ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ... ขุนโจร ... The Warrior of King Nares

    ลำดับตอนที่ #8 : ศึกไทยใหญ่เมืองคัง...ชี้ชะตาบัลลังก์หงสาวดี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.23K
      1
      14 ก.ย. 52

    ::ศึกไทยใหญ่เมืองคัง...ชี้ชะตาบัลลังก์หงสาวดี::

    ::พุทธศักราช ๒๑๒๑ ขาลศก::

    พระยาจีนจันตุลอบลงเรือสำเภาจีนหนีออกจากกรุงศรีอยุธยาไปทางปากน้ำหมายจะออกทะเลเพื่อกลับสู่เขมร พันวิกรมโยธารีบนำความขึ้นกราบทูลให้พ่ออยู่หัวทรงทราบ ขณะนั้นพระนเรศวรแลพระเอกาทศรถเสด็จมาประทับแรมในกรุงศรีอยุธยาด้วย พระองค์ทั้งสองจึงอาสานำกำลังออกสกัดพร้อมด้วยข้าหลวงที่ติดตามมาจากสองแคว

    พระอินทราธิปราชนัดดาเข้าเวรอยู่บนกำแพงเมือง ทอดพระเนตรเห็นกระบวนเรือพระที่นั่งทรงเครื่องยุทธพิชัย ตรัสถามทหารได้ความว่า พระยาจีนจันตุลอบลงเรือสำเภาจีนหนีออกไปทางปากน้ำ พระนเรศวรแลพระเอกาทศรถเสด็จทางชลมารคหมายจักนำตัวกลับมารับอาญา พระอินทราธิปจึงรีบลงเรือปืน พร้อมขุนพิทักษ์ราชกิจ หมื่นฤทธิณรงค์ พันโยธารักษ์ พันประจักษ์กมล ไพร่พลทหารล้อมเมืองแลทหารจีนอีก ๑๐ ลำเรือเร่งออกติดตาม

    ด้วยกระบวนเรือของพระอินทราธิปเป็นเรือเร็วจึงติดตามทันกระบวนเรือของพระนเรศวรและพระเอกาทศรถ เมื่อพระองค์ทั้งสองทอดพระเนตรเห็นว่าเป็นเรือเร็วก็ให้เร่งฝีพายล่วงหน้าไปก่อน กองเรือของพระอินทราธิปไล่ทันเรือสำเภาของพระยาจีนจันตุที่ปากน้ำแลได้ยิงต่อสู้กันเป็นการใหญ่ ไม่นานนักกองเรือของพระนเรศวรและพระอนุชาก็ตามมาทัน

    พระอินทราธิปให้ฝีพายเร่งไปจนเทียบได้กับเรือพระยาจีนจันตุ พระองค์แลขุนพิทักษ์ปีนขึ้นเรือพระยาจีนจันตุแลเข้าต่อสู้กับพวกกุลีจีน พระยาจีนจันตุออกมาประยุทธ์กับพระอินทราธิป พระอินทราธิปกระโดดปล้ำจนกระโจนลงไปในน้ำ แลต่อสู้กันอยู่ในน้ำนั้น

    ฝ่ายพระนเรศวรทรงเร่งเรือพระที่นั่งขึ้นหน้า แล้วทรงยืนที่หน้ากัญญาเรือประทับพระแสงปืนนกสับยิงใส่เรือสำเภาโดยมิได้หวั่นเกรงต่อห่ากระสุนที่ฝ่ายศัตรูยิงมาแม้แต่น้อย

    กระสุนนัดหนึ่งต้องรางพระแสงปืนแตก พระเอกาทศรถทอดพระเนตรเห็นดังนั้นเกรงว่าพระเชษฐาจะทรงเป็นอันตราย จึงทรงเร่งเรือเข้าป้องกันแลระดมยิงปืนใส่ศัตรู

    พระอินทราธิปถูกกระสุนปืนข้าศึกเข้าที่แขนซ้าย ขุนพิทักษ์ราชกิจรีบกระโจนลงไปช่วย พระยาจีนจันตุได้ทีจึงว่ายน้ำเข้าหาเรือ พวกกุลีจีนช่วยกันฉุดขึ้นมาจากน้ำ

    เรือสำเภาแล่นได้ทางลมทะเลก็กางใบ เรือรบไทยที่ติดตามมาเป็นเรือยาวสู้แรงลมทะเลไม่ จึงได้เพียงแต่ยิงไล่หลังเรือสำเภาจีนที่กำลังแล่นห่างออกไป

    ทหารล้อมเมืองเร่งฝีพายนำพระอินทราธิปกลับเข้ากรุงศรีอยุธยา

    <><><><><><><><><><>

    ::พระราชวังหลวง::

    "ขอบใจเจ้ามากอินทราธิป ที่ช่วยพี่จนตัวได้รับอันตราย" พระนเรศวรตรัสพลางทอดพระเนตรพระอนุชา

    พระอินทราธิปทำท่ายกมือขึ้นประนมกราบทูล

    "เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันพระพุทธเจ้าข้า" พระอินทราธิปแข็งใจตอบ พลางมองไปยังหญิงงามผู้กำลังชันเข่าเข้ามาถวายพระสุธารสต่อพระองค์เจ้าทั้งสอง นางแต่งกายอย่างข้าสนมชาววัง สไบโปร่งแสงสีชมพูพาดไหล่ซ้าย กำไลข้อมือแลต่างหูทองคำ มวยผมเกล้ารวบไว้บนศีรษะมีปิ่นทองรูปนกยูงปักอยู่ 

    "แม่หญิง...สมเด็จพ่อ สมเด็จแม่รู้เรื่องนี้แล้วรึยัง"

    หญิงงามวางเครื่องสุธารสลงข้างๆที่ประทับ ก่อนจะประนมมือกราบทูล

    "ทรงทราบแล้วเพคะ กำลังเสด็จมา..." หญิงงามตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน พระอินทราธิปพยักหน้า ก่อนที่นางจะชันเข่าถอยออกไป

    พระขัตติบุรุษทั้งสองสบพระเนตรกันแล้วยิ้มมุมโอษฐ์เล็กน้อย

    "นั่นแน่! น้องพี่มีสาวงามคอยปรนนิบัติ ผู้ใดกันรึ ฤๅจักเป็นชายาเจ้า" พระนเรศวรตรัสหยอก

    พระอินทราธิปถลึงตา

    "มิใช่พระเจ้าข้า นางเป็นผู้ตรวจการณ์ที่หม่อมฉันตั้งให้ดูแลคัดเลือกชาวจีนมาฝึกทหาร เคยเป็นสหายคบหากันมาตั้งแต่คราวกรุงแตก"

    พระนเรศยิ้มรับ ก่อนที่พระอินทราธิปจะกระแอมไอ

    "อีกไม่นานคงจักหายนะน้องพี่ พี่ใคร่จักได้เจ้าไปเป็นขุนศึกช่วยฝึกทหารที่สองแควนัก พระองค์ขาวเล่าให้พี่ฟังถึงเรื่องเจ้าขับไล่พระยาละแวกเมื่อสองสามปีก่อน" พระนเรศวรตรัสต่อพระอินทราธิปพลันผินพระพักตร์ไปทางพระเอกาทศรถ พระเอกาทศรถสบพระเนตรพลันตรัส

    "ข่าวว่าเจ้านำทัพเพียงห้าร้อยต่อตีกับเขมรนับหมื่น สมเด็จพี่ท่านทรงชื่นชมยิ่งนัก" พระอินทราธิปได้รับฟังคำตรัสของพระเอกาทศรถแล้วก็ทรงแย้มพระโอษฐ์มุมปากด้วยยินดี

    "พี่มีเจตน์อันแน่วแน่ที่จักกอบกู้กรุงศรีอยุธยาให้เป็นเอกราชมิต้องขึ้นต่อหงสาวดี เพลานี้พี่เร่งฝึกกองโจรเป็นอันมาก หมายใช้เมื่อสบโอกาส ผิว่าคราใดกรุงศรีอยุธยาจักสามารถแยกชาติแยกแผ่นดินออกจากหงสาวดีได้" พระนเรศวรตรัสด้วยความมุ่งมั่น พระอินทราธิปเงยพระพักตร์ขึ้นมอง รับรู้พระวิริยะของพระนเรศวร ก่อนจะตรัส

    "หม่อมฉันเองก็ใคร่จักให้แผ่นดินของสมเด็จพระปิตุลามิต้องขึ้นต่อหงสาวดีดุจเดียวกับสมเด็จพี่ทั้งสอง..."

    พระอินทราธิปกระแอมไอเล็กน้อย ก่อนจะตรัสต่อ

    "..หากแต่เพลานี้หม่อมฉันเป็นที่นายกองล้อมเมืองมีการจักต้องป้องกันกรุงศรีอยุธยา หามีโอกาสที่จักไปร่วมทัพกับสมเด็จพี่ทั้งสองได้ แต่แท้จริงในใจของหม่อมฉันใคร่จักไปร่วมด้วยยิ่งนัก..." พระอินทราธิปตรัสไม่ทันจบก็กระไอออกมาเป็นการใหญ่

    พระเอกาทศรถรินพระสุธารสป้อนพระอนุชาบรรเทาอาการไอ แล้วรินอีกจอกหนึ่งส่งให้พระเชษฐา

    "เอาเถิด เอาเถิด พี่ได้ยินเจ้าพูดดังนี้ก็ดีใจแล้ว หากเจ้ามีใจคิดกอบกู้สุวรรณปฐพีเยี่ยงนี้แล้วไซร้ อันว่าเรื่องของตำแหน่งหน้าที่นั้นพี่จักกราบทูลสมเด็จพ่อให้หาคนดีมีฝีมือมาทำการแทนเจ้าเอง"

    พระนเรศวรจิบพระสุธารส

    "พี่จักรับเจ้าไปร่วมทัพกับพี่ที่สองแคว เจ้าจักว่าเยี่ยงไร" พระนเรศวรตรัสต่อพระอินทราธิป พระอินทราธิปสบพระเนตรพลันแย้มพระโอษฐ์นัยว่าทรงเห็นด้วยอย่างยิ่ง ก่อนจะประนมมือตรัส

    "เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นพระเจ้าข้า"

    "เพลานี้เจ้าจงพักผ่อนเถิด ประเดี๋ยวพี่จักไปเฝ้าสมเด็จพ่อ แลจักทูลขอตัวเจ้ากับองค์สมเด็จท่าน"

    พระนเรศวรกับพระเอกาทศรถเสด็จพระดำเนินออกนอกพระตำหนักไป พระอินทราธิปประนมมือขึ้นถวายบังคมลา หญิงสาวรูปงามเห็นว่าพระองค์เจ้าทั้งสองเสด็จกลับไปแล้ว จึงเดินเข้ามานั่งใกล้ๆพระที่นั่งของพระอินทราธิปพลันหยิบผ้าซับพระองค์ขึ้นชำระพระวรกายให้พระโอรส

    พระอินทราธิปทอดพระเนตรนางด้วยความเอ็นดู นางเองก็เช็ดไปยิ้มไปประหนึ่งว่าการดูแลพระอินทราธิปเป็นหน้าที่ที่นางชื่นชอบและมีความสุขยิ่งนักที่ได้กระทำ

    พระอินทราธิปค่อยๆเอื้อมมือไปกุมมือนางไว้

    "เป็นเยี่ยงไรบ้างเล่าแม่หญิง อยู่ในรั้วในวังอ้ายอีขี้ข้ามันปฏิบัติกับเจ้า ได้ดีเฉกเช่นมันปฏิบัติต่อข้าหรือไม่" พระอินทราธิปตรัสถามด้วยเสียงนุ่มนวล

    สาวงามสบตาเจ้าชายหนุ่ม

    "หม่อมฉันเป็นเพียงแม่หญิงต่ำต้อย มิใช่เจ้านายสูงศักดิ์เยี่ยงพระองค์ ที่บ่าวไพร่มันปฏิบัติกับหม่อมฉันนั้นก็เพียงพออยู่แล้ว มิต้องถึงกับเสมือนพระองค์ดอกเพคะ"

    "ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ให้กล่าวกับข้าเยี่ยงสามัญชน"

    "มิได้ดอกเพคะ เดี๋ยวผู้อื่นมาได้ยินเข้า จักเอาไปนินทาว่าหม่อมฉันเป็นไพร่ดึงฟ้า ต่ำสูงมิรู้จักที่"

    "แล้วในนี้มีใครอื่นอีกเล่านอกเสียจากเจ้ากับข้า" แม่หญิงวรางคณามองกวาดสายตาไปรอบๆห้อง พระอินทราธิปตรัสต่อ

    "กล่าวกับข้าเยี่ยงสามัญชนเถิดแม่หญิง อย่าลืมว่าข้าเป็นสหายกับเจ้า"

    "ก็ได้เพคะ"

    "แน่ะ...ยังมิเลิกพูดอีก"

    "..." แม่หญิงก้มหน้าเอียงอาย เผยรอยยิ้มนิดๆ พระอินทราธิปเอื้อมมือไปเชยคางนางขึ้นมาพลันตรัสอย่างนุ่มนวล

    "ข้าจักไปพิษณุโลก จำต้องจากเจ้าไปไกลอีกแล้ว ลางทีอาจจะต้องกรำศึกหนัก พลาดพลั้งไปอาจมิได้กลับมาพบเจ้าอีก"

    "อย่าพูดเยี่ยงนั้นอินทราธิป มิสู้เป็นมงคลนัก"

    "ข้าเป็นนักรบ ชีวิตผูกอยู่กับความตายทุกเพลา จักเลิกก็มิได้ด้วยว่าเป็นหน้าที่แห่งขัตติยบุรุษ เมื่อเกิดมาเพื่อรบแล้ว ข้าก็ต้องทำให้เต็มที่ มิให้เสียเชิงชายชาติกษัตริย์..."

    "...ความตายที่ข้าพูดถึงคือจุดสิ้นสุดของนักรบทุกผู้ หากแต่ขึ้นอยู่กับว่าได้ตายอย่างสมศักดิ์ศรีแห่งนักรบหรือไม่" พระอินทราธิปจ้องตาแม่หญิงอย่างลึกซึ้ง

    "หากท่านตาย ข้าจักอยู่กับใคร่เล่าอินทราธิป..." แม่หญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน นางเอื้อมมือมากุมมือพระอินทราธิปที่ยังกุมมืออีกข้างหนึ่งของนางไว้ก่อนจะกล่าวต่อ

    "ข้าจากบ้านจากเมืองมาด้วยศรัทธาในตัวท่าน หมายถวายตัวถวายใจให้เจ้านายที่ยังมีลมปราณ หาใช่ถวายน้ำตาให้องค์วีรบุรุษที่ประดิษฐานอยู่ในพระโกฏิ..."

    "ไยเจ้ากล่าวเยี่ยงนี้ เรายังมิใช่ผัวเมีย มิได้ร่วมหอสมรสกันตามประเพณี หากบุญวาสนาของข้าแล้วสิ้นถึงแก่พิราลัย เจ้ายังมีสิทธิ์ที่จะมีคู่ครองอื่นได้อยู่"

    แม่หญิงมองตาเจ้าชายหนุ่ม ก่อนจะขมวดคิ้ว

    "อ้อ...เยี่ยงนั้นเองหรอกรึ ที่แท้ท่านก็เอาความตายขึ้นมาอ้าง แลผลักไสข้าให้บุรุษอื่น แล้วท่านก็จักได้ไปมีหญิงอื่นตามหัวเมืองต่างๆที่ท่านรบแล้วมีชัย" แม่หญิงงอนเล็กน้อย นางสะบัดหน้าหนีพระหัตถ์ของพระอินทราธิป

    พระอินทราธิปยิ้มชอบใจ

    "ฮ่า ฮ่า ฮ่า มิใช่ มิใช่ แม่หญิงเจ้าอย่าเข้าใจผิด ข้าเพียงแต่...เอ่อ...เพียง...เอ่อ..." พระอินทราธิปมิรู้ว่าจักกล่าวต่อไปอย่างไร

    "เพียงอะไร ท่านมิต้องมาแก้ตัว ข้ารู้ชายชาตินักรบล้วนเจ้าชู้ด้วยกันทั้งสิ้น"

    "โถ่...แม่หญิง ข้ามิได้คิดเยี่ยงนั้นจริงๆ" พระอินทราธิปตรัสอ้อน พลางเอื้อมพระหัตถ์ลูบแก้มแม่หญิงวรางคณาที่กำลังงอน แล้วตรัส

    "เอาเยี่ยงนี้ หากกลับจากพิษณุโลกคราวหน้า ข้าจักให้เสด็จพ่อมาสู่ขอเจ้ากับพันวนารักษ์" พระอินทราธิปกล่าวด้วยน้ำเสียงหวาน

    วรางคณานิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง

    "..." นางตกใจในคำตรัสของพระอินทราธิป พลันเงยหน้ามองด้วยนัยน์ตาเสมือนว่าอยากให้พระอินทราธิปตรัสย้ำอีกครั้ง

    "มิได้ยินที่ข้าพูดหรือ กลับจากพิษณุโลกข้าจักไปขอเจ้า" พระอินทราธิปตรัสย้ำ แม่หญิงเริ่มยิ้มอย่างเขินอาย

    พระอินทราธิปอมยิ้ม ก่อนจะเยี่ยมหน้าเข้าใกล้นาง

    "ข้าขอหมั้นเจ้าไว้ก่อนนะ" พระอินทราธิปตรัสพลันไสพระองค์ขึ้นหอมแก้มแม่หญิงวรางคณา แม่หญิงตกใจ ตบหน้าพระอินทราธิปอย่างแรง

    พระอินทราธิปเอื้อมพระหัตถ์ขึ้นจับแก้มพลางตรัส

    "โอ๊ย...ไม่ให้ก็บอกกันดีๆก็ได้นี่ มิเห็นต้องลงไม้ลงมือเลย"

    "ท่านนี่ร้ายกาจนัก ฉวยโอกาสทีเผลอ! ชายชาตินักรบกะล่อนทุกคนไป..." นางเอื้อมมือจับแก้มบริเวณที่ถูกหอม

    ไม่เอาแล้ว...ข้าจักกลับเรือน" แม่หญิงวรางคณาร้องบอกบ่าวไพร่ พลันเดินลงจากพระตำหนักไป พระอินทราธิปรู้นัยว่าแม่หญิงเขินก็ชอบใจเป็นการใหญ่ ล้มพระองค์ลงนอ ลูบพระพักตร์ตรงรอยที่ถูกตบ แลยิ้มอย่างอารมณ์ดี

    แม่หญิงวรางคณากลับถึงเรือนก็ไม่ปราศรัยกับใคร เก็บตัวอยู่ในห้องเพียงลำพัง นางเดินไปนั่งหน้าคันฉ่องมองตัวเองในกระจก ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นลูบแก้มข้างที่ถูกพระอินทราธิปหอม พลันอมยิ้มอย่างเอียงอาย

    นางพูดกับตัวเอง

    "เกิดมาข้ายังมิเคยถูกใครหอมแก้ม นี่ครั้งแรกก็ทำเอาตกใจเสียขนาดนี้ หนำซ้ำยังตบพระอินทราธิปเสียหน้าหัน แล้วต่อไปถ้าพบพระองค์อีก ข้าจะกล้าสู้หน้าพระองค์หรือ..." นึกไปก็ยิ้มไปตามแบบหญิงสาวเพิ่งเจริญวัยมิเคยมีความรัก...

    <><><><><><><><><>

    ครั้นเมื่อพระอินทราธิปหายจากพระอาการประชวรแล้วก็ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าให้เป็นนายทัพหน้าแห่งกองทัพพิษณุโลกสองแคว พระองค์โปรดให้หลวงองอาจสัตยา ขุนพิทักษ์ราชกิจ หมื่นฤทธิณรงค์ พันโยธารักษ์ พันประจักษ์กมลเข้าร่วมทัพกับพระองค์ตามเดิม และคัดเลือกไพร่พล ๕๐๐ นายจากทหารล้อมเมืองทั้งไทยจีนเข้าร่วมในกองทัพนี้ด้วย

    พระนเรศวรมหาอุปราชา พระเอกาทศรถราชบุตร และพระอินทราธิปราชนัดดา เสด็จพระดำเนินออกจากกรุงศรีอยุธยาพร้อมด้วยไพร่พล ๒๐๐๐ นาย มุ่งหน้าสู่พิษณุโลก

    <><><><><><><><><>

    ::พุทธศักราช ๒๑๒๔ มะเส็งศก::

    ...พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองมหาราชสวรรคตด้วยพระชนมายุ ๖๕ พรรษา พระมหาอุปราชามังไชยสิงห์ขึ้นสืบราชสมบัติทรงพระนามว่า พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง พระองค์ทรงตั้งมังกะยอชวาหรือมังสามเกียดพระโอรสพระองค์ใหญ่ขึ้นเป็นพระมหาอุปราช บรรดาเจ้าเมืองต่างๆที่ขึ้นต่อหงสาวดีต้องเข้าเฝ้าจักรพรรดิพระองค์ใหม่ตามโบราณราชประเพณี

    ทางฝ่ายกรุงศรีอยุธยาสมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดให้พระนเรศวรเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ในครั้งนี้เจ้าฟ้าไทยใหญ่เมืองคังมิได้มาเข้าเฝ้าถือเป็นการแข็งเมือง พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงจึงทรงให้จัดกำลังยกไปตีเมืองคัง โดยพระองค์ใคร่จะทดสอบฝีมือแม่ทัพรุ่นใหม่จึงรับสั่งให้พระมหาอุปราช พระสังขทัตเจ้าเมืองตองอู แลพระนเรศวรจัดคนละทัพยกไปในการศึกครั้งนี้


    เมืองคังเป็นเมืองของชาวไทยใหญ่ตั้งอยู่บนภูเขาสูงมีทางขึ้นลงเฉพาะเพียงทางเดียวยากต่อการเข้าตี แม่ทัพทั้งสามร่วมวางแผนการรบด้วยกัน โดยให้จัดทัพเข้าตีทัพละวัน เริ่มจากทัพพระมหาอุปราช มาทัพพระสังขทัต และทัพพระนเรศวรเป็นอันดับสุดท้าย

    ผ่านไป ๒ ราตรี ทัพพระมหาอุปราชแลทัพพระสังขทัตยังไม่สามารถเข้าตีเมืองคังได้

    พระนเรศวร พระเอกาทศรถและพระอินทราธิปเฝ้าสังเกตการณ์ในเพลาที่ทัพทั้งสองเข้าตี จึงทราบว่าไม่สามารถที่จะเข้าตีเมืองคังได้เนื่องด้วยทหารไทยใหญ่อยู่บนที่สูงได้เปรียบยิ่งนัก

    เพลาว่างทั้งสามพระองค์ทรงแต่งเป็นกองโจรออกสำรวจภูมิประเทศ

    ก่อนการเข้าตีในคืนที่สามอันเป็นคราวของทัพไทย พระนเรศวรทรงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองโดยพร้อมกันเพื่อวางแผนการยุทธ์

    "คืนแรกเพียงเห็นเราก็รู้ว่าทัพมังสามเกียดจักตีเมืองคังมิได้ ด้วยว่าทหารไทยใหญ่สะกัดทัพไว้ตั้งแต่เชิงเขา พวกที่สูงก็ระดมโปรยหิน เหวี่ยงหินลงมา ไพร่พลหงสาวเสียกำลังไปเป็นอันมาก...

    คืนต่อมาทัพนัดจินหน่องราชบุตรตองอูก็ดำเนินกลศึกดุจเดียวกับทัพหงสา หากแต่พวกเมืองคังนั้นก็ยังต่อต้านได้แข็งแกร่งไม่แพ้วันแรก" พระนเรศวรตรัสต่อแม่ทัพนายกองทั้งหลาย พลันตรัสต่อ

    "เราออกสำรวจภูมิประเทศกับพระอนุชาทั้งสอง พบทางลับเข้าสู่เมืองคังที่ด้านหลังดอยทางหนึ่ง เป็นทางขึ้นลงสะดวกนัก พกวชาวเมืองลักลอบลงมาขนน้ำขึ้นเมืองกัน

    ปากทางที่เชิงเขานั้นเป็นป่าทึบยากแก่การตรวจพบ เราใคร่จักใช้กลศึกให้กำลังส่วนน้อยทำทีว่าจักเข้าตีทางหน้าเมืองเช่นทัพทั้งสองก่อนหน้า กำลังส่วนใหญ่ให้ใช้เส้นทางลับนี้ไปซุ่มอยู่หลังเมือง...

    ...แลเข้าตีกระหนาบเมื่อศัตรูหลงกลยกกำลังมารบพุ่งด้านหน้าเมืองเสียหมด พวกท่านเห็นว่าเป็นเยี่ยงไร" พระนเรศวรตรัสกลศึกให้เสนาธิการทั้งหลายพิจารณา

    "หม่อมฉันเห็นว่าเป็นกลศึกที่แยบคายยิ่งนักพระพุทธเจ้าข้า หากทำเยี่ยงนี้เราจักได้ชัยชำนะอย่างเด็ดขาดสามารถจับตัวเจ้าฟ้าไทยใหญ่ได้เป็นแน่" พระยาเสนาณรงค์ประนมมือขึ้นกราบทูล พระนเรศวรทอดพระเนตรไปโดยรอบไม่มีนายทัพผู้ใดเสนอความคิดเห็นจึงทรงตรัสสั่งว่า

    "ดี! ถ้าเช่นนั้นออกญาพระยาแม่ทัพนายกองทั้งหลายจงฟังเรา..." พระนเรศวรลุกขึ้นตรัสสั่งการ

    "ให้ขุนอินทรเดชคุมกำลังหนึ่งในสามทำทีเข้าตีด้านหน้าถนอมกำลังรบไว้ให้มากที่สุด อย่ารุกเข้าโจมตีจนกว่าประตูเมืองจะเปิด กำลังที่เหลือจงตั้งทัพรั้งไว้อยู่หลังดอย ให้ทแกล้วทหารกล้าแม่ทัพนายกองทั้งสิ้นอยู่ในบัญชาแห่งเรา"

    "รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า" แม่ทัพนายกองทั้งหลายประนมมือขึ้นรับพระบัญชา

    <><><><><><><><><><>

    ตกเพลาค่ำกองทัพกรุงศรีอยุธยาจัดกระบวนทัพตามกลศึกของพระนเรศวรขึ้นไปซุ่มตามแผนที่วางไว้ ครั้นเมื่อเพลาตี ๔ ทัพขุนอินทรเดชจึงระดมยิงธนูเพลิงเข้าใส่ทหารเมืองคังแลทำทีตะโกนโห่ร้องเสมือนว่าจะยกเข้าตีทางหน้าเมือง ฝ่ายทหารไทยใหญ่พากันมาป้องกันเมืองทางด้านหน้าจนหมดสิ้น

    พระนเรศวรทรงนำกองทหารลัดเลาะขึ้นดอยคังทางเส้นทางลับที่ค้นพบ ทอดพระเนตรเห็นประตูเมืองทางด้านหลังปลอดทหารก็ยกพลเข้าโจมตี ไพร่พลพาดบันไดปีนกำแพงเมืองโดยสะดวก วิ่งเข้าทำลายประตูเมือง สุมไฟเผากำแพงเมืองพังลงมา

    พระนเรศวรปีนเข้าเมืองได้แล้ว ก็ตะโกนสั่งทหารว่าผู้ใดสามารถเปิดประตูเมืองทางด้านหน้าให้ทัพขุนอินทรเดชเข้ามาได้จักปูนบำเหน็จให้แก่มันผู้นั้น บรรดาทหารหาญกำลังใจฮึกเหิมต่างไล่ฆ่าฟันทหารไทยใหญ่ที่เข้ามาขัดขวางล้มตายไปเป็นอันมาก

    ฝ่ายทหารเมืองคังถูกตีกระหนาบทั้งจากทางด้านหน้าและด้านหลังก็เสียขวัญ แต่ยังคงรักษากำแพงเมืองไว้ได้อย่างมั่นคง

    พระนเรศวร พระเอกาทศรถพร้อมด้วยทหารเอกจำนวนหนึ่งมุ่งตรงไปยังประตูเมือง เห็นว่ามีทหารรบกันอยู่หนาแน่นยากที่จักเปิดประตูเมืองได้ จึงรับสั่งให้ทหารลอบปีนกำแพงเมืองออกไปส่งข่าวให้ขุนอินทรเดชบุกทำลายประตูเมืองเข้ามา ฝ่ายขุนอินทรเดชไม่รอช้ารีบสั่งทหารเข้าตีเมืองคังทันที

    ทางพระนเรศวร พระเอกาทศรถ พระอินทราธิป หลวงองอาจสัตยา ขุนพิทักษ์ราชกิจ หมื่นฤทธิณรงค์ พันโยธารักษ์ พันประจักษ์กมล พร้อมหมู่ทะลวงฟันจำนวนหนึ่งบุกเข้าเขตวังหมายจะจับกุมเจ้าฟ้าไทยใหญ่แลพรรคพวก

    ครั้นเมื่อฝ่ายกรุงศรีอยุธยาบุกเข้าถึงพระราชมณเฑียรที่ประทับของเจ้าฟ้าไทยใหญ่ได้ก็เข้าประยุทธ์กันเป็นสามารถ เจ้าฟ้าเมืองคังทรงเครื่องยุทธพิชัยออกรบอย่างกล้าหาญ

    พระนเรศวรเข้ารบพุ่งประดาบกับเจ้าฟ้าเมืองคัง

    ทหารองครักษ์ไทยใหญ่โถมกายเข้าหาพระนเรศหมายป้องกันองค์เจ้าฟ้า พระนเรศพลิกพระแสงดาบตวัดเข้าเฉือนเข้ากลางลำตัว

    เจ้าฟ้าไทยใหญ่ได้ทีจ้วงแทงพระนเรศ พระนเรศพลิกองค์หลบแล้วเตะข้อมือเจ้าฟ้าไทยใหญ่ พระแสงดาบหลุดจากมือ

    พระนเรศวรทรงเกิดพระดำริขึ้นฉับพลันนั้นว่าไทยใหญ่กับไทยสยามนั้นเป็นพี่น้องท้องเดียวมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมานาน การที่จะสู้รบฆ่าฟันกันนั้นมิอยู่ในวิสัยของสายโลหิตไทยด้วยกัน พระองค์ทิ้งเก็บพระแสงดาบเข้าฝักดังเดิมก่อนจะเปล่งพระวาจาต่อเจ้าฟ้าไทยใหญ่เมืองคัง

    "พ่อเจ้า! ยอมจำนนเถิด เราเองก็เป็นไทยด้วยกัน หม่อมฉันมิต้องการให้ไทยด้วยกันต้องมาเข่นมาฆ่ากันเอง!"

    "ข้าเจ้าคงยอมจำนนมิได้ดอกพ่อเจ้า ไตเฮามิใคร่จักอยู่ภายใต้อำนาจอ้ายม่านพม่าหงสาวดีมัน!" เจ้าฟ้าเมืองคังตรัสตอบพลันพลิกองค์หลบคมดาบ และถีบทหารที่เข้ามาประยุทธ์ออกห่างองค์ไป

    "ไทยสยามก็มิใคร่จักอยู่ใต้ตีนอ้ายพม่ามันเช่นกัน พ่อเจ้า! หากแต่บัดนี้เรายังมิพร้อมด้วยประการใด อ้ายพม่ามันมีไพร่พลมากกว่าเราอยู่โข แม้นเราจักรวมกำลังกันทั้งไทยใหญ่ไทยน้อยก็หาทัดเทียมอ้ายพม่ามันได้ไม่!"

    "แม้นสู้มันมิได้ ไตเฮาก็จักสู้!"

    พระนเรศชักพระแสงดาบขึ้นปัดป้องทหารไทยใหญ่ที่ถือหอกโถมเข้ามา พระเอกาทศรถเห็นพระเชษฐามีภัยก็เข้ามาถวายอารักขา

    "ดำริดูให้ดีก่อนเถิดพ่อเจ้า! ที่เจ้าฟ้าไทยใหญ่ปกครองมาหลายชั่วราชวงศ์นั้นมิใช่เพื่อให้ประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุขหรือ! บัดนี้ไทยใหญ่เดือดร้อนกันทุกผู้เพราะพ่อเจ้ามิยอมอ่อนข้อต่อหงสาวดี หากพ่อเจ้ายอมจำนนแล้วไซร้มีหรือที่อ้ายพวกหงสามันจะยกมาต่อมาตีมาข่มเหงรังแก!"

    เจ้าฟ้าเมืองคังเริ่มทำทีฉึกคิด พระเอกาทศรถเห็นดังนั้นก็ตรัสเสริม

    "จริงอย่างสมเด็จพระเชษฐาเราว่า...แผ่นดินเอกราชใดก็มิต้องการจักอยู่ใต้อำนาจแผ่นดินอื่นทั้งสิ้น หากแต่บัดนี้เราต่อกรมันหาได้ไม่ สู้เราทำทีอ่อนน้อมเพื่อสงวนชาติสงวนพงศ์ ครั้นสบโอกาสประเทศชาติเราเข้มแข็งคราใด ค่อยประกาศเอกราชเหนือมัน มิดีกว่าหรือพ่อเจ้า!"

    เจ้าฟ้าเมืองคังหันมาทางพระเอกา

    "หากยอมจำนนเพลานี้ ข้าเจ้าก็ต้องถูกนันทบุเรงมันประหารชีวิตเอาอยู่ดี" เจ้าฟ้าไทยใหญ่ตรัสอย่างขลาดกลัว พระนเรศวรได้ทีจึงตรัส

    "พ่อเจ้ารักตัวกลัวตาย รักพระชนม์ชีพของพระองค์เองมากกว่าราษฎร นี่หรือกษัตริย์! มิเห็นแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์บ้าง" เจ้าฟ้าไทยใหญ่ได้ยินเยี่ยงนั้นก็เกิดขัตติยะสังเวช ทรงดำรินึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนหันไปทางพระนเรศแล้วตรัส

    "พ่อเจ้าหมายจะแยกตัวเป็นเอกราชเยี่ยงนั้นจริงๆหรือ"

    "ใช่! เยี่ยงไรเสียไทยก็ต้องเป็นไทย ไทยจักต้องมิขึ้นกับผู้ใด"

    "ถ้าเช่นนั้น ข้าเจ้าขอพระกรุณา ข้าเจ้าขอฝากประชาชนชาวไตทุกผู้ไว้ในพระราชานุเคราะห์ด้วย" ทันใดเจ้าฟ้าไทยใหญ่ก็วางอาวุธประกาศยอมจำนนต่อพระนเรศวร

    ทหารเมืองคังเห็นดังนั้นก็วางอาวุธ ทหารกรุงศรีเข้าประคองทหารไทยใหญ่ที่บาดเจ็บ บ้างนั่งจับเข่าปรับทุกข์ บ้างขอโทษขอโพย บ้างแลกเปลี่ยนของดีมีอาคมต่อกันด้วยเข้าใจดีถึงความจำเป็นแห่งการเข้ารบพุ่งซึ่งกันและกัน

    ฝ่ายชาวเมืองต่างออกมาสวามิภักดิ์ต่อพระนเรศวร

    <><><><><><><><><>

    พระนเรศวรคุมตัวเจ้าฟ้าไทยใหญ่เสด็จกลับหงสาวดี พระมหาอุปราชและพระสังขทัตนัดจินหน่องทรงริษยาและเกลียดชังพระนเรศวรยิ่งนัก ครั้นเมื่อเสด็จถึงหงสาวดี พระเจ้านันทบุเรงทรงพระราชทานรางวัลให้พระนเรศวร แต่ก็ทรงไม่พอพระทัยและอับอายยิ่งนักที่พระโอรสไม่สามารถจับตัวเจ้าฟ้าเมืองคังมาถวายได้ พระองค์เริ่มนึกระแวงต่อพระนเรศวรว่าต่อไปในภายหน้าอาจจักเป็นเสี้ยนหนามที่สำคัญ

    พระเจ้าหงสาวดีนันทุบเรงสั่งประหารชีวิตเจ้าฟ้าไทยใหญ่เมืองคัง แต่พระนเรศวรทรงใช้กุศโลบายทูลบอกเหตุว่าเจ้าฟ้าไทยใหญ่ยอมจำนนแล้วเสมือนหนึ่งเป็นตัวประกันต่อเจ้าฟ้าไทยใหญ่เมืองอื่นมิให้กล้าแข็งข้อ หากจะประหารชีวิตเห็นทีจะไม่มีประโยชน์ เพียงทัพหงสาวดียกไปตีเมืองคังคราวนี้เมืองคังก็ย่อยยับหนักหนาแล้ว จึงขอพระราชทานละเว้นโทษประหาร เจ้าฟ้าไทยใหญ่จึงถูกจองจำอยู่ในคุกหลวงแห่งหงสาวดีแทน

    <><><><><><><><><><><><>

    พระนเรศวรประทับอยู่ที่หงสาวดีระยะหนึ่งเพื่อเข้าเฝ้าพระสุพรรณกัลยา ในครานั้นเองก็ทรงได้พบกับสมเด็จพระพี่นางที่มิได้เจอกันมานาน พระเอกาทศรถเมื่อทรงได้เห็นพระพี่นางก็ทรงกลั้นพระอัสสุชลไม่อยู่ หมายใจจักกอดพระพี่นางให้สมที่คิดถึง แต่ติดด้วยกฎมณเฑียรยาล

    "เป็นเยี่ยงไรบ้างพี่หญิง สิ้นบารมีพระเจ้าบุเรงนองไปแล้ว พี่หญิงยังอยู่สุขสบายดีหรือไม่พระเจ้าข้า" พระนเรศวรตรัสถามพระพี่นางด้วยความเป็นห่วง

    "พี่ยังสบายดีองค์ดำมิได้ลำบากเท่าใดดอก ทุกคนที่นี่ดีกับพี่ยิ่งนัก จักมีก็แต่พระมเหสีทั้งหลายที่มิสู้จะชอบหน้ากันเท่าไร" พระสุพรรณกัลยาตรัสต่อพระนเรศวรแลพระเอกาทศรถ

    "แล้วพระเจ้าหงสาวดีองค์ใหม่เล่าพี่หญิง ดีกับท่านหรือไม่"

    "พระองค์ก็ทรงเมตตาพี่ดีดุจพระผ่านพิภพราชบิดา แต่พี่ไม่รู้ว่าเจ้าชำนะศึกเมืองคังครานี้พระองค์ซึ่งชิงชังเจ้าหนักหนา จักพาลมาถึงพี่ด้วยหรือไม่"

    "อดทนไว้เถิดพี่หญิง บัดนี้สิ้นแผ่นดินพระเจ้าบุเรงนอง หม่อมฉันมิพักจำต้องเกรงใจผู้ใดแล้ว สบโอกาสคราใดหม่อมฉันจักแยกกรุงศรีอยุธยาออกจากหงสาวดี แลจักมารับตัวพี่หญิงกลับไปอยู่ด้วยกัน" พระนเรศวรตรัสอย่างองอาจ

    "จงรอบคอบพระองค์ดำ อย่าได้ทำการใดผลีผลาม พี่ได้ข่าวว่าเจ้าได้อินทราธิปมาช่วยในทัพรึ" พระสุพรรณกัลยาตรัสถาม

    "พระเจ้าข้า สมเด็จพ่ออวยยศให้เป็นที่นายทัพล้อมพระนคร เมื่อก่อนยังเคยวิ่งเล่นอยู่ด้วยกัน บัดนี้เจริญวัยแล้วเก่งกล้าสามารถ นี่ได้ความชอบด้วยขับไล่ทัพเขมรเมื่อคราวสมเด็จพ่อยกทัพไปช่วยหงสารบที่ล้านช้าง"

    "ดีแล้วที่ได้คนดีมีฝีมือมาอยู่ด้วย"

    "พระเจ้าข้า" พระนเรศวรตรัสรับ ทันใดนั้นเสียงบ่าวไพร่ร้องบอกถึงการมาเยือนของใครคนหนึ่ง ทั้งสามพระองค์ผินพระพักตร์ไปที่หน้าประตู ปรากฏเป็นหญิงสูงศักดิ์แต่งกายแบบมอญ

    "เจ้านางมินตยา" พระสุพรรณกัลยาคำนับหญิงมอญสูงศักดิ์

    "ตามสบายเถิดเจ้านางสุพรรณกัลยา ข้ายินดีด้วยนะพระองค์ดำ พระองค์ขาว" เจ้านางมินตยาผินพระพักตร์ไปตรัสกับพระองค์ชายทั้งสอง พระสุพรรณกัลยาเห็นว่าพระองค์ชายทั้งสองทรงระแวงจึงตรัส

    "นี่พระนางมินตยา เป็นพระชายาองค์หนึ่งของพระเจ้าบุเรงนอง เดิมเป็นธิดาเจ้าเมืองเมาะตะมะ พระนางดีกับพี่มาก คอยช่วยเหลือพี่ทุกอย่าง นำข่าวทางกรุงศรีมาบอกพี่อยู่ประจำ" เจ้านางมินตยายิ้มให้พระองค์ชายทั้งสอง

    "ขอบพระทัยเจ้านางมากที่ช่วยดูแลพี่หญิงของข้า" พระเอกาทศรถตรัสพลางยิ้มอย่างเป็นมิตร

    "ข้าเต็มใจที่ได้ช่วยเหลือเจ้านางสุพรรณกัลยา วันนี้ข้านำข่าวทางกรุงศรีมาบอก บัดนี้พระยาละแวกยกทัพมาตีเอาเมืองเพชรบุรีไปได้แล้ว" พระนางมินตยาตรัสทูลพระนเรศวร

    "พระยาละแวกอีกแล้วรึ!" พระนเรศวรตรัสด้วยความโกรธ

    "เขมรสันดานลอบกัดมิเคยเปลี่ยนแปลง" พระเอกาทศรถตรัสเสริม ทันใดนั้นพระอินทราธิปก็วิ่งผละเข้ามาในพระตำหนักพลันกราบทูลข่าวทางเขมรให้พระองค์ทั้งสองทรงทราบด้วยน้ำเสียงร้อนพระทัย

    "สมเด็จพี่! เขมรยกมาเอาเพชรบุรีไปได้แล้วพระเจ้าข้า!"

    พระนเรศพยักพระพักตร์ พลันตรัส

    "ขอบใจเจ้ามาก เจ้านางมินตยาเพิ่งแจ้งแก่พี่เมื่อสักครู่นี้เอง" พระสุพรรณกัลยาได้ยินพระนเรศวรตรัสต่อทหารผู้นี้เช่นพี่น้อง ก็ทรงรู้ทันทีว่านี่คือพระอินทราธิป พระนางปราดเนตรตั้งแต่เบื้องบนสู่เบื้องล่าง

    "อินทราธิปหรือนี่! เจริญวัยสง่างามยิ่งนัก"

    พระอินทราธิปหันมามองพระนางด้วยความฉงน แต่โครงพักตร์ของพระนางนั้นยังคงงามไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งกาลก่อน

    "พี่หญิง! พระองค์จริงๆด้วย หม่อมฉันมิทันได้มอง ขอพระราชทานอภัย" พระอินทราธิปคุกเข่าประนมมือขึ้นกราบทูล

    "มิเป็นไร มิเป็นไร พี่ดีใจเหลือที่ได้พบเจ้าอีกอินทราธิป"

    "หม่อมฉันเองก็เช่นกันพระพุทธเจ้าข้า" พระราชวงศ์ทั้งหลายต่างอาลัยอาวรณ์ถึงความหลังเมื่อครั้งยังเยาว์...



    ...บุเรงนองสิ้นชีพพระชันษา

    โอรสาขึ้นนั่งบัลลังก์ต่อ

    หวังลูกชื่อลือดังมังกะยอ

    กลับให้พ่ออัปยศหมดศรัทธา...


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×