ลำดับตอนที่ #11
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ตีสวรรคโลกพิชัย...กองทัพไทยใหญ่เข้าร่วม
::ตีสวรรคโลกพิชัย...กองทัพไทยใหญ่เข้าร่วม::
เมื่อได้รับพระราชสาสน์ตอบจากพระนเรศวร นันทสูกับราชสังครำก็รู้แน่ชัดแล้วว่าพระนเรศวรคิดแข็งข้อ และคงกำลังจักยกทัพเข้ามาตีกำแพงเพชรเพื่อช่วยพวกไทยใหญ่ในอีกไม่นาน ทั้งสองเห็นว่าทัพพม่าของตนมิอาจต้านทานทัพพระนเรศวรได้ จึงรีบถอนกำลังกลับหงสาวดีทันที
ทางฝ่ายทัพหน้าของไทยได้ติดตามไปอย่างกระชั้นชิด พร้อมด้วยพวกไทยใหญ่ทั้งหลายที่ถูกพม่าเกณฑ์มาโดยมีเจ้าฟ้าเมืองจี่ เจ้าฟ้าเมืองลองแจใหม่ และเจ้าฟ้าไทยใหญ่อีกหลายพระองค์ ในที่สุดก็ยกไปทันกันที่ตำบลแม่ระกา แขวงเมืองตาก
ทั้งสองฝ่ายได้เข้าประยุทธ์กันอย่างรุนแรง ทั้งทัพช้าง ทัพม้า และพลเดินเท้า ฝ่ายไทยใหญ่โกรธแค้นชิงชังพม่ายิ่งนัก ต่างร่วมแรงกันต่อสู้อย่างถวายชีวิต พวกพม่ามิอาจต้านทานได้จึงถอยร่นไปจนถึงชายแดน ครั้นเมื่อทัพไทยและไทยใหญ่ขับไล่พม่าออกไปนอกเขตขัณฑสีมาสุพรรณภูมิประเทศแล้ว ทั้งหมดก็ยกทัพกลับคืนพระนคร
ทัพพระนเรศวรรั้งทัพอยู่ที่สุโขทัยทรงทราบว่าพระยาพิชัยแลพระยาสวรรคโลกคิดการเป็นกบฎก็ทรงกริ้วนัก รับสั่งให้ทัพหน้าและทัพไทยใหญ่ที่เข้ามาสวามิภักดิ์ทั้งหมดเดินทัพกลับขึ้นไปทางเมืองตาก ยกผ่านด่านลานหอยเข้าสมทบกับทัพของพระองค์ที่สุโขทัย เพื่อร่วมกันปราบพิชัยและสวรรคโลก
ครั้นเมื่อกำลังทั้งหมดมารวมกันแล้ว ก็ทรงโปรดเกล้าให้ตั้งพลับพลาพิธีศรีสัจปานกาล ณ วัดศรีชุม พร้อมกับรับสั่งให้ทหารตักน้ำจากตระพังโพยศรี ซึ่งเป็นสระน้ำโบราณมีมาตั้งแต่สมัยพระร่วงเจ้ามาทำเป็นน้ำพระพิพัฒน์สัตยาแช่ด้วยหอกดาบเครื่องราชศัตราวุธ
"ไทยยังไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ที่เกรงกลัวพม่าหงสาวดีก็มีอยู่มาก หากบรรดาแม่ทัพนายกองไพร่พลทุกผู้ยังเกรงกลัวพม่าอยู่เช่นนี้ เห็นทีราชการงานกู้เอกราชคงจักมิสมประสงค์ จงแม่ทัพนายกองทุกผู้กล่าวปฏิญาณต่อหน้าองค์พระประธานวัดศรีชุมนี้โดยพร้อมกัน..."
สิ้นพระดำรัส แม่ทัพนายกองทหารใหญ่น้อยทั้งปวงต่างตั้งใจฟังพระกระแสรับสั่งขององค์แม่ทัพ ทันใดพระสุรเสียงอันกึกก้องของพระนเรศวรก็เปล่งออกมา แม่ทัพนายกอง ทหารทั้งปวงกล่าวตาม
"เหล่าข้าพระพุทธเจ้าเกิดเป็นไทย อยู่เป็นไทย ตายเพื่อไทย ข้าพระพุทธเจ้าจักร่วมกันต่อสู้ข้าศึกอริราชศัตรูผู้รุกราน จักกู้แผ่นดินไทยด้วยคมหอกคมดาบเครื่องราชศัตราวุธทั้งหลายเหล่านี้ให้สถาพรด้วยอิสรภาพ
หากข้าพระพุทธเจ้าคิดคดทุรยศต่อไทยด้วยกันเองแล้วไซร้ จงคมหอกคมดาบเครื่องราชศัตราวุธนี้ย้อนกลับเข้าประหัตประหารเข่นฆ่าให้สมกับโทษานุโทษ มิว่าเป็นเจ้าฟ้า มิว่าเป็นเจ้านาย มิว่าเป็นนายทัพ มิว่าเป็นไพร่ฟ้า จงเทพพยุดาอย่าได้ละเว้น"
สิ้นพระราชดำรัส บรรดาแม่ทัพนายกองกล่าวปฏิญาณตามแล้วสิ้น พระนเรศวรทรงตักน้ำพระพิพัฒน์สัตยาขึ้นเสวย พระเอกาทศรถดำเนินเข้ามาตักต่อ พลันแม่ทัพนายกองทั้งหลายทั้งปวง และไพร่พลไล่เรียงตามลำดับชั้นต่างวนเข้ามาตักน้ำพระพิพัฒน์สัตยาสาบานตน
ทันใด เกิดฉัพรรณรังสีเปล่งออกมาจากพระพุทธรูปองค์ประธานในพระอุโบสถวัดศรีชุมนั้น พร้อมสุรเสียงกึกก้องไปทั่วบริเวณ
"จงร่วมกันกู้ชาติบ้านเมือง และทำนุบำรุงบวรพระพุทธศาสนา ให้ดำรงคงกาลอยู่นานครบห้าพันปี" สิ้นเสียงลึกลับดังกล่าว พระนเรศขนลุกชันด้วยอัศจรรย์ใจ พระองค์ก้มกราบวันทาพระประธานใหญ่ในอุโบสถยั้ย บรรดาไพร่พลต่างเกิดกำลังใจฮึกเหิม พลันคุกเข่าวันทาดุจเดียวกับพระองค์
"ความตั้งพระทัยมั่นของสมเด็จพี่ แม้นเทพยุดาฟ้าดินก็ยังรับรู้พระพุทธเจ้าข้า" พระเอกาทศรถประนมมือกราบทูล
พระนเรศวรทรงยิ้มรับคำกราบทูลของพระอนุชา พลันลุกขึ้นตรัสสั่งการ ให้ทหารเตรียมยกพลเข้าล้อมเมืองสวรรคโลกต่อไป
::หงสาวดี::
พระอินทราธิปราชนัดดาตามสืบข่าวพระพี่นางสุพรรณกลัยาอยู่ที่หงสาวดีนั้น ได้ทราบเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าพระสุพรรณกัลยาทรงได้รับทุกขเวทนาเป็นอย่างมาก หลังจากที่พระนเรศวรยกทัพเข้ามาประชิดติดพระนคร แต่พระองค์ไม่สามารถเข้าถึงองค์เพื่อชักชวนให้หนีกลับกรุงศรีอยุธยาได้
นอกจากพระองค์จะสืบข่าวพระพี่นางแล้ว พระองค์ก็ได้ใช้เพลาว่างออกสำรวจภูมิประเทศของหงสาวดี จนได้พบกับเชลยไทยใหญ่ที่ถูกเกณฑ์มาในทัพพม่าแล้วหนีออกมาบวชเป็นพระภิกษุชื่อ พระภิกษุอูแสง
ด้วยพระภิกษุอูแสงในอดีตเคยเป็นเจ้าฟ้าหลวงเมืองหน่าย มีกำลังพลไทยใหญ่อยู่ในบังคับบัญชาราวหมื่นคน แต่บัดนี้ได้แตกทัพหนีเข้าป่าเป็นโจรบ้าง เข้าสวามิภักดิ์เจ้าฟ้าไทยใหญ่พระองค์อื่นบ้าง เข้าสวามิภักดิ์กับไทยบ้าง ถูกจับเป็นเชลยบ้าง
พระอินทราธิปราชนัดดาทรงทราบดีว่าพวกไทยใหญ่นั้นรบเข้มแข็งกว่ามอญพม่าหงสาวดี หากแต่ไม่มีการรวมกำลังรบกันอย่างเป็นปึกแผ่น ต่างแยกกันปกครองโดยมีเจ้าฟ้าครองเมืองต่างๆ
พระองค์ดำริจะได้ทหารไทยใหญ่ของพระภิกษุอูแสงไว้ในทัพด้วยว่าความเข้มแข็งและความกล้าหาญนั้นเป็นที่รู้กันดี แต่ทรงดำริว่าพระภิกษุอูแสงถือเพศบรรพชิตแล้วคงมิได้มีใจฝักใฝ่ในการศึก จึงมิเป็นการบังควรที่จักปราศรัยเรื่องนี้ด้วย
พระอินทราธิปราชนัดดาและพระภิกษุอูแสงต่างก็ทราบฐานะซึ่งกันและกัน พระภิกษุอูแสงยังอยู่ในวัยกลางคน ท่วงทีวาจาฉะฉาน เป็นที่ถูกพระทัยพระอินทราธิปยิ่งนัก พระอินทราธิปมักทรงหาเวลาเข้าพบพระภิกษุอูแสงอยู่บ่อยครั้ง
จนเมื่อเป็นที่แน่ใจแ้ล้วว่าไม่สามารถโดยเสด็จพระพี่นางกลับคืนพระนครได้แน่ จึงทรงเข้าพบพระภิกษุอูแสงด้วยว่าจักกราบลากลับพระนคร
"นมัสการพระคุณท่าน กระผมมากราบลากลับพระนครแล้วขอรับ จากบ้านจากเมืองมานานเหลือ สืบข่าวพระพี่นางได้แน่ชัดแล้ว จักนำความกลับไปกราบทูลพระเชษฐาพระองค์ดำ" พระอินทราธิปราชนัดดาประนมพระหัตถ์ขึ้นอย่างนอบน้อม
"ยังมีการใดที่ยังทรงบ่ได้สะสางอยู่บ่ใจ้หรือ เจ้าขุนไต" พระภิกษุอูแสงเปรยดั่งรู้ความในของพระอินทราธิป
พระอินทราธิปทำสีหน้าประหลาดใจ
"หามีไม่แล้วขอรับพระคุณเจ้า กระผมได้รับหน้าที่จากสมเด็จพี่พระองค์ดำมาเพียงเพื่อสืบข่าวหาหนทางช่วยเหลือพระพี่นางเท่านั้น"
"ฉะนั้นรึ..." พระภิกษุอูแสงพูดก่อนหันไปยกกาน้ำร้อนรินใส่จอกชาอย่างใจเย็น พระอินทราธิปทอดพระเนตรด้วยความฉงน พระภิกษุอูแสงยิ้มมุมปากแล้วเปรยอย่างช้าๆ
"ความในใจของพ่อเจ้าก็คือกับน้ำร้อนนี่เล่า ปล่อยให้เนิ่นให้น่านไปบ่ได้รินมันออกมา มันก็จักเย็นเสีย บ่มีคุณอันใด" พระอินทราธิปทรงตรินึกสักครู่หนึ่งพลันตรัสอย่างฉงน
"นี่พระคุณเจ้ากำลังหมายถึง..."
"กองทหารไตเฮาแตกทัพหมดแล้วก็จริง แต่คนไตมีเลือดนักสู้อยู่ในกาย เมื่อเถิงเวลาจักต้องสู้มื้อใด๋ บ่ช้าเมินเฮาจักรวมกันได้เป็นหนึ่ง"
ไม่ทันที่พระอินทราธิปจะกล่าวจบ พระภิกษุอูแสงก็พูดออกมาประหนึ่งว่าทราบความในใจของพระองค์เป็นอย่างดี เกี่ยวกับเรื่องทหารไทยใหญ่หรือไต
"ไตเฮาชิงชังอ้ายม่านยิ่งนัก ไตเฮาถือเอาขุนหอคำไตธรรมราชาเป็นกษัตริย์ ไตเฮากับไตละโว้ก็เป็นสายเลือดเดียวคือกันมา บัดนี้ละโว้โยเดียก็ประกาศบ่ขึ้นต่ออ้ายม่านแล้ว ไตเฮาก็ล้วนอยากช่วยโยเดียรบกันทุกผู้ทุกตัว" พระภิกษุอูแสงกล่าวต่อ
พระอินทราธิปราชนัดดาเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรพระภิกษุอูแสงประหนึ่งว่า ทุกคำที่พระภิกษุอูแสงพูดนั้น พระองค์ทรงอยากรับทราบรับฟังมานาน
"ที่เมืองหน่ายยังมีข้าหลวงเก่าอยู่ชื่อเศิกขวัญ มีเฮือนอยู่หลังตำหนักเก่า พ่อเจ้าจงไปแจ้งแก่เขาว่าพ่อเจ้าเป็นใคร ประสงค์สิ่งใด เขาจักเป็นผู้รวบรวมทหารไตเฮามาให้พ่อเจ้าเอง อาตมาประกันว่าทหารทุกผู้ที่จักเข้าร่วมกับพ่อเจ้านั้นล้วนเป็นทหารชั้นดี จักทำศึกอยู่ในทัพด้วยความเข้มแข็งและบ่มีวันที่จักคิดคดต่อพ่อเจ้า"
พระภิกษุอูแสงหยิบเอาตราประทับประจำเมืองออกมาจากย่ามเครื่องอัฐบริขารส่งให้พระอินทราธิปราชนัดดา พร้อมกำชับว่า
"แจ้งแก่เศิกขวัญว่าอาตมาภาพยังมีชีวิตอยู่ ขอกำลังไตเฮาเข้าร่วมกับเจ้าขุนไตตนดำ..."
พระอินทราธิปราชนัดดารับตราประทับมาจากอูแสง แล้วกราบลา พร้อมกับเร่งเดินทางขึ้นเหนือ มุ่งหน้าสู่เมืองหน่าย เขตดินแดนไทยใหญ่ทันที...
::สวรรคโลก::
เมื่อพระนเรศวรยกกระบวนพยุหเสนาทัพทั้งหมดลงมาล้อมสวรรคโลกแล้ว ทรงเห็นว่าทั้งสวรรคโลกและพิชัยก็ล้วนเป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น การจักมารบราฆ่าฟันกันเองนั้นมิสมควร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งข้าหลวงเข้าเจรจาให้สวรรคโลกแลพิชัยเข้าสวามิภักดิ์กับพระองค์ตามเดิม...
"ข้านำสารจากพระมหาอุปราชนเรศวรแห่งกรุงพิษณุโลกสองแควมาแจ้งแก่ท่านทั้งสอง ด้วยความจำเป็นในการรวมไทยทุกหมู่เพื่อร่วมกันสู้ศึกหงสาวดี" ข้าหลวงยื่นพระราชสาสน์ให้เจ้าเมืองพิชัยและสวรรคโลก พลันพระยาทั้งสองหัวเราะขึ้นสนั่น เย้ยหยันคำกล่าวของข้าหลวง
"ชิชะ! รวมไทยเพื่อสู้หงสาวดีรึ"
ข้าหลวงหันหน้าไปมองพระยาพิชัยอย่างไม่สบอารมณ์นัก
"พระนเรศทรงคิดว่าตนเองเป็นใคร ทรงยิ่งใหญ่มาจากสวรรค์ชั้นใดกัน จึงหาญกล้าต่อรบกับหงสาวดี" พระยาพิชัยพูดขึ้น ทันใดพระยาสวรรคโลกก็กล่าวเสริม
"เพียงชำนะศึกเมืองคังมาครั้งหนึ่งก็กำแหงหนัก คิดอ่านประกาศอิสรภาพ ถือประหนึ่งว่าตนเองเป็นพ่ออยู่หัวเสียเอง ช่างเหิมเกริมสิ้นดี"
ข้าหลวงหันไปทางพระยาสวรรคโลก ก่อนจะกล่าว
"เหตุใดออกญาพระยาท่านทั้งสองจึงคิดอ่านเยี่ยงนี้ พระนเรศวรทรงมีพระราชหฤทัยแน่วแน่ที่จักกอบกู้บ้านเมือง แต่ท่านทั้งสองกลับ..."
พระยาสวรรคโลกโบกมือปัดคำ แล้วพูดสวนอย่างถือดี
"พระราชหฤทัยแน่วแน่แล้วเยี่ยงไรกันเล่า! ปากยังมิสิ้นกลิ่นน้ำนม ก็อาจหาญคิดการกบฏต่อหงสาวดีเสียแล้ว"
ข้าหลวงกระทืบเท้า ร้องบอกด้วยวาจาแข็งกร้าว
"กบฏรึ! ไทยเรามิได้เป็นข้าอ้ายพม่าหงสาวดี ไทยจักคิดต่อตีกับพม่าด้วยเพื่อพ้นจากการกดขี่ข่มเหง ท่านทั้งสองก็เป็นไทยแลเป็นถึงพระยาเจ้าเมือง เหตุใดจึงไร้ปัญญาไตร่ตรองในวาจา"
"บังอาจ!" พระยาสวรรคโลกตวาดทันใด บรรดาทหารเมืองสวรรคโลกลุกขึ้นทำท่าทีจะใช้อาวุธ "เจ้าเป็นเพียงขุนทหารต่ำต้อย มิใยมากล่าวกับข้าเยี่ยงนี้!"
ข้าหลวงมองไปรอบๆ เห็นว่าตนเองมาเพียงลำพังคงสู้มิได้ จึงค่อยๆพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ
"นั่นสิ ข้าเป็นเพียงขุนทหารต่ำต้อย มิควรแก่การกล่าววาจาให้ร้ายท่านเยี่ยงนี้" ข้าหลวงพันปราดไปทางพระยาพิชัย "หากแต่ท่านเองนั้นหมดสิ้นบรรดาศักดิ์ขุนท้าวพระยาแห่งกรุงศรีอยุธยาเสียแล้ว ด้วยว่าคิดอ่านคบหาอริราชศัตรู ประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อมาตุภูมิ"
"ข้าจักนำความคิดอ่านอันเป็นขบถนี้แจ้งแก่พระมหาอุปราชท่าน" ข้าหลวงประนมมือขึ้นไหว้ไปทางหน้าเมือง เชิงรำลึกถึงพระนเรศ "ออกญาพระยาท่านทั้งสองจงตกแต่งพระนครให้มั่นคงเพื่อเตรียมรับศึกอันร่วมด้วยเลือดสยามที่ต้องห้ำหั่นเข่นฆ่ากันเองเพราะความขลาดอันกลัวเกรงต่ออ้ายพม่าหงสาวดีนี้เถิด" สิ้นคำกล่าวข้าหลวงเดินออกจากจวนของพระยาสวรรคโลกและพระยาพิชัยทันที
พระยาสวรรคโลกตะโกนไล่หลังเป็นความด่าทอถึงองค์พระนเรศวรยังความโกรธแค้นให้แก่ข้าหลวงยิ่งนัก
ฝ่ายทหารสวรรคโลกนำศีรษะกรมการเมืองผู้ภักดีต่อพระนเรศวรออกมาโยนทิ้งให้เห็น
ครั้นเมื่อกลับออกมาสู่ที่ตั้งทัพ ข้าหลวงก็นำความแจ้งต่อพระนเรศวร พระองค์ทรงทราบก็ทรงพิโรธยิ่งนักรับสั่งให้กองทหารยกเข้าตีสววรคโลกทันที
...ชื่อว่าไทยใครรู้กูนักรบ
แม้ชีพจบดับดิ้นสิ้นวิสัย
ฤาจะสิ้นแดนถิ่นแผ่นดินไทย
ถ้าไทยไม่รู้สมัครสามัคคี
หมายเหตุ*
-ขุนหอคำไต คือ คำเรียกพระมหากษัตริย์ของไทยใหญ่
-เจ้าขุนไต คือ คำเรียกพระราชวงศ์
-ละโว้ คือ อยุธยา
-โยเดีย คือ อยุธยา (ลองออกเสียง \"โยเดีย\" ดู จะคล้ายคำว่า \"อยุธยา\" - \"โยเดีย\" เป็นสำเนียงการเรียกชื่ออยุธยาแบบพม่า)
เมื่อได้รับพระราชสาสน์ตอบจากพระนเรศวร นันทสูกับราชสังครำก็รู้แน่ชัดแล้วว่าพระนเรศวรคิดแข็งข้อ และคงกำลังจักยกทัพเข้ามาตีกำแพงเพชรเพื่อช่วยพวกไทยใหญ่ในอีกไม่นาน ทั้งสองเห็นว่าทัพพม่าของตนมิอาจต้านทานทัพพระนเรศวรได้ จึงรีบถอนกำลังกลับหงสาวดีทันที
ทางฝ่ายทัพหน้าของไทยได้ติดตามไปอย่างกระชั้นชิด พร้อมด้วยพวกไทยใหญ่ทั้งหลายที่ถูกพม่าเกณฑ์มาโดยมีเจ้าฟ้าเมืองจี่ เจ้าฟ้าเมืองลองแจใหม่ และเจ้าฟ้าไทยใหญ่อีกหลายพระองค์ ในที่สุดก็ยกไปทันกันที่ตำบลแม่ระกา แขวงเมืองตาก
ทั้งสองฝ่ายได้เข้าประยุทธ์กันอย่างรุนแรง ทั้งทัพช้าง ทัพม้า และพลเดินเท้า ฝ่ายไทยใหญ่โกรธแค้นชิงชังพม่ายิ่งนัก ต่างร่วมแรงกันต่อสู้อย่างถวายชีวิต พวกพม่ามิอาจต้านทานได้จึงถอยร่นไปจนถึงชายแดน ครั้นเมื่อทัพไทยและไทยใหญ่ขับไล่พม่าออกไปนอกเขตขัณฑสีมาสุพรรณภูมิประเทศแล้ว ทั้งหมดก็ยกทัพกลับคืนพระนคร
ทัพพระนเรศวรรั้งทัพอยู่ที่สุโขทัยทรงทราบว่าพระยาพิชัยแลพระยาสวรรคโลกคิดการเป็นกบฎก็ทรงกริ้วนัก รับสั่งให้ทัพหน้าและทัพไทยใหญ่ที่เข้ามาสวามิภักดิ์ทั้งหมดเดินทัพกลับขึ้นไปทางเมืองตาก ยกผ่านด่านลานหอยเข้าสมทบกับทัพของพระองค์ที่สุโขทัย เพื่อร่วมกันปราบพิชัยและสวรรคโลก
ครั้นเมื่อกำลังทั้งหมดมารวมกันแล้ว ก็ทรงโปรดเกล้าให้ตั้งพลับพลาพิธีศรีสัจปานกาล ณ วัดศรีชุม พร้อมกับรับสั่งให้ทหารตักน้ำจากตระพังโพยศรี ซึ่งเป็นสระน้ำโบราณมีมาตั้งแต่สมัยพระร่วงเจ้ามาทำเป็นน้ำพระพิพัฒน์สัตยาแช่ด้วยหอกดาบเครื่องราชศัตราวุธ
"ไทยยังไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ที่เกรงกลัวพม่าหงสาวดีก็มีอยู่มาก หากบรรดาแม่ทัพนายกองไพร่พลทุกผู้ยังเกรงกลัวพม่าอยู่เช่นนี้ เห็นทีราชการงานกู้เอกราชคงจักมิสมประสงค์ จงแม่ทัพนายกองทุกผู้กล่าวปฏิญาณต่อหน้าองค์พระประธานวัดศรีชุมนี้โดยพร้อมกัน..."
สิ้นพระดำรัส แม่ทัพนายกองทหารใหญ่น้อยทั้งปวงต่างตั้งใจฟังพระกระแสรับสั่งขององค์แม่ทัพ ทันใดพระสุรเสียงอันกึกก้องของพระนเรศวรก็เปล่งออกมา แม่ทัพนายกอง ทหารทั้งปวงกล่าวตาม
"เหล่าข้าพระพุทธเจ้าเกิดเป็นไทย อยู่เป็นไทย ตายเพื่อไทย ข้าพระพุทธเจ้าจักร่วมกันต่อสู้ข้าศึกอริราชศัตรูผู้รุกราน จักกู้แผ่นดินไทยด้วยคมหอกคมดาบเครื่องราชศัตราวุธทั้งหลายเหล่านี้ให้สถาพรด้วยอิสรภาพ
หากข้าพระพุทธเจ้าคิดคดทุรยศต่อไทยด้วยกันเองแล้วไซร้ จงคมหอกคมดาบเครื่องราชศัตราวุธนี้ย้อนกลับเข้าประหัตประหารเข่นฆ่าให้สมกับโทษานุโทษ มิว่าเป็นเจ้าฟ้า มิว่าเป็นเจ้านาย มิว่าเป็นนายทัพ มิว่าเป็นไพร่ฟ้า จงเทพพยุดาอย่าได้ละเว้น"
สิ้นพระราชดำรัส บรรดาแม่ทัพนายกองกล่าวปฏิญาณตามแล้วสิ้น พระนเรศวรทรงตักน้ำพระพิพัฒน์สัตยาขึ้นเสวย พระเอกาทศรถดำเนินเข้ามาตักต่อ พลันแม่ทัพนายกองทั้งหลายทั้งปวง และไพร่พลไล่เรียงตามลำดับชั้นต่างวนเข้ามาตักน้ำพระพิพัฒน์สัตยาสาบานตน
ทันใด เกิดฉัพรรณรังสีเปล่งออกมาจากพระพุทธรูปองค์ประธานในพระอุโบสถวัดศรีชุมนั้น พร้อมสุรเสียงกึกก้องไปทั่วบริเวณ
"จงร่วมกันกู้ชาติบ้านเมือง และทำนุบำรุงบวรพระพุทธศาสนา ให้ดำรงคงกาลอยู่นานครบห้าพันปี" สิ้นเสียงลึกลับดังกล่าว พระนเรศขนลุกชันด้วยอัศจรรย์ใจ พระองค์ก้มกราบวันทาพระประธานใหญ่ในอุโบสถยั้ย บรรดาไพร่พลต่างเกิดกำลังใจฮึกเหิม พลันคุกเข่าวันทาดุจเดียวกับพระองค์
"ความตั้งพระทัยมั่นของสมเด็จพี่ แม้นเทพยุดาฟ้าดินก็ยังรับรู้พระพุทธเจ้าข้า" พระเอกาทศรถประนมมือกราบทูล
พระนเรศวรทรงยิ้มรับคำกราบทูลของพระอนุชา พลันลุกขึ้นตรัสสั่งการ ให้ทหารเตรียมยกพลเข้าล้อมเมืองสวรรคโลกต่อไป
<><><><><><><><><><><>
::หงสาวดี::
พระอินทราธิปราชนัดดาตามสืบข่าวพระพี่นางสุพรรณกลัยาอยู่ที่หงสาวดีนั้น ได้ทราบเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าพระสุพรรณกัลยาทรงได้รับทุกขเวทนาเป็นอย่างมาก หลังจากที่พระนเรศวรยกทัพเข้ามาประชิดติดพระนคร แต่พระองค์ไม่สามารถเข้าถึงองค์เพื่อชักชวนให้หนีกลับกรุงศรีอยุธยาได้
นอกจากพระองค์จะสืบข่าวพระพี่นางแล้ว พระองค์ก็ได้ใช้เพลาว่างออกสำรวจภูมิประเทศของหงสาวดี จนได้พบกับเชลยไทยใหญ่ที่ถูกเกณฑ์มาในทัพพม่าแล้วหนีออกมาบวชเป็นพระภิกษุชื่อ พระภิกษุอูแสง
ด้วยพระภิกษุอูแสงในอดีตเคยเป็นเจ้าฟ้าหลวงเมืองหน่าย มีกำลังพลไทยใหญ่อยู่ในบังคับบัญชาราวหมื่นคน แต่บัดนี้ได้แตกทัพหนีเข้าป่าเป็นโจรบ้าง เข้าสวามิภักดิ์เจ้าฟ้าไทยใหญ่พระองค์อื่นบ้าง เข้าสวามิภักดิ์กับไทยบ้าง ถูกจับเป็นเชลยบ้าง
พระอินทราธิปราชนัดดาทรงทราบดีว่าพวกไทยใหญ่นั้นรบเข้มแข็งกว่ามอญพม่าหงสาวดี หากแต่ไม่มีการรวมกำลังรบกันอย่างเป็นปึกแผ่น ต่างแยกกันปกครองโดยมีเจ้าฟ้าครองเมืองต่างๆ
พระองค์ดำริจะได้ทหารไทยใหญ่ของพระภิกษุอูแสงไว้ในทัพด้วยว่าความเข้มแข็งและความกล้าหาญนั้นเป็นที่รู้กันดี แต่ทรงดำริว่าพระภิกษุอูแสงถือเพศบรรพชิตแล้วคงมิได้มีใจฝักใฝ่ในการศึก จึงมิเป็นการบังควรที่จักปราศรัยเรื่องนี้ด้วย
พระอินทราธิปราชนัดดาและพระภิกษุอูแสงต่างก็ทราบฐานะซึ่งกันและกัน พระภิกษุอูแสงยังอยู่ในวัยกลางคน ท่วงทีวาจาฉะฉาน เป็นที่ถูกพระทัยพระอินทราธิปยิ่งนัก พระอินทราธิปมักทรงหาเวลาเข้าพบพระภิกษุอูแสงอยู่บ่อยครั้ง
จนเมื่อเป็นที่แน่ใจแ้ล้วว่าไม่สามารถโดยเสด็จพระพี่นางกลับคืนพระนครได้แน่ จึงทรงเข้าพบพระภิกษุอูแสงด้วยว่าจักกราบลากลับพระนคร
"นมัสการพระคุณท่าน กระผมมากราบลากลับพระนครแล้วขอรับ จากบ้านจากเมืองมานานเหลือ สืบข่าวพระพี่นางได้แน่ชัดแล้ว จักนำความกลับไปกราบทูลพระเชษฐาพระองค์ดำ" พระอินทราธิปราชนัดดาประนมพระหัตถ์ขึ้นอย่างนอบน้อม
"ยังมีการใดที่ยังทรงบ่ได้สะสางอยู่บ่ใจ้หรือ เจ้าขุนไต" พระภิกษุอูแสงเปรยดั่งรู้ความในของพระอินทราธิป
พระอินทราธิปทำสีหน้าประหลาดใจ
"หามีไม่แล้วขอรับพระคุณเจ้า กระผมได้รับหน้าที่จากสมเด็จพี่พระองค์ดำมาเพียงเพื่อสืบข่าวหาหนทางช่วยเหลือพระพี่นางเท่านั้น"
"ฉะนั้นรึ..." พระภิกษุอูแสงพูดก่อนหันไปยกกาน้ำร้อนรินใส่จอกชาอย่างใจเย็น พระอินทราธิปทอดพระเนตรด้วยความฉงน พระภิกษุอูแสงยิ้มมุมปากแล้วเปรยอย่างช้าๆ
"ความในใจของพ่อเจ้าก็คือกับน้ำร้อนนี่เล่า ปล่อยให้เนิ่นให้น่านไปบ่ได้รินมันออกมา มันก็จักเย็นเสีย บ่มีคุณอันใด" พระอินทราธิปทรงตรินึกสักครู่หนึ่งพลันตรัสอย่างฉงน
"นี่พระคุณเจ้ากำลังหมายถึง..."
"กองทหารไตเฮาแตกทัพหมดแล้วก็จริง แต่คนไตมีเลือดนักสู้อยู่ในกาย เมื่อเถิงเวลาจักต้องสู้มื้อใด๋ บ่ช้าเมินเฮาจักรวมกันได้เป็นหนึ่ง"
ไม่ทันที่พระอินทราธิปจะกล่าวจบ พระภิกษุอูแสงก็พูดออกมาประหนึ่งว่าทราบความในใจของพระองค์เป็นอย่างดี เกี่ยวกับเรื่องทหารไทยใหญ่หรือไต
"ไตเฮาชิงชังอ้ายม่านยิ่งนัก ไตเฮาถือเอาขุนหอคำไตธรรมราชาเป็นกษัตริย์ ไตเฮากับไตละโว้ก็เป็นสายเลือดเดียวคือกันมา บัดนี้ละโว้โยเดียก็ประกาศบ่ขึ้นต่ออ้ายม่านแล้ว ไตเฮาก็ล้วนอยากช่วยโยเดียรบกันทุกผู้ทุกตัว" พระภิกษุอูแสงกล่าวต่อ
พระอินทราธิปราชนัดดาเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรพระภิกษุอูแสงประหนึ่งว่า ทุกคำที่พระภิกษุอูแสงพูดนั้น พระองค์ทรงอยากรับทราบรับฟังมานาน
"ที่เมืองหน่ายยังมีข้าหลวงเก่าอยู่ชื่อเศิกขวัญ มีเฮือนอยู่หลังตำหนักเก่า พ่อเจ้าจงไปแจ้งแก่เขาว่าพ่อเจ้าเป็นใคร ประสงค์สิ่งใด เขาจักเป็นผู้รวบรวมทหารไตเฮามาให้พ่อเจ้าเอง อาตมาประกันว่าทหารทุกผู้ที่จักเข้าร่วมกับพ่อเจ้านั้นล้วนเป็นทหารชั้นดี จักทำศึกอยู่ในทัพด้วยความเข้มแข็งและบ่มีวันที่จักคิดคดต่อพ่อเจ้า"
พระภิกษุอูแสงหยิบเอาตราประทับประจำเมืองออกมาจากย่ามเครื่องอัฐบริขารส่งให้พระอินทราธิปราชนัดดา พร้อมกำชับว่า
"แจ้งแก่เศิกขวัญว่าอาตมาภาพยังมีชีวิตอยู่ ขอกำลังไตเฮาเข้าร่วมกับเจ้าขุนไตตนดำ..."
พระอินทราธิปราชนัดดารับตราประทับมาจากอูแสง แล้วกราบลา พร้อมกับเร่งเดินทางขึ้นเหนือ มุ่งหน้าสู่เมืองหน่าย เขตดินแดนไทยใหญ่ทันที...
<><><><><><><><><><><><><>
::สวรรคโลก::
เมื่อพระนเรศวรยกกระบวนพยุหเสนาทัพทั้งหมดลงมาล้อมสวรรคโลกแล้ว ทรงเห็นว่าทั้งสวรรคโลกและพิชัยก็ล้วนเป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น การจักมารบราฆ่าฟันกันเองนั้นมิสมควร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งข้าหลวงเข้าเจรจาให้สวรรคโลกแลพิชัยเข้าสวามิภักดิ์กับพระองค์ตามเดิม...
"ข้านำสารจากพระมหาอุปราชนเรศวรแห่งกรุงพิษณุโลกสองแควมาแจ้งแก่ท่านทั้งสอง ด้วยความจำเป็นในการรวมไทยทุกหมู่เพื่อร่วมกันสู้ศึกหงสาวดี" ข้าหลวงยื่นพระราชสาสน์ให้เจ้าเมืองพิชัยและสวรรคโลก พลันพระยาทั้งสองหัวเราะขึ้นสนั่น เย้ยหยันคำกล่าวของข้าหลวง
"ชิชะ! รวมไทยเพื่อสู้หงสาวดีรึ"
ข้าหลวงหันหน้าไปมองพระยาพิชัยอย่างไม่สบอารมณ์นัก
"พระนเรศทรงคิดว่าตนเองเป็นใคร ทรงยิ่งใหญ่มาจากสวรรค์ชั้นใดกัน จึงหาญกล้าต่อรบกับหงสาวดี" พระยาพิชัยพูดขึ้น ทันใดพระยาสวรรคโลกก็กล่าวเสริม
"เพียงชำนะศึกเมืองคังมาครั้งหนึ่งก็กำแหงหนัก คิดอ่านประกาศอิสรภาพ ถือประหนึ่งว่าตนเองเป็นพ่ออยู่หัวเสียเอง ช่างเหิมเกริมสิ้นดี"
ข้าหลวงหันไปทางพระยาสวรรคโลก ก่อนจะกล่าว
"เหตุใดออกญาพระยาท่านทั้งสองจึงคิดอ่านเยี่ยงนี้ พระนเรศวรทรงมีพระราชหฤทัยแน่วแน่ที่จักกอบกู้บ้านเมือง แต่ท่านทั้งสองกลับ..."
พระยาสวรรคโลกโบกมือปัดคำ แล้วพูดสวนอย่างถือดี
"พระราชหฤทัยแน่วแน่แล้วเยี่ยงไรกันเล่า! ปากยังมิสิ้นกลิ่นน้ำนม ก็อาจหาญคิดการกบฏต่อหงสาวดีเสียแล้ว"
ข้าหลวงกระทืบเท้า ร้องบอกด้วยวาจาแข็งกร้าว
"กบฏรึ! ไทยเรามิได้เป็นข้าอ้ายพม่าหงสาวดี ไทยจักคิดต่อตีกับพม่าด้วยเพื่อพ้นจากการกดขี่ข่มเหง ท่านทั้งสองก็เป็นไทยแลเป็นถึงพระยาเจ้าเมือง เหตุใดจึงไร้ปัญญาไตร่ตรองในวาจา"
"บังอาจ!" พระยาสวรรคโลกตวาดทันใด บรรดาทหารเมืองสวรรคโลกลุกขึ้นทำท่าทีจะใช้อาวุธ "เจ้าเป็นเพียงขุนทหารต่ำต้อย มิใยมากล่าวกับข้าเยี่ยงนี้!"
ข้าหลวงมองไปรอบๆ เห็นว่าตนเองมาเพียงลำพังคงสู้มิได้ จึงค่อยๆพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ
"นั่นสิ ข้าเป็นเพียงขุนทหารต่ำต้อย มิควรแก่การกล่าววาจาให้ร้ายท่านเยี่ยงนี้" ข้าหลวงพันปราดไปทางพระยาพิชัย "หากแต่ท่านเองนั้นหมดสิ้นบรรดาศักดิ์ขุนท้าวพระยาแห่งกรุงศรีอยุธยาเสียแล้ว ด้วยว่าคิดอ่านคบหาอริราชศัตรู ประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อมาตุภูมิ"
"ข้าจักนำความคิดอ่านอันเป็นขบถนี้แจ้งแก่พระมหาอุปราชท่าน" ข้าหลวงประนมมือขึ้นไหว้ไปทางหน้าเมือง เชิงรำลึกถึงพระนเรศ "ออกญาพระยาท่านทั้งสองจงตกแต่งพระนครให้มั่นคงเพื่อเตรียมรับศึกอันร่วมด้วยเลือดสยามที่ต้องห้ำหั่นเข่นฆ่ากันเองเพราะความขลาดอันกลัวเกรงต่ออ้ายพม่าหงสาวดีนี้เถิด" สิ้นคำกล่าวข้าหลวงเดินออกจากจวนของพระยาสวรรคโลกและพระยาพิชัยทันที
พระยาสวรรคโลกตะโกนไล่หลังเป็นความด่าทอถึงองค์พระนเรศวรยังความโกรธแค้นให้แก่ข้าหลวงยิ่งนัก
ฝ่ายทหารสวรรคโลกนำศีรษะกรมการเมืองผู้ภักดีต่อพระนเรศวรออกมาโยนทิ้งให้เห็น
ครั้นเมื่อกลับออกมาสู่ที่ตั้งทัพ ข้าหลวงก็นำความแจ้งต่อพระนเรศวร พระองค์ทรงทราบก็ทรงพิโรธยิ่งนักรับสั่งให้กองทหารยกเข้าตีสววรคโลกทันที
<><><><><><><><><><><>
...ชื่อว่าไทยใครรู้กูนักรบ
แม้ชีพจบดับดิ้นสิ้นวิสัย
ฤาจะสิ้นแดนถิ่นแผ่นดินไทย
ถ้าไทยไม่รู้สมัครสามัคคี
หมายเหตุ*
-ขุนหอคำไต คือ คำเรียกพระมหากษัตริย์ของไทยใหญ่
-เจ้าขุนไต คือ คำเรียกพระราชวงศ์
-ละโว้ คือ อยุธยา
-โยเดีย คือ อยุธยา (ลองออกเสียง \"โยเดีย\" ดู จะคล้ายคำว่า \"อยุธยา\" - \"โยเดีย\" เป็นสำเนียงการเรียกชื่ออยุธยาแบบพม่า)
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น