คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : แค่วันแรก...ก็แบกแล้ว
:::แค่วันแรก...ก็แบกแล้ว:::
ตอน ม.ปลายผมเคยเรียน รด.มาครับ ตอนนั้นก็คิดว่า รด.เป็นอะไรที่โหดร้ายที่สุดแล้วในชีวิต ยิ่งช่วงตอนที่ไป เขาชนไก่ นะ เข้าป่าไปเจอจ่าสวรรค์ ซึ่งแกมีฉายาโด่งดังและงดงามสมชื่อแกว่า "จ่านรก" ก็ยิ่งคิดว่าช่วงนั้นชีวิตแสนบัดซบ
หมอบ ลุก กลิ้ง วิ่ง คลาน อยู่บนพื้นดินร้อนๆ แตกระแหงของเมืองกาญจนบุรี ดินแดนที่ได้ชื่อว่า ร้อนตับแลบ
เคยสงสัยกันมั้ยครับว่าทำไมต้องร้อนตับแลบ...คนโบราณนี่ลึกซึ้งเกินกว่าเราจะเข้าใจ
วันนี้ผมตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางเดินชีวิตเข้าสู่การเป็นนักเรียนผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ผมก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียนตำรวจนครบาลด้วยจิตใจอันฮึกเหิม
ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยพลังแห่งความเป็นลูกผู้ชายชาตินักรบ ...พอกันทีกับชีวิตติงต๊องไร้สาระหาแก่นสารไม่ได้ พอกันทีชีวิตนักศึกษา เด็กอมมือผู้ทำอะไรไม่เป็น นอกจากแบมือขอตังค์ และเข้าไปนั่งเลชเชอร์ในห้องเรียน
ปรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด...
เสียงนกหวีดย๊าวยาว เป็นคำสั่งเรียกรวมพล
ผมรีบแบกสัมภาระวิ่งไปเข้าแถว หัวใจเต้นรัวตุบตับ กล้ามเนื้อสั่นระริก ช่วงเวลาตื่นเต้นใกล้เข้ามาทุกนาที
ผมเคยได้ยินจากพี่ๆที่เค้าเคยเรียนพลตำรวจมาก่อน เค้าบอกว่ารับน้องวันแรกหนักมาก อัดกันตรงนั้นเลย พ่อแม่ผู้ปกครองมาส่งยังไม่ทันกลับก็ซัดเลย พ่อแม่บางคนน้ำตาร่วงแหมะๆสงสารลูก บอกคนขอลาออกตั้งแต่ชั่วโมงแรกของการรับน้อง ...โห...ฟังดูก็โหดพิลึก
ยิ่งเป็นช่วงพฤษภาในสภาวะโลกร้อน... โลกของนักเรียนตำรวจอย่างผมก็ดูร้อนรนยิ่งขึ้นไปอีก
เอาล่ะครับ...หลังสิ้นเสียงสัญญาณนกหวีด นักเรียนทุกคนก็เข้าแถวรวมกันหน้ากองร้อยใครกองร้อยมัน
ที่นี่มีทั้งหมด 3 กองร้อยครับ ผมอยู่กองร้อยที่ 2 ในกองร้อยผมมีประมาณ 175 คน
ผมเริ่มสังเกตครูฝึกแต่ละคน...
ไอ้อ้วนนั่นดูท่าทางเป็นตำรวจใหม่
ไอ้หน้าตาเข้มๆนั่นมันเดาทางยากเว้ย
ไอ้ดำห่านั่นแม่งแอ๊คจริงๆ
ตาลุงคนนั้นดูใจดี แต่ท่าทางมีเล่ห์เหลี่ยม
ตาหนวดนั่นหน้าตาโหด แต่ดูไม่มีพิษมีภัย
หันมามองดูรอบๆตัว เพื่อนๆบางคนยังไม่ได้ตัดผมเข้ามาเลย ผมยาวเป็นนักร้องเพลงร๊อค เอ่า...ดูไอ้นั่นสิ เค้าบอกให้ใส่เสื้อยืดสีขาวไม่มีลาย กางเกงขายาวสีกากี ... ไอ้บ้านั่นเสือกใส่สีกากีทหารอากาศมา ...อ้าวไอ้นั่นยิ่งแล้วใหญ่ กากีครูมาเลย... เสื้อยืดไอ้เวรนั่นมีลายพรรคไทยรักไทยอีก...เอาเข้าไป
มาแล้วครับ ตาลุงยศจ่าดูท่าทางจะเป็นหัวหน้าครูฝึกเดินมาหน้าแถว
เอาล่ะวะ จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ หัวที่ตัดเกรียนชนิดที่ว่าเอานิ่วหยิบไม่ติดตอนนี้เริ่มแสบเพราะโดนแดดเลีย เหงื่อเริ่มซึมผ่านเสื้อยืดสีขาว ไหลจากกลางหลังลงไปบั้นเอวอย่างรู้สึกได้ วินาทีนั้นช่างตื่นเต้น...
ครูฝึกที่ยืนหน้าแถวเป่านกหวีดปิ๊ดสั้นๆ แล้วค่อยเอ่ยปาก
"สำหรับเช้านี้ ให้นักเรียนเอาสัมภาระขึ้นไปเก็บบนกองร้อย จัดฟูก จัดของให้เรียบร้อย"
อ้าว...
แค่นี้เหรอ...?
นี่ความสาหัสที่กูตื่นเต้นมาตลอด ... แค่ให้กูขึ้นไปจัดของเนี่ยนะ...
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
ด้วยความที่โรงเรียนแห่งนี้ไม่ได้เปิดรับนักเรียนมา 2 ปีเต็มๆ จึงทำให้อาคารกองร้อย ที่หลับที่นอนยังไม่ค่อยเรียบร้อย ฝุ่นเอย หยากไย่((มันเขียนอย่างนี้รึเปล่าครับ))เอย เต็มไปหมด วันแรกของการฝึกจึงต้องมานั่งทำความสะอาดกัน
มิน่าล่ะ ผมนึกสงสัยตั้งนาน ทำไมวันรายงานตัวเข้าฝึกวันแรกถึงให้เอามีดพร้า ไม้กวาด ไม้ถู กรรไกรตัดหญ้า น้ำยาทำความสะอาดมาด้วยคนละรายการ ที่แท้...เอามาให้พวกกูทำความสะอาดนี่เอง
หญ้าที่โรงเรียนนี้ไม่มีคนตัดมา 2 ปี มองผ่านๆรกกว่าป่าอเมซอน ไม่รู้ว่าถางไปถางมาจะเจออนาคอนด้า ปลาในบ่อบัวจะมีปิรันย่าปนอยู่ด้วยมั้ย...น่าคิด
เช้าวันนี้ไม่เหมือนกับที่เตรียมใจไว้เลยครับ เพราะแทนที่จะโดนรับน้องอย่างที่นึกไว้ กลับต้องมานั่งปัดกวาดเช็ดถู พี่ๆที่จบไปแล้วไปอยู่หน่วยต่างๆในนครบาลเริ่มทยอยมาถึงที่กองร้อย บางคนมาจากหน่วยอรินทราช บางคนมาจากคอมมานโดกองปราบ เดินไปเดินมาแนะนำน้องว่าอย่างนู้นอย่างนี้ ทั้งปลอบ ทั้งขู่ วุ่นวายกันไปหมด
นักเรียนก็ขัดพื้นกระดานไป พี่ก็เดินเหยีบไปโม้ไป ... แล้วเมื่อไหร่มันจะสะอาด
พอใกล้เที่ยงก็รวมแถวเนแถวไปกินข้าว ตอนนี้ถ้าสังเกตดีๆ ผู้ปกครองกลับไปหมดแล้วครับ ท่าทีของครูฝึกก็เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มมีการสั่งทำโทษเพื่อนบางคนที่แหลมๆ
ก่อนกินข้าวก็จะมีการสวดคาถาระลึกบุญคุณข้าวทุกมื้อ ตั้งแต่มื้อแรกที่กิน จนมื้อสุดท้ายก่อนติดยศ ... 1 ปี เต็มๆ
บทมันว่าอย่างนี้ครับ
"...ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง อย่ากินทิ้งขว้าง เป็นของมีค่า
ผู้คนอดอยาก มีมากหนักหนา สงสารบรรดา คนยากคนจน..."
แล้วก็ต่อด้วยอุดมคติตำรวจ
"...เคารพเอื้อเฟื้อต่อหน้าที่ กรุณาปรานีต่อปราชน
อดทนต่อความเจ็บใจ ไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบาก
ไม่มักมากในลาภผล มุ่งบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
ดำรงตนในยุติธรรม กระทำการด้วยปัญญา
รักษาความไม่ประมาทเสมอชีวิต..."
ทันใดครูฝึกก็จะสั่ง "ฉาก!"
วันนั้นผมจำได้ดีว่าครูฝึกรูปร่างสูงดำเดินมาอยู่ข้างหลังผมโดยที่ผมไม่รู้ตัวแล้วตะโกนคำสั่งนี้ ...อูย... สะดุ้งโหยงหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม มาเห่าอ๊ากๆอะไรข้างหลังกู...ไอ้บ้า
การฉากก็คือการยกแขนขึ้นมาประสานกันข้างหน้าเหมือนกอดอก แต่ว่ายื่นแขนออกไปสูงเสมอกับไหล่ ฝ่ามือแบนแนบติดไปกับแขนอีกข้างในลักษณะซ้อนกัน...
ฟังดูยาก...เอางี้ครับ ท่าอุลตร้าแมนปล่อยลำแสง แขนท่านทั้งสองจะอยู่ในลักษณะตัว L นั่นแหล่ะครับ แขนซ้ายนอนขนานกับพื้น แขนขวาตั้งฉาก 90 องศากับแขนซ้าย ไอ้แขนที่ตั้งอยู่ พับลงมามันจะเป็นรูป = อีตอนพับลงมานี่แหล่ะมันจะเกิดเสียงดัง "พั่บ!" นี่แหล่ะคือการฉาก
บางวันตบฉากกันจนแสบ แขนแดงไปหมด กว่าจะได้ฉันภัตราหารแต่ละมื้อ...
พอกินข้าวเที่ยงเสร็จปุ๊บ...บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนไป
ครูฝึกสั่งให้นักเรียนวิ่งมารวมแถวหน้าโรงอาหาร ซึ่งโรงเรียนทหาร-ตำรวจจะเรียกว่า "โรงเลี้ยง"
ทันใดนั้นเสียงโหวกเหวกโวยวาย เสียงปืน เสียงประทัด ดังกึกก้อง พวกผมถูกสั่งให้หมอบ แถก ไถ กระดื๊บคืบคลาน สารพัดจะทำได้ กลิ้งไปทางนู้นทีทางนี้ที อากาศก็ร้อนจัด พื้นยางมะตอยก็ร้อนจี๋
ถูกสั่งให้ดันพื้น คือท่าเอามือเท้าพื้น ลำตัวเป็นเส้นตรง ปลายเท้าจิกสัมผัสพื้น มือก็เริ่มพอง บางคนทนไม่ไหว ร้องเจี๊ยกๆอยู่หลังแถว
ผมต้องโก่งนิ้วขึ้นดันแทนในบางจังหวะเพราะร้อนฝ่ามือเหลือทน แต่ก็โก่งได้ไม่นาน จะบ้าเหรอกระดูกนิ้วขนาดเท่ากระดูกปีกไก่มันจะรับน้ำหนักตัวได้ยังไง เอาส้นมือลงบ้าง ตะแคงมือบ้าง เหงื่อหยดลงพื้นดังฉ่าๆ หยดพื้นไม่ถึงวินาทีก็ระเหยกลายเป็นไอด้วยความร้อนของพื้นซึ่งดูดกลืนความร้อนไว้ทั้งวัน แต่ผิวหนังพวกผมเพิ่งจะเริ่มดูดกลืนเพราะพื้นนั้นกำลังค่อยๆคายความร้อนออกมา...โอย ทรมาน
เท่านั้นยังไม่สนุกสนานพอ คำสั่งสั้นๆง่ายๆได้ใจความ "หมอบ!" ก็ตามมา แม่เจ้าประคุณเอ๊ย...ท้องแขนอันเรียบเนียนมีอันต้องไหม้เกรียม ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนยิ่งกว่าท่าเมื่อครู่
อีคราวนี้ทั้งฝ่ามือ ท้องแขน หน้าอก พุง หน้าขา หัวเข่า มันสัมผัสพื้นทั้งหมด...ร้อนทั้งตัวหัวจรดเท้า
ยัง...ยังไม่พอ กำลังหมอบอยู่ก็สั่งให้คลานต่ำเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอีก การคลานต่ำนี่จะมีจุดสัมผัสพื้นอยู่ 3 จุดหลักก็คือ แขน ข้อศอก และหัวเข่า พื้นก็ร้อน คลานไปข้อศอกก็แตกไป แหมมันทรมานสิ้นดี
เพื่อนเป็นลมล้มพบ แบกหามกันอุตลุดวุ่นวาย
บางคนเดินออกไปจากแถวดื้อๆ พูดอยู่คำเดียว "กูไม่เอาแล้ว กูไม่เอาแล้ว"
บางคนก็ชักไปเลย ไม่รู้ชักจริง หรือชักเชิง
บรรยากาศแบบนี้ดำเนินไปรอบๆพื้นที่อาณาบริเวณของโรงเรียนตำรวจนครบาล ศาลายา
ช่วงนั้นผมหูตาลายคิดอะไรไม่ออก บอกอะไรไม่ถูก รู้แต่ว่าร้อน เจ็บ แสบ เหนื่อย ทรมาน...ไม่เคยเจอแบบนี้ตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่
ตอนเรียน รด.ว่าหนักแล้ว มาเจอรับน้องวันนี้วันเดียว รด.ชิดซ้าย...ไม่สิต้องบอกว่า รด.ขึ้นไปเดินบนฟุตบาทเลย อย่าเข้ามาใช้ทาง...
กรรมวิธีการรับน้องใหม่เริ่มต้นตั้งแต่บ่ายโมงตรงและสิ้นสุดลงเมื่อเวลา 18 นาฬิกา เคารพธงชาติ...
พี่ๆอรินทราช คอมมานโดกองปราบ แย่งหน้าที่ครูฝึกหมดสิ้น เนื่องจากอัดอั้นมานานเพราะไม่มีน้องมาถึง 2 ปี เต็มๆ วันนั้นครูฝึกจึงกลายเป็นพี่เลี้ยงจำเป็นแทน...
เสร็จจากรับน้องวันแรก เสื้อสีขาวก็กลายเป็นสีดำ บางคนมีแซมสีแดงเลือดมนุษย์ ((เข้มข้นปนดำ)) กางเกงกากีครูก็กลายเป็นกากีตำรวจ หัวหูหน้าตามีแต่โคลนกับขี้ดิน...
หวนนึกถึงเมื่อเช้าตอนที่เราตัดภาพความทรงจำสมัยเป็นนักศึกษามหาลัยออกไปแล้วเดินหน้าเข้าสู่รั้วโรงเรียนตำรวจนครบาลด้วยความตั้งใจและฮึกเหิม
ภาพเราปั่นจักรยานมีสาวๆสวยๆนั่งซ้อนท้าย ขับไปเอื่อยๆเรื่อยๆในศิลปากร
ภาพความเฮฮาช่วงใกล้สอบที่จะมานอนรวมๆกัน ติวหนังสือกัน
ภาพเพื่อนๆสาวอักษรที่อยู่ในกลุ่มรุมล้อมคอยโอ๋เราเพราะเป็นผู้ชายคนเดียวในกลุ่ม
ภาพเหล่านั้นที่เราตัดสินใจเด็ดขาดเมื่อเช้านี้ ว่าจะไม่หวนนึกถึงมันอีก
แต่ตอนนี้...เมื่อเราผ่านการรับน้องของโรงเรียนตำรวจนครบาล เริ่มต้นชีวิตใหม่ของการเป็นข้าราชการตำรวจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
กูกลับไปเรียนมหาลัยดีมั้ย...ฮือๆๆ
ความคิดเห็น