ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ... ขุนโจร ... The Warrior of King Nares

    ลำดับตอนที่ #5 : วิชายุทธ์ลือปฐพี...หนึ่งสตรีผู้งดงาม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 387
      1
      12 ก.ย. 52

    ::วิชายุทธ์ลือปฐพี...หนึ่งสตรีผู้งดงาม::

    พระโอรสตื่นจากบรรทมด้วยเพราะได้ยินเสียงกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่คล้ายกับว่ากำลังฝึกทหารอยู่ ด้วยความสนใจในการฝีกไพร่พลรบอยู่แล้ว พระโอรสอินทราธิปจึงเสด็จออกไปตามเสียงนั้น โดยมีพันพิทักษ์พลเดินตามไปอย่างใกล้ชิด

    เบื้องหน้านั้น ปรากฏกลุ่มชายวัยรุ่นประมาณ ๑๐๐ คนกำลังตั้งแถวอยู่เรียงราย และมีผู้นำอยู่บนแคร่ยกสูง ชายเหล่านั้นเตะต่อยตามผู้นำ พร้อมกับเปล่งวาจาเป็นจังหวะ ดูเหมือนว่าจักเป็นการฝึกมวย หากแต่ท่าทางที่ฝึกนั้นดูผิดแปลกไปจากมวยไทยสัตตยุทธ์ อันเป็นวิชาการต่อสู้ของนักรบแห่งกรุงศรีอยุธยา

    “นี่มันมวยสำนักใด ประหลาดเหลือ แลดูแข็งแกร่งมั่นคงยิ่งนัก” พระโอรสตรัสถามนายทหารคนสนิท

    “หม่อมฉันเคยเห็นมวยลักษณะนี้อยู่ทางแถบหมู่บ้านจีนนอกราชธานีพระพุทธเจ้าข้า แต่ก็หารู้ไม่ว่าเป็นมวยชนิดใด รู้เพียงว่ามิใช่วิชามวยแห่งสำนักพุทไธสวรรค์เป็นแน่”

    ทันใดนั้นเอง กลุ่มชายฉกรรจ์ก็แปรรูปแถวเป็นวงกลมใหญ่ แลมีคนเดินมาอยู่กลางวงกลมนั้น ๒ คน เคารพกันแบบจีน แล้วเริ่มตั้งท่ามวยตามแบบฉบับของตน คนหนึ่งกำหมัดแน่นทั้งสองมือ อีกคนหนึ่งแบมือ พอได้สัญญาณจากผู้นำเป็นภาษาจีน ทั้งสองคนก็เข้ารณยุทธ์กัน

    “ดูสิท่าน! ออกหมัดหนักหน่วงยิ่งนัก” พระโอรสตรัสด้วยความตื่นเต้น

    “พระเจ้าข้า ดูเหมือนว่าจักมิใช่พลังจากหมัดเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นพลังจากทั้งกาย”

    “ข้ามิเคยเห็นการประลองยุทธ์ที่สนุกเยี่ยงนี้มาก่อน”

    “หม่อมฉันเช่นกันพระพุทธเจ้าข้า”

    ทันใดพระโอรสน้อยก็คิดสนุกขึ้นมา อินทราธิปหันไปส่งสายตากับพันพิทักษ์พล

    “พันพิทักษ์ ข้าใคร่รู้นักว่ามวยสัตตยุทธ์ของเราชาวสยามกับมวยนี้ มวยใดจักเป็นเลิศกว่ากัน” พระโอรสเริ่มตรัสท้าทายพันพิทักษ์พล

    ทหารหนุ่มกลืนน้ำลาย ก่อนจะหันหน้าไปหาพระโอรส “พระโอรสหมายความว่า...”

    “ใช่...ข้าต้องการให้ท่านออกไปเปรียบเชิงกับพวกเขาให้ข้าชมเป็นขวัญตา”

    ทหารหนุ่มพยักหน้าสองสามครั้ง เป็นเชิงยอมรับชะตากรรม

    “เมื่อเป็นพระประสงค์ หม่อมฉันก็มิอาจขัดพระพุทธเจ้าข้า” พันพิทักษ์พลประนมมือขึ้นไหว้ทูลหัว

    ว่าแล้วพันพิทักษ์พลก็เดินเข้าไปกลางวงล้อมอย่างกล้าหาญ แลเปล่งเสียงดังท้าทายกลุ่มชายฉกรรจ์ ครูมวยที่อยู่บนแท่นสั่งยุติการประลอง พลันเอ่ยปาก

    “มีกางใดรือ ทั่งขุงนาง”

    “ข้าเห็นชั้นเชิงทางมวยของพวกท่านเข้มแข็งหนักหนา จึงใคร่จะขอเปรียบกับมวยแห่งชาวสยาม มิรู้ว่าท่านจักให้เกียรติประลองกับข้าได้หรือไม่”

    ครูมวยจีนยิ้มเล็กน้่อย แล้วพยักหน้ารับคำ

    “เมื่อทั่งต้องกาง ข้าก็เต็มจาย” ครูมวยกระโดดลงมาสู่สนามประลองด้วยใบหน้ายิ้มเยาะ และเดินช้าๆอย่างใจเย็น

    หนึ่งครูมวยวัยกลางคนท่าทางสงบเยือกเย็นแต่แฝงไปด้วยความแข็งแกร่ง

    หนึ่งนายทหารหนุ่มแห่งกรุงศรีอยุธยาผู้ไม่เป็นรองใครในเชิงรบ


    ทันใดนั้น พันพิทักษ์พลพุ่งเข้าจู่โจมประชิดตัวครูมวยจีน เท้าซ้ายเตะเข้าก้านคอ แต่ถูกปัดป้องด้วยแขนขวาของครูมวยจีน แลซัดหมัดซ้ายพุ่งสวนกลางหน้าอกในทันที พันพิทักษ์พลเซถลาไปข้างหลัง กระอักเลือดเป็นฝอย แต่ก็ยังคงตั้งเชิงมวยอย่างมั่นคง

    ทหารหนุ่มเดินหน้ารุกเข้าประชิดตัวครูมวยต่อไป แต่ก็ทำอะไรครูมวยจีนมิได้เลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำกลับถูกเตะล้มกลิ้งออกมา

    “นี่มันวิชาของสำนักใดกัน!” พันพิทักษ์พลตะโกนถามครูมวยจีน

    “นี่คือวิชามวยจีนไท่จื่อฉวน สึบทอดมาจากจงหยวนต้างแต่ซาหมัยราชชาวงศ์ซ่ง” ครูมวยตอบอย่างองอาจ

    “ข้ามิเคยพบเจอพลังอันรุนแรงเยี่ยงนี้มาก่อน”

    “วิชานี่เปงมวยภายใน ใช้พาลังจักร่างกายภายในมารวบรวมไว้ที่จุกจุกเลียว จึงทามห้ายมีพาลังมาก”

    “เยี่ยงนั้นรึ...” สิ้นวาจาพันพิทักษ์พลก็วิ่งเข้าไปประชิดตัวครูมวยจีน

    ฝ่ายตรงข้ามเริ่มเปิดฉากชกเข้าใส่ แต่พันพิทักษ์เอี้ยวตัวหลบได้ แลจับแขนของครูมวยไว้ แล้วเตะเข้าหน้าท้องอย่างไม่ยั้งแรง ครูมวยจีนผงะถอยออกไป มือกุมหน้าท้องด้วยความจุก

    “เป็นเยี่ยงไรบ้างเล่า มวยภายใน” พันพิทักษ์พูดเย้ยหยัน

    “ย๊าก!”  ครูมวยจีนวิ่งเข้าใส่ พันพิทักษ์ตั้งเชิงรับ ครั้นพอวิ่งเข้ามาระยะประชิดทำทีเตะตัดลำตัว ได้จังหวะพันพิทักษ์กระโดดขึ้นเหยียบต้นขาครูมวย ซัดเข่าเข้าเต็มคาง ตามแม่ไม้เชิงมวยพระรามเดินดง

    ครูมวยจีนล้มลงแน่นิ่งกับพื้น บรรดาชายฉกรรจ์ที่รายล้อมอยู่ต่างกรูเข้ามารุมทำร้ายพันพิทักษ์พล แต่มิใยถูกถีบกระเด็นเป็นแถว พันพิทักษ์ต่อสู้อยู่กลางวงล้อมนั้น ชาวบ้านวิ่งเข้ามาส่งเสียงโห่ร้องชมการต่อสู้ จนกระทั่งปรากฏเสียงคำรามของหัวหน้าบ้านเป็นภาษาจีนประหนึ่งว่าให้ยุติการสู้รบ

    ผู้ชุลมุนทั้งหมดหยุดชะงัก หัวหน้าบ้านเดินปราดเข้าไปหาทหารหนุ่ม

    “อั๊วขอโทกแทงอ้ายพวกนี้มานล่วยน๊าท่าน”

    พันพิทักษ์พลเอามืดปัดฝุ่นตามร่างกาย

    “มิต้องใส่ใจดอกท่าน ข้าหาเป็นเยี่ยงไรไม่”

    “ขอบคุงต้ายเท้า แลพระโอรสฉู่วหยายลาท่าน” ผู้ใหญ่บ้านถามถึงพระโอรส

    “พระองค์ทอดพระเนตรการประลองอยู่ทางด้านโน้น” พันพิทักษ์ชี้ไปทางที่พระโอรสประทับยืนอยู่

    “เอ๊ะ! พระโอรสหายไปไหนเล่า” พันพิทักษ์พลกล่าวด้วยความตกใจเมื่อหันไปไม่เห็นพระโอรสแล้ว...

    <><><><><><><><><><><><>


    พันพิทักษ์พลหารู้ไม่ว่า ระหว่างที่กำลังถูกรุมทำร้าย มีผู้หวังดีเกรงพระโอรสจะถูกทำร้ายด้วย นำตัวพระโอรสวิ่งหนีเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในเรือนซึ่งอยู่ที่ไม่ห่างจากลานฝึกมวยมากนัก ตัวเรือนค่อนข้างเล็กและแคบ สร้างอย่างง่าย แต่ปกปิดมิดชิดพอสมควร พระโอรสไม่ทันได้ทอดพระเนตรว่าใครเป็นคนนำพระองค์วิ่งเข้ามาหลบอยู่ในเรือน ครั้นเมื่อเหตุการณ์สงบ การสนทนาระหว่างพระโอรสกับผู้ลึกลับจึงเริ่มขึ้น

    “เจ้าเป็นใคร” พระโอรสเริ่มตรัสถาม

    เจ้าของบ้านยังไม่หันมา พระโอรสมองไม่ถนัดว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร

    "ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร"

    เจ้าของบ้านหันหน้ามาเล็กน้อย

    ข้าแซ่ เหม่ย ชื่อ หลิงฮัว แล้วเจ้าล่ะ” เสียงเด็กผู้หญิงพูดตอบ

    “เจ้ายังเป็นกุมารีอยู่นี่นา เอ่อ...ข้าชื่อ อินทราธิป” ทันใดร่างนั้นก็หันมา เด็กสาวชาวจีนนิ่งอึ้งในรูปโฉมของพระโอรส พระโอรสเองก็ทรงขัดเขินแลเห็นว่าสาวน้อยผู้นี้งดงามนักเช่นกัน

    “อ...อิ...อินทราธิปรึ ชื่อเจ้าเหมือนพวกเจ้าขุนมูลนายยิ่งนัก เจ้าเป็นคนบ้านใดกัน” สาวน้อยยังคงกล่าวต่อด้วยความเขินอาย

    “ข...ข...ข้าเป็นชาวพรหมบุรี แล้วเจ้าเล่า” พระโอรสตรัสติดๆขัดๆด้วยเพราะต้องพระทัยในความงามของพระสหายใหม่

    “พ่อแม่ข้าเป็นคนจงหยวนทั้งคู่ แต่ข้าเกิดที่สุพรรณภูมิ แลอพยพหนีภัยสงครามมาอยู่ที่นี่”

    “มิน่า เจ้าจึงมีสำเนียงภาษาต่างจากคนข้างนอก พูดเป็นไทยได้ชัดเจน แลเจ้าพูดจีนได้หรือไม่”

    “ได้สิ ก็พ่อแม่ของข้าเป็นจีน ใยเจ้าถามแปลกๆ"

    พระโอรสนึกสมเพชตัวเอง จะด้วยความกระดากหรือไร พระองค์จึงได้ถามสิ่งที่น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว

    "เออนี่...แล้วพ่อแม่เจ้าเล่าบัดนี้อยู่ที่ใด มิได้มากับเจ้ารึ”

    พระโอรสเลิกคิ้วขึ้น แล้วตรัสตอบ

    “สมเด็จพ่อข้าเป็นเจ้าเมืองพรหมบุรี สมเด็จพ่อสมเด็จแม่แลข้าพลัดกันครากรุงศรีอยุธยาเสียแก่หงสา บัดนี้ข้ากำลังออกตาม”

    “หา!...พระยาพรหมบุรีเป็นพ่อเจ้ารึ ข้า...เอ๊ย! หม่อมฉัน...” เด็กสาวกล่าวด้วยความตกใจ

    “ฮ่าฮ่าฮ่า" เมื่อเห็นอาการของฝ่ายตรงข้าม พระโอรสก็ชอบใจยิ่งนัก "มิต้องตกใจดอก ข้ามิได้ถือตนว่าเป็นเจ้านาย เจ้าจงกล่าวตามปกติเถิด”

    “มิได้! หากทหารมาได้ยิน ข้าจักต้องถูกกุดหัว”

    “เจ้าจักกลัวไปใย ที่แห่งนี้หามีทหารกรุงศรีไม่” พระโอรสตรัสปลอบด้วยความเอ็นดู

    “...เออ...จริงด้วย... ข้าก็ลืมไป” สาวน้อยกล่าวพลางยิ้ม

    ความเงียบเข้าครอบคลุมเรือนแห่งนั้นอีกครั้ง พระโอรสนึกคำถามที่คิดว่าเมื่อถามแล้วจะไม่รู้สึกสมเพชตนเองอีกครั้ง

    “แลเจ้าอายุได้กี่ขวบปีแล้ว”

    “ย่างเข้าสิบสี่ แล้วเจ้าล่ะ”

    “ข้าย่างเข้าสิบห้า” พระโอรสตรัสตอบ

    “ถ้าเช่นนั้นข้าก็เยาว์กว่าเจ้าขวบปี” สาวน้อยพูดด้วยความถ่อมตน

    “เช่นนั้นข้าก็ต้องเรียกเจ้าว่าน้อง”

    “ฮิฮิ มิต้องดอก ข้ามิอยากมีพี่ ข้าอยากมีเพื่อน” สาวน้อยเอ่ยอย่างน่าเอ็นดู

    “ได้สิ ข้าจักเป็นเพื่อนกับเจ้าเอง" พระโอรสหยุดไปครู่หนึ่งก่อนตรัสต่ออย่างอารมณ์ดี
    "เอ๊ะ...แลในหมู่บ้านนี้เจ้ามิมีสหายเลยรึ”

    “มี แต่ข้ามิอยากคบหาพวกนั้น มันเห็นว่าข้าเป็นหญิง จึงชอบรังแกข้า”

    “บุรุษที่รังแกสตรี หามีความเป็นชายชาตินักรบไม่”

    “นักรบรึ...เราต่างยังเป็นเพียงกุมาร รึเจ้าจักบอกว่าเจ้าเป็นนักรบ” เด็กสาวกล่าวเย้ยหยัน

    “ถึงข้าจักมิใช่นักรบเต็มกาย แต่ข้าก็มีสายโลหิตแห่งกษัตริย์ กษัตริย์คือนักรบ”

    “จริงของเจ้า...เจ้านี่ก็แปลกนะ ข้าหาเคยพบปะกับเจ้านายเยี่ยงเจ้ามาก่อน แลมิใยยังให้ข้าพูดเยี่ยงสามัญชน ข้ามิเคยรู้มาก่อนว่า จักมีเจ้านายที่ไม่ถือตน เลิศด้วยรูปโฉมแลสง่างามเยี่ยงเจ้าอยู่ในวงศ์สุริยกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา” หลิงฮัวพูดชมพระโอรสด้วยความเขินอาย

    “ข้าเองอยู่ตำหนักใน ก็มิเคยได้พบสนมนางนมใดจักมีผิวพรรณขาวนวลผุดผ่อง กลิ่นกายหอม วาจาฉะฉาน แลรูปโฉมงดงามเยี่ยงเจ้ามาก่อน ข้าเคยแต่ได้ยินไพร่พลพูดกันว่า สาวจีนฮ่อบ้านใต้นั้นขาวดั่งหยก กิริยาก็งามดั่งชาววัง บัดนี้ข้าได้เห็นกับตาจึ่งเชื่อ มิหนำซ้ำยังรู้ราชาศัพท์ ประหนึ่งว่าได้รับการศึกษามาอย่างดี”

    “...เอ่อ...”

    “...”

    ทั้งสองต่างออกอาการหน้าแดง

    “ก็...ข้าเคยเรียนมากับพระอาจารย์เจียมแห่งวัดใหญ่ชัยมงคล..." พระโอรสได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า ด้วยชื่อพระอาจารย์เจียมนี้คือสมภารแห่งวัดใหญ่ ผู้ซึ่งใครๆในกรุงศรีอยุธยาต่างรู้จัก

    "เอ่อ...ท่านจักอยู่ที่นี่กี่ราตรี” สาวน้อยกล่าวเปลี่ยนเรื่อง เพื่อแก้เขิน

    “กล่าวโดยสัตย์ ข้าจักอยู่ที่นี่เพียงข้ามราตรีนี้ไปเท่านั้น แลจักต้องออกเดินทางตามหาพระบิดาพระมารดา” สาวน้อยเริ่มมีสีหน้าเศร้าที่ได้ฟังคำพูดของพระโอรส

    “เราเป็นเพื่อนกันได้เพียงชั่วราตรีกระนั้นรึ” เด็กสาวถามต่อ

    “หาเป็นเยี่ยงนั้นไม่ เมื่อใดก็ตามที่ข้าตามหาพระองค์ทั้งสองจนพบ ข้าจักกลับมาเป็นเพื่อนกับเจ้า” พระโอรสตรัสพลางยิ้ม

    “ข้าจักเชื่อได้เยี่ยงไรว่าเจ้าพูดจริง”

    “ทุกสิ่งที่ข้าพูด ล้วนแต่เป็นวาจาแห่งชายชาติกษัตริย์ หากต่อไปภายภาคหน้า ข้าพบพระบิดาพระมารดาทั้งสองแล้วไซร้ แลมิมีเหตุแห่งความเป็นไปในภาระหน้าที่ของนักรบ ครั้นแล้วข้าจักกลับมาพบเจ้าเพื่อถือเป็นเช่นสหาย”

    “สัญญานะ นักรบ” สาวน้อยยิ้มร่าเริง

    “ข้าสัญญา...”

    พระโอรสอินทราธิปและสาวน้อยเหม่ยหลิงฮัว ต่างมองตาอย่างลึกซึ้งประหนึ่งว่ามิตรภาพมิมีวันจางหาย

    “จริงสิ แลพ่อแม่เจ้าอยู่ที่ใด” พระโอรสอินทราธิปเริ่มตรัสถาม

    “พ่อแม่ข้าออกไปทำนา จักกลับมาอีกทีก็ล่วงเข้าเพลาสายัณห์”

    “เยี่ยงนั้นรึ เอ่อ...ข้าว่าบนเรือนอบอ้าวนัก แลมิสู้เหมาะสมหากจักอยู่เพียงลำพัง เราลงไปนอกเรือนกันเถิด”

    ทั้งสองลงมานั่งสนทนากันต่อที่แคร่หน้าเรือน ขณะที่พันพิทักษ์พล พร้อมด้วยหัวหน้าบ้าน แลชาวบ้านหลายสิบคนต่างกำลังเดินตามหาพระโอรสกันจ้าละหวั่น จนได้มาพบพระโอรสกำลังทรงพระเกษมสำราญอยู่กับสาวน้อยที่หน้าเรือน

    “พระโอรส! หม่อมฉันตามหาพระองค์ด้วยใจกระวนกระวายนัก แต่พระองค์กลับทรงมาเกี้ยวพาสาวชาวบ้านเยี่ยงนี้หรือพระเจ้าข้า” พันพิทักษ์พลประนมมือขึ้นกราบทูล

    “พันพิทักษ์ ข้าหาได้เกี้ยวนางผู้นี้ไม่ นางเป็นสหายข้า”

    “ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า พระองค์ทรงเป็นพระยุวกษัตริย์แห่งราชวงศ์พระร่วง ไยจึงลดพระวรกายมาเกลือกกลั้วอยู่กับสามัญชนต่ำต้อยเยี่ยงนี้พระพุทธเจ้าข้า” พันพิทักษ์พลผู้เคร่งครัดทูลถามพระโอรส สาวน้อยเหม่ยหลิงฮัวก้มหน้ารับคำสบประมาท

    พระโอรสตรัสต่อพระสหายหญิงเชิงปลอบขวัญ พระองค์สังเกตเห็นความไม่พอใจต่อวาจาของทหารหนุ่มของชาวบ้าน ทรงเห็น่วาจะบานปลาย จึงทรงหันพระพักตร์ไปทางพันพิทักษ์พลนายทหารผู้ซื่อสัตย์พลางตรัสว่า

    พันพิทักษ์... อันว่านางหาได้มีเชื้อสายขัตติยะ เป็นเพียงสามัญชนธรรมดาก็จริง แต่เมื่อเทียบกับนางสนมนางในแล้ว ท่านจงพินิจดูให้ดีเถิดว่ากิริยาอาการของนางมิได้ด้อยไปกว่านางเหล่านั้นเลย ข้าราชบริพารในวังทั้งหลายทั้งสิ้นนั้นก็มาจากสามัญชน หาได้มีเชื้อเจ้านาย แม้แต่ท่านเองก็เถิด...ก็หาได้เกิดมาพร้อมยศฐาแลเครื่องศาสตราวุธไม่... การจะตีตราว่าใครต่ำต้อยหรือสูงค่านั้น หาใช่ด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์หรือชาติกำเนิด หากแต่ด้วยกิริยาวาจา แลประพฤติเหมาะสมตามกาลเทศะมิใช่หรือ...

    ข้ารู้ว่าท่านเคร่งครัดต่อโบราณขัตติยราชประเพณี หากแต่พันพิทักษ์ท่านลองมองไปที่นาง รูปร่างหน้าตาผิวพรรณแลกิริยาของนางนั้น หาต่างจากสาวชาววังที่เลิศด้วยบรรดาศักดิ์แต่ประการใดไม่ อีกทั้งนางยังมีใจกล้าหาญคิดช่วยเหลือข้าจากอันตราย จักว่าไปแล้วข้ายังเป็นหนี้บุญคุณของนางด้วยซ้ำ
    ” สิ้นพระปรารภของพระโอรส พันพิทักษ์พลเงยหน้ามองสาวน้อยแลพิจารณาตามรับสั่ง เห็นจริงด้วยว่าตนเองเคร่งครัดมากเกินไปจนทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเจ้านายกับสามัญชน จึงคุกเข่าลงกล่าว

    “ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า ขอพระราชทานพระราชานุญาตลงทัณฑ์หม่อมฉันให้สมแก่ความผิดเถิดพระเจ้าข้า”

    “มิต้องถึงกระนั้นดอกพันพิทักษ์ ขอเพียงท่านเข้าใจในสิ่งที่ข้าพูดก็พอ” ครั้นเมื่อตรัสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระโอรสก็รับสั่งให้พันพิทักษ์ลุกขึ้นยืนเคียงข้างพระองค์ แลตรัสต่อบรรดาชาวบ้านทั้งหลาย

    “เราขอขอบใจทุกท่านมาก โดยเฉพาะท่านหัวหน้าบ้านที่ให้การรับรองเราแลพันพิทักษ์พลเป็นอย่างดี ทั้งให้เราได้ชมการฝึกมวยที่แข็งแกร่งยิ่งนัก เรามีดำริว่าหมู่บ้านแห่งนี้สามารถป้องกันตนเองแลจัดเป็นกำลังรบที่แข็งแกร่งต่อไปได้

    บัดนี้กรุงศรีอยุธยาตกแก่หงสาวดีแล้ว พระราชวงศ์แลบรรดาข้าราชบริพารกรมการเมืองต่างพลัดพรากล้มตาย บ้างถูกเกณฑ์ไปหงสาวดี หามิมีผู้มีอำนาจหน้าที่แต่งตั้งหลงเหลืออยู่ในสุพรรณภูมิ...

    เรา...ถือเอาพระราชอาญาสิทธิ์แห่งสมเด็จพระเฑียรราชามหาจักรพรรดิองค์บรรพกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระอัยกาของเราผู้เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว แต่งตั้งท่านหัวหน้าบ้านเป็น 'พันวนาลักษณ์' ถือศักดินาสามร้อย มีหน้าที่ดูแลไพร่พลในหมู่บ้าน แลเป็นนายกองคัดเลือกชายหนุ่มในหมู่บ้านฝึกวิชาสงคราม เพื่อเป็นกำลังพลให้แก่กรุงศรีอยุธยาในการกอบกู้เอกราชแลป้องกันพระราชอาณาจักรต่อไปในภายภาคหน้า” สิ้นพระดำรัสของพระโอรส หัวหน้าบ้านคุกเข่าลงประนมมือรับโองการ

    “ขอบพระทายพะเจ้าข้า” ผู้ใหญ่บ้านรีบประนมมือถวายบังคมด้วยความปลาบปลื้ม ชาวบ้านต่างพร้อมใจกันถวายบังคม

    “เหม่ยหลิงฮัว...” พระโอรสตรัสเอ่ยพระนามพระสหาย พันพิทักษ์พลกระซิบบอกสาวน้อยให้ลงคุกเข่าแลประนมมือรับโองการ

    “เหม่ยหลิงฮัว เราชื่นชมในฐานะที่เจ้ามีใจกล้าหาญคิดช่วยเหลือเราให้พ้นจากภยันตราย แลเราถือว่าเจ้าเป็นสหาย บัดนี้เราขอตั้งให้เจ้าเป็น แม่หญิงวรางคณา ถือศักดินาหนึ่งร้อย มีหน้าที่ช่วยเหลือแลตรวจสอบดูแลราชการในพันวนาลักษณ์ให้เป็นไปตามประสงค์ของเรา แลมอบอัฐให้เจ้า บิดา มารดาไว้ใช้ต่อเติมตกแต่งเรือนแลใช้ในราชการหนึ่งร้อยชั่ง”

    "หนึ่งร้อยชั่ง?!?" พันพิทักษ์พลสะดุ้ง มองหน้าพระโอรส พระโอรสขยิบตาเป็นเชิงว่าให้ทหารหนุ่มออกอัฐไปก่อน

    “ขอบพระทัยเพคะ” เหม่ยหลิงฮัวหมอบกราบและรับถุงอัฐจากพันพิทักษ์พล สาวน้อยได้ดีกลายเป็นเศรษฐีในพริบตาด้วยเพราะคบกัลยาณมิตร

    “ขอประกาศให้เทพยุดาฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์แลท่านทั้งหลายรับรู้ว่า สองผู้นี้เป็นข้าราชบริพารขึ้นแก่เรา อ้ายอีมันผู้ใดคิดประทุษร้ายให้ระคายเคืองเพียงปลายเกศา มันผู้นั้นจักต้องตกตามโทษานุโทษอันกำหนดโดยการประทุษร้ายขุนนาง แลจักมิมีสุขสวัสดิมงคลในชีวิตสืบไปชั่วกาล”

    บรรดาชาวบ้านต่างถวายบังคมแซ่ซร้องสดุดี แม่หญิงวรางคณาส่งยิ้มให้พระโอรส พันวนาลักษณ์เดินไปใกล้ๆพันพิทักษ์พลก่อนจะเอ่ยกระซิบ

    "เรายกเท่ากานแล้ว ทั่งขุงนาง..." พันพิทักษ์ยิ้มรับเชิงหมันไส้

    “วันพรุ่งเราจักออกเดินทางต่อ พันวนาลักษณ์ท่านจงเตรียมเรือ ม้าแลเสบียงแก่เราแลองครักษ์ตามสมควร”

    “พะเจ้าข้า” ...

    <><><><><><><><><><><>


    ::วันรุ่งขึ้น::


    พระโอรสอินทราธิปพร้อมด้วยพันพิทักษ์พล ประทับยืนริมฝั่งแม่น้ำเตรียมที่จะเสด็จลงเรือ บนเรือมีม้า ๒ ตัวและเสบียงอาหารจำนวนหนึ่ง บรรดาชาวบ้านต่างพร้อมใจกันมาส่งเสด็จด้วยซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณของพระโอรส แต่ดูเหมือนว่าพระโอรสจะทรงกำลังรอใครสักคน

    ต่อมา ปรากฏเป็นสาวชาววังแต่งกายตามศักดินา รูปร่างหน้าตากระเดียดไปทางจีน  ผิวพรรณขาวผ่องงดงามเฉิดฉาย เดินมาพร้อมด้วยไพร่พลจำนวนหนึ่ง ชาวบ้านทั้งหลายนิ่งอึ้งด้วยปิติในความสง่างามของสาวน้อยนามเหม่ยหลิงฮัวอันเป็นที่รักของพวกเขา ซึ่งบัดนี้ได้ดีกลายเป็นแม่หญิงสูงศักดิ์ไปแล้ว

    “พระโอรส หม่อมฉันซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนัก” แม่หญิงวรางคณากราบทูลพระโอรส

    “กล่าวกับข้าเยี่ยงสามัญชนเถิด เจ้าเป็นสหายข้า หาต้องมีพิธีรีตองไม่”

    “พระ...เอ่อ...อินทราธิป เจ้าจักต้องเดินทางรอนแรมไปไกลยิ่งนัก ข้าเกรงว่าเจ้าจักหนาวจึงถักเสื้อกันหนาวไหมจีนให้ เพิ่งถักเสร็จเมื่อรุ่งสาง” สาวน้อยยื่นเสื้อกันหนาวสีเหลืองอ่อนให้แก่พระโอรส พระโอรสรับไว้พลันเหลือบไปเห็นรอยเข็มปรุประที่นิ้วและฝ่ามือของนาง

    “ตัวแรกในชีวิตสินะ ขอบใจเจ้ามากหลิงฮัว เอ๊ะ!...มิใช่สิ แม่หญิงวรางคณา”

    สาวน้อยยิ้มรับ แล้วเงยหน้ามองพระโอรส

    “อินทราธิป ข้าเป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก"

    พระโอรสกุมมือหญิงสาวก่อนจะตรัส

    “หาต้องห่วงข้าแต่ประการใดไม่ เจ้าจงทำหน้าที่ที่ข้ามอบหมายไว้ให้ดีที่สุด รักษากาย รักษาใจไว้ แล้ววันหนึ่งข้าจักกลับมา”

    “ข้าจักมิทำให้ท่านผิดหวัง”

    พันพิทักษ์พลแกล้งทำกระแอมไำอ พระโอรสอมยิ้มก่อนจะปล่อยมือนาง

    “แม่หญิง เห็นทีข้าจักต้องลาจากเจ้าจริงๆเสียแล้ว”

    “ขอให้เจ้าเดินทางโดยปลอดภัย แลตามหาเสด็จพ่อเสด็จแม่ให้พบ”

    “ขอบใจ เมื่อสำเร็จภารกิจของข้าแล้ว ข้าจักกลับมา”

    “สัญญานะ”

    “ข้าสัญญา...”

    พระโอรสเอ่ยลาแม่หญิงวรางคณา พันวนาลักษณ์ แลบรรดาชาวบ้าน แล้วเสด็จลงเรือพระที่นั่งที่ชาวบ้านจัดถวายพร้อมด้วยพันพิทักษ์พลนายทหารผู้จงรักภักดี แลพายทวนสายน้ำขึ้นไป ค่อยๆจากสายตาทุกคนไปอย่างช้าๆ จนลับตา

    <><><><><><><><><>

    "หม่อมฉันมีเรื่องจะกราบทูลพระพุทธเจ้าข้า"

    "มีเรื่องอันใดหรือพันพิทักษ์?"

    "เรื่องอัฐหนึ่งร้อยชั่งพุทธเจ้าข้า"

    พระโอรสนิ่ง แล้วอมยิ้ม "เจ้าบังอาจนัก มาทวงอัฐจากข้า"

    พันพิทักษ์พลหัวเราะชอบใจ


    “พระโอรส หม่อมฉันรู้นะพระเจ้าข้าว่าพระองค์หลงเสน่ห์แม่หญิงน้อยนั่นเข้าให้แล้ว”


    “ฮึ๊ย...หาใช่ไม่ ข้าเพียงแต่...” ไม่ทันที่จะพูดจบ ทหารกล้าก็ขัดขึ้น

    “จะว่าไป นางก็น่ารักดีนะพระเจ้าข้า หากเจริญวัยกว่านี้สักหน่อย หม่อมฉันคงจักหลงไหลนางเป็นแน่แท้”

    “ท่านอย่าเพิ่งเข้าใจข้าผิด ข้าคิดเห็นนางเป็นเพียงสหาย”

    “แลถึงกับแต่งตั้งพระสหายให้เป็นถึงผู้ตรวจการณ์” พันพิทักษ์พลกล่าวสอด

    “ท่าน...”

    “มิต้องเถียงหม่อมฉันดอกพระเจ้าข้า อย่างไรเสียก็ฟังมิขึ้น เอ๊ะ! เหตุใดพระพักตร์พระโอรสแดงก่ำ”

    “เอ่อ...ข้าเพียงรู้สึกร้อนบนใบหน้า” ว่าแล้วพระโอรสน้อยก็เอามือขึ้นจับหน้าตัวเอง

    “แบบนี้ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า เขิน พระพุทธเจ้าข้า ฮ่าฮ่าฮ่า”

    “...”



    ...เพียงได้พบประสบพักตร์ก็รักใคร่    

    ด้วยหวั่นไหวใจจิตเฝ้าคิดถึง

    หวังเพียงเป็นเช่นสหายคลายคำนึง        

    แต่ใยจึงรุ่มร้อนอ่อนฤดี...


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×