ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ... ขุนโจร ... The Warrior of King Nares

    ลำดับตอนที่ #2 : ความแค้นที่ฝังใจ...กับความเป็นไปของแผ่นดิน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 544
      1
      12 ก.ย. 52

    ::ความแค้นที่ฝังใจ...กับความเป็นไปของแผ่นดิน::

    ::พระราชวังหลวง กรุงศรีอยุธยา::

    พระราชนิกูลวัยกลางคนเดินไปมาอยู่ในพระตำหนัก พระองค์เอามือไพล่หลังบ่งบอกถึงอาการครุ่นคิด สีหน้าของพระองค์ดูไม่สดชื่น เสมือนหนึ่งว่าในพระทัยนั้นมีแต่เรื่องร้ายสุมอก ที่ประทับนั่งอยู่ใกล้ๆนั้นเป็นเจ้าชายพระองค์น้อยที่เครื่องทรงบ่งบอกฐานะแห่งความเป็นราชนิกูลดุจเดียวกัน

    ศึกครานี้ใหญ่หลวงนัก กรุงศรีอยุธยาคงมิอาจต้านทานได้ เห็นทีจักถึงคราวล่มสลายในไม่ช้า” ผู้สูงวัยกล่าวก่อน ใบหน้าพระองค์ยิ่งเศร้าหมอง เจ้าชายน้อยเงยหน้ามองขมวดคิ้ว

    ไยสมเด็จพ่อตรัสเยี่ยงนั้น  ด้วยว่าสมเด็จพระปิตุลามหินทราธิราช ยังทรงมีพระวิริยะในการทำศึกต่อต้านหงสาวดีอยู่

    ข้อนี้พ่อแจ้งแก่ใจ แต่ด้วยวิริยะเพียงกระนั้นหรือ ที่จะสามารถต้านทานข้าศึกได้ พระเจ้าหงสาวดีทรงมีรี้พลเป็นจำนวนมาก หากดำริจะยกพลเข้าตีกรุงศรีอยุธยาเมื่อใด ย่อมทำได้ในทันที หาต้องเตรียมการแต่อย่างใดไม่ พ่อก็ได้แต่ภาวนาให้พระเชษฐาพิเรนทรเทพ ทรงห้ามปราบหงสาวดีมิให้เข้ายีย่ำทำร้ายกรุงศรีอยุธยา

    พระพิษณุโลกนั้นน่ะหรือ

    ชายสูงวัยหยุดเดิน พลันนึกถึงเหตการณ์เมื่อครั้งอดีต ที่หงสาวดียกทัพมาล้อมกรุงพิษณุโลก หัวเมืองสำคัญทางเหนือของพระราชอาณาจักรสยาม แล้วการณ์ปรากฎว่าสมเด็จพระพิษณุโลกสองแควทรงยอมสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองแต่โดยดี

    พ่อเองก็หารู้ไม่ ด้วยเจตนาของพระเชษฐา ฤาจักเป็นกลอุบายอันแยบยล เพื่อที่จักรักษาพิษณุโลกไว้

    สิ้นคำ ชายสูงวัยนึกไปถึงความสัมพันธ์ของราชวงศ์พระร่วงกับราชวงศ์สุพรรณภูมิ ฝ่ายสุพรรณภูมิเกรงฝ่ายพระร่วงเจ้าเมืองเหนือจะเป็นใหญ่ ส่วนฝ่ายพระร่วงก็เกรงสุพรรณภูมิเจ้าอโยธยาจะกดขี่รังแก ต่างระแวงแข่งขันกันสร้างราชวงศ์

    องค์เจ้านายที่ขัดแย้งกันเห็นได้ถนัดที่สุดก็เห็นจะเป็นพระพิษณุโลกแห่งราชวงศ์พระร่วง กับองค์พระมหินทราธิราชแห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ ซึ่งทรงไม่เห็นด้วยกับการที่พระราชบิดามหาจักพรรดิทรงปูนบำเหน็จให้พระพิษณุโลกเมื่อครั้งรบศึกพระเจ้าหงสาวดีตะเบงชะเวตี้มากมายถึงกระทั่งตั้งเป็นพระเจ้าอยู่หัวเมืองพิษณุโลกให้ครอง ซ้ำยังพระราชทานพระวิสุทธิกษัตรี พระราชธิดาให้เป็นพระชายาอีก

    ความบาดหมางเกิดขึ้นชัดเจนเมื่อครั้งเมืองพิษณุโลกถูกหงสาวดีล้อมเมือง ฝ่ายพระมหินทราธิราชไม่ส่งกองทัพอโยธาขึ้นไปช่วย พระพิษณุโลกสองแควน้อยพระทัยยิ่งนัก จึงยอมเข้าสวามิภักดิ์ต่อหงสาวดี

    ชายสูงศักดิ์ส่ายหน้าเอือมระอา พลันนึกถึงชะตากรรมของพระราชอาณาจักร

    แล้วเราจักทำการเยี่ยงไรต่อไปเล่า สมเด็จพ่อ

    อธินทราธิปเอยเรามีเชื้อขัตติยะแห่งราชวงศ์พระร่วงก็จริง แต่พ่อเองเป็นเพียงเจ้าเมืองพรหมบุรี หาได้มีตำแหน่งสำคัญในกรุงศรีอยุธยาไม่ การที่ได้นับเป็นพระราชวงศ์ก็ถือเป็นบุญหนักหนาแล้ว เราคงจักกระทำการเยี่ยงไรมิได้ นอกเสียจากยอมรับความเป็นไปของอโยธยา

    เสด็จพ่อ...ลูกจักมิยอมให้มีผู้ใดย่ำยีกรุงศรีอยุธยาได้

    ลูกพ่อ เจ้ายังเป็นเพียงกุมาร โสกันต์มาได้เพียงไม่กี่ขวบปี เจ้าจักเอาอะไรไปต่อกรกับกองทัพหงสา

    "...ลูก...เอ่อ...

    อินทราธิป เจ้าจงอย่าคิดให้ว้าวุ่นใจเลย หามิมีสิ่งใดกระทำได้ดอก นอกเสียจากยอมรับชะตากรรมผู้เป็นพ่อเอื้อมหัตถ์ตบบ่าด้วยหมายให้ปลงต่อวิถีแห่งบ้านเมือง

    ฮึ่ย!...” โอรสหนุ่มสะบัดไหล่ออก “ข้าคงยอมเห็นกรุงศรีอยุธยาพินาศลงต่อหน้ามิได้ดอกพระเจ้าข้า ข้ามิเข้าใจเลยพระปิตุลาเป็นไทยแท้ๆเหตุใดต้องกระทำเสมือนจะทุรยศต่อแผ่นดินด้วย!น้ำเสียงนั้นตรัสด้วยความแค้นพระทัยยิ่งนัก

    อย่ากล่าวเยี่ยงนั้นอินทราธิป! พระปิตุลาทรงเป็นพระราชวงศ์ที่ภักดีต่อองค์พระมหาจักรพรรดิพระอัยกาของเจ้า การณ์ก็ปรากฎอยู่แล้วมิใช่รึ ว่าเพราะเหตุใดพระองค์จึงทรงต้องจำยอมเข้ากับหงสา ถ้าไม่ใช่เพราะความระแวงแข่งขันกับองค์พระมหินธร์ มีรึ!ที่พระองค์จะทรงทรยศต่อพระมหาจักพรรดิผู้ทรงเคยร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมาแต่ครั้งศึกตะเบงชะเวที!

    ข้าหารู้ไม่! ข้าเห็นการณ์เยี่ยงไร ข้าก็แจ้งใจเยี่ยงนั้น!”  พระโอรสน้อยยังคงเถียงพระบิดาด้วยความเชื่อมั่น

    ผู้เป็นพ่อส่ายศีรษะ ยกมือขึ้นไพล่หลังหันหน้าเดินห่างออกไป

     เฮ่อ...อินทราธิป” ชายสูงศักดิ์ระอาในความรั้นของโอรส “เจ้ายังเด็กนัก หารู้การณ์อันแยบยลอันใดไม่ จงอย่าวิวาทกับพ่อเลย เจ้าจงเข้าบรรทมเสียแต่เพลานี้เถิด วันพรุ่งจักได้ร่ำเรียนอักขระวิชาให้สาแก่กำลัง เผื่อว่าภายภาคหน้าต่อไปเจ้าจักได้ต่อสู้ป้องกันพระนครร่วมกับบรรดาพระญาติพระวงศ์

    “...ต่อไปภายหน้า...จักยังมีพระนครให้ลูกป้องกันอีกหรือ...สมเด็จพ่อ...”  อินทราธิปกล่าวทิ้งท้ายก่อนเดินออกไปจากห้อง พระยาพรหมบุรีฉุกคิดขึ้นมาถึงคำพูดของพระโอรส

    <><><><><><><><><><><><><><><><><>


    อินทราธิป เดินจากไปด้วยความคับแค้นใจ เด็กหนุ่มเพิ่งจะเจริญวัยได้ไม่นาน เลือดขัตติยะในกายก็พุ่งพล่าน มีความรักชาติเป็นกำลัง สรรพวิทยาการใดๆในพระราชวังหลวงที่มีพระราชครูคอยถ่ายทอดให้แก่บรรดาพระเจ้าลูก พระเจ้าหลาน พระกุมารในพระราชสำนัก อินทราธิปก็ทรงร่ำเรียนจนจบหมด พระปัญญาและฝีมือการรณยุทธ์เป็นเลิศกว่าพระกุมารองค์ใด

     โอรสน้อยดำเนินมาถึงห้องบรรทม โดยไม่แวะตรัสทักทายกับบ่าวไพร่เหมือนอย่างที่ทรงเคยกระทำ

    ขุนเอกศัตราวุธ พระพี่เลี้ยงประจำพระองค์ ชันเข่าเข้าไปหาหน้าพระแท่นก่อนประนมมือกราบทูล


    มีการใดทำให้พระโอรสทรงขัดเคืองพระทัยหรือพระเจ้าข้า

    ครู...ข้าไม่แจ้งใจเลย ว่าเหตุใดสมเด็จพ่อถึงทรงไม่พอพระทัยเมื่อข้าว่าร้ายพระปิตุลา ทั้งๆที่ข้าเห็นว่า พระปิตุลาทรงทำไม่ถูกสิ้นคำพระโอรส ขุนเอกศาสตราวุธสะดุ้งนิดหนึ่งก่อนเยี่ยมหน้าเข้าไปใกล้ๆแล้วทูลถามเบาๆ

    พระปิตุลาองค์ใดหรือพระเจ้าข้า

    พระมหาธรรมราชา เจ้าเมืองพิษณุโลก ผู้คบคิดกับหงสาวดีทุรยศต่อแผ่นดินพระโอรสตะเบงเสียงตอบด้วยความคะนอง พระพี่เลี้ยงสะดุ้งก่อนจะทูลเบากว่าเดิม

    ช้าก่อนพระโอรส...หากใครได้ยินเข้าจะเป็นการมิบังควรพระพุทธเจ้าข้า พระพิเรนทรเทพหาได้เป็นเยี่ยงนั้นไม่ หม่อมฉันคิดว่า พระองค์ทรงกระทำการเยี่ยงนั้นไปด้วยเพราะเหตุจำเป็น

    เหตุใดครูจึ่งพูดเหมือนเสด็จพ่อ หามิมีผู้ใดคิดเห็นเยี่ยงข้าเลยกระนั้นหรือ ตั้งแต่พิษณุโลกตกเป็นของพระเจ้าหงสาวดี พระพิเรนทร์ก็ทรงมีใจออกห่างกรุงศรีอยุธยา ทั้งๆที่กรุงศรีอยุธยาเป็นแผ่นดินของพระองค์เอง มิใช่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังทรงเป็นพระราชบุตรเขยของพระอัยกาเฑียรราชามหาจักรพรรดิ พระวิสุทธิกษัตรีชายาของพระองค์ก็ทรงเป็นพระปิตุลานีที่เคยสนิทสนมกับข้าตั้งแต่ข้าเป็นกุมาร บัดนี้ทัพหงสาล้อมกรุงศรีไว้ทุกทางแล้ว พระอัยกาก็เสด็จสู่สวรรคาลัย เหตุใดจึ่งไม่มีการคัดค้านการโจมตีของหงสาวดีจากพระองค์เล่า ในเมื่อการณ์เป็นเยี่ยงนี้ ยังจะบอกว่าจำเป็นได้เยี่ยงไร หากมิใช่พระองค์ต้องการราชสมบัติของพระอัยกา ต้องการโค่นล้มพระราชวงศ์สุพรรณภูมิทางข้างฝ่ายพระมหินทราธิราชบรมนารถบพิตรพระโอรสกอดพระอุระตรัสอย่างห้าวหาญ พระพี่เลี้ยงได้แต่ก้มหน้าก้มตาส่ายหัว และกราบทูลต่อด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ

    หม่อมฉันเองก็หารู้ไม่พระเจ้าข้า แต่พระองค์กับพระอัยกาทรงร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกัน ไม่น่าที่พระองค์จะคิดคดต่อกรุงศรีอยุธยา หม่อมฉันคิดว่า จักต้องมีเหตุจำเป็นบางประการที่ทำให้พระองค์ทรงตัดสินพระทัยเยี่ยงนั้น

    เหตุจำเป็น! เหตุจำเป็น! เหตุจำเป็น! เสด็จพ่อก็ตรัสเยี่ยงนี้ ข้าไม่แจ้งใจเลย เหตุใดผู้ใหญ่จึ่งมีความคิดเยี่ยงนี้กันหมดพระโอรสร้องโวยวายอย่างเด็กๆ พระพี่เลี้ยงเห็นดังนั้นก็หัวเราะเล็กน้อย

    พระโอรส อย่าทรงวิตกไปเลยพระเจ้าข้า เมื่อกาลมาถึง พระองค์จะทรงแจ้งพระทัยเอง

    พระอินทราธิปส่ายศีรษะ พร้อมๆกับยกเข่าข้างหนึ่งขึ้นบนพระแท่น


    เพลานี้บรรทมก่อนเถิดพระเจ้าข้าพระพี่เลี้ยงยกมือขึ้นประนม รู้สึกว่ามีใครบางคนเดินเข้ามาในห้องที่ประทับ ด้วยสัญชาติญาณนักรบจึงรีบสะบัดหน้าไปมอง

    ที่ประตูหน้าห้องพระบรรทมนั้น ปรากฏสตรีสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง พระอินทราธิปลุกขึ้นจากพระแท่นแล้วเดินตรงไปถวายบังคมผู้มาเยือน

    “...อินทราธิปลูกแม่...

    “...เสด็จแม่...

    บรรดาบ่าวไพร่ต่างก้มกราบสตรีสูงศักดิ์ผู้นั้น นางโบกมือเป็นสัญญาณก่อนเอ่ย


    “พวกเจ้าออกไปก่อน


    บรรดาบ่าวไพร่ค่อยๆคลานเข่าออกไปนอกห้องอย่างนอบน้อม พระเยาวลักษณ์ค่อยๆประทับลงบนพระแท่นที่ประทับ ทรงเอื้อมพระหัตถ์ลูบเศียรพระโอรส พระเนตรนางปราดไปทั่วดวงพระพักตร์ของราชโอรสบ่งบอกถึงความเมตตาเอ็นดูเป็นที่ยิ่ง

    อินทราธิป เจ้ายังเด็กนัก หารู้การอันใดไม่ จงอย่าเอ็ดตะโรให้เสียกริยาเชื้อกษัตริย์เลย

    แต่...เสด็จแม่พระมารดาขมวดคิ้ว ก่อนจะทรงใช้พระดัชนีแตะริมฝีพระโอษฐ์พระโอรส

    เจ้าหาต้องพูดสิ่งใดไม่อินทราธิป เจ้าก็แจ้งแก่ใจว่าพระปิตุลาเป็นเยี่ยงไร เมื่อครั้งเจ้ายังเป็นกุมาร พระองค์ก็เสด็จมาพรหมบุรีอยู่เป็นนิจ ด้วยเพราะพระบิดาเจ้าเป็นพระอนุชาธิราชของพระองค์ พระองค์แลพระวิสุทธิกษัตรีก็ทรงเมตตาต่อเจ้ามาก เพลาที่เจ้าประสูตินั้นพระองค์ทั้งสองประทับอยู่ ครานั้นปรากฏอัศจรรย์บนนภากาศเป็นแสงเรืองทางทิศอุดร พระองค์จึงพระราชทานนาม อินทราธิป อันมีความหมายว่า ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นอินทร์ให้แก่เจ้า”

    โอรสน้อยก้มพักตร์ลงรับคำพระมารดา


    เชื่อแม่เถิดอินทราธิป พระองค์มิมีวันที่จักคิดคดทุรยศต่อแผ่นดินเป็นแน่

    พระโอรสเงยหน้าขึ้น
    “...พระเจ้าข้า...ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงยอมรับ

    เพลานี้เจ้าจงเข้าบรรทมเถิด อย่าได้วิตกถึงเหตุการณ์บ้านเมืองเลย หาใช่การของกุมารเยี่ยงเจ้าไม่

    อินทราธิปมองพระมารดาแสดงสีหน้าไม่ค่อยพอพระทัยนัก
    เสด็จแม่ ข้าหาใช่กุมารไม่ ข้าเป็นบุรุษเต็มกายแล้ว

    ช้าก่อนอินทราธิป จงใช้ความกล้าหาญของเจ้าให้ถูกที่ถูกเพลาเถิด แล้วศุภมงคลจะมีแก่เจ้า

    พระมารดาดำเนินจากไปหลังจากที่ทรงจัดแจงที่ประทับของพระโอรสให้เรียบร้อย พระโอรสเอนพระองค์ลงนอนหลังจากถวายบังคมลา


    “...แล้วเมื่อใดข้าจักได้ใช้ความกล้าหาญของข้าเสียที...พระโอรสเอาพระหัตถ์ประสานกันที่ท้ายทอย พร่ำบ่นถ้อยคำนี้จนหลับไป

    เพลานี้บรรดาเจ้านายขุนนางสายราชวงศ์พระร่วง อู่ทอง สุพรรณภูมิ ต่างรวมกันอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา ด้วยเพราะหัวเมืองตามรายทางต่างๆ ถูกกองทัพหงสาวดีตีแตกพ่ายหมดสิ้น เมืองพรหมบุรีอันเป็นของพระยาพรหมบุรี พระอนุชาธิราชต่างพระมารดากับสมเด็จพระพิษณุโลกพิเรนทรเทพก็เช่นกัน


    ...กองทัพหงสาวดีล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่ถึง ๗ เดือนไม่สามารถตีกรุงศรีอยุธยาแตกได้ พระเจ้าหงสาวดีจึ่งให้พระยาจักรีเป็นไส้ศึก ทำทีว่าหนีออกมาจากที่กักขังของหงสาวดีได้ สมเด็จพระมหินทราธิราชทรงหลงในกลอุบายตั้งให้พระยาจักรีเป็นผู้บัญชาการรักษาพระนคร พระยาจักรีจึงถือโอกาสสับเปลี่ยนโยกย้ายนายทหารมีฝีมือออกจากแนวหน้าจนหมดสิ้น พร้อมทั้งหาเหตุทูลกล่าวโทษพระศรีเสาวราช แม่ทัพคนสำคัญผู้ทรงเป็นพระอนุชาธิราชต่างพระมารดาของพ่ออยู่หัว แลทรงเป็นผู้นำในการต้านทานกองทัพหงสาวดีมากว่า ๗ เดือนว่าเป็นกบฏ พระมหินทราธิราชหลงเชื่อสั่งปลดแลสำเร็จโทษพระศรีเสาวราช กองทัพกรุงศรีอยุธยาขาดผู้นำ ทหารจึงเริ่มหมดใจในการสู้รบ พระยาจักรีส่งสัญญาณต่อทัพหงสาแจ้งถึงความอ่อนแอของกำลังพล พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองจึงยกทัพเข้าตีกรุงศรีอยุธยา...




    <><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>

    ::ยามสาม วันอาทิตย์ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๘ มะเส็งศก พุทธศักราช ๒๑๑๒::


    กองทัพหงสาวดีที่ตั้งทัพอยู่บริเวณวัดหน้าพระเมรุ ค่ายโพธิ์สามต้น และค่ายต่างๆรอบกรุงศรีอยุธยาต่างระดมยิงปืนใหญ่เข้ามาในพระนคร ชาวเมืองต่างอลหม่านวิ่งหนีตายกันเป็นการใหญ่ ต่อมาประตูเมืองทางทิศบูรพาถูกผู้สมคบกับข้าศึกสั่งเปิด ทัพหงสาวดียกเข้าสู่พระนครได้ เข้ากวาดต้อนทำลายทรัพย์สินชาวเมือง แลบุกรุกเข้าสู่เขตพระราชฐาน บรรดาเจ้าขุนมูลนายพระราชวงศ์ต่างพากันวิ่งหนีตาย 

    พระโอรส! ทางนี้พระเจ้าข้า!พระโอรสน้อยรีบวิ่งตรงไปหาขุนเอกศัตราวุธตามเสียงเรียก

    พระโอรส อย่าอยู่ห่างหม่อมฉันนะพระเจ้าข้า!หนุ่มฉกรรจ์ผู้นั้นพูดพลางโอบกอดพระโอรสน้อย

    ครู! เสด็จพ่อเสด็จแม่อยู่ที่ใด!

    หม่อมฉันหารู้ไม่พระเจ้าข้า เพิ่งคลาดกันมา พระยาพรหมกำลังจะขึ้นเรือนไปหาพระโอรส แต่ข้าศึกมันเข้ามาขวางเสีย หม่อมฉันแลพระองค์จึงต้องสู้กับพวกมันเป็นการใหญ่ หารู้ไม่ว่าพระองค์แลพระชายาบัดนี้อยู่ที่ใด

    ครูระวัง!!!พระโอรสตะโกนร้องด้วยความตกใจ พระครูหันคมมีดไปประกับข้าศึก สู้กันอยู่สองสามเพลงข้าศึกก็เสียที ถูกฟันคอขาด

    ขุนเอกศาสตราวุธเห็นไม่ได้การ นึกทบทวนถึงอดีตที่ผ่านมา ภาพพัฒนาการทางการศึกสงครามและวิทยาการของพระโอรสเกิดขึ้นตามลำดับ ฉับพลันความรู้สึกมั่นใจในพระศักดานุภาพก็ปรากฎแก่ใจพระพี่เลี้ยง


    พระโอรส! บัดนี้ถึงกาลสมควรแล้ว พระองค์คงจักต้องจับดาบสู้กับอริราชศัตรูเสียทีพระครูหันไปพูดกับพระโอรสอย่างจริงจัง

    โอรสหนุ่มนัยน์ตาเบิกโพลง ขบกัดกรามแน่น ก่อนหรี่ตาลงแสดงแววตามั่นใจ
    เยี่ยงไรเล่าพระครู ข้าหามีศาตราวุธอันใดไม่

    นี่ไงเล่าพระเจ้าข้า พระแสงศาสตราวุธพระครูพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบดาบที่เหน็บอยู่ข้างหลังออกมา

    ดาบเล่มนี้ท่านได้มาแต่ที่ใดพระโอรสตรัสพร้อมกับยื่นมือออกมารับดาบจากพระครู

    พระแสงศาสตราวุธเล่มนี้ หม่อมฉันเป็นผู้ตีขึ้นมาเอง ตัวดาบทำจากเหล็กน้ำพี้เมืองพิชัย หม่อมฉันหมายถวายพระโอรสใช้ในยามศึกคราเมื่อเจริญชันษาแล้ว แต่กาลบัดนี้จำเป็นเหลือที่จักต้องรักษาพระองค์ไว้...พระโอรส หม่อมฉันหวังว่าจะยังทรงมิลืมวิชาอาวุธที่หม่อมฉันเคยถวายให้โอรสน้อยกำดับแน่น กล้ามเนื้อสั่นระริก

    ข้าหาลืมได้ไม่พระครู ข้าเองก็ซักซ้อมกับทหารของเสด็จพ่ออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

    ดี! หากเป็นเช่นนั้น พระองค์คงจักต้องสำแดงฝีมือเป็นบุญตาแก่หม่อมฉันนับแต่บัดนี้เสียแล้วพระเจ้าข้าพระครูกล่าวต่อพระโอรสด้วยความเชื่อมั่นในวิญญาณนักรบของพระองค์ทั้งสองสบตากัน

    ได้! อันเรามีเชื้อขัตติยะ หาได้ประหวั่นพรั่นพรึงต่ออริราชศัตรูไม่! พระครู แล้วเราจักต้องหนีไปทางใด

    พระยาพรหมท่านตรัสสั่งว่า หากคลาดกันให้ไปพบกันที่วิเศษไชยชาญพระเจ้าข้า เส้นทางนั้นหามีทัพของหงสาตั้งสกัดอยู่ไม่

    วิเศษไชยชาญ!!! ไกลเหลือที่จักสามารถเดินไปถึงได้

    หม่อมฉันได้ให้คนผูกม้าเตรียมไว้ที่วัดภูเขาทองแล้ว บัดนี้เราจำเป็นจักต้องฝ่าทัพหงสาออกไปให้จงได้พระเจ้าข้า

    ถ้าเช่นนั้นจงรีบไปบัดเดี๋ยวนี้!!” 

    พระเจ้าข้า!!

    พระโอรสอินทราธิปแลขุนเอกศัตราวุธตีฝ่าวงล้อมของหงสาวดีหลบหนีออกไปจากกรุงศรีอยุธยา มีทหารหงสาวดีบางส่วนติดตามมา ในพระทัยของพระโอรสน้อยเต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญไม่หวั่นเกรงต่อภยันตรายใดๆ


    ศัตรูตามมากระชั้นเหลือ พระโอรส หม่อมฉันจักลวงข้าศึกไว้ก่อน พระองค์จงรีบวิ่งหนีไปให้เร็วที่สุด หาต้องเป็นห่วงหม่อมฉันไม่พระครูกล่าวต่อพระโอรส

    แล้วเราจักพบกันที่ใด!

    หม่อมฉันจะตามไปพบพระองค์ พระยาพรหมและพระชายา ที่วิเศษไชยชาญพระเจ้าข้า

    ท่านห้ามเสียสัตย์นะ...พระครูแววตาพระโอรสบ่งบอกได้ชัดถึงความเป็นห่วง

    ขุนเอกศาสตราวุธชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อสัมผัสได้ถึงความในของพระโอรส ภาพความสัมพันธ์ที่ตนเองเป็นเสมือนสหายสนิทผู้ใกล้ชิดพระองค์มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์มันผุดขึ้นในใจ ภาพการที่ตนได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ ภาพพระโอรสเมื่อครั้งเป็นกุมารที่ทรงกริ้วยามที่มิได้ดั่งใจ ภาพเหล่านี้เสียดแทงความสัมพันธ์และความรู้สึกรัก เอ็นดู บูชาพระโอรส เสมือนเป็นทั้งเพื่อน เจ้านาย ลูกศิษย์และบุตรในอุธรณ์ในคราวเดียวกัน


    พระโอรส...อย่าทรงเป็นห่วงหม่อมฉันเลย ห่วงพระองค์เองก่อนเถิด ช้ามิได้แล้ว เสด็จเถิดพระเจ้าข้า

    ข้าจะรอท่าน!พระโอรสตรัสเป็นครั้งสุดท้ายก่อนวิ่งจากไปในความมืด มุ่งหน้าไปที่วัดภูเขาทอง

    ขุนเอกศัตราวุธปีนขึ้นไปดักรอข้าศึกอยู่บนต้นไม้ เมื่อทหารหงสาวดีวิ่งมาถึงก็กระโดดเข้าจู่โจมโดยไม่ให้รู้ตัว สังหารข้าศึกไปได้จำนวนมากรบกันถึงขั้นตะลุมบอน


    กองทัพของกรุงศรีอยุธยาไม่สามารถต้านทานกำลังรบอันเข้มแข็งของหงสาวดีได้ จึงเป็นฝ่ายยอมจำนน พระมหินทราธิราชกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาถูกจับกุมพระองค์
    เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าพระยาจักรีสมคบกับหงสาวดีก็เป็นที่แค้นพระทัยยิ่งนัก ตรัสสาปแช่งทั้งโคตรวงศ์พงศา ไม่นานต่อมาพระองค์ก็ทรงตรอมพระทัย เกิดพระอาการประชวรอย่างหนัก

     

     


    ...ที่ไทยพ่ายเพราะทัพไทยมีไส้ศึก    
    ไม่คิดนึกรักแผ่นดินถิ่นสยาม
    เอาแต่ตัวกลัวภัยได้คุมคาม            
    จึงทำตามกลโกงหงสาวดี...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×