คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : สู้เพื่อฝัน...วันติดดาว
:::สู้เพื่อฝัน...วันติดดาว:::
ตอนที่ผมเริ่มเรียน ม.4 ที่โรงเรียนใหม่ ผมต้องใช้เวลาอย่างมากในการปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่นี่ เพราะหลายสิ่งหลายอย่างในรั้วปทุมคงคานั้น ผมไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน ทั้งวัฒนธรรมแปลกๆของโรงเรียนลูกผู้ชาย ทั้งการเดินเรียนที่ไม่ค่อยคุ้นเคย อีกทั้งสังคมที่แตกต่างและหลากหลาย
ตอนเที่ยงผมมักจะขึ้นไปบนห้องสมุดหาอะไรอ่านฆ่าเวลาให้ผ่านไปวันนึง ตกตอนเย็นนั่งรถเมล์กลับบ้าน ต้องคอยระวังโรงเรียนคู่อริ ยอมรับว่าช่วงแรกของการเป็นนักเรียนที่นี่ สุขภาพจิตผมแย่มาก
แต่พออยู่ไปสักพักผมเริ่มมีเพื่อน และเริ่มปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้ เริ่มมีความสุขและภาคภูมิใจในความเป็นปทุมคงคา
ตกเย็นก็ไม่ค่อยกลับบ้าน นั่งรถไปสนามกีฬาหัวหมากกับเพื่อนๆ ไปเล่นกีฬากัน ทั้งเตะบอล ชกมวย กว่าจะกลับถึงบ้านก็ประมาณ 3-4 ทุ่ม บางวันก็ไปเดินเล่นที่สยามสแควร์ จีบสาวมั่ง หาเรื่องใส่ตัวมั่ง บางวันก็มีเรื่องมีราว วิ่งไล่กระทืบโรงเรียนคู่อริ บางครั้งก็เป็นฝ่ายวิ่งหนีเค้าหางจุกตูด
ผมไม่ใช่นักเลงหรอกนะครับ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ผมตามเค้าไปเฉยๆ เคยฉายเดี่ยวครั้งเดียว แต่ตอนนั้นไปกับผู้หญิงที่ผมกำลังจีบอยู่แค่ 2 คน แถวๆอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินนี่แหล่ะครับ ผมไปรับเพื่อนผมหลังเลิกเรียน พอเดินออกมาหน้าโรงเรียนเพื่อนผมผ่านไปทางหน้าแมคโดนัลเพื่อที่จะไปขึ้นรถเมล์
จู่ๆก็มีเด็กผู้ชายโรงเรียนวัดแห่งหนึ่งแถวๆนั้น ชื่ออะไรที่แปลว่าห้าๆนี่แหล่ะ(เดาเอาเองละกันนะครับ)ประมาณ 20 กว่าคน เดินล้อมกรอบอยู่ห่างๆ แล้ว 3 คนในกลุ่มนั้นก็เข้ามาเอามีดพับจี้ผม ถามผมว่ามาจีบสาวข้ามถิ่นเลยเหรอ (มันไม่สุภาพแบบนี้นะครับ...จินตนาการเอาเอง)
ผมก็ทำอะไรไม่ถูกเลยครับ 20 ต่อ 1 แถมมีเพื่อนผู้หญิงอีกคนอีก ผมดูรูปการแล้วไม่น่าจะร้ายแรงก็เลยพูดกับมันว่า "เฮ่ย...เราไม่เคยรู้จักกันนะตะเอง"((น่ารักมั้ย)) มันก็ทำท่าไม่พอใจ จังหวะเดียวกับที่เพื่อนผมเรียกรถแท็กซี่ได้ เธอก็ดึงผมให้เข้าไปในรถ ผมจำได้ว่าก่อนปิดประตูรถ ผมโดนถีบข้างหลังประมาณ 4-5 ครั้ง
เท่ห์จริงๆครับ...นักเลงสุนัขสามัคคี
แค้นมากครับ...เอาไปเล่าให้เพื่อนคนนึงฟัง พอวันรุ่นขึ้นมันก็ไปเอาเสื้อนักเรียนโรงเรียนนี้มาให้ผมดู พร้อมกับบอกผมด้วยวาจาอันองอาจ "ไอ้เบนซ์...กูล้างแค้นให้มึงแล้ว"
เหอะ เหอะ เหอะ นี่แหล่ะครับ...วัฒนธรรมโรงเรียนผู้ชาย เล่นกันไปเล่นกันมาแบบนี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น มาคิดได้อีกทีก็ตอนโตนี่หล่ะครับ แ--ม่-ง...ไร้สาระชิบหาย ถนนราชดำเนินเป็นของพ่--อ---มึ--ง-ไง๊?? ไปเอาเสื้อเค้ามา มึ--งไม่มีปัญญาซื้อเสื้อใส่ไง๊?? ...ใช่มั้ยครับ และยิ่งเรื่องที่สยามอีก...มาคิดได้ตอนโต...กูไปวิ่งเล่นที่นั่นทำไมวะ?!?!?
<><><><><><><><><><><><><><>
ตลอดช่วงชีวิต ม.4 ของผม ไม่มีวันหยุดเลย ผมต้องเรียนทุกวัน ตั้งแต่จันทร์ถึงอาทิตย์ วันจันทร์ถึงศุกร์ก็เรียนตามปกติที่โรงเรียนเหมือนคนอื่นทั่วๆไป แต่วันเสาร์-อาทิตย์ผมจะต้องใช้เวลาช่วงนี้เรียนพิเศษติวเข้าเตรียมทหาร เรียกว่าติวเข้มตลอดทั้งวัน ตั้งแต่ 9 โมงเช้า ไปจนถึง 5 โมงเย็น
1 เดือนก่อนสอบผมเข้าคอร์สติวเข้ม กิน-นอนที่โรงเรียนติว เรียนตั้งแต่ 9 โมงยัน 3 ทุ่ม และมีติวต่อกับรุ่นพี่นักเรียนเตรียมทหารอีกจนถึงเที่ยงคืน กว่าจะได้นอนก็ตี 1 เกือบตี 2
แต่จนแล้วจนรอด แม้ผมจะเรียนเยอะมาก แต่ผมก็รู้ตัวดีว่า ปีนี้ผมคงสอบเตรียมทหารไม่ติด เพราะผมไม่ฟิตพอเมื่อเทียบกับคนอื่น และแน่นอนผลก็ออกมาตามคาดคือ ผมสอบไม่ติดเลยทั้ง 4 เหล่า
ม.5 ผมตั้งใจอีกครั้ง คราวนี้เพิ่มเรียนพิเศษช่วงเย็นวันธรรมดาไปด้วย เลิกเรียนที่โรงเรียนปุ๊บก็จะรีบขึ้นรถไฟฟ้าไปลงสยามสแควร์ เรียนทั้งแอพพลายด์ เดอะเบรน และอะไรอีกมากมาย วันเสาร์-อาทิตย์ก็เรียนติวเข้าเตรียมทหารที่สถาบันเดิมอีก
ด้วยความที่เป็นนักเรียน 2 ปี เพื่อนๆเลยตั้งให้เป็นหัวหน้านักเรียน ช่วงติวตอนปี 2 นี่ผมมีความสุขมาก เพราะมีเพื่อนมากกว่าปีแรก เด็กนักเรียนประมาณ 40-50 คนส่วนมากแล้วจะเป็นเด็ก ม.4 มีไม่กี่คนที่ ม.5 เท่ากับผม แต่พวกเราทั้งหมดก็สนิทกันและพูดถูกคอกันมาก คงเพราะความที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน พูดคุยกันรู้เรื่อง
ปีที่สองนี้เราช่วยกันทุกคน ใครเก่งตรงไหน อ่อนตรงไหน เราจะช่วยกันเสริมตลอด เราอยู่ด้วยกันมาแบบนี้ 1 ปีเต็ม จนกระทั่งก้าวเข้าสู่ช่วงเก็บตัวในเดือนสุดท้ายก่อนสอบ ผมและเพื่อนๆจะต้องตื่นไปเรียนตอน 9 โมง ยาวไปจนถึง 3 ทุ่ม และมีติวต่อถึงเที่ยงคืนเหมือนกับปีที่แล้ว แต่คราวนี้พวกเราจะไม่รีบนอน แต่จะนั่งติวกันเองต่อจนถึงประมาณตี 3 แล้วค่อยแยกย้ายกันนอน ทำอย่างนี้ทุกวันจนถึงวันสอบ
ความตั้งใจและการเตรียมตัวที่ดี ทำให้ผมเข้าห้องสอบอย่างมั่นใจกว่าปีที่แล้วมาก ไม่มีหรอกครับไอ้ที่เข้าไปนั่งรอเวลาสอบแล้วจะงัดพระคาถาออกมานั่งท่องนั่งเสกเป่ากันเหมือนปีที่แล้ว ปีนี้เข้าห้องสอบด้วยความโล่งสบาย และออกจากห้องสอบด้วยความมั่นใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่เป็นวิชาถนัดของผม จำได้ว่าวันที่สอบเหล่าตำรวจ วิชาภาษาไทยมี 100 ข้อ ผมมั่นใจถูกชัวร์ๆ 98 ข้อ (แต่พอประกาศผลแล้วถูกแค่ 95 ข้อ(เอง))
หลังจากสอบเสร็จ ผมรอฟังผลสอบช่วงก่อนสงกรานต์อย่างใจจดใจจ่อ และแล้วผลสอบก็ออกมา...
...ผมสอบไม่ติดเลยทั้ง 4 เหล่า...
ไม่รู้นะครับว่าตอนนั้นมันมีความรู้สึกอะไรบ้าง ภาพความตั้งใจที่เราเพียรพยายามมาตลอด 2 ปีเต็ม น้ำเสียงดีใจของแม่ที่ยังก้องอยู่ในหูของผมตอนที่ผมโทรไปบอกผลสอบ Pre-Test ซึ่งผมได้อันดับที่ 10 จากนักเรียน 200 กว่าคน ภาพของเพื่อนๆที่แนะนำและอธิบายให้กันในหัวข้อที่ไม่เข้าใจ และภาพของเด็กหนุ่มในเครื่องแบบนักเรียนเตรียมทหารที่ลอยห่างออกไปเรื่อยๆ
มันเป็นความเจ็บปวดที่ยากจะลบเลือนออกไปจากจิตใจของผู้ที่มุ่งมั่นและยึดติดอยู่กับการเป็นนักเรียนเตรียมทหารอย่างผม
หลังจากเหตุการณ์นั้น ผมเก็บตัวไม่พูดกับใครอยู่ 3 วัน ก่อนจะเริ่มทำใจได้ คิดไตร่ตรองและหาจุดมุ่งหมายใหม่ให้ชีวิต
นี่กูต้องเข้ามหาลัยเหรอเนี่ย...
แล้วกูจะเรียนอะไรดี?...
กูไม่เคยคิดเป็นอย่างอื่นเลยนอกจากทหาร...
สับสนจริงๆครับช่วงเวลานั้น เป็นสงกรานต์ที่แสนเศร้า โดนน้ำสาดโครมๆก็ยังไม่หายเศร้า...โอ้ชีวิตเราแสนบัดซบ
หลังจากที่หูตาค่อยๆสว่างขึ้น ผมทราบมาว่าเหล่าทหารบกนั้นนอกจากจะสอบเข้าเตรียมทหารโดยใช้วุฒิ ม.4 แล้ว การจะเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพบกได้ ยังรับตรงจากนักเรียนนายสิบทหารบกผู้มีคะแนนสูงสุด 20 อันดับแรกอีก
และเหล่าตำรวจก็มีอีกเส้นทางหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการจะเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ ก็คือนอกจากจะสอบตรงเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของเหล่าตำรวจแล้ว ก็ยังเปิดรับสมัครจากข้าราชการตำรวจอายุไม่เกิน 25 ปีอีก อันนี้แสดงว่าต้องสอบเข้าเป็นนักเรียนพลตำรวจให้ซะก่อน
ผมมันฝังใจกับทหารครับ แต่ก็เสี่ยงพอสมควรถ้าหากสอบเข้าเป็นนักเรียนนายสิบแล้วไม่ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 20 คน ถ้าพลาดแล้วมันจะพลาดเลยไม่มีโอกาสได้เป็นนักเรียนนายร้อยห้อยกระบี่อีกแล้วในชาตินี้ ไม่เหมือนตำรวจที่จะสอบเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจได้จนกว่าอายุจะเกิน
อีกอย่างคือถ้าไปทางทหารแล้วเกิดมันฟลุคได้เข้าเรียนเตรียมทหารจริงๆ มันจะเสียเวลามากเพราะต้องเข้าเรียนเตรียมทหารก่อน 2 ปี ถึงจะเข้าโรงเรียนนายร้อย
คุณลองคิดดูสิครับหลังจากจบ ม.6 ผมต้องเรียนนายสิบ 1 ปี แล้วเข้าไปอยู่ในเตรียมทหารอีก 2 ปี ต่อโรงเรียนนายร้อยอีก 5 ปี รวมแล้ว 8 ปี
แต่ตำรวจนี่สอบได้แล้วไม่ต้องเรียนเตรียมทหาร เข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจไปเลย คำนวณเวลาแล้วก็นายสิบ 1 ปี นายร้อยอีก 4 ปี รวมแล้ว 5 ปีเอง ใช้เวลาน้อยกว่ากันเกือบครึ่ง
ตอนนี้ผมชักไม่มั่นใจแล้วสิว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี... "ทหาร" "ตำรวจ"
หรือว่า "เลิกคิด" ดี... สับสนจริงๆครับ
ความคิดเห็น