ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ทหารเอกร่วมผจญ...จุดเริ่มต้นการเดินทาง
::ทหารเอกร่วมผจญ...จุดเริ่มต้นการเดินทาง::
...ท่ามกลางทุ่งหญ้าสลับป่าทึบ ตามรายทางมีเพียงซากปรักหักพังร่องรอยแห่งสงครามและการบุกรุก แม้ฟากฟ้าจะมีเมฆน้อยแลเห็นสีฟ้าสวยใสของท้องนภา แต่เช้าวันใหม่ก็ไม่สดใสเหมือนที่เคยเป็น เพราะราตรีที่ผันผ่านเพียงชั่วข้ามคืนนั้น เต็มไปด้วยอันตราย การพลัดพราก และความสูญเสีย...
อาชาตัวเต็มวัยสีน้ำตาลเข้มเกือบดำเดินด้วยความอ่อนล้าหลังจากที่วิ่งมาเป็นระยะทางไกล บนหลังของมันนั้นปรากฏเด็กหนุ่มวัยประมาณ ๑๕ ขวบปี กับดาบเล่มหนึ่ง แววตาของเขาแลดูเด็ดเดี่ยว แต่อ่อนล้าด้วยความเหน็ดเหนื่อย
เด็กหนุ่มผู้ผ่านพ้นจากอันตรายมาเพียงไม่กี่ชั่วยาม บังคับม้าเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นไปทางทิศอุดรจนพบกับวัดแห่งหนึ่ง เขาจึงผูกม้าไว้ที่โคนต้นสัก แล้วเดินเข้าไปในเขตธรณีสงฆ์
ทุกย่างก้าวที่เดินอย่างระมัดระวังของเด็กหนุ่ม พระโอรสในพระยาพรหมบุรี เขาสังเกตเห็นเศษซากใบไม้ตามลานวัดที่ไม่ได้ปัดกวาดมาเป็นเวลานาน จึงเริ่มผ่อนคลายความระแวงลง แล้วเดินตรงเข้าไปยังพระอุโบสถหลังใหญ่กลางวัด
เขาค่อยๆผลักประตูอุโบสถ พระประธานในโบสถ์หาใช่พระพุทธรูปธรรมดาเหมือนวัดทั่วไปไม่ หากแต่เป็นพระพุทธรูปทองสำริดปางปรินิพพานขนาดใหญ่ ความยาวตลอดองค์พระประมาณ ๒๐ วา อยู่ในสภาพสมบูรณ์ แท่นธูปเทียนที่บูชาสะอาดเรียบร้อยราวกับว่าได้รับการปัดกวาดดูแลเป็นอย่างดี
“ใครน่ะ!” น้ำเสียงคล้ายชายชราดังก้องไปทั่วทั้งพระอุโบสถ เด็กหนุ่มสะดุ้งตกใจตัวสั่นระริก แต่ยงพอมีสติที่จะมองหาที่มาของเสียง
“ถามว่าใคร!” เสียงนั้นยังคงถามต่อหมายจะรู้แจ้งถึงผู้มาเยือน พระโอรสน้อยยังคงยืนนิ่งด้วยความระแวง มือกำดาบแน่นหมายว่าหากมีอันตรายจะสามารถใช้มันได้ทันการ
“ใคร! จงแจ้งแก่ข้าบัดเดี๋ยวนี้!” เจ้าของเสียงนั้นตะโกนดังไปทั่วทั้งพระอุโบสถ ด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว อินทราธิปทนไม่ไหวที่ต้องอยู่ท่ามกลางความหวาดระแวง จึงเปล่งวาจาเอ่ยถาม
“แล้วท่านเป็นใคร! ไยมิออกมาที่แจ้ง ข้าจักรู้ได้เยี่ยงไรว่าท่านมีเจนตาดีร้าย”
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าช่างโอหังยิ่งนัก เจ้าเป็นผู้มาเยือน มิไยจึ่งย้อนวาจาเยี่ยงนี้” เสียงนั้นตวาดดุ ฉับพลันเจ้าของเสียงค่อยๆเดินออกมาจากอีกฟากของพระอุโบสถ ปรากฏเป็นพระสงฆ์ชราภาพรูปหนึ่ง แสยะยิ้มด้วยความเป็นกันเองแล้วพูดต่อว่า
“เจ้าไม่ต้องกลัว อาตมาไม่มีจิตคิดร้ายต่อเจ้าดอก เจ้าเด็กน้อย”
“กราบนมัสการพระคุณท่าน กระผมหารู้ไม่ว่าจักมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ ณ วัดแห่งนี้ เดิมทีกระผมคิดว่าเป็นวัดร้าง” เด็กหนุ่มรีบก้มลงกราบพระสงฆ์รูปนั้นด้วยความนอบน้อม
“อ้อ...กระนั้นหรือ มิใช่วัดร้างดอก นอกจากอาตมาแล้วยังมีภิกษุรูปอื่นจำพรรษาอยู่ หากแต่เพลานี้ออกไปบิณฑบาตตามกิจของสงฆ์ ไม่นานคงจักกลับมาก”
“บิณฑบาต? เยี่ยงนั้นแล้ว มีหมู่บ้านในละแวกนี้หรือขอรับ”
“มิเชิงละแวกนี้ดอก อยู่ห่างไปทางทิศอิสาน สักสองโยชน์ได้”
“สองโยชน์?! ไกลเหลือขอรับพระคุณท่าน” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยความตกใจ
“แต่เดิมมีชุมชนอยู่แถบนี้ ครั้นเมื่อมีภัยสงคราม เขาก็พากันย้ายถิ่นไปอยู่ทางอื่นให้ไกลจากเส้นทางเดินทัพของข้าศึก เมื่อไม่มีญาติโยมให้บิณฑบาต พระภิกษุที่จำพรรษาอยู่วัดนี้ก็มิอาจปฏิบัติกิจของสงฆ์ได้ จึ่งต้องรอนแรมเดินทางไปบิณฑบาตยังหมู่บ้านอื่น”
“เยี่ยงนั้นหรือขอรับ แลวัดแห่งนี้มีพระเณรอยู่กี่รูปขอรับ”
“รวมอาตมาด้วยก็ห้ารูปพอดี”
"ขอรับ" เด็กหนุ่มพะยักหน้ารับคำ ก่อนจะถามต่อด้วยความนอบน้อม "พระคุณเจ้าขอรับ วัดแห่งนี้ชื่อวัดอะไรหรือขอรับ”
“วัดป่าโมกข์ แขวงเมืองวิเศษไชยชาญ”
“วิเศษไชยชาญ!” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นกึ่งดีใจ
“มีการใดฤๅเจ้าเด็กน้อย” ภิกษุชราถามด้วยความสนใจ
“กระผมหนีศึกหงสาวดีมาจากกรุงศรีอยุธยา พลัดกับบิดามารดาระหว่างทาง ก่อนหน้านั้นได้ตกลงกันไว้ว่าจะมาปะกันที่วิเศษไชยชาญขอรับ”
“เยี่ยงนั้นรึ ที่แท้เจ้าก็ระหกระเหินมาจากกรุงศรีอยุธยา มิน่าเล่าแม้เพียงเยาว์เยี่ยงนี้ จึ่งได้มีศาสตราวุธคู่กายเยี่ยงชายชาตินักรบ แต่ดูกิริยาวาจาของเจ้ากับทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์แล้ว ถึงแม้นว่าจักเปื้อนโลหิตแดงฉาน แต่ก็ยังคงเค้าซึ่งอาภรณ์ของเจ้านาย เห็นทีจักมิใช่ลูกชาวบ้านสามัญ แท้จริงแล้วเจ้าเป็นใครกัน จงแจ้งแก่อาตมาเถิด” ภิกษุชราถามอินทราธิปราวกับรู้ว่าแท้จริงแล้ว เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่สามัญชน
“พระคุณท่านขอรับ กระผมเป็นเจ้านายสายราชวงศ์พระร่วงสุโขทัย มีชื่อว่า อินทราธิป เป็นโอรสใน พระยาพรหมบุรี พระอนุชาธิราชในพระมหาธรรมราชาพิเรนทรเทพ เจ้าเมืองพิษณุโลก แต่เดิมหลบลี้หนีภัยสงครามเข้าไปอาศัยใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารแห่งพระมหินทราธิราชกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาอันเป็นพระปิตุลาของกระผม แต่บัดนี้กรุงศรีอยุธยาแตกเสียแล้ว บรรดาพระญาติพระวงศ์ทั้งหลายต่างพลัดพรากกระจัดกระจาย กระผมแลเสด็จพ่อเสด็จแม่จึงพลัดพราก มิต่างจากเจ้านายพระองค์อื่นขอรับ”
“เยี่ยงนั้นรึ ที่แท้ท่านก็เป็นถึงเจ้านายฝ่ายใน มิน่าเล่ากิริยาวาจาจึ่งฉะฉานหาได้มีความประหวั่นพรั่นพรึงแต่ประการใดไม่ มิหนำซ้ำยังนอบน้อมต่อภิกษุผู้ทรงศีล บ่งบอกชัดเจนว่าท่านได้รับการอบรมมาอย่างดี”
“ขอรับกระผม..." อินทราธิปประนมมือขึ้นวันทารับคำพลันนึกถึงบิดามารดาตน "พระคุณท่านขอรับ ตั้งแต่ราตรีก่อน พระคุณท่านเห็นชาวบ้านหลบลี้หนีภัยสงครามมาทางนี้หรือไม่ขอรับ”
“สืบมาแต่ราตรีก่อนหาปรากฏว่ามีชาวบ้านต่างเมืองหลบลี้เข้ามาทางวิเศษไชยชาญไม่ เห็นจักมีก็เพียงท่าน”
“เยี่ยงไรกัน! แล้วบัดนี้ เสด็จพ่อเสด็จแม่...”
กรุบ กรับ กรุบ กรับ ฮี๊...ฮี๊... ไม่ทันที่อินทราธิปจะกล่าวจบ ปรากฏเสียงม้าศึกควบผ่านมาทางหน้าวัดแล้วหยุด อินทราธิปไม่รอช้ารีบวิ่งออกไป หมายว่าจะเป็นบิดามารดาของตน
แต่บนหลังม้านั้น กลับเป็นทหารหนุ่มแต่งเครื่องยุทธพิชัยชั้นนายกอง เหงื่อและโลหิตเปื้อนเต็มตัว หน้าตาคร่ำเครียด เขาผู้นั้นหันมามองเด็กหนุ่มที่วิ่งเข้าหาเขาด้วยความประหลาดใจ ทันใดนั้นเอง ทหารหนุ่มรีบกระโดดลงจากหลังม้า
“ถวายบังคมพระเจ้าข้า” นายทหารหนุ่มรีบคุกเข่าประนมมือขึ้นไหว้เหนือหัว แล้วดึงมือกลับมาไว้ที่หน้าอก
“ท่านเป็นทหารสังกัดกรมกองใดกัน ควบอาชาชาติหน้าตาตื่นมาในยามที่มีการรบติดพันเยี่ยงนี้ มิเกรงอาญาฐานหนีทัพหรือ” อินทราธิปกล่าวเชิงตำหนิ ด้วยเพราะผิดหวังว่าไม่ใช่บิดามารดาของตน
“หาเป็นเยี่ยงนั้นไม่พระเจ้าข้า หม่อมฉันเป็นนายกองเดิมอยู่ในสังกัดทัพสมเด็จพระราชอนุชาศรีเสาวราชผู้ทรงเป็นนายทัพเอกป้องกันพระนคร หากแต่สิ้นบารมีสมเด็จท่านไปเพราะถูกให้ร้าย หม่อมฉันจึงถูกโอนอยู่ในสังกัดพระยาจักรีผู้เป็นไส้ศึกในการสงครามครั้งนี้พระเจ้าข้า”
“เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ พระยาจักรีนั่นหรือเป็นไส้ศึก” เด็กหนุ่มเริ่มสงสัย ทหารหนุ่มประนมมือกราบทูลต่อ
“พระพุทธเจ้าข้า เมื่อไพร่พลหงสาบุกรุกเข้าสู่เขตพระราชฐานแล้วไซร้ หามีผู้ใดทำอันตรายพระยาจักรีไม่ ทั้งตัวอ้ายพระยาจักรีเองนั้นก็เป็นผู้ชี้ซ้ำนำทางให้ไพร่พลมอญพม่าหงสาวดีเข้าสู่เขตพระราชฐาน จับได้องค์พระบรมนารถบพิตรไว้”
“บัดซบ! หากเป็นเยี่ยงนี้ พระปิตุลาศรีเสาวราชก็หาใช่ขบถตามที่ถูกกล่าวหาไม่” โอรสหนุ่มตบตักด้วยความโมโห
“ถูกต้องแล้วพระพุทธเจ้าข้า หม่อมฉันรับราชการในสังกัดสมเด็จท่านมานานเหลือ ตั้งแต่หม่อมฉันยังเป็นเพียงทหารเลว พระองค์ทรงทุ่มเทพระวรกายแลพระราชหฤทัยให้แก่ราชการงานป้องกันพระนคร หามีคราใดที่พระองค์จักคิดคดทุรยศต่อแผ่นดินหรือแสดงท่าทีให้ระแคะระคายแต่อย่างใดไม่ ยามศึกครานี้มินึกเลยว่าพระองค์จักถูกสำเร็จโทษเพียงเพราะคำยุแหย่ของอ้ายขถบเพียงคนเดียว” ทหารหนุ่มกล่าวด้วยความอาลัยรักในเจ้านายเก่า และความแค้นอย่างหาที่สุดมิได้
โอรสหนุ่มกัดฟันก้มหน้าด้วยความคับแค้น พลันนึกถึงหน้าพระยาจักรี อดีตทหารเอกคู่พระราชหฤทัยสมเด็จพระมหินทราธิราช
โอรสหนุ่มครุ่นคิดอยู่ชั่วหนึ่งก่อนตรัสถามต่อ
“แล้วบัดนี้ เหตุการณ์ทางกรุงศรีเป็นเยี่ยงไรบ้างเล่า” ทหารหนุ่มกราบทูลต่อ
“การรณยุทธ์สิ้นสุดลงแล้วพระเจ้าข้า หม่อมฉันซุ่มดูอยู่ แลเห็นพ่ออยู่หัวถูกคุมตัวเสด็จออกนอกเมือง พระพักตร์แลพระวรกายมิสู้ดีนัก คาดว่าคงจักถูกส่งไปประทับอยู่ที่หงสาวดี พระพุทธเจ้าข้า”
“เสด็จสู่หงสาเยี่ยงนั้นรึ แล้วบรรดาไพร่พลกรุงศรีอยุธยาเล่า หนีศึกมาเยี่ยงเจ้าหมดทั้งพระนครเลยหรือไร เหตุใดจึ่งมิมีใจช่วยเหลือพ่ออยู่หัวท่าน” อินทราธิปกล่าวเหน็บแนมทหารหนุ่ม ด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว
“พระโอรสอย่าทรงเข้าพระทัยผิด หาเป็นเยี่ยงนั้นไม่พระพุทธเจ้าข้า บรรดาไพร่พลฝ่ายเราบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก หามีกำลังไปปล้นชิงองค์พระบรมนาถจากทหารหงสาเรือนแสนได้ เหตุที่หม่อมฉันต้องหลบหนีมาตามเส้นทางวิเศษไชยชาญหมายว่าจักได้พบกับเจ้านายบ้าง แต่ตามรายทาง...หม่อมฉันกลับพบเพียง...เอ่อ...” เขาก้มหน้าลงครุ่นคิดว่าควรจะกราบทูลสิ่งที่ตยได้ประสบพบเจอมาหรือไม่
“เพียงอะไร!...แจ้งแก่ข้าจงอย่าช้าให้เสียกาล”
“ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันพบเพียงพระศพของเจ้านายทั้งสามสายราชวงศ์ แลบรรดาบ่าวไพร่ พระพุทธเจ้าข้า...”
คำกราบทูลของทหารหนุ่มประหนึ่งจะทำให้พระโอรสน้อยสิ้นสติ แต่ก็ยังแข็งใจถามตื่อด้วยอยากรู้ข้อเท็จจริง
“แล้ว...พระยาพรหมบุรีเสด็จพ่อข้าเล่า เจ้าพบพระองค์รึไม่!”
ทหารหนุ่มกราบทูล
“ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า พระยาพรหมบุรี พระเยาวลักษณ์ชายา แลบรรดาบ่าวไพร่ทั้งหลายทั้งปวงล้วนถูกควบคุมไปพร้อมกับพ่ออยู่หัว หาได้มีอันตรายถึงพระชนม์ชีพไม่ หากแต่...ตามทางที่หม่อมฉันเดินทางมา ได้พบศพของขุนเอกศัตราวุธ ทหารเอกของพระยาพรหมบุรี...”
“พระครู!” พระโอรสอินทราธิปตรัสด้วยความตกพระทัย พลันระลึกย้อนไปถึงสัจจะวาจาสุดท้่ายของพระครู ผู้เป็นทั้งพระพี่เลี้ยง และพระอาจารย์
"พระครูเสียสัจจะกับข้า..." โอรสหนุ่มก้มหน้าน้ำตานอง กำหมัดแน่นด้วยความเศร้าโสกอาดูร
หากแต่ยังพอมีหวังในเรื่องชีวิตของบิดามารดา โอรสน้อยสะบัดหัวลบเลือนความทรงจำอันแสนเจ็บปวด
ค่ำคืนที่ผ่านพ้น ... คือค่ำคืนแห่งความสูญเสีย กรุงพระนครศรีอยุธาอันรุ่งเรืองต้องตกเป็นประเทศราชใต้ขอบขันธสีมาของพม่ารามัญ ซ้ำพระพี่เลี้ยงยังมาถูกสังหาร บิดามารดาก็ตกเป็นเชลยศึกแล้วสิ้น
ทหารหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองพระโอรสน้อย ก็ทราบถึงความใน ในใจนึกสงสารพระองค์ยิ่งนัก แต่เมื่อการณ์ได้ผ่านพ้นไปเสียแล้ว ก็ไม่สามารถกระทำสิ่งใดให้กลับฟื้นคืนมาได้ จำต้องยอมรับชะตากรรมร่วมกันกับพระโอรส ว่าแล้วก็ประนมมือกราบทูล
“พระโอรส...บัดนี้หม่อมฉันหามีสังกัดอันใดไม่ เมื่อได้พบประสบพระพักตร์พระองค์ในครั้งนี้ หม่อมฉันขอถวายตัวเพื่อรับใช้พระองค์พระพุทธเจ้าข้า"
โอรสน้อยจ้องมองนัยน์ตาของทหารหนุ่มซึ่งเปี่ยมไปด้วยความจริงใจและจงรักภักดี
“ข้าขอขอบใจเป็นอันมากที่เจ้ามีน้ำใจต่อข้า หากแต่บัดนี้ข้ามีเจตน์อันแน่วแน่ว่าจักตามหาพระบิดา พระมารดา แลจักต้องเดินทางเข้าสู่เขตขันธสีมาแห่งหงสาวดีอันเป็นอันตรายยิ่งนัก ท่านจักร่วมทางกับข้าด้วยหรือไม่”
ได้ยินดังนั้น ทหารกล้าก็กราบทูลต่อ
“หม่อมฉันหาเคยเกรงกลัวต่อภยันตรายอันใดไม่ แลพระองค์เองก็ทรงมีจิตใจกล้าหาญไม่แพ้ชาติบุรุษเต็มวัย สมชายชาติขัตติยา หากพระองค์มีพระประสงค์จะเสด็จออกตามหาพระบิดาพระมารดาแล้วไซร้ หม่อมฉันก็จักติดตามอารักขาพระองค์ตราบจนบรรลุพระประสงค์พระพุทธเจ้าข้า”
“ดี!" พระโอรสพยักหน้า "แลท่านมีนามว่ากระไร”
“หม่อมฉันชื่อ คง มีบรรดาศักดิ์ราชทินนามตามสุพรรณบัฏว่า พันพิทักษ์พล พระพุทธเจ้าข้า”
“ท่านเป็นขุนนางชั้นพันเชียวหรือ”
“พระพุทธเจ้าข้า หม่อมฉันถือตำแหน่งนายกองอาชาในพระศรีเสาวราช”
“เป็นบารมีของข้ายิ่งนักที่ได้ทหารกล้ามาคุ้มภัย หากแต่ท่านรู้เส้นทางเดินทัพกลับของหงสาวดีหรือไม่”
“พระโอรสหมายความว่า จักทรงเสด็จตามเส้นทางทัพหงสาใช่หรือไม่พระพุทธเจ้าข้า” พันพิทักษ์พลทูลถามด้วยความไม่แน่ใจ
“ใช่แล้ว มีเหตุขัดข้องประการใดรึ”
“ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า หากทรงดำริจักตามรอยทัพหงสา หม่อมฉันเกรงว่าจักมีภัย เนื่องด้วยขณะนี้กรุงศรีอยุธยาแลบริเวณโดยรอบ ยังคงมีทหารหงสาวดีประจำการรักษาพระนครอยู่ หากพระโอรสเสด็จกลับไปเส้นทางนั้น หม่อมฉันเกรงว่าจะถูกจับเอาเสีย แลอาจจะมิได้มีโอกาสไปช่วยเหลือพระบิดาพระมารดาได้พระเจ้าข้า” ทหารเอกกราบทูลเสนอแนะ
“เออ...ข้าก็ลืมนึกถึงข้อนี้ไป หากแต่มีเส้นทางอื่นใดอีกเล่าที่จะเข้าไปสู่เขตพุกามประเทศได้”
“กาลสงครามเยี่ยงนี้ ด่านพระเจดีย์มีทหารหงสาตั้งทัพอยู่ หากจะวกลงทางใต้ที่ด่านสิงขรก็ไกลเหลือ หม่อมฉันเห็นว่า เราควรจักไปทางทิศพายัพแลข้ามเขตขันธสีมาเข้าสู่หงสาวดีที่ด่านแม่ละเมาแขวงเมืองตากพระพุทธเจ้าข้า”
“เมืองตากรึ ท่านรู้เส้นทางหรือไม่”
“หม่อมฉันทราบดี ด้วยเคยออกธุดงค์ไปตามเส้นทางนั้นครั้งบวชเรียน”
“ดีมาก ข้าโชคดีแท้ที่ได้คนอย่างท่านมาอยู่ใกล้ชิด ถ้าเช่นนั้นจักรอช้าอยู่ไย รีบกราบลาพระคุณท่านแลออกเดินทางกันเถิด”
ทันใดนั้น ภิกษุชราก็ออกมายืนอยู่ด้านหลังห่างจากอินทราธิปเพียง ๓-๔ วา โดยที่ไม่มีใครเห็นว่าท่านเดินออกมาเมื่อใด ทั้งสองคุกเข่าลงประนมมือ
“กราบลาพระคุณท่านขอรับ กระผมต้องออกเดินทางตามหาแลช่วยเหลือเสด็จพ่อเสด็จแม่แล้ว ขอบพระคุณพระคุณเจ้ามากที่อนุเคราะห์กระผมไว้” อินทราธิปก้มลงกราบ แลกล่าวลาด้วยความนอบน้อม พร้อมกับพันพิทักษ์พลก็ก้มกราบภิกษุชรารูปนั้นเช่นกัน
“ระยะทางแสนไกล อันตรายก็มีมาก เดินทางจงระมัดระวัง ขอให้โยมทั้งสองประสพโชคดี แคล้วคลาดจากภยันตรายแลคมหอกคมดาบของอริราชศัตรู อาตมภาพเองเห็นแววตาของโยมพระโอรสแล้ว รู้สึกปลาบปลื้มในความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก อาตมามีผ้าประเจียดลงอักขระอาคมอยู่สองผืน ขอมอบให้โยมทั้งสองเอาไว้ใช้ป้องกันตัว” พระภิกษุชรากล่าวพร้อมยื่นผ้าประเจียดลงยันต์ให้กับทั้งสอง ทั้งสองรีบประคองรับมาไว้กับตัว
“ขอบพระคุณพระคุณท่านมากขอรับ พระคุณนี้กระผมแลพันพิทักษ์พลจะมิมีวันลืม ต่อไปภายภาคหน้าหากมีโอกาสกระผมจะกลับมาทดแทนเป็นหนักหนา”
“เจริญพร” ...
พระโอรสน้อยออกเดินทางจากวัดป่าโมกข์พร้อมด้วยพันพิทักษ์พล นายทหารฝีมือดีแห่งกรุงศรีอยุธยา ไปทางทิศประจิมเข้าสู่ตัวเมืองวิเศษไชยชาญ
จากเมืองที่เคยคึกคักด้วยผู้คน บัดนี้กลับกลายเป็นเมืองร้างด้วยเพราะถูกคุกคามจากอริราชศัตรู ภาพในวัยเยาว์ของอินทราธิปปรากฏในใจ เมื่อครั้งที่เคยเดินทางจากพรหมบุรีมาสู่กรุงศรีอยุธยาพร้อมด้วยพระบิดา พระมารดา จักต้องผ่านวิเศษไชยชาญ ภาพผู้คนที่เคยคึกคัก ตลาดที่มีผู้คนนับร้อย สภาพบ้านเรือนที่ดูสวยงามไม่ต่างจากในกรุงศรีอยุธยา บัดนี้กลับเหลือเพียงความทรงจำ...
...อนาคตเบื้องหน้าอย่างไรนั้น
จักรู้กันต่อไปในไม่ช้า
ขัตติยะจะเปลี่ยนหันผันชีวา
เป็นอย่างไรภายหน้าต้องติดตาม...
...ท่ามกลางทุ่งหญ้าสลับป่าทึบ ตามรายทางมีเพียงซากปรักหักพังร่องรอยแห่งสงครามและการบุกรุก แม้ฟากฟ้าจะมีเมฆน้อยแลเห็นสีฟ้าสวยใสของท้องนภา แต่เช้าวันใหม่ก็ไม่สดใสเหมือนที่เคยเป็น เพราะราตรีที่ผันผ่านเพียงชั่วข้ามคืนนั้น เต็มไปด้วยอันตราย การพลัดพราก และความสูญเสีย...
อาชาตัวเต็มวัยสีน้ำตาลเข้มเกือบดำเดินด้วยความอ่อนล้าหลังจากที่วิ่งมาเป็นระยะทางไกล บนหลังของมันนั้นปรากฏเด็กหนุ่มวัยประมาณ ๑๕ ขวบปี กับดาบเล่มหนึ่ง แววตาของเขาแลดูเด็ดเดี่ยว แต่อ่อนล้าด้วยความเหน็ดเหนื่อย
เด็กหนุ่มผู้ผ่านพ้นจากอันตรายมาเพียงไม่กี่ชั่วยาม บังคับม้าเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นไปทางทิศอุดรจนพบกับวัดแห่งหนึ่ง เขาจึงผูกม้าไว้ที่โคนต้นสัก แล้วเดินเข้าไปในเขตธรณีสงฆ์
ทุกย่างก้าวที่เดินอย่างระมัดระวังของเด็กหนุ่ม พระโอรสในพระยาพรหมบุรี เขาสังเกตเห็นเศษซากใบไม้ตามลานวัดที่ไม่ได้ปัดกวาดมาเป็นเวลานาน จึงเริ่มผ่อนคลายความระแวงลง แล้วเดินตรงเข้าไปยังพระอุโบสถหลังใหญ่กลางวัด
เขาค่อยๆผลักประตูอุโบสถ พระประธานในโบสถ์หาใช่พระพุทธรูปธรรมดาเหมือนวัดทั่วไปไม่ หากแต่เป็นพระพุทธรูปทองสำริดปางปรินิพพานขนาดใหญ่ ความยาวตลอดองค์พระประมาณ ๒๐ วา อยู่ในสภาพสมบูรณ์ แท่นธูปเทียนที่บูชาสะอาดเรียบร้อยราวกับว่าได้รับการปัดกวาดดูแลเป็นอย่างดี
“ใครน่ะ!” น้ำเสียงคล้ายชายชราดังก้องไปทั่วทั้งพระอุโบสถ เด็กหนุ่มสะดุ้งตกใจตัวสั่นระริก แต่ยงพอมีสติที่จะมองหาที่มาของเสียง
“ถามว่าใคร!” เสียงนั้นยังคงถามต่อหมายจะรู้แจ้งถึงผู้มาเยือน พระโอรสน้อยยังคงยืนนิ่งด้วยความระแวง มือกำดาบแน่นหมายว่าหากมีอันตรายจะสามารถใช้มันได้ทันการ
“ใคร! จงแจ้งแก่ข้าบัดเดี๋ยวนี้!” เจ้าของเสียงนั้นตะโกนดังไปทั่วทั้งพระอุโบสถ ด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว อินทราธิปทนไม่ไหวที่ต้องอยู่ท่ามกลางความหวาดระแวง จึงเปล่งวาจาเอ่ยถาม
“แล้วท่านเป็นใคร! ไยมิออกมาที่แจ้ง ข้าจักรู้ได้เยี่ยงไรว่าท่านมีเจนตาดีร้าย”
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าช่างโอหังยิ่งนัก เจ้าเป็นผู้มาเยือน มิไยจึ่งย้อนวาจาเยี่ยงนี้” เสียงนั้นตวาดดุ ฉับพลันเจ้าของเสียงค่อยๆเดินออกมาจากอีกฟากของพระอุโบสถ ปรากฏเป็นพระสงฆ์ชราภาพรูปหนึ่ง แสยะยิ้มด้วยความเป็นกันเองแล้วพูดต่อว่า
“เจ้าไม่ต้องกลัว อาตมาไม่มีจิตคิดร้ายต่อเจ้าดอก เจ้าเด็กน้อย”
“กราบนมัสการพระคุณท่าน กระผมหารู้ไม่ว่าจักมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ ณ วัดแห่งนี้ เดิมทีกระผมคิดว่าเป็นวัดร้าง” เด็กหนุ่มรีบก้มลงกราบพระสงฆ์รูปนั้นด้วยความนอบน้อม
“อ้อ...กระนั้นหรือ มิใช่วัดร้างดอก นอกจากอาตมาแล้วยังมีภิกษุรูปอื่นจำพรรษาอยู่ หากแต่เพลานี้ออกไปบิณฑบาตตามกิจของสงฆ์ ไม่นานคงจักกลับมาก”
“บิณฑบาต? เยี่ยงนั้นแล้ว มีหมู่บ้านในละแวกนี้หรือขอรับ”
“มิเชิงละแวกนี้ดอก อยู่ห่างไปทางทิศอิสาน สักสองโยชน์ได้”
“สองโยชน์?! ไกลเหลือขอรับพระคุณท่าน” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยความตกใจ
“แต่เดิมมีชุมชนอยู่แถบนี้ ครั้นเมื่อมีภัยสงคราม เขาก็พากันย้ายถิ่นไปอยู่ทางอื่นให้ไกลจากเส้นทางเดินทัพของข้าศึก เมื่อไม่มีญาติโยมให้บิณฑบาต พระภิกษุที่จำพรรษาอยู่วัดนี้ก็มิอาจปฏิบัติกิจของสงฆ์ได้ จึ่งต้องรอนแรมเดินทางไปบิณฑบาตยังหมู่บ้านอื่น”
“เยี่ยงนั้นหรือขอรับ แลวัดแห่งนี้มีพระเณรอยู่กี่รูปขอรับ”
“รวมอาตมาด้วยก็ห้ารูปพอดี”
"ขอรับ" เด็กหนุ่มพะยักหน้ารับคำ ก่อนจะถามต่อด้วยความนอบน้อม "พระคุณเจ้าขอรับ วัดแห่งนี้ชื่อวัดอะไรหรือขอรับ”
“วัดป่าโมกข์ แขวงเมืองวิเศษไชยชาญ”
“วิเศษไชยชาญ!” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นกึ่งดีใจ
“มีการใดฤๅเจ้าเด็กน้อย” ภิกษุชราถามด้วยความสนใจ
“กระผมหนีศึกหงสาวดีมาจากกรุงศรีอยุธยา พลัดกับบิดามารดาระหว่างทาง ก่อนหน้านั้นได้ตกลงกันไว้ว่าจะมาปะกันที่วิเศษไชยชาญขอรับ”
“เยี่ยงนั้นรึ ที่แท้เจ้าก็ระหกระเหินมาจากกรุงศรีอยุธยา มิน่าเล่าแม้เพียงเยาว์เยี่ยงนี้ จึ่งได้มีศาสตราวุธคู่กายเยี่ยงชายชาตินักรบ แต่ดูกิริยาวาจาของเจ้ากับทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์แล้ว ถึงแม้นว่าจักเปื้อนโลหิตแดงฉาน แต่ก็ยังคงเค้าซึ่งอาภรณ์ของเจ้านาย เห็นทีจักมิใช่ลูกชาวบ้านสามัญ แท้จริงแล้วเจ้าเป็นใครกัน จงแจ้งแก่อาตมาเถิด” ภิกษุชราถามอินทราธิปราวกับรู้ว่าแท้จริงแล้ว เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่สามัญชน
“พระคุณท่านขอรับ กระผมเป็นเจ้านายสายราชวงศ์พระร่วงสุโขทัย มีชื่อว่า อินทราธิป เป็นโอรสใน พระยาพรหมบุรี พระอนุชาธิราชในพระมหาธรรมราชาพิเรนทรเทพ เจ้าเมืองพิษณุโลก แต่เดิมหลบลี้หนีภัยสงครามเข้าไปอาศัยใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารแห่งพระมหินทราธิราชกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาอันเป็นพระปิตุลาของกระผม แต่บัดนี้กรุงศรีอยุธยาแตกเสียแล้ว บรรดาพระญาติพระวงศ์ทั้งหลายต่างพลัดพรากกระจัดกระจาย กระผมแลเสด็จพ่อเสด็จแม่จึงพลัดพราก มิต่างจากเจ้านายพระองค์อื่นขอรับ”
“เยี่ยงนั้นรึ ที่แท้ท่านก็เป็นถึงเจ้านายฝ่ายใน มิน่าเล่ากิริยาวาจาจึ่งฉะฉานหาได้มีความประหวั่นพรั่นพรึงแต่ประการใดไม่ มิหนำซ้ำยังนอบน้อมต่อภิกษุผู้ทรงศีล บ่งบอกชัดเจนว่าท่านได้รับการอบรมมาอย่างดี”
“ขอรับกระผม..." อินทราธิปประนมมือขึ้นวันทารับคำพลันนึกถึงบิดามารดาตน "พระคุณท่านขอรับ ตั้งแต่ราตรีก่อน พระคุณท่านเห็นชาวบ้านหลบลี้หนีภัยสงครามมาทางนี้หรือไม่ขอรับ”
“สืบมาแต่ราตรีก่อนหาปรากฏว่ามีชาวบ้านต่างเมืองหลบลี้เข้ามาทางวิเศษไชยชาญไม่ เห็นจักมีก็เพียงท่าน”
“เยี่ยงไรกัน! แล้วบัดนี้ เสด็จพ่อเสด็จแม่...”
กรุบ กรับ กรุบ กรับ ฮี๊...ฮี๊... ไม่ทันที่อินทราธิปจะกล่าวจบ ปรากฏเสียงม้าศึกควบผ่านมาทางหน้าวัดแล้วหยุด อินทราธิปไม่รอช้ารีบวิ่งออกไป หมายว่าจะเป็นบิดามารดาของตน
แต่บนหลังม้านั้น กลับเป็นทหารหนุ่มแต่งเครื่องยุทธพิชัยชั้นนายกอง เหงื่อและโลหิตเปื้อนเต็มตัว หน้าตาคร่ำเครียด เขาผู้นั้นหันมามองเด็กหนุ่มที่วิ่งเข้าหาเขาด้วยความประหลาดใจ ทันใดนั้นเอง ทหารหนุ่มรีบกระโดดลงจากหลังม้า
“ถวายบังคมพระเจ้าข้า” นายทหารหนุ่มรีบคุกเข่าประนมมือขึ้นไหว้เหนือหัว แล้วดึงมือกลับมาไว้ที่หน้าอก
“ท่านเป็นทหารสังกัดกรมกองใดกัน ควบอาชาชาติหน้าตาตื่นมาในยามที่มีการรบติดพันเยี่ยงนี้ มิเกรงอาญาฐานหนีทัพหรือ” อินทราธิปกล่าวเชิงตำหนิ ด้วยเพราะผิดหวังว่าไม่ใช่บิดามารดาของตน
“หาเป็นเยี่ยงนั้นไม่พระเจ้าข้า หม่อมฉันเป็นนายกองเดิมอยู่ในสังกัดทัพสมเด็จพระราชอนุชาศรีเสาวราชผู้ทรงเป็นนายทัพเอกป้องกันพระนคร หากแต่สิ้นบารมีสมเด็จท่านไปเพราะถูกให้ร้าย หม่อมฉันจึงถูกโอนอยู่ในสังกัดพระยาจักรีผู้เป็นไส้ศึกในการสงครามครั้งนี้พระเจ้าข้า”
“เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ พระยาจักรีนั่นหรือเป็นไส้ศึก” เด็กหนุ่มเริ่มสงสัย ทหารหนุ่มประนมมือกราบทูลต่อ
“พระพุทธเจ้าข้า เมื่อไพร่พลหงสาบุกรุกเข้าสู่เขตพระราชฐานแล้วไซร้ หามีผู้ใดทำอันตรายพระยาจักรีไม่ ทั้งตัวอ้ายพระยาจักรีเองนั้นก็เป็นผู้ชี้ซ้ำนำทางให้ไพร่พลมอญพม่าหงสาวดีเข้าสู่เขตพระราชฐาน จับได้องค์พระบรมนารถบพิตรไว้”
“บัดซบ! หากเป็นเยี่ยงนี้ พระปิตุลาศรีเสาวราชก็หาใช่ขบถตามที่ถูกกล่าวหาไม่” โอรสหนุ่มตบตักด้วยความโมโห
“ถูกต้องแล้วพระพุทธเจ้าข้า หม่อมฉันรับราชการในสังกัดสมเด็จท่านมานานเหลือ ตั้งแต่หม่อมฉันยังเป็นเพียงทหารเลว พระองค์ทรงทุ่มเทพระวรกายแลพระราชหฤทัยให้แก่ราชการงานป้องกันพระนคร หามีคราใดที่พระองค์จักคิดคดทุรยศต่อแผ่นดินหรือแสดงท่าทีให้ระแคะระคายแต่อย่างใดไม่ ยามศึกครานี้มินึกเลยว่าพระองค์จักถูกสำเร็จโทษเพียงเพราะคำยุแหย่ของอ้ายขถบเพียงคนเดียว” ทหารหนุ่มกล่าวด้วยความอาลัยรักในเจ้านายเก่า และความแค้นอย่างหาที่สุดมิได้
โอรสหนุ่มกัดฟันก้มหน้าด้วยความคับแค้น พลันนึกถึงหน้าพระยาจักรี อดีตทหารเอกคู่พระราชหฤทัยสมเด็จพระมหินทราธิราช
โอรสหนุ่มครุ่นคิดอยู่ชั่วหนึ่งก่อนตรัสถามต่อ
“แล้วบัดนี้ เหตุการณ์ทางกรุงศรีเป็นเยี่ยงไรบ้างเล่า” ทหารหนุ่มกราบทูลต่อ
“การรณยุทธ์สิ้นสุดลงแล้วพระเจ้าข้า หม่อมฉันซุ่มดูอยู่ แลเห็นพ่ออยู่หัวถูกคุมตัวเสด็จออกนอกเมือง พระพักตร์แลพระวรกายมิสู้ดีนัก คาดว่าคงจักถูกส่งไปประทับอยู่ที่หงสาวดี พระพุทธเจ้าข้า”
“เสด็จสู่หงสาเยี่ยงนั้นรึ แล้วบรรดาไพร่พลกรุงศรีอยุธยาเล่า หนีศึกมาเยี่ยงเจ้าหมดทั้งพระนครเลยหรือไร เหตุใดจึ่งมิมีใจช่วยเหลือพ่ออยู่หัวท่าน” อินทราธิปกล่าวเหน็บแนมทหารหนุ่ม ด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว
“พระโอรสอย่าทรงเข้าพระทัยผิด หาเป็นเยี่ยงนั้นไม่พระพุทธเจ้าข้า บรรดาไพร่พลฝ่ายเราบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก หามีกำลังไปปล้นชิงองค์พระบรมนาถจากทหารหงสาเรือนแสนได้ เหตุที่หม่อมฉันต้องหลบหนีมาตามเส้นทางวิเศษไชยชาญหมายว่าจักได้พบกับเจ้านายบ้าง แต่ตามรายทาง...หม่อมฉันกลับพบเพียง...เอ่อ...” เขาก้มหน้าลงครุ่นคิดว่าควรจะกราบทูลสิ่งที่ตยได้ประสบพบเจอมาหรือไม่
“เพียงอะไร!...แจ้งแก่ข้าจงอย่าช้าให้เสียกาล”
“ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันพบเพียงพระศพของเจ้านายทั้งสามสายราชวงศ์ แลบรรดาบ่าวไพร่ พระพุทธเจ้าข้า...”
คำกราบทูลของทหารหนุ่มประหนึ่งจะทำให้พระโอรสน้อยสิ้นสติ แต่ก็ยังแข็งใจถามตื่อด้วยอยากรู้ข้อเท็จจริง
“แล้ว...พระยาพรหมบุรีเสด็จพ่อข้าเล่า เจ้าพบพระองค์รึไม่!”
ทหารหนุ่มกราบทูล
“ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า พระยาพรหมบุรี พระเยาวลักษณ์ชายา แลบรรดาบ่าวไพร่ทั้งหลายทั้งปวงล้วนถูกควบคุมไปพร้อมกับพ่ออยู่หัว หาได้มีอันตรายถึงพระชนม์ชีพไม่ หากแต่...ตามทางที่หม่อมฉันเดินทางมา ได้พบศพของขุนเอกศัตราวุธ ทหารเอกของพระยาพรหมบุรี...”
“พระครู!” พระโอรสอินทราธิปตรัสด้วยความตกพระทัย พลันระลึกย้อนไปถึงสัจจะวาจาสุดท้่ายของพระครู ผู้เป็นทั้งพระพี่เลี้ยง และพระอาจารย์
"พระครูเสียสัจจะกับข้า..." โอรสหนุ่มก้มหน้าน้ำตานอง กำหมัดแน่นด้วยความเศร้าโสกอาดูร
หากแต่ยังพอมีหวังในเรื่องชีวิตของบิดามารดา โอรสน้อยสะบัดหัวลบเลือนความทรงจำอันแสนเจ็บปวด
ค่ำคืนที่ผ่านพ้น ... คือค่ำคืนแห่งความสูญเสีย กรุงพระนครศรีอยุธาอันรุ่งเรืองต้องตกเป็นประเทศราชใต้ขอบขันธสีมาของพม่ารามัญ ซ้ำพระพี่เลี้ยงยังมาถูกสังหาร บิดามารดาก็ตกเป็นเชลยศึกแล้วสิ้น
ทหารหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองพระโอรสน้อย ก็ทราบถึงความใน ในใจนึกสงสารพระองค์ยิ่งนัก แต่เมื่อการณ์ได้ผ่านพ้นไปเสียแล้ว ก็ไม่สามารถกระทำสิ่งใดให้กลับฟื้นคืนมาได้ จำต้องยอมรับชะตากรรมร่วมกันกับพระโอรส ว่าแล้วก็ประนมมือกราบทูล
“พระโอรส...บัดนี้หม่อมฉันหามีสังกัดอันใดไม่ เมื่อได้พบประสบพระพักตร์พระองค์ในครั้งนี้ หม่อมฉันขอถวายตัวเพื่อรับใช้พระองค์พระพุทธเจ้าข้า"
โอรสน้อยจ้องมองนัยน์ตาของทหารหนุ่มซึ่งเปี่ยมไปด้วยความจริงใจและจงรักภักดี
“ข้าขอขอบใจเป็นอันมากที่เจ้ามีน้ำใจต่อข้า หากแต่บัดนี้ข้ามีเจตน์อันแน่วแน่ว่าจักตามหาพระบิดา พระมารดา แลจักต้องเดินทางเข้าสู่เขตขันธสีมาแห่งหงสาวดีอันเป็นอันตรายยิ่งนัก ท่านจักร่วมทางกับข้าด้วยหรือไม่”
ได้ยินดังนั้น ทหารกล้าก็กราบทูลต่อ
“หม่อมฉันหาเคยเกรงกลัวต่อภยันตรายอันใดไม่ แลพระองค์เองก็ทรงมีจิตใจกล้าหาญไม่แพ้ชาติบุรุษเต็มวัย สมชายชาติขัตติยา หากพระองค์มีพระประสงค์จะเสด็จออกตามหาพระบิดาพระมารดาแล้วไซร้ หม่อมฉันก็จักติดตามอารักขาพระองค์ตราบจนบรรลุพระประสงค์พระพุทธเจ้าข้า”
“ดี!" พระโอรสพยักหน้า "แลท่านมีนามว่ากระไร”
“หม่อมฉันชื่อ คง มีบรรดาศักดิ์ราชทินนามตามสุพรรณบัฏว่า พันพิทักษ์พล พระพุทธเจ้าข้า”
“ท่านเป็นขุนนางชั้นพันเชียวหรือ”
“พระพุทธเจ้าข้า หม่อมฉันถือตำแหน่งนายกองอาชาในพระศรีเสาวราช”
“เป็นบารมีของข้ายิ่งนักที่ได้ทหารกล้ามาคุ้มภัย หากแต่ท่านรู้เส้นทางเดินทัพกลับของหงสาวดีหรือไม่”
“พระโอรสหมายความว่า จักทรงเสด็จตามเส้นทางทัพหงสาใช่หรือไม่พระพุทธเจ้าข้า” พันพิทักษ์พลทูลถามด้วยความไม่แน่ใจ
“ใช่แล้ว มีเหตุขัดข้องประการใดรึ”
“ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า หากทรงดำริจักตามรอยทัพหงสา หม่อมฉันเกรงว่าจักมีภัย เนื่องด้วยขณะนี้กรุงศรีอยุธยาแลบริเวณโดยรอบ ยังคงมีทหารหงสาวดีประจำการรักษาพระนครอยู่ หากพระโอรสเสด็จกลับไปเส้นทางนั้น หม่อมฉันเกรงว่าจะถูกจับเอาเสีย แลอาจจะมิได้มีโอกาสไปช่วยเหลือพระบิดาพระมารดาได้พระเจ้าข้า” ทหารเอกกราบทูลเสนอแนะ
“เออ...ข้าก็ลืมนึกถึงข้อนี้ไป หากแต่มีเส้นทางอื่นใดอีกเล่าที่จะเข้าไปสู่เขตพุกามประเทศได้”
“กาลสงครามเยี่ยงนี้ ด่านพระเจดีย์มีทหารหงสาตั้งทัพอยู่ หากจะวกลงทางใต้ที่ด่านสิงขรก็ไกลเหลือ หม่อมฉันเห็นว่า เราควรจักไปทางทิศพายัพแลข้ามเขตขันธสีมาเข้าสู่หงสาวดีที่ด่านแม่ละเมาแขวงเมืองตากพระพุทธเจ้าข้า”
“เมืองตากรึ ท่านรู้เส้นทางหรือไม่”
“หม่อมฉันทราบดี ด้วยเคยออกธุดงค์ไปตามเส้นทางนั้นครั้งบวชเรียน”
“ดีมาก ข้าโชคดีแท้ที่ได้คนอย่างท่านมาอยู่ใกล้ชิด ถ้าเช่นนั้นจักรอช้าอยู่ไย รีบกราบลาพระคุณท่านแลออกเดินทางกันเถิด”
ทันใดนั้น ภิกษุชราก็ออกมายืนอยู่ด้านหลังห่างจากอินทราธิปเพียง ๓-๔ วา โดยที่ไม่มีใครเห็นว่าท่านเดินออกมาเมื่อใด ทั้งสองคุกเข่าลงประนมมือ
“กราบลาพระคุณท่านขอรับ กระผมต้องออกเดินทางตามหาแลช่วยเหลือเสด็จพ่อเสด็จแม่แล้ว ขอบพระคุณพระคุณเจ้ามากที่อนุเคราะห์กระผมไว้” อินทราธิปก้มลงกราบ แลกล่าวลาด้วยความนอบน้อม พร้อมกับพันพิทักษ์พลก็ก้มกราบภิกษุชรารูปนั้นเช่นกัน
“ระยะทางแสนไกล อันตรายก็มีมาก เดินทางจงระมัดระวัง ขอให้โยมทั้งสองประสพโชคดี แคล้วคลาดจากภยันตรายแลคมหอกคมดาบของอริราชศัตรู อาตมภาพเองเห็นแววตาของโยมพระโอรสแล้ว รู้สึกปลาบปลื้มในความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก อาตมามีผ้าประเจียดลงอักขระอาคมอยู่สองผืน ขอมอบให้โยมทั้งสองเอาไว้ใช้ป้องกันตัว” พระภิกษุชรากล่าวพร้อมยื่นผ้าประเจียดลงยันต์ให้กับทั้งสอง ทั้งสองรีบประคองรับมาไว้กับตัว
“ขอบพระคุณพระคุณท่านมากขอรับ พระคุณนี้กระผมแลพันพิทักษ์พลจะมิมีวันลืม ต่อไปภายภาคหน้าหากมีโอกาสกระผมจะกลับมาทดแทนเป็นหนักหนา”
“เจริญพร” ...
<><><><><><><><><><>
พระโอรสน้อยออกเดินทางจากวัดป่าโมกข์พร้อมด้วยพันพิทักษ์พล นายทหารฝีมือดีแห่งกรุงศรีอยุธยา ไปทางทิศประจิมเข้าสู่ตัวเมืองวิเศษไชยชาญ
จากเมืองที่เคยคึกคักด้วยผู้คน บัดนี้กลับกลายเป็นเมืองร้างด้วยเพราะถูกคุกคามจากอริราชศัตรู ภาพในวัยเยาว์ของอินทราธิปปรากฏในใจ เมื่อครั้งที่เคยเดินทางจากพรหมบุรีมาสู่กรุงศรีอยุธยาพร้อมด้วยพระบิดา พระมารดา จักต้องผ่านวิเศษไชยชาญ ภาพผู้คนที่เคยคึกคัก ตลาดที่มีผู้คนนับร้อย สภาพบ้านเรือนที่ดูสวยงามไม่ต่างจากในกรุงศรีอยุธยา บัดนี้กลับเหลือเพียงความทรงจำ...
...อนาคตเบื้องหน้าอย่างไรนั้น
จักรู้กันต่อไปในไม่ช้า
ขัตติยะจะเปลี่ยนหันผันชีวา
เป็นอย่างไรภายหน้าต้องติดตาม...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น