข้อมือเจ้าฟ้าไทยใหญ่ พระแสงดาบหลุดจากมือ
พระนเรศวรทรงเกิดพระดำริขึ้นฉับพลันนั้นว่าไทยใหญ่กับไทยสยามนั้นเป็นพี่น้องท้องเดียวมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมานาน การที่จะสู้รบฆ่าฟันกันนั้นมิอยู่ในวิสัยของสายโลหิตไทยด้วยกัน พระองค์ทิ้งเก็บพระแสงดาบเข้าฝักดังเดิมก่อนจะเปล่งพระวาจาต่อเจ้าฟ้าไทยใหญ่เมืองคัง
"พ่อเจ้า! ยอมจำนนเถิด เราเองก็เป็นไทยด้วยกัน หม่อมฉันมิต้องการให้ไทยด้วยกันต้องมาเข่นมาฆ่ากันเอง!"
"ข้าเจ้าคงยอมจำนนมิได้ดอกพ่อเจ้า ไตเฮามิใคร่จักอยู่ภายใต้อำนาจอ้ายม่านพม่าหงสาวดีมัน!" เจ้าฟ้าเมืองคังตรัสตอบพลันพลิกองค์หลบคมดาบ และถีบทหารที่เข้ามาประยุทธ์ออกห่างองค์ไป
"ไทยสยามก็มิใคร่จักอยู่ใต้ตีนอ้ายพม่ามันเช่นกัน พ่อเจ้า! หากแต่บัดนี้เรายังมิพร้อมด้วยประการใด อ้ายพม่ามันมีไพร่พลมากกว่าเราอยู่โข แม้นเราจักรวมกำลังกันทั้งไทยใหญ่ไทยน้อยก็หาทัดเทียมอ้ายพม่ามันได้ไม่!"
"แม้นสู้มันมิได้ ไตเฮาก็จักสู้!"
พระนเรศชักพระแสงดาบขึ้นปัดป้องทหารไทยใหญ่ที่ถือหอกโถมเข้ามา พระเอกาทศรถเห็นพระเชษฐามีภัยก็เข้ามาถวายอารักขา
"ดำริดูให้ดีก่อนเถิดพ่อเจ้า! ที่เจ้าฟ้าไทยใหญ่ปกครองมาหลายชั่วราชวงศ์นั้นมิใช่เพื่อให้ประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุขหรือ! บัดนี้ไทยใหญ่เดือดร้อนกันทุกผู้เพราะพ่อเจ้ามิยอมอ่อนข้อต่อหงสาวดี หากพ่อเจ้ายอมจำนนแล้วไซร้มีหรือที่อ้ายพวกหงสามันจะยกมาต่อมาตีมาข่มเหงรังแก!"
เจ้าฟ้าเมืองคังเริ่มทำทีฉึกคิด พระเอกาทศรถเห็นดังนั้นก็ตรัสเสริม
"จริงอย่างสมเด็จพระเชษฐาเราว่า...แผ่นดินเอกราชใดก็มิต้องการจักอยู่ใต้อำนาจแผ่นดินอื่นทั้งสิ้น หากแต่บัดนี้เราต่อกรมันหาได้ไม่ สู้เราทำทีอ่อนน้อมเพื่อสงวนชาติสงวนพงศ์ ครั้นสบโอกาสประเทศชาติเราเข้มแข็งคราใด ค่อยประกาศเอกราชเหนือมัน มิดีกว่าหรือพ่อเจ้า!"
เจ้าฟ้าเมืองคังหันมาทางพระเอกา
"หากยอมจำนนเพลานี้ ข้าเจ้าก็ต้องถูกนันทบุเรงมันประหารชีวิตเอาอยู่ดี" เจ้าฟ้าไทยใหญ่ตรัสอย่างขลาดกลัว พระนเรศวรได้ทีจึงตรัส
"พ่อเจ้ารักตัวกลัวตาย รักพระชนม์ชีพของพระองค์เองมากกว่าราษฎร นี่หรือกษัตริย์! มิเห็นแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์บ้าง" เจ้าฟ้าไทยใหญ่ได้ยินเยี่ยงนั้นก็เกิดขัตติยะสังเวช ทรงดำรินึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนหันไปทางพระนเรศแล้วตรัส
"พ่อเจ้าหมายจะแยกตัวเป็นเอกราชเยี่ยงนั้นจริงๆหรือ"
"ใช่! เยี่ยงไรเสียไทยก็ต้องเป็นไทย ไทยจักต้องมิขึ้นกับผู้ใด"
"ถ้าเช่นนั้น ข้าเจ้าขอพระกรุณา ข้าเจ้าขอฝากประชาชนชาวไตทุกผู้ไว้ในพระราชานุเคราะห์ด้วย" ทันใดเจ้าฟ้าไทยใหญ่ก็วางอาวุธประกาศยอมจำนนต่อพระนเรศวร
ทหารเมืองคังเห็นดังนั้นก็วางอาวุธ ทหารกรุงศรีเข้าประคองทหารไทยใหญ่ที่บาดเจ็บ บ้างนั่งจับเข่าปรับทุกข์ บ้างขอโทษขอโพย บ้างแลกเปลี่ยนของดีมีอาคมต่อกันด้วยเข้าใจดีถึงความจำเป็นแห่งการเข้ารบพุ่งซึ่งกันและกัน
ฝ่ายชาวเมืองต่างออกมาสวามิภักดิ์ต่อพระนเรศวร
<><><><><><><><><>
พระนเรศวรคุมตัวเจ้าฟ้าไทยใหญ่เสด็จกลับหงสาวดี พระมหาอุปราชและพระสังขทัตนัดจินหน่องทรงริษยาและเกลียดชังพระนเรศวรยิ่งนัก ครั้นเมื่อเสด็จถึงหงสาวดี พระเจ้านันทบุเรงทรงพระราชทานรางวัลให้พระนเรศวร แต่ก็ทรงไม่พอพระทัยและอับอายยิ่งนักที่พระโอรสไม่สามารถจับตัวเจ้าฟ้าเมืองคังมาถวายได้ พระองค์เริ่มนึกระแวงต่อพระนเรศวรว่าต่อไปในภายหน้าอาจจักเป็นเสี้ยนหนามที่สำคัญ
พระเจ้าหงสาวดีนันทุบเรงสั่งประหารชีวิตเจ้าฟ้าไทยใหญ่เมืองคัง แต่พระนเรศวรทรงใช้กุศโลบายทูลบอกเหตุว่าเจ้าฟ้าไทยใหญ่ยอมจำนนแล้วเสมือนหนึ่งเป็นตัวประกันต่อเจ้าฟ้าไทยใหญ่เมืองอื่นมิให้กล้าแข็งข้อ หากจะประหารชีวิตเห็นทีจะไม่มีประโยชน์ เพียงทัพหงสาวดียกไปตีเมืองคังคราวนี้เมืองคังก็ย่อยยับหนักหนาแล้ว จึงขอพระราชทานละเว้นโทษประหาร เจ้าฟ้าไทยใหญ่จึงถูกจองจำอยู่ในคุกหลวงแห่งหงสาวดีแทน
<><><><><><><><><><><><>
พระนเรศวรประทับอยู่ที่หงสาวดีระยะหนึ่งเพื่อเข้าเฝ้าพระสุพรรณกัลยา ในครานั้นเองก็ทรงได้พบกับสมเด็จพระพี่นางที่มิได้เจอกันมานาน พระเอกาทศรถเมื่อทรงได้เห็นพระพี่นางก็ทรงกลั้นพระอัสสุชลไม่อยู่ หมายใจจักกอดพระพี่นางให้สมที่คิดถึง แต่ติดด้วยกฎมณเฑียรยาล
"เป็นเยี่ยงไรบ้างพี่หญิง สิ้นบารมีพระเจ้าบุเรงนองไปแล้ว พี่หญิงยังอยู่สุขสบายดีหรือไม่พระเจ้าข้า" พระนเรศวรตรัสถามพระพี่นางด้วยความเป็นห่วง
"พี่ยังสบายดีองค์ดำมิได้ลำบากเท่าใดดอก ทุกคนที่นี่ดีกับพี่ยิ่งนัก จักมีก็แต่พระมเหสีทั้งหลายที่มิสู้จะชอบหน้ากันเท่าไร" พระสุพรรณกัลยาตรัสต่อพระนเรศวรแลพระเอกาทศรถ
"แล้วพระเจ้าหงสาวดีองค์ใหม่เล่าพี่หญิง ดีกับท่านหรือไม่"
"พระองค์ก็ทรงเมตตาพี่ดีดุจพระผ่านพิภพราชบิดา แต่พี่ไม่รู้ว่าเจ้าชำนะศึกเมืองคังครานี้พระองค์ซึ่งชิงชังเจ้าหนักหนา จักพาลมาถึงพี่ด้วยหรือไม่"
"อดทนไว้เถิดพี่หญิง บัดนี้สิ้นแผ่นดินพระเจ้าบุเรงนอง หม่อมฉันมิพักจำต้องเกรงใจผู้ใดแล้ว สบโอกาสคราใดหม่อมฉันจักแยกกรุงศรีอยุธยาออกจากหงสาวดี แลจักมารับตัวพี่หญิงกลับไปอยู่ด้วยกัน" พระนเรศวรตรัสอย่างองอาจ
"จงรอบคอบพระองค์ดำ อย่าได้ทำการใดผลีผลาม พี่ได้ข่าวว่าเจ้าได้อินทราธิปมาช่วยในทัพรึ" พระสุพรรณกัลยาตรัสถาม
"พระเจ้าข้า สมเด็จพ่ออวยยศให้เป็นที่นายทัพล้อมพระนคร เมื่อก่อนยังเคยวิ่งเล่นอยู่ด้วยกัน บัดนี้เจริญวัยแล้วเก่งกล้าสามารถ นี่ได้ความชอบด้วยขับไล่ทัพเขมรเมื่อคราวสมเด็จพ่อยกทัพไปช่วยหงสารบที่ล้านช้าง"
"ดีแล้วที่ได้คนดีมีฝีมือมาอยู่ด้วย"
"พระเจ้าข้า" พระนเรศวรตรัสรับ ทันใดนั้นเสียงบ่าวไพร่ร้องบอกถึงการมาเยือนของใครคนหนึ่ง ทั้งสามพระองค์ผินพระพักตร์ไปที่หน้าประตู ปรากฏเป็นหญิงสูงศักดิ์แต่งกายแบบมอญ
"เจ้านางมินตยา" พระสุพรรณกัลยาคำนับหญิงมอญสูงศักดิ์
"ตามสบายเถิดเจ้านางสุพรรณกัลยา ข้ายินดีด้วยนะพระองค์ดำ พระองค์ขาว" เจ้านางมินตยาผินพระพักตร์ไปตรัสกับพระองค์ชายทั้งสอง พระสุพรรณกัลยาเห็นว่าพระองค์ชายทั้งสองทรงระแวงจึงตรัส
"นี่พระนางมินตยา เป็นพระชายาองค์หนึ่งของพระเจ้าบุเรงนอง เดิมเป็นธิดาเจ้าเมืองเมาะตะมะ พระนางดีกับพี่มาก คอยช่วยเหลือพี่ทุกอย่าง นำข่าวทางกรุงศรีมาบอกพี่อยู่ประจำ" เจ้านางมินตยายิ้มให้พระองค์ชายทั้งสอง
"ขอบพระทัยเจ้านางมากที่ช่วยดูแลพี่หญิงของข้า" พระเอกาทศรถตรัสพลางยิ้มอย่างเป็นมิตร
"ข้าเต็มใจที่ได้ช่วยเหลือเจ้านางสุพรรณกัลยา วันนี้ข้านำข่าวทางกรุงศรีมาบอก บัดนี้พระยาละแวกยกทัพมาตีเอาเมืองเพชรบุรีไปได้แล้ว" พระนางมินตยาตรัสทูลพระนเรศวร
"พระยาละแวกอีกแล้วรึ!" พระนเรศวรตรัสด้วยความโกรธ
"เขมรสันดานลอบกัดมิเคยเปลี่ยนแปลง" พระเอกาทศรถตรัสเสริม ทันใดนั้นพระอินทราธิปก็วิ่งผละเข้ามาในพระตำหนักพลันกราบทูลข่าวทางเขมรให้พระองค์ทั้งสองทรงทราบด้วยน้ำเสียงร้อนพระทัย
"สมเด็จพี่! เขมรยกมาเอาเพชรบุรีไปได้แล้วพระเจ้าข้า!"
พระนเรศพยักพระพักตร์ พลันตรัส
"ขอบใจเจ้ามาก เจ้านางมินตยาเพิ่งแจ้งแก่พี่เมื่อสักครู่นี้เอง" พระสุพรรณกัลยาได้ยินพระนเรศวรตรัสต่อทหารผู้นี้เช่นพี่น้อง ก็ทรงรู้ทันทีว่านี่คือพระอินทราธิป พระนางปราดเนตรตั้งแต่เบื้องบนสู่เบื้องล่าง
"อินทราธิปหรือนี่! เจริญวัยสง่างามยิ่งนัก"
พระอินทราธิปหันมามองพระนางด้วยความฉงน แต่โครงพักตร์ของพระนางนั้นยังคงงามไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งกาลก่อน
"พี่หญิง! พระองค์จริงๆด้วย หม่อมฉันมิทันได้มอง ขอพระราชทานอภัย" พระอินทราธิปคุกเข่าประนมมือขึ้นกราบทูล
"มิเป็นไร มิเป็นไร พี่ดีใจเหลือที่ได้พบเจ้าอีกอินทราธิป"
"หม่อมฉันเองก็เช่นกันพระพุทธเจ้าข้า" พระราชวงศ์ทั้งหลายต่างอาลัยอาวรณ์ถึงความหลังเมื่อครั้งยังเยาว์...
...บุเรงนองสิ้นชีพพระชันษา
โอรสาขึ้นนั่งบัลลังก์ต่อ
หวังลูกชื่อลือดังมังกะยอ
กลับให้พ่ออัปยศหมดศรัทธา...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น