ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ::ฮาหัวเกรียน...นักเรียนตำรวจ::

    ลำดับตอนที่ #7 : แค่วันแรก...ก็แบกแล้ว

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.53K
      3
      25 ก.พ. 52

    :::แค่วันแรก...ก็แบกแล้ว:::

    ตอน ม.ปลายผมเคยเรียน รด.มาครับ ตอนนั้นก็คิดว่า รด.เป็นอะไรที่โหดร้ายที่สุดแล้วในชีวิต ยิ่งช่วงตอนที่ไป เขาชนไก่ นะ เข้าป่าไปเจอจ่าสวรรค์ ซึ่งแกมีฉายาโด่งดังและงดงามสมชื่อแกว่า "จ่านรก" ก็ยิ่งคิดว่าช่วงนั้นชีวิตแสนบัดซบ

    หมอบ ลุก กลิ้ง วิ่ง คลาน อยู่บนพื้นดินร้อนๆ แตกระแหงของเมืองกาญจนบุรี ดินแดนที่ได้ชื่อว่า ร้อนตับแลบ 

    เคยสงสัยกันมั้ยครับว่าทำไมต้องร้อนตับแลบ...คนโบราณนี่ลึกซึ้งเกินกว่าเราจะเข้าใจ

    วันนี้ผมตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางเดินชีวิตเข้าสู่การเป็นนักเรียนผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ผมก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียนตำรวจนครบาลด้วยจิตใจอันฮึกเหิม

    ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยพลังแห่งความเป็นลูกผู้ชายชาตินักรบ ...พอกันทีกับชีวิตติงต๊องไร้สาระหาแก่นสารไม่ได้ พอกันทีชีวิตนักศึกษา เด็กอมมือผู้ทำอะไรไม่เป็น นอกจากแบมือขอตังค์ และเข้าไปนั่งเลชเชอร์ในห้องเรียน

    ปรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด...

    เสียงนกหวีดย๊าวยาว เป็นคำสั่งเรียกรวมพล

    ผมรีบแบกสัมภาระวิ่งไปเข้าแถว หัวใจเต้นรัวตุบตับ กล้ามเนื้อสั่นระริก ช่วงเวลาตื่นเต้นใกล้เข้ามาทุกนาที

    ผมเคยได้ยินจากพี่ๆที่เค้าเคยเรียนพลตำรวจมาก่อน เค้าบอกว่ารับน้องวันแรกหนักมาก อัดกันตรงนั้นเลย พ่อแม่ผู้ปกครองมาส่งยังไม่ทันกลับก็ซัดเลย พ่อแม่บางคนน้ำตาร่วงแหมะๆสงสารลูก บอกคนขอลาออกตั้งแต่ชั่วโมงแรกของการรับน้อง ...โห...ฟังดูก็โหดพิลึก

    ยิ่งเป็นช่วงพฤษภาในสภาวะโลกร้อน... โลกของนักเรียนตำรวจอย่างผมก็ดูร้อนรนยิ่งขึ้นไปอีก

    เอาล่ะครับ...หลังสิ้นเสียงสัญญาณนกหวีด นักเรียนทุกคนก็เข้าแถวรวมกันหน้ากองร้อยใครกองร้อยมัน

    ที่นี่มีทั้งหมด 3 กองร้อยครับ ผมอยู่กองร้อยที่ 2 ในกองร้อยผมมีประมาณ 175 คน

    ผมเริ่มสังเกตครูฝึกแต่ละคน...

    ไอ้อ้วนนั่นดูท่าทางเป็นตำรวจใหม่

    ไอ้หน้าตาเข้มๆนั่นมันเดาทางยากเว้ย

    ไอ้ดำห่านั่นแม่งแอ๊คจริงๆ

    ตาลุงคนนั้นดูใจดี แต่ท่าทางมีเล่ห์เหลี่ยม

    ตาหนวดนั่นหน้าตาโหด แต่ดูไม่มีพิษมีภัย

    หันมามองดูรอบๆตัว เพื่อนๆบางคนยังไม่ได้ตัดผมเข้ามาเลย ผมยาวเป็นนักร้องเพลงร๊อค เอ่า...ดูไอ้นั่นสิ เค้าบอกให้ใส่เสื้อยืดสีขาวไม่มีลาย กางเกงขายาวสีกากี ... ไอ้บ้านั่นเสือกใส่สีกากีทหารอากาศมา ...อ้าวไอ้นั่นยิ่งแล้วใหญ่ กากีครูมาเลย... เสื้อยืดไอ้เวรนั่นมีลายพรรคไทยรักไทยอีก...เอาเข้าไป

    มาแล้วครับ ตาลุงยศจ่าดูท่าทางจะเป็นหัวหน้าครูฝึกเดินมาหน้าแถว

    เอาล่ะวะ จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ หัวที่ตัดเกรียนชนิดที่ว่าเอานิ่วหยิบไม่ติดตอนนี้เริ่มแสบเพราะโดนแดดเลีย เหงื่อเริ่มซึมผ่านเสื้อยืดสีขาว ไหลจากกลางหลังลงไปบั้นเอวอย่างรู้สึกได้ วินาทีนั้นช่างตื่นเต้น...

    ครูฝึกที่ยืนหน้าแถวเป่านกหวีดปิ๊ดสั้นๆ แล้วค่อยเอ่ยปาก

    "สำหรับเช้านี้ ให้นักเรียนเอาสัมภาระขึ้นไปเก็บบนกองร้อย จัดฟูก จัดของให้เรียบร้อย"

    อ้าว...

    แค่นี้เหรอ...?

    นี่ความสาหัสที่กูตื่นเต้นมาตลอด ... แค่ให้กูขึ้นไปจัดของเนี่ยนะ...

    <><><><><><><><><><><><><><><><><><><>

    ด้วยความที่โรงเรียนแห่งนี้ไม่ได้เปิดรับนักเรียนมา 2 ปีเต็มๆ จึงทำให้อาคารกองร้อย ที่หลับที่นอนยังไม่ค่อยเรียบร้อย ฝุ่นเอย หยากไย่((มันเขียนอย่างนี้รึเปล่าครับ))เอย เต็มไปหมด วันแรกของการฝึกจึงต้องมานั่งทำความสะอาดกัน

    มิน่าล่ะ ผมนึกสงสัยตั้งนาน ทำไมวันรายงานตัวเข้าฝึกวันแรกถึงให้เอามีดพร้า ไม้กวาด ไม้ถู กรรไกรตัดหญ้า น้ำยาทำความสะอาดมาด้วยคนละรายการ ที่แท้...เอามาให้พวกกูทำความสะอาดนี่เอง

    หญ้าที่โรงเรียนนี้ไม่มีคนตัดมา 2 ปี มองผ่านๆรกกว่าป่าอเมซอน ไม่รู้ว่าถางไปถางมาจะเจออนาคอนด้า ปลาในบ่อบัวจะมีปิรันย่าปนอยู่ด้วยมั้ย...น่าคิด

    เช้าวันนี้ไม่เหมือนกับที่เตรียมใจไว้เลยครับ เพราะแทนที่จะโดนรับน้องอย่างที่นึกไว้ กลับต้องมานั่งปัดกวาดเช็ดถู พี่ๆที่จบไปแล้วไปอยู่หน่วยต่างๆในนครบาลเริ่มทยอยมาถึงที่กองร้อย บางคนมาจากหน่วยอรินทราช บางคนมาจากคอมมานโดกองปราบ เดินไปเดินมาแนะนำน้องว่าอย่างนู้นอย่างนี้ ทั้งปลอบ ทั้งขู่ วุ่นวายกันไปหมด

    นักเรียนก็ขัดพื้นกระดานไป พี่ก็เดินเหยีบไปโม้ไป ... แล้วเมื่อไหร่มันจะสะอาด

    พอใกล้เที่ยงก็รวมแถวเนแถวไปกินข้าว ตอนนี้ถ้าสังเกตดีๆ ผู้ปกครองกลับไปหมดแล้วครับ ท่าทีของครูฝึกก็เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มมีการสั่งทำโทษเพื่อนบางคนที่แหลมๆ

    ก่อนกินข้าวก็จะมีการสวดคาถาระลึกบุญคุณข้าวทุกมื้อ ตั้งแต่มื้อแรกที่กิน จนมื้อสุดท้ายก่อนติดยศ ... 1 ปี เต็มๆ

    บทมันว่าอย่างนี้ครับ

    "...ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง อย่ากินทิ้งขว้าง เป็นของมีค่า
    ผู้คนอดอยาก มีมากหนักหนา สงสารบรรดา คนยากคนจน..."

    แล้วก็ต่อด้วยอุดมคติตำรวจ

    "...เคารพเอื้อเฟื้อต่อหน้าที่ กรุณาปรานีต่อปราชน
    อดทนต่อความเจ็บใจ ไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบาก
    ไม่มักมากในลาภผล มุ่งบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
    ดำรงตนในยุติธรรม กระทำการด้วยปัญญา
    รักษาความไม่ประมาทเสมอชีวิต..."

    ทันใดครูฝึกก็จะสั่ง "ฉาก!"

    วันนั้นผมจำได้ดีว่าครูฝึกรูปร่างสูงดำเดินมาอยู่ข้างหลังผมโดยที่ผมไม่รู้ตัวแล้วตะโกนคำสั่งนี้ ...อูย... สะดุ้งโหยงหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม มาเห่าอ๊ากๆอะไรข้างหลังกู...ไอ้บ้า

    การฉากก็คือการยกแขนขึ้นมาประสานกันข้างหน้าเหมือนกอดอก แต่ว่ายื่นแขนออกไปสูงเสมอกับไหล่ ฝ่ามือแบนแนบติดไปกับแขนอีกข้างในลักษณะซ้อนกัน...

    ฟังดูยาก...เอางี้ครับ ท่าอุลตร้าแมนปล่อยลำแสง แขนท่านทั้งสองจะอยู่ในลักษณะตัว L นั่นแหล่ะครับ แขนซ้ายนอนขนานกับพื้น แขนขวาตั้งฉาก 90 องศากับแขนซ้าย ไอ้แขนที่ตั้งอยู่ พับลงมามันจะเป็นรูป = อีตอนพับลงมานี่แหล่ะมันจะเกิดเสียงดัง "พั่บ!" นี่แหล่ะคือการฉาก

    บางวันตบฉากกันจนแสบ แขนแดงไปหมด กว่าจะได้ฉันภัตราหารแต่ละมื้อ...  

    พอกินข้าวเที่ยงเสร็จปุ๊บ...บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนไป

    ครูฝึกสั่งให้นักเรียนวิ่งมารวมแถวหน้าโรงอาหาร ซึ่งโรงเรียนทหาร-ตำรวจจะเรียกว่า "โรงเลี้ยง"

    ทันใดนั้นเสียงโหวกเหวกโวยวาย เสียงปืน เสียงประทัด ดังกึกก้อง พวกผมถูกสั่งให้หมอบ แถก ไถ กระดื๊บคืบคลาน สารพัดจะทำได้ กลิ้งไปทางนู้นทีทางนี้ที อากาศก็ร้อนจัด พื้นยางมะตอยก็ร้อนจี๋ 

    ถูกสั่งให้ดันพื้น คือท่าเอามือเท้าพื้น ลำตัวเป็นเส้นตรง ปลายเท้าจิกสัมผัสพื้น มือก็เริ่มพอง บางคนทนไม่ไหว ร้องเจี๊ยกๆอยู่หลังแถว 

    ผมต้องโก่งนิ้วขึ้นดันแทนในบางจังหวะเพราะร้อนฝ่ามือเหลือทน แต่ก็โก่งได้ไม่นาน จะบ้าเหรอกระดูกนิ้วขนาดเท่ากระดูกปีกไก่มันจะรับน้ำหนักตัวได้ยังไง เอาส้นมือลงบ้าง ตะแคงมือบ้าง เหงื่อหยดลงพื้นดังฉ่าๆ หยดพื้นไม่ถึงวินาทีก็ระเหยกลายเป็นไอด้วยความร้อนของพื้นซึ่งดูดกลืนความร้อนไว้ทั้งวัน แต่ผิวหนังพวกผมเพิ่งจะเริ่มดูดกลืนเพราะพื้นนั้นกำลังค่อยๆคายความร้อนออกมา...โอย ทรมาน

    เท่านั้นยังไม่สนุกสนานพอ คำสั่งสั้นๆง่ายๆได้ใจความ "หมอบ!" ก็ตามมา แม่เจ้าประคุณเอ๊ย...ท้องแขนอันเรียบเนียนมีอันต้องไหม้เกรียม ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนยิ่งกว่าท่าเมื่อครู่

    อีคราวนี้ทั้งฝ่ามือ ท้องแขน หน้าอก พุง หน้าขา หัวเข่า มันสัมผัสพื้นทั้งหมด...ร้อนทั้งตัวหัวจรดเท้า

    ยัง...ยังไม่พอ กำลังหมอบอยู่ก็สั่งให้คลานต่ำเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอีก การคลานต่ำนี่จะมีจุดสัมผัสพื้นอยู่ 3 จุดหลักก็คือ แขน ข้อศอก และหัวเข่า พื้นก็ร้อน คลานไปข้อศอกก็แตกไป แหมมันทรมานสิ้นดี

    เพื่อนเป็นลมล้มพบ แบกหามกันอุตลุดวุ่นวาย

    บางคนเดินออกไปจากแถวดื้อๆ พูดอยู่คำเดียว "กูไม่เอาแล้ว กูไม่เอาแล้ว"

    บางคนก็ชักไปเลย ไม่รู้ชักจริง หรือชักเชิง

    บรรยากาศแบบนี้ดำเนินไปรอบๆพื้นที่อาณาบริเวณของโรงเรียนตำรวจนครบาล ศาลายา

    ช่วงนั้นผมหูตาลายคิดอะไรไม่ออก บอกอะไรไม่ถูก รู้แต่ว่าร้อน เจ็บ แสบ เหนื่อย ทรมาน...ไม่เคยเจอแบบนี้ตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่

    ตอนเรียน รด.ว่าหนักแล้ว มาเจอรับน้องวันนี้วันเดียว รด.ชิดซ้าย...ไม่สิต้องบอกว่า รด.ขึ้นไปเดินบนฟุตบาทเลย อย่าเข้ามาใช้ทาง...

    กรรมวิธีการรับน้องใหม่เริ่มต้นตั้งแต่บ่ายโมงตรงและสิ้นสุดลงเมื่อเวลา 18 นาฬิกา เคารพธงชาติ...

    พี่ๆอรินทราช คอมมานโดกองปราบ แย่งหน้าที่ครูฝึกหมดสิ้น เนื่องจากอัดอั้นมานานเพราะไม่มีน้องมาถึง 2 ปี เต็มๆ วันนั้นครูฝึกจึงกลายเป็นพี่เลี้ยงจำเป็นแทน...

    เสร็จจากรับน้องวันแรก เสื้อสีขาวก็กลายเป็นสีดำ บางคนมีแซมสีแดงเลือดมนุษย์ ((เข้มข้นปนดำ)) กางเกงกากีครูก็กลายเป็นกากีตำรวจ หัวหูหน้าตามีแต่โคลนกับขี้ดิน...

    หวนนึกถึงเมื่อเช้าตอนที่เราตัดภาพความทรงจำสมัยเป็นนักศึกษามหาลัยออกไปแล้วเดินหน้าเข้าสู่รั้วโรงเรียนตำรวจนครบาลด้วยความตั้งใจและฮึกเหิม

    ภาพเราปั่นจักรยานมีสาวๆสวยๆนั่งซ้อนท้าย ขับไปเอื่อยๆเรื่อยๆในศิลปากร

    ภาพความเฮฮาช่วงใกล้สอบที่จะมานอนรวมๆกัน ติวหนังสือกัน

    ภาพเพื่อนๆสาวอักษรที่อยู่ในกลุ่มรุมล้อมคอยโอ๋เราเพราะเป็นผู้ชายคนเดียวในกลุ่ม

    ภาพเหล่านั้นที่เราตัดสินใจเด็ดขาดเมื่อเช้านี้ ว่าจะไม่หวนนึกถึงมันอีก


    แต่ตอนนี้...เมื่อเราผ่านการรับน้องของโรงเรียนตำรวจนครบาล เริ่มต้นชีวิตใหม่ของการเป็นข้าราชการตำรวจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

    กูกลับไปเรียนมหาลัยดีมั้ย...ฮือๆๆ



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×