ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ... ขุนโจร ... The Warrior of King Nares

    ลำดับตอนที่ #11 : ตีสวรรคโลกพิชัย...กองทัพไทยใหญ่เข้าร่วม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 449
      1
      14 ก.ย. 52

    ::ตีสวรรคโลกพิชัย...กองทัพไทยใหญ่เข้าร่วม::

    เมื่อได้รับพระราชสาสน์ตอบจากพระนเรศวร นันทสูกับราชสังครำก็รู้แน่ชัดแล้วว่าพระนเรศวรคิดแข็งข้อ และคงกำลังจักยกทัพเข้ามาตีกำแพงเพชรเพื่อช่วยพวกไทยใหญ่ในอีกไม่นาน ทั้งสองเห็นว่าทัพพม่าของตนมิอาจต้านทานทัพพระนเรศวรได้ จึงรีบถอนกำลังกลับหงสาวดีทันที

    ทางฝ่ายทัพหน้าของไทยได้ติดตามไปอย่างกระชั้นชิด พร้อมด้วยพวกไทยใหญ่ทั้งหลายที่ถูกพม่าเกณฑ์มาโดยมีเจ้าฟ้าเมืองจี่ เจ้าฟ้าเมืองลองแจใหม่ และเจ้าฟ้าไทยใหญ่อีกหลายพระองค์ ในที่สุดก็ยกไปทันกันที่ตำบลแม่ระกา แขวงเมืองตาก

    ทั้งสองฝ่ายได้เข้าประยุทธ์กันอย่างรุนแรง ทั้งทัพช้าง ทัพม้า และพลเดินเท้า ฝ่ายไทยใหญ่โกรธแค้นชิงชังพม่ายิ่งนัก ต่างร่วมแรงกันต่อสู้อย่างถวายชีวิต พวกพม่ามิอาจต้านทานได้จึงถอยร่นไปจนถึงชายแดน ครั้นเมื่อทัพไทยและไทยใหญ่ขับไล่พม่าออกไปนอกเขตขัณฑสีมาสุพรรณภูมิประเทศแล้ว ทั้งหมดก็ยกทัพกลับคืนพระนคร

    ทัพพระนเรศวรรั้งทัพอยู่ที่สุโขทัยทรงทราบว่าพระยาพิชัยแลพระยาสวรรคโลกคิดการเป็นกบฎก็ทรงกริ้วนัก รับสั่งให้ทัพหน้าและทัพไทยใหญ่ที่เข้ามาสวามิภักดิ์ทั้งหมดเดินทัพกลับขึ้นไปทางเมืองตาก ยกผ่านด่านลานหอยเข้าสมทบกับทัพของพระองค์ที่สุโขทัย เพื่อร่วมกันปราบพิชัยและสวรรคโลก

    ครั้นเมื่อกำลังทั้งหมดมารวมกันแล้ว ก็ทรงโปรดเกล้าให้ตั้งพลับพลาพิธีศรีสัจปานกาล ณ วัดศรีชุม พร้อมกับรับสั่งให้ทหารตักน้ำจากตระพังโพยศรี ซึ่งเป็นสระน้ำโบราณมีมาตั้งแต่สมัยพระร่วงเจ้ามาทำเป็นน้ำพระพิพัฒน์สัตยาแช่ด้วยหอกดาบเครื่องราชศัตราวุธ

    "ไทยยังไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ที่เกรงกลัวพม่าหงสาวดีก็มีอยู่มาก หากบรรดาแม่ทัพนายกองไพร่พลทุกผู้ยังเกรงกลัวพม่าอยู่เช่นนี้ เห็นทีราชการงานกู้เอกราชคงจักมิสมประสงค์ จงแม่ทัพนายกองทุกผู้กล่าวปฏิญาณต่อหน้าองค์พระประธานวัดศรีชุมนี้โดยพร้อมกัน..."

    สิ้นพระดำรัส แม่ทัพนายกองทหารใหญ่น้อยทั้งปวงต่างตั้งใจฟังพระกระแสรับสั่งขององค์แม่ทัพ ทันใดพระสุรเสียงอันกึกก้องของพระนเรศวรก็เปล่งออกมา แม่ทัพนายกอง ทหารทั้งปวงกล่าวตาม

    "เหล่าข้าพระพุทธเจ้าเกิดเป็นไทย อยู่เป็นไทย ตายเพื่อไทย ข้าพระพุทธเจ้าจักร่วมกันต่อสู้ข้าศึกอริราชศัตรูผู้รุกราน จักกู้แผ่นดินไทยด้วยคมหอกคมดาบเครื่องราชศัตราวุธทั้งหลายเหล่านี้ให้สถาพรด้วยอิสรภาพ

    หากข้าพระพุทธเจ้าคิดคดทุรยศต่อไทยด้วยกันเองแล้วไซร้ จงคมหอกคมดาบเครื่องราชศัตราวุธนี้ย้อนกลับเข้าประหัตประหารเข่นฆ่าให้สมกับโทษานุโทษ มิว่าเป็นเจ้าฟ้า มิว่าเป็นเจ้านาย มิว่าเป็นนายทัพ มิว่าเป็นไพร่ฟ้า จงเทพพยุดาอย่าได้ละเว้น"


    สิ้นพระราชดำรัส บรรดาแม่ทัพนายกองกล่าวปฏิญาณตามแล้วสิ้น พระนเรศวรทรงตักน้ำพระพิพัฒน์สัตยาขึ้นเสวย พระเอกาทศรถดำเนินเข้ามาตักต่อ พลันแม่ทัพนายกองทั้งหลายทั้งปวง และไพร่พลไล่เรียงตามลำดับชั้นต่างวนเข้ามาตักน้ำพระพิพัฒน์สัตยาสาบานตน

    ทันใด เกิดฉัพรรณรังสีเปล่งออกมาจากพระพุทธรูปองค์ประธานในพระอุโบสถวัดศรีชุมนั้น พร้อมสุรเสียงกึกก้องไปทั่วบริเวณ

    "จงร่วมกันกู้ชาติบ้านเมือง และทำนุบำรุงบวรพระพุทธศาสนา ให้ดำรงคงกาลอยู่นานครบห้าพันปี" สิ้นเสียงลึกลับดังกล่าว พระนเรศขนลุกชันด้วยอัศจรรย์ใจ พระองค์ก้มกราบวันทาพระประธานใหญ่ในอุโบสถยั้ย บรรดาไพร่พลต่างเกิดกำลังใจฮึกเหิม พลันคุกเข่าวันทาดุจเดียวกับพระองค์

    "ความตั้งพระทัยมั่นของสมเด็จพี่  แม้นเทพยุดาฟ้าดินก็ยังรับรู้พระพุทธเจ้าข้า" พระเอกาทศรถประนมมือกราบทูล

    พระนเรศวรทรงยิ้มรับคำกราบทูลของพระอนุชา พลันลุกขึ้นตรัสสั่งการ ให้ทหารเตรียมยกพลเข้าล้อมเมืองสวรรคโลกต่อไป

    <><><><><><><><><><><>

    ::หงสาวดี::

    พระอินทราธิปราชนัดดาตามสืบข่าวพระพี่นางสุพรรณกลัยาอยู่ที่หงสาวดีนั้น ได้ทราบเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าพระสุพรรณกัลยาทรงได้รับทุกขเวทนาเป็นอย่างมาก หลังจากที่พระนเรศวรยกทัพเข้ามาประชิดติดพระนคร แต่พระองค์ไม่สามารถเข้าถึงองค์เพื่อชักชวนให้หนีกลับกรุงศรีอยุธยาได้

    นอกจากพระองค์จะสืบข่าวพระพี่นางแล้ว พระองค์ก็ได้ใช้เพลาว่างออกสำรวจภูมิประเทศของหงสาวดี จนได้พบกับเชลยไทยใหญ่ที่ถูกเกณฑ์มาในทัพพม่าแล้วหนีออกมาบวชเป็นพระภิกษุชื่อ พระภิกษุอูแสง

    ด้วยพระภิกษุอูแสงในอดีตเคยเป็นเจ้าฟ้าหลวงเมืองหน่าย มีกำลังพลไทยใหญ่อยู่ในบังคับบัญชาราวหมื่นคน แต่บัดนี้ได้แตกทัพหนีเข้าป่าเป็นโจรบ้าง เข้าสวามิภักดิ์เจ้าฟ้าไทยใหญ่พระองค์อื่นบ้าง เข้าสวามิภักดิ์กับไทยบ้าง ถูกจับเป็นเชลยบ้าง

    พระอินทราธิปราชนัดดาทรงทราบดีว่าพวกไทยใหญ่นั้นรบเข้มแข็งกว่ามอญพม่าหงสาวดี หากแต่ไม่มีการรวมกำลังรบกันอย่างเป็นปึกแผ่น ต่างแยกกันปกครองโดยมีเจ้าฟ้าครองเมืองต่างๆ

    พระองค์ดำริจะได้ทหารไทยใหญ่ของพระภิกษุอูแสงไว้ในทัพด้วยว่าความเข้มแข็งและความกล้าหาญนั้นเป็นที่รู้กันดี แต่ทรงดำริว่าพระภิกษุอูแสงถือเพศบรรพชิตแล้วคงมิได้มีใจฝักใฝ่ในการศึก จึงมิเป็นการบังควรที่จักปราศรัยเรื่องนี้ด้วย

    พระอินทราธิปราชนัดดาและพระภิกษุอูแสงต่างก็ทราบฐานะซึ่งกันและกัน พระภิกษุอูแสงยังอยู่ในวัยกลางคน ท่วงทีวาจาฉะฉาน เป็นที่ถูกพระทัยพระอินทราธิปยิ่งนัก พระอินทราธิปมักทรงหาเวลาเข้าพบพระภิกษุอูแสงอยู่บ่อยครั้ง

    จนเมื่อเป็นที่แน่ใจแ้ล้วว่าไม่สามารถโดยเสด็จพระพี่นางกลับคืนพระนครได้แน่ จึงทรงเข้าพบพระภิกษุอูแสงด้วยว่าจักกราบลากลับพระนคร

    "นมัสการพระคุณท่าน กระผมมากราบลากลับพระนครแล้วขอรับ จากบ้านจากเมืองมานานเหลือ สืบข่าวพระพี่นางได้แน่ชัดแล้ว จักนำความกลับไปกราบทูลพระเชษฐาพระองค์ดำ" พระอินทราธิปราชนัดดาประนมพระหัตถ์ขึ้นอย่างนอบน้อม

    "ยังมีการใดที่ยังทรงบ่ได้สะสางอยู่บ่ใจ้หรือ เจ้าขุนไต" พระภิกษุอูแสงเปรยดั่งรู้ความในของพระอินทราธิป

    พระอินทราธิปทำสีหน้าประหลาดใจ

    "หามีไม่แล้วขอรับพระคุณเจ้า กระผมได้รับหน้าที่จากสมเด็จพี่พระองค์ดำมาเพียงเพื่อสืบข่าวหาหนทางช่วยเหลือพระพี่นางเท่านั้น"

    "ฉะนั้นรึ..." พระภิกษุอูแสงพูดก่อนหันไปยกกาน้ำร้อนรินใส่จอกชาอย่างใจเย็น พระอินทราธิปทอดพระเนตรด้วยความฉงน พระภิกษุอูแสงยิ้มมุมปากแล้วเปรยอย่างช้าๆ

    "ความในใจของพ่อเจ้าก็คือกับน้ำร้อนนี่เล่า ปล่อยให้เนิ่นให้น่านไปบ่ได้รินมันออกมา มันก็จักเย็นเสีย บ่มีคุณอันใด" พระอินทราธิปทรงตรินึกสักครู่หนึ่งพลันตรัสอย่างฉงน

    "นี่พระคุณเจ้ากำลังหมายถึง..."

    "กองทหารไตเฮาแตกทัพหมดแล้วก็จริง แต่คนไตมีเลือดนักสู้อยู่ในกาย เมื่อเถิงเวลาจักต้องสู้มื้อใด๋ บ่ช้าเมินเฮาจักรวมกันได้เป็นหนึ่ง"

    ไม่ทันที่พระอินทราธิปจะกล่าวจบ พระภิกษุอูแสงก็พูดออกมาประหนึ่งว่าทราบความในใจของพระองค์เป็นอย่างดี เกี่ยวกับเรื่องทหารไทยใหญ่หรือไต

    "ไตเฮาชิงชังอ้ายม่านยิ่งนัก ไตเฮาถือเอาขุนหอคำไตธรรมราชาเป็นกษัตริย์ ไตเฮากับไตละโว้ก็เป็นสายเลือดเดียวคือกันมา บัดนี้ละโว้โยเดียก็ประกาศบ่ขึ้นต่ออ้ายม่านแล้ว ไตเฮาก็ล้วนอยากช่วยโยเดียรบกันทุกผู้ทุกตัว" พระภิกษุอูแสงกล่าวต่อ

    พระอินทราธิปราชนัดดาเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรพระภิกษุอูแสงประหนึ่งว่า ทุกคำที่พระภิกษุอูแสงพูดนั้น พระองค์ทรงอยากรับทราบรับฟังมานาน

    "ที่เมืองหน่ายยังมีข้าหลวงเก่าอยู่ชื่อเศิกขวัญ มีเฮือนอยู่หลังตำหนักเก่า พ่อเจ้าจงไปแจ้งแก่เขาว่าพ่อเจ้าเป็นใคร ประสงค์สิ่งใด เขาจักเป็นผู้รวบรวมทหารไตเฮามาให้พ่อเจ้าเอง อาตมาประกันว่าทหารทุกผู้ที่จักเข้าร่วมกับพ่อเจ้านั้นล้วนเป็นทหารชั้นดี จักทำศึกอยู่ในทัพด้วยความเข้มแข็งและบ่มีวันที่จักคิดคดต่อพ่อเจ้า"

    พระภิกษุอูแสงหยิบเอาตราประทับประจำเมืองออกมาจากย่ามเครื่องอัฐบริขารส่งให้พระอินทราธิปราชนัดดา พร้อมกำชับว่า

    "แจ้งแก่เศิกขวัญว่าอาตมาภาพยังมีชีวิตอยู่ ขอกำลังไตเฮาเข้าร่วมกับเจ้าขุนไตตนดำ..."

    พระอินทราธิปราชนัดดารับตราประทับมาจากอูแสง แล้วกราบลา พร้อมกับเร่งเดินทางขึ้นเหนือ มุ่งหน้าสู่เมืองหน่าย เขตดินแดนไทยใหญ่ทันที...

    <><><><><><><><><><><><><>

    ::สวรรคโลก::

    เมื่อพระนเรศวรยกกระบวนพยุหเสนาทัพทั้งหมดลงมาล้อมสวรรคโลกแล้ว ทรงเห็นว่าทั้งสวรรคโลกและพิชัยก็ล้วนเป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น การจักมารบราฆ่าฟันกันเองนั้นมิสมควร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งข้าหลวงเข้าเจรจาให้สวรรคโลกแลพิชัยเข้าสวามิภักดิ์กับพระองค์ตามเดิม...

    "ข้านำสารจากพระมหาอุปราชนเรศวรแห่งกรุงพิษณุโลกสองแควมาแจ้งแก่ท่านทั้งสอง ด้วยความจำเป็นในการรวมไทยทุกหมู่เพื่อร่วมกันสู้ศึกหงสาวดี" ข้าหลวงยื่นพระราชสาสน์ให้เจ้าเมืองพิชัยและสวรรคโลก พลันพระยาทั้งสองหัวเราะขึ้นสนั่น เย้ยหยันคำกล่าวของข้าหลวง

    "ชิชะ! รวมไทยเพื่อสู้หงสาวดีรึ"

    ข้าหลวงหันหน้าไปมองพระยาพิชัยอย่างไม่สบอารมณ์นัก

    "พระนเรศทรงคิดว่าตนเองเป็นใคร ทรงยิ่งใหญ่มาจากสวรรค์ชั้นใดกัน จึงหาญกล้าต่อรบกับหงสาวดี" พระยาพิชัยพูดขึ้น ทันใดพระยาสวรรคโลกก็กล่าวเสริม

    "เพียงชำนะศึกเมืองคังมาครั้งหนึ่งก็กำแหงหนัก คิดอ่านประกาศอิสรภาพ ถือประหนึ่งว่าตนเองเป็นพ่ออยู่หัวเสียเอง ช่างเหิมเกริมสิ้นดี"

    ข้าหลวงหันไปทางพระยาสวรรคโลก ก่อนจะกล่าว

    "เหตุใดออกญาพระยาท่านทั้งสองจึงคิดอ่านเยี่ยงนี้ พระนเรศวรทรงมีพระราชหฤทัยแน่วแน่ที่จักกอบกู้บ้านเมือง แต่ท่านทั้งสองกลับ..."

    พระยาสวรรคโลกโบกมือปัดคำ แล้วพูดสวนอย่างถือดี

    "พระราชหฤทัยแน่วแน่แล้วเยี่ยงไรกันเล่า! ปากยังมิสิ้นกลิ่นน้ำนม ก็อาจหาญคิดการกบฏต่อหงสาวดีเสียแล้ว"

    ข้าหลวงกระทืบเท้า ร้องบอกด้วยวาจาแข็งกร้าว

    "กบฏรึ! ไทยเรามิได้เป็นข้าอ้ายพม่าหงสาวดี ไทยจักคิดต่อตีกับพม่าด้วยเพื่อพ้นจากการกดขี่ข่มเหง ท่านทั้งสองก็เป็นไทยแลเป็นถึงพระยาเจ้าเมือง เหตุใดจึงไร้ปัญญาไตร่ตรองในวาจา"

    "บังอาจ!" พระยาสวรรคโลกตวาดทันใด บรรดาทหารเมืองสวรรคโลกลุกขึ้นทำท่าทีจะใช้อาวุธ "เจ้าเป็นเพียงขุนทหารต่ำต้อย มิใยมากล่าวกับข้าเยี่ยงนี้!"

    ข้าหลวงมองไปรอบๆ เห็นว่าตนเองมาเพียงลำพังคงสู้มิได้ จึงค่อยๆพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ

    "นั่นสิ ข้าเป็นเพียงขุนทหารต่ำต้อย มิควรแก่การกล่าววาจาให้ร้ายท่านเยี่ยงนี้" ข้าหลวงพันปราดไปทางพระยาพิชัย "หากแต่ท่านเองนั้นหมดสิ้นบรรดาศักดิ์ขุนท้าวพระยาแห่งกรุงศรีอยุธยาเสียแล้ว ด้วยว่าคิดอ่านคบหาอริราชศัตรู ประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อมาตุภูมิ"

    "ข้าจักนำความคิดอ่านอันเป็นขบถนี้แจ้งแก่พระมหาอุปราชท่าน" ข้าหลวงประนมมือขึ้นไหว้ไปทางหน้าเมือง เชิงรำลึกถึงพระนเรศ "ออกญาพระยาท่านทั้งสองจงตกแต่งพระนครให้มั่นคงเพื่อเตรียมรับศึกอันร่วมด้วยเลือดสยามที่ต้องห้ำหั่นเข่นฆ่ากันเองเพราะความขลาดอันกลัวเกรงต่ออ้ายพม่าหงสาวดีนี้เถิด" สิ้นคำกล่าวข้าหลวงเดินออกจากจวนของพระยาสวรรคโลกและพระยาพิชัยทันที

    พระยาสวรรคโลกตะโกนไล่หลังเป็นความด่าทอถึงองค์พระนเรศวรยังความโกรธแค้นให้แก่ข้าหลวงยิ่งนัก

    ฝ่ายทหารสวรรคโลกนำศีรษะกรมการเมืองผู้ภักดีต่อพระนเรศวรออกมาโยนทิ้งให้เห็น

    ครั้นเมื่อกลับออกมาสู่ที่ตั้งทัพ ข้าหลวงก็นำความแจ้งต่อพระนเรศวร พระองค์ทรงทราบก็ทรงพิโรธยิ่งนักรับสั่งให้กองทหารยกเข้าตีสววรคโลกทันที

    <><><><><><><><><><><>



    ...ชื่อว่าไทยใครรู้กูนักรบ

    แม้ชีพจบดับดิ้นสิ้นวิสัย

    ฤาจะสิ้นแดนถิ่นแผ่นดินไทย

    ถ้าไทยไม่รู้สมัครสามัคคี




    หมายเหตุ*

    -ขุนหอคำไต คือ คำเรียกพระมหากษัตริย์ของไทยใหญ่

    -เจ้าขุนไต คือ คำเรียกพระราชวงศ์

    -ละโว้ คือ อยุธยา

    -โยเดีย คือ อยุธยา (ลองออกเสียง \"โยเดีย\" ดู จะคล้ายคำว่า \"อยุธยา\" - \"โยเดีย\" เป็นสำเนียงการเรียกชื่ออยุธยาแบบพม่า)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×