คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : ศึกพะสิมเชียงใหม่...ศึกใหญ่แห่งเอกราช
:::ศึกพะสิมเชียงใหม่
ศึกใหญ่แห่งเอกราช:::
พุทธศักราช ๒๑๒๗ เดือนอ้าย จอศก กองทัพพะสิมไพร่พล ๓๐,๐๐๐ นาย ยกเข้ามาถึงกาญจนบุรีแลยึดเมืองไว้โดยไม่สูญเสียกำลัง จากนั้นจึงยกทัพขึ้นไปทางทิศอิสานหมายจะเข้าตีสุพรรณบุรี...
...ฝ่ายทางกรุงศรีอยุธยา พระนเรศวรมหาอุปราชทรงบัญชาให้พระยาจักรียกทัพเรือลงมาสกัดกั้น จนเกิดการปะทะกันที่แขวงเมืองสุพรรณบุรีนั้น ฝ่ายกรุงศรีอยุธาเข้าต่อรบจนสุดกำลังตามตีทัพพะสิมแตกไปจนถึงเขาพระยาแมน จึงยกทัพกลับมาตั้งอยู่ในเมืองสุพรรณ...
...ฝ่ายพะสิมก็รวมทัพตั้งกำลังใหม่อยู่ ณ เขาพระยาแมนนั้น ขวัญกำลังใจทหารลดน้อยลง อีกทั้งยังถูกกองโจรปล้นตัดชิงเสบียง พระนเรศวรมหาอุปราชทรงให้พระยาสุโขทัยผู้ลงมาราชการอยู่ในกรุงศรีอยุธยาขณะนั้นพอดีนำทหารอาสาเข้าตีทัพพะสิมที่เขาพระยาแมนจนแตกพ่ายถอยทัพกลับหงสาวดีไป...
...๑๕ ราตรีต่อมา ทัพพระเจ้าเชียงใหม่มังมหานรธาจึงยกลงมาถึงกำแพงเพชร ไชยะกยอสูและนันทะกยอถ่างคุมทัพหน้า ๑๕,๐๐๐ นายลงมาตั้งที่พรหมบุรี และออกลาดตระเวณหาทัพพะสิม โดยไม่ทราบว่าทัพพะสิมนั้นได้เลิกทัพกลับไปแล้ว...
...พระนเรศวรมหาอุปราชาและพระเอกาทศรถอนุชาธิราชทรงยกทัพออกจากกรุงศรีอยุธยาไปตั้งไว้ที่วิเศษไชยชาญ รับสั่งให้ทัพหน้ามีพระราชมนูเป็นนายทัพ ขุนรามเดชะเป็นยกกระบัตร ยกทหารม้า ๕๐๐ นาย แลทหารราบ ๓,๐๐๐ นาย ขึ้นไปขัดตาทัพที่ทุ่งโพธิทอง แลทรงให้กองโจรออกรังควาญกองทัพพม่า ทั้งตัดปล้นเสบียง แลชิงเอาเครื่องศัตราวุธ ทำเอาทัพหน้าเชียงใหม่ระส่ำระสายเป็นอันมาก...
...ทางฝ่ายพระอินทราธิปนั้น ลอบยกพลเรื่อยลงมาตามลำน้ำสาละวิน ขึ้นบกที่สบเมยแลเร่งยกทัพเรื่อยลงมาจนถึงแม่ระมาด ตั้งทัพซุ่มอยู่ในป่าใกล้เมืองตากนั้น และส่งกองหน้า ๓๐ นายออกสืบข่าวศึกทางกำแพงเพชร...
...ครั้นพอทราบว่า ทัพเชียงใหม่ตั้งมั่นคงอยู่ชากังราวกำแพงเพชร และส่งกองหน้า ๑๕,๐๐๐ นายลงไปถึงพรหมบุรีแล้ว ก็ทรงให้แบ่งพลออก ๓ ใน ๔ และทรงคุมกำลังส่วนมากลอบยกลงไปพรหมบุรีหมายจะสบทบกับทัพกรุงศรีอยุธยา แลให้ขุนพิทักษ์ราชกิจคุมทัพส่วนน้อยคอยลอบก่อกวนทัพเชียงใหม่ที่กำแพงเพชรนั้น...
...ทัพพระอินทราธิปลอบยกลงมาพอมองเห็นทัพพม่าที่ตั้งมั่นอยู่พรหมบุรีนั้นก็ซุ่มรออยู่ในป่า ครั้นเมื่อมีหมู่ลาดตระเวณหรือกองเสบียงออกมานอกค่ายก็จับยึดเอาเครื่องศาสตราวุธและเสบียงไว้สิ้น...
...๓ วันต่อมา ทัพหน้าเชียงใหม่ยกออกจากค่ายแล้วเคลื่อนลงมาทางทิศทักษิณ เกิดปะทะกับพลลาดตระเวณของขุนรามเดชะ ฝ่ายไทยมีกำลังน้อยจึงล่าถอยกลับเข้าค่ายที่ทุ่งโพธิทอง กองทัพพม่ายกตามมา ไชยกะยอสูเห็นว่าค่ายไทยมีขนาดเล็ก จึงสั่งพลยกเข้าตีหมายจะหักเอาค่ายที่ทุ่งโพธิทองนั้น...
...ฝ่ายพระอินทราธิปลอบยกกองโจรสะกดรอยตามมาห่างๆ เห็นข้างหน้ารบกันก็สั่งให้กองทหารเข้าจู่โจมตลบหลัง...
...พวกทหารหลวงกรุงศรีอยุธยาก็ไม่รู้ฝ่ายใดเป็นฝ่ายใดจึงเข้าสัประยุทธ์ตลุมบอนกันเป็นที่สับสน พระอินทราธิปเห็นดังนั้นไม่ได้การจึงทรงเร่งม้าขึ้นหน้า ฝ่ายทหารหลวงเห็นพระอินทราธิปแต่งพระองค์อย่างโจรก็ไม่ทราบ จึงเข้ารุมทำร้ายหมายสกัดกั้น...
...พระอินทราธิปเห็นดังนั้นก็ลืมนึกไปว่าแต่งพระองค์พรางพระพักตร์มาอย่างโจร จึงร้องบอก...
"
ข้า!! พระอินทราธิปราชนัดดา ยกทหารลงมาช่วย!!..." ตรัสพลันกวัดพระแสงดาบตีทหารที่เข้าทำร้าย
...เหล่าทหารที่เข้ารุมทำร้ายได้ยินดังนั้นก็สองจิตสองใจ ทำท่างุนงงด้วยเพราะมองไม่เห็นพระพักตร์ชัดเจนนัก...
"นี่ทัพใคร!!" พระอินทราธิปร้องบอกเป็นสำเนียงไทยชัดเจน
"ออกพระราชมนูพระเจ้าข้า!" ทหารนายหนึ่งกราบทูล พระอินทราธิปได้ยินดังนั้นก็มองหาพระราชมนูบนเชิงเทิน เห็นพระราชมนูบัญชาการรบอยู่บนเชิงเทินกำแพงค่าย ก็ทรงเร่งม้าควบหาพระราชมนู
ฝ่ายทหารหลวงที่เข้ามารุมจับทีแรกก็วิ่งตามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก หนึ่งก็เสมือนคอยคุ้มกันพระองค์ หนึ่งก็เสมือนตามไปดูเชิงว่าจริงเท็จประการใด ครั้นพอฝ่าทัพเข้าไปใกล้กำแพงค่ายแล้ว พระอินทราธิปก็ทรงเปิดผ้าอำพรางพระพักตร์และทรงร้องบอก
"ออกพระราชมนู!! ข้าพระอินทราธิปราชนัดดา ยกพวกไทยใหญ่ลงมาช่วย!!" พระราชมนูเห็นดังนั้นจำได้ว่าเป็นพระอินทราธิป จึงร้องบอกทหาร เหล่าทหารก็บอกต่อเป็นทอดไป ฝ่ายทหารหลวงกับฝ่ายกองโจรก็กลับร่วมกันรบกับฝ่ายเชียงใหม่
พระอินทราธิปควบม้าเข้าค่าย แล้วรีบเสด็จขึ้นเชิงเทินตรงเข้าหาพระราชมนูทันที พระราชมนูเห็นดังนั้นก็ถวายบังคม พระอินทราธิปโบกพระหัตถ์เชิงปฏิเสธ พลันตรัส
"ทัพเรามีเท่าใด"
"มีพลสามพันกับม้าห้าร้อยพระเจ้าข้า"
"ข้ายกลงมาเพียงเจ็ดร้อย...รบกันตรงๆแบบนี้สู่มิได้ ฝ่ายมันมีเรือนหมื่น" ตรัสเสร็จก็ผินพระพัตร์ไปทางสมรภูมิ ทรงเห็นชัดเจนว่าฝ่ายไทยนั้นกำลังน้อยกว่าหลายเท่า
"ทัพหลวงตั้งอยู่ที่วิเศษชัยชาญ จักให้ม้าเร็วรีบนำความไปแจ้งหรือไม่พระพุทธเจ้าข้า" พระราชมนูกราบทูลแนะนำ
"มิทันดอก! ยังแต่จะทำให้ต้องเสียไพร่พล!" พระอินทราธิปตรัส ทันใดก็ทรงทอดพระเนตรเห็นไชยะกยอสูและนันทะกยอถ่างยืนม้าอยู่หลังทัพ ครั้นแล้วก็เกิดพระราชมานะตรัสบอกพระราชมนู
"ออกพระราชมนู...ท่านจงไปกับข้า!!" สิ้นพระดำรัส พระราชมนูพร้อมเหล่าทหารองครักษ์ รีบขึ้นม้าควบตามพระอินทราธิปออกนอกค่าย
พระอินทราธิปและพวกพระราชมนูเร่งม้ามุ่งตรงไปทางแม่ทัพเชียงใหม่ หมื่นฤทธิณรงค์ที่ยังรบติดพันอยู่เห็นดังนั้นก็ร้องบอกหมู่กองโจรให้รีบเคลื่อนตามพระอินทราธิปไป พระอินทราธิปเร่งม้าฝ่าหมู่ทหารเชียงใหม่ลึกเข้าไปเรื่อยๆ
ทางฝ่ายไชยะกยอสูกับนันทะกยอถ่างเห็นดังนั้นก็สั่งทหารกรูเข้าหมายจะจับกุมสกัดกั้น แต่หามีผู้ใดทำอันตรายพระอินทราธิปได้เลย ยังคงทรงนำหมู่ทหารวิ่งลึกเข้าไปในทัพเชียงใหม่เป็นรูปลิ่ม ฝ่ายทหารเชียงใหม่ก็แตกออกเสมือนผลขนุนถูกแหวกอก แม่ทัพเชียงใหม่ทั้งสองเห็นดังนั้นก็เกิดมานะว่าไอ้โจรผู้นี้มันเป็นใครกันหนอ ถึงได้เร่งม้าควบเข้ามาอย่างไม่รู้จักเป็นตาย ครั้นแล้วก็ควบม้าออกมามุ่งตรงเข้าหาพระอินทราธิป
พระราชมนูเห็นว่าแม่ทัพพม่ามีถึงสอง เกรงพระอินทราธิปเสียเปรียบจึงเร่งม้าขึ้นหน้า ครั้นเมื่อได้ระยะอาวุธ แม่ทัพทั้งสี่ก็เข้าสัประยุทธ์กัน บรรดาทหารทั้งสองทัพ เห็นแม่ทัพสู้กันดังนี้ ก็ประพฤติตามประเพณีสงคราม คือเลิกรบกันให้ใช้ฝีมือของแม่ทัพตัดสิน
พระอินทราธิปเข้าต่อรบกับไชยะกยอสู พระแสงดาบฟาดเข้ากลางอกถูกเอาชุดเกราะ ไชยะกยอสูตกจากหลังม้า ฝ่ายพระราชมนูฟาดทวญเข้าหลังนันทะกยอถ่างตกจากหลังม้าเช่นกัน ทหารไทยพากันโห่เห่
แม่ทัพไทยทั้งสองโดดลงไปเข้ารบต่อ ฝ่ายพระราชมนูเสียทีถูกฟันเข้าต้นขาเสียจังหวะไป นันทะกยอถ่างโถมตัวหมายจะเข้าทำร้ายซ้ำ พระราชมนูพลิกตัวหลบกวัดทวญตีเข้าหลังนันทะกยอถ่างอีก ฝ่ายพระอินทราธิปโถมแรงเข้าฟันไชยะกยอสูที่ยกดาบขึ้นมาปัดป้องจนดาบนั้นกระเด็นหลุดจากมือไปไกล พระอินทราธิปชี้พระแสงดาบจ่อคอหอย จังหวะเดียวกันกับที่พระราชมนูฟาดทวญเข้ากลางออกนันทะกยอถ่างบาดเจ็บจนหมดสภาพการสู้รบ ฝ่ายทหารไทยโห่เห่ยินดี ผิดกับทหารฝ่ายเชียงใหม่ที่สลดในความปราชัยของแม่ทัพ
พระราชมนูเงื้อทวญหมายจะฟันคอนนันทะกยอถ่าง พระอินทราธิปเห็นดังนั้นก็ร้องบอก
"ช้าก่อน!"
พระราชมนูได้ยินดังนั้นก็ชะงัก หันหน้ามาสบพระเนตรพระอินทราธิปเชิงฉงน
"อ้ายสองพระยานี้มันหาใช่เจ้าใหญ่นายทัพพม่าไม่ มันก็เป็นมอญเก่าถูกเกณฑ์มาทำศึกเฉกเช่นชาวเชียงใหม่ทั้งหลายทั้งหมดนั้น..." สิ้นพระดำรัส บรรดาทหารเชียงใหม่ต่างจ้องมองมาทางพระอินทราธิป
"เชียงใหม่และกรุงศรีอยุธยาก็ล้วนไทยด้วยกัน...หากจักต้องมาพิฆาตฆ่าฟันกันเองนั้น มันก็ใช่ที่..." ทหารเชียงใหม่มองหน้ากัน เสมือนว่ารับทราบพระดำรัส
"บัดนี้...เป็นประจักษ์แล้วว่าทัพหน้าเชียงใหม่ที่ยกมานั้นปราชัยแก่ทัพของออกพระราชมนู..." พระราชมนูได้ยินดังนั้นก็เข้าใจ พลันดึงเอาทวญคู่กายกลับมาถือไว้อย่างเดิม
"พระยามอญทั้งสอง..." ไชยะกยอสูกับนันทะกยอถ่างพนมมือรับพระดำรัสทั้งที่มิรู้ว่า ชายที่แต่งชุดโจรอยู่เบื้องหน้านั้นคือผู้ใด
"บัดนี้ทัพพะสิมแตกพ่ายยกกลับพุกามประเทศไปแล้ว ผิดตามพระประสงค์เดิมของพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงที่ให้ทัพเชียงใหม่ยกลงมาสมทบ... การสงครามนี้สิ้นสุดแล้วนับแต่ทัพพะสิมแตกพ่ายกลับไป เจ้าทั้งสองจงนำความนี้ไปแจ้งต่อมังมหานรธาแม่ทัพใญ่ของเจ้าเถิด..." สิ้นพระดำรัสพระยามอญทั้งสองยกมือขึ้นถวายบังคม ไชยะกยอสูพนมมือตรัสถามต่อ
"ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้าพ้นกระม่อม กษัตริย์อโยธยาผู้ทรงเมตตาพระองค์นี้มีพระนามตามจารึกว่าอันใดหนอ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองจักได้ระลึกไว้ใส่เกล้าใส่กระหม่อม..." พระอินทราธิปได้สดับดังนั้นก็แย้มพระสรวล พลันตรัส
"มิต้องระลึกข้าไว้ในที่สูงสุดของท่านดอก ข้าก็ทำตามโบราณขัตติยราชประเพณี อริราชศัตรูของข้ามีเพียงผู้เดียวคือหงสาวดีหาใช่ชนชาติอื่นไม่...เจ้าจงระลึกถึงข้าไว้ในที่หัวใจของชาวอยุธยาทั้งปวงผู้เป็นอมิตรต่อหงสาวดีเถิด"
"พระพุทธเจ้าข้า" พระยามอญทั้งสองถวายบังคมลา ยกทัพกลับสู่กำแพงเพชรไปโดยดี บรรดาทหารไทยและทหารเชียงใหม่ก็ร้องส่งกันฉันท์มิตรผู้มากรีฑาเล่นกันตามประเพณี หาได้มีบรรยากาศแห่งความโกรธแค้นต่อกันไม่
ครั้นแล้วทัพพระเจ้าเชียงใหม่มังมหานรธาก็ยกทัพกลับเชียงใหม่นครพิงค์ไป ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาก็ยกกลับเข้ากรุงตามเดิม พระอินทราธิปราชนัดดาให้ม้าเร็วไปแจ้งทัพโจรที่กำแพงเพชรให้ยกตามลงมาที่กรุงศรีอยุธยา...
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
...
...
...
...ด้วยผองไทยยังต้องรบให้จบความ...
ความคิดเห็น