ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ::ฮาหัวเกรียน...นักเรียนตำรวจ::

    ลำดับตอนที่ #4 : ชีวิตเป็นไป...อยู่ที่ใจกำหนด

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.33K
      1
      24 ก.พ. 52

    ::ชีวิตเป็นไป...อยู่ที่ใจกำหนด::

     
    หลังจากที่ผมเริ่มตั้งสติได้ ชีวิตนักเรียน ม.ปลายปีสุดท้ายของผมก็คลุกคลีอยู่แต่กับเพื่อนๆ ไม่สนใจเรื่องเรียนเท่าไหร่นักเพราะผมถือว่ายังไงผมก็เรียนสายวิทย์เพื่อสอบเตรียมทหาร ไม่ใช่เพื่อ Entrance

    ผมกลายเป็นเด็กกิจกรรมตัวยง เป็นหัวหน้ากรรมการนักเรียนฝ่ายปกครองของโรงเรียน เป็นที่ปรึกษาคณะกิจกรรมนักเรียน เป็นกรรมการนักเรียนโรงเรียนในเครือสหวิทยาเขต และอะไรต่อมิอะไรอีกสารพัด เวลาเรียนก็ไม่ค่อยเรียน หลบๆอู้ๆไปทำกิจกรรมซะเกือบทั้งปี เรื่องการศึกษานี่กลายเป็นเรื่องไกลตัวไปเลย วิชาเลือกก็ไม่รับ วิชาบังคับก็ไม่เรียน ครูเช็คชื่อไม่เคยเจอ


    จนกระทั่ง
    Entrance เดือนตุลา ผมก็สมัครไปงั้นๆ สอบมันไปงั้นๆ...ไม่ได้คิดอะไรมาก ต่างกับเพื่อนหลายคนที่เริ่มเอาจริงเอาจังกับการเรียน (มันเพิ่งจะมาเริ่มตอน ม.6 นี่แหล่ะ)

    วันหนึ่ง...ผมกลับบ้านหลังจากเลิกเรียนตามปกติ พ่อนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน ไม่รู้ว่าวันนั้นเป็นวันอะไรอยู่ดีๆพ่อก็ถามผมเรื่องอนาคต

    "เบนซ์...เราจะสอบเข้าที่ไหนเนี่ยลูก" ผมฟังพ่อพูดพลางเปลี่ยนเสื้อนักเรียน

    "ไม่รู้ดิพ่อ นายสิบมั้ง" พ่อเงียบไป ในขณะที่ผมกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า เปิดตู้เย็นหาอะไรกินเล่นตามปกติ

    "ยังอยากเป็นทหารอยู่อีกเหรอ" สิ้นเสียงพ่อ ผมเดินไปนั่งใกล้ๆ

    "ไม่รู้ดิพ่อ มันยังอยากอยู่ลึกๆ"

    "พ่อว่า...เราเรียนให้จบปริญญาตรีแล้วค่อยมาเป็นทหารไม่ดีกว่าเหรอ" ผมนิ่งไป เพราะความใฝ่ฝันของผมคืออยากเป็นนักเรียนนายร้อย อยากเป็นลูกหม้อ เป็นทหารมีสถาบัน มีรุ่น ไม่ใช่ทหารสายนอก

     "ทำไมอ่ะพ่อ นายสิบมันก็มีโควตาไปเตรียมทหารนะ"

    "เอ็งต้องเรียนเก่ง...ต้องแข่งกับคนอื่น มันไม่ใช่ง่ายๆนะ คนที่ผิดหวังจากเตรียมทหารแล้วมาทางนี้ปีนึงมันก็ไม่น้อยนะ" พ่อขัดขึ้นมาทันที ซึ่งตรงนี้มันก็เป็นสิ่งที่ผมคิดเผื่อเอาไว้อยู่แล้ว ผมเลยไม่ค่อยต่อต้านเท่าไหร่นัก

    "แล้วถ้าตำรวจอ่ะพ่อ มันสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยได้ถึงอายุยี่สิบห้า"

    "เลิกคิดเลย!" พ่อตัดบท "เป็นตำรวจให้คนเค้าเกลียดรึไง"

    พ่อผมเป็นทหารเก่าครับ...ผมเข้าใจพ่อดี เพราะพ่อก็เป็นนักเรียนนายสิบทหารบกมาก่อน รุ่นของพ่อผมเป็นรุ่นพิเศษส่งเวียดนามใต้ ซึ่งเป็นเหล่าทหารราบล้วนๆ ชีวิตหลังจากเรียนจบมันก็คือต้องรบตลอด พ่อถูกส่งไปแทบทุกสมรภูมิที่อันตราย เวียดนาม หินร่องกล้า เขาค้อ หล่มสัก ตาพระยา รบมาตั้งแต่คอมมิวนิสต์สายจีนยันสายรัสเซีย พ่อยังคงติดภาพความลำบากตรงนี้ ด้วยความเป็นพ่อคงไม่อยากให้ผมไปลำบากเหมือนเค้า การเป็นนักเรียนนายสิบคงไม่เหมาะสมกับผม เมื่อมองจากสายตาของพ่อ

    ส่วนเรื่องตำรวจนั้นเลิกคิดไปได้เลยอย่างที่พ่อพูด เพราะพ่อเป็นทหาร เป็นธรรมดาที่มักจะเกลียดตำรวจ พ่อชอบเล่าเรื่องที่ทะเลาะกับตำรวจให้ฟัง มีแต่เรื่องมันส์ๆทั้งนั้น ปฏิวัติทีไรทหารใหญ่คับเมือง ยกกำลังผ่านป้อมไหนเป็นต้องยึดปืนตำรวจ

    พ่อผมเมาไม่ได้...ชอบไล่ตีตำรวจขึ้นโรงพัก ตีแล้วก็ยึดปืนเค้ามา วันรุ่งขึ้นเค้าต้องเอาสารวัตร-ผู้กำกับตามมาที่กองพัน มาเอาปืนคืน พอผู้พันรู้ว่าตำรวจมาทีไร ไม่ต้องสืบสาวราวเรื่อง เป็นต้องเรียกพ่อผมให้เอาปืนมาคืนเค้าทุกครั้ง ด่ากี่ครั้ง บอกจะขังกี่ครั้งก็ไม่เคยเลิก แต่ไม่รู้ทำไมนะครับ ผู้พันท่านกลับรักพ่อผมมากที่สุด ขออะไรก็ให้ทุกอย่าง เวลาจะไปไหนก็เรียกพ่อไปด้วยเสมอ มีงานอะไรทั้งทางลับทางแจ้งก็เรียกใช้พ่อผม และมักจะให้พ่อผมเป็นหัวหน้าชุดเสมอ เป็นอย่างนี้เรื่อยมาจนท่านได้รับตำแหน่งใหม่และย้ายไปอยู่ที่อื่น

    จนกระทั่งพ่อผมย้ายไปเป็นผู้บังคับกองร้อยทหารพราน (ยศ "จ่า" นะครับ แต่อัตรา "ร้อยเอก") อยู่ที่กองทัพภาคที่ 1 ซึ่งก่อนหน้านั้นทำหน้าที่อื่นอยู่ ตำแหน่งผู้บังคับกองร้อยทหารพรานว่าง ทางกรมทหารพรานกำลังพิจารณาจัดสรรผู้เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งนี้ รายชื่อนายทหารชั้นประทวนอาวุโสถูกส่งขึ้นไปพิจารณาในระดับกองทัพภาค

    ไม่รู้อีท่าไหน มีคำสั่งแต่งตั้งให้พ่อผมรับตำแหน่งนี้และต้องรายงานตัวกับแม่ทัพภาคที่ 1 ในวันรุ่งขึ้น ตอนนั้นพ่อผมติดราชการอยู่ที่สระแก้ว (ขณะนั้นเป็นจังหวัดปราจีนบุรี) พอได้รับคำสั่งปุ๊บก็รีบขึ้นรถไฟกลับมากรุงเทพทันที

    วันรุ่งขึ้นพ่อเข้ารายงานตัวต่อแม่ทัพภาคที่ 1

    "กระผมจ่าสิบเอก...(ขอสงวนชื่อ-นามสกุล)ขออนุญาตเข้าพบแม่ทัพภาคที่ 1 เพื่อรายงานตัวเข้ารับตำแหน่งครับ!" พ่อตบเท้ารายงาน แล้วเดินเข้าห้องแม่ทัพ

    "อ้าว!" ทันทีที่เห็นหน้าท่านแม่ทัพ พ่อถึงกับตะลึง

    "ผู้พัน!" พ่อผมตะโกนโพล่งขึ้นมาเสียงหลง นายทหารคนสนิทของแม่ทัพตกใจ จ้องมองพ่อผมด้วยความงง และหันหน้าไปมองท่านแม่ทัพ

    "ไ--อ้-ห่--า!! กูเป็นแม่ทัพแล้ว" แม่ทัพภาคที่ 1 พูดพร้อมกับอวดไหล่ให้ดูดาวยศบนบ่าซึ่งตอนนี้ท่านเป็นถึงพลโท ตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 ท่านหยอกเล่นกับพ่อผม ท่ามกลางความงงของนายทหารคนสนิท

    "แหม! ไม่ได้เจอกันนาน นี่เป็นแม่ทัพแล้วเหรอครับ โอ้โห..." หลังจากนั้นพ่อผมกับท่านแม่ทัพก็คุยเล่นกันสนุกสนานตามประสานักรบเก่าอีกนานสองนาน ทีนี้พ่อก็รู้ทันทีครับว่าทำไมพ่อถึงได้รับเลือกให้รับตำแหน่งผู้บังคับกองร้อย

    ข่าวเรื่องพ่อกับท่านแม่ทัพแพร่สะพัดไปทั่วกรมทหารพราน ไม่รู้ว่าบังเอิญซ้ำสองหรืออย่างไร ผู้การกรมทหารพรานก็ดั๊นเป็นเพื่อนร่วมรบมากับพ่อผมอีก อยู่สบายเลย...พ่อกู

    ความสนิทสนมกันแบบนี้ล่ะมั้งครับ ที่ทำให้พ่อผมกล้ายึดปืนตำรวจ ยึดแล้วยึดอีก ไม่เข็ดซะที

    ผมมักจะได้ยินเรื่องราวอย่างนี้อยู่บ่อยๆจากปากของพ่อ นั่งรถไปกับพ่อแล้วมองเห็นตำรวจทีไรเป็นต้องได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์จากพ่อ "ดูซิ...แดกมากจนอ้วนขนาดนี้" "รองเท้าก็ไม่เงา....ถ้าเป็นลูกน้องกูสั่งขังไปแล้ว" บางทีก็พาล ขับรถบนทางด่วนแล้วเหลือบไปเห็นตำรวจทางด่วนขี่มอเตอร์ไซด์ตรวจอยู่ พ่อผมก็ด่าขึ้นมาดื้อๆว่า "ดูซิไอ้นั่น...ใหญ่โตมาจากไหนเอามอร์ไซด์ขึ้นมาขับบนทางด่วน"...ซะงั้น?!?

    แต่มีตำรวจอยู่หน่วยนึงที่พ่อผมไม่เคยตำหนิไม่เคยด่า เคยแต่พูดถึงในเรื่องดีๆให้ฟัง ทุกครั้งที่พ่อเล่าเรื่องตอนไปรบ มักจะได้ยินชื่อของตำรวจหน่วยนี้ แน่นอนครับ "ตำรวจตระเวนชายแดน"

    ตำรวจตระเวนชายแดน(ตชด.) ก็เป็นพระเอกในใจผมไม่แพ้ทหารเหมือนกัน ด้วยเรื่องราวความกล้าหาญและความสามารถเฉพาะตัวที่เก่งกาจของ ตชด. ที่พ่อผมมักจะเล่าให้ฟัง ในสนามรบ ตชด.กับทหารจะตั้งฐานสลับกันยาวตลอดแนวชายแดน ฐานทหารถูกตี ตชด.ก็จะยกมาช่วย ฐาน ตชด.ถูกตีทหารก็จะยกมาช่วย สองหน่วยนี้จะรบร่วมกันมาตลอดเป็นเสมือนสหายศึกสหายสงคราม

    ความคิดของผมในตอนนั้น ถ้าผมได้เป็นตำรวจก็อยากจะเป็นตำรวจตระเวนชายแดน

    แต่ทันทีที่ผมพูดคำว่า "ตำรวจ" ให้พ่อได้ยิน พ่อก็จะต่อต้านไว้ก่อน เพราะภาพของตำรวจที่มันลอยมาในจินตนาการของพ่อ มันไม่ใช่ ตชด. แต่เป็นตำรวจทั่วไปที่พ่อไม่ค่อยชอบนัก

    หลังจากการสนทนากับพ่อวันนั้น ความคิดที่จะเป็นนักเรียนนายสิบทหารบกของผมก็เริ่มริบหรี่ลงไป สาเหตุก็คงเพราะผมกลัวว่าจะพลาด ไม่ได้โควตา 20 คนอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ แต่มันกลับจุดประกายความฝันอีกเส้นทางหนึ่งของผมให้มันเด่นชัดขึ้นมาแทน...

    ตอนนั้นผมจำได้ว่ามีละครตอนเย็นเรื่องหนึ่งชื่อ "สิบตำรวจโทบุญถึง" ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงได้ดูละครเรื่องนี้ทุกวัน ผมชอบเพลงประกอบละครเรื่องนี้มาก ผมเริ่มรู้สึกว่าตำรวจนี่มันก็เป็นงานที่ไม่ต่างจากทหารเท่าไหร่นัก มันเป็นคนในเครื่องแบบเหมือนกัน มันก็ไม่เลวนะ ถ้าผมอยากจะเปลี่ยนเส้นทางชีวิตอยากเป็นตำรวจดูซักครั้ง...

    เอาเป็นว่า ความคิดที่จะเป็นนักเรียนนายสิบทหารบกนั้น เริ่มเหลือน้อยลงแล้ว กอปรกับหลังจากจบ ม.6 ผมตามเพื่อนๆไปสมัครและสอบ Ent' ตามปกติเด็ก ม.ปลายทั่วไปเขาทำกัน และบังเอิญวันสมัครและวันสอบ Ent' มันก็ไปตรงกับวันสมัครและวันสอบนักเรียนนายสิบทหารบก

    ...ฟ้าคงลิขิตมาแล้ว ว่าชาตินี้เอ็งจะไม่ได้เป็นทหาร...

    <><><><><><><><><><><><><><><><><>

    ผมสอบ
    Ent' โดยที่เลือกสอบแต่วิชาสายศิลป์ ทั้งๆที่ผมเรียนสายวิทย์ ความทราบถึงอาจารย์ที่ปรึกษาท่านก็เรียกผมไปถาม คงเพราะท่านเสียดายที่ผมเรียนดี สอบได้ที่ 1 ตลอด แต่ทำไมไม่สอบสายวิทย์เป็นหมอ เป็นวิศวะไป ผมบอกท่านว่าผม Ent' ไปงั้นๆแหล่ะครับ ติดอะไรก็เอา ผมรอเดือนตุลาปีหน้าจะสอบพลตำรวจ ท่านก็งงเล็กน้อยว่า ไอ้นี่มันคิดอะไรของมันอยู่...

    พอผลสอบออกมา...คะแนนสอบผมดีพอสมควร ผมก็ไม่รู้จะเลือกอะไรดี ลงมันไปมั่วๆเลย อันดับ 1 ผมเลือก
    "รัฐศาสตร์การปกครอง จุฬาฯ" เอาแ--ม่--งเว่อร์ๆไว้ก่อนเผื่อจะฟลุ๊ก

    อันดับ 2 เลือกที่มันพอเป็นไปได้ คะแนนผมเทียบกับปีก่อนหน้า มันบวกเพิ่มมา 30 คะแนน ผมก็เลยเลือก "ครุศาสตร์ปฐมวัย จุฬาฯ" จะสังเกตเห็นได้ว่าอันนี้เป็นอันที่ผมคาดหวังว่าน่าจะได้ แต่ก็เลือกปฐมวัย ซึ่งแปลว่า "อนุบาล" ครับ...ผมเลือกจะเรียนเพื่อที่จะเป็น "ครูอนุบาล" ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่านักเรียนในบังคับบัญชาของผมจะบู๊ขนาดไหนถ้ามีครูอย่างผม...ทำไงได้ล่ะครับ เลือกแบบไม่คิดจะเรียนจบนี่นา

    อันดับ 3 ผมยังไม่เลือก ผมคิดว่าอันดับนี้ค่อนข้างสำคัญ ต้องพิจารณาจัดสรรให้มันแน่นอน 100% ที่สุด ถ้าอันดับ 1-2 พลาด ยังไงอันดับ 3 ต้องชัวร์ ต้องเป็นคณะที่คิดว่าเหมาะสมกับตัวเองที่สุด ไม่ใช่เลือกเอาความสะใจ ซึ่งผมก็ยังไม่รู้เลยอยู่ดีว่าคณะไหนเหมาะกับผมที่สุด

    อันดับ 4 นี่ต้องเลือกให้มันชัวร์ซัก 10000% แบบคะแนนเราต้องได้สูงกว่าคะแนนเก่าประมาณ 100-200 คะแนน ซึ่งอันนี้ผมเลือก "สังคมวิทยา ธรรมศาสตร์" เพราะคะแนนผมสูงกว่าคะแนนปีเก่าเกือบ 200 คะแนน เลือกยังไงก็ได้ชัวร์ ส่วนเรื่องเนื้อหาวิชานี่ผมไม่รู้เลยซักนิดว่ามันเรียนเกี่ยวกับอะไร...สังคมวิทยา...ความรู้เกี่ยวกับคนในสังคมเหรอครับ...รู้ไปทำไมอ่ะ?

    ย้อนมาที่อันดับ 3 ผมเสียเวลากับอันดับที่ 3 มากที่สุด ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้คาดหวังกับการเรียนในระดับปริญญาตรีเลย แต่ผมก็อยาก Ent' ติดมหาวิทยาลัยดีๆ เพื่อหน้าตาของครอบครัว พี่น้องของผมพลาดกันมาเยอะแล้ว ตอนนี้เป็นยุคของผม ผมต้องทำให้เค้าชื่นใจกันบ้าง

    ตอนเลือกอันดับนั้น เพื่อนผมสมัยเรียนอัสสัมชัญคนนึง มันเรียนอยู่เตรียมอุดม วันนั้นมันไปเลือกพร้อมผมพอดี ก็เลยปรึกษากัน แผนการเลือกของมันคล้ายๆผม คืออันดับ 1 เอาเว่อร์ อันดับ 2 เอาพอเป็นไปได้ อับดับ 3 ต้องชัวร์ อันดับ 4 ต้องชัวร์ป๊าบๆ

    มันเลือก หมอจุฬาฯอันดับ 1  อันดับ 2 เลือกหมอศิริราช อันดับ 4 มันเลือกวิทยาศาสตร์การแพทย์มหิดล อันดับ 3 มันยังนั่งงงอยู่กับผมว่าจะเลือกอะไรดี เราสองคนคิดกันไป ก็คุยกันไป จนได้ข้อสรุป...


    มันเลือก
    "บัญชี จุฬาฯ" โดยให้เหตุผลว่า "หญิงเยอะดี" ผมก็ค่อนข้างจะไม่ใช้สมองพอสมควร มันเอาหญิงเยอะ ผมก็เอาหญิงเยอะบ้าง เลือกเลยครับ "อักษรฯ ศิลปากร" หญิงเยอะแน่ ปีนี้เค้ารับ 700 คน วู้ว~~

    ครับ...วันประกาศผลสอบทาง Internet ผมเปิดหน้าจอคอมด้วยความมั่นใจ โฮะๆ ยังไงกูก็ได้ครุ จุฬาฯ แน่ๆ

    "ขอแสดงความยินดีค่ะ คุณผ่านการสอบคัดเลือกเข้าคณะ..."
    ผมค่อยๆเลื่อนเคอร์เซอร์ลงมาอย่างใจจดใจจ่อ มันแสดงความยินดีแล้ว กูได้แล้ว กอบกู้วงศ์ตระกูลได้แล้ว...เย้

    ..."คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร"...

    เย้ย
    !!! ผมแทบตกเก้าอี้ อะไรวะ! นี่กูเลือกขำๆ ทำไมมันติดจริงๆวะ ตายห่าละ ต้องไปเรียนนครปฐมด้วย

    ผมรีบเปิดไปดูหน้าเช็คคะแนน แ--ม่--ง!! ขาดไปแค่ 2 คะแนนเอง ผมก็จะได้เรียนครุศาสตร์ จุฬาฯแล้ว เจ็บใจชิบ...

    ไม่เป็นไรยังไงก็เรียนแค่ปีเดียว อักษร ก็ อักษร วะ...

    ว่าแต่...อักษรนี่มันเรียนเกี่ยวกับอะไรล่ะครับ?!?!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×