คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : ล้างกองร้อย
ล้างกองร้อย
สิ่งหนึ่งที่ทำให้นักเรียนนายร้อยตำรวจแตกต่างจากเด็กมหาลัยก็คือการที่พวกเรา ‘นอนรวมกัน’
ถ้าเป็นสมัยโบราณจะนอนเรียงกันเป็นตับๆ เป็นห้องโถงใหญ่ นอนได้เป็นร้อยคน
แต่ในยุคหลังๆมานี่นักเรียนนายร้อยตำรวจเรานอนกันแบบ ‘อพาร์ทเมนต์’ ครับ คือนอนห้องละ 4 คน ในห้องนอน 1 ห้องก็จะมีห้องน้ำในตัว มีระเบียงหลังห้องที่กว้างใหญ่ไพศาล แต่ละคนก็จะมีโต๊ะฝึกฝน(โต๊ะอ่านหนังสือ) ตู้เก็บของ ตู้เสื้อผ้า ชั้นหนังสือ เตียงนอน และตู้เก็บรองเท้าส่วนตัว เรียกว่าสาธารณูปโภคค่อนข้างเพียงพอต่อการใช้ชีวิต ใครจะดัดแปลงเอาตู้เย็น เอาทีวี เข้ามาใช้ก็สุดแล้วแต่วิทยายุทธ์
ด้วยความที่เฟอร์นิเจอร์มันเยอะ ซอกหลืบต่างๆมันก็เยอะตามไปด้วย พวกเราจึงมีเทคนิคมากมายที่จะใช้ ‘ซ่อน’ ของผิดกฎหมาย ผิดกฎระเบียบต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ บุหรี่ ซีดีกายวิภาค
แต่ถึงแม้ว่าพวกเราจะมีเทคนิคแพรวพราวเพียงใด บางครั้งก็ประมาท เก็บของบางอย่างไว้ในลิ้นชัก จนถูกตรวจพบได้ง่าย และก็มีอันต้องเป็นโทษเป็นทัณฑ์กันไปตามระเบียบ
นายตำรวจจะใช้วิธีการตั้งแต่แสนง่ายคือการเดินตรวจในช่วงเวลาศึกษา ไม่มีใครอยู่บนกองร้อย หรือแม้แต่อาจจะมีการเดินตรวจในช่วงหัวค่ำซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พวกเราคิดว่า นายตำรวจคงไม่ขึ้นมา … ไอ้วิธีการหลังนี่แหล่ะพวกที่นอนชั้นล่างๆจะโดนกัน แต่พวกนอนชั้นบนๆก็จะรอดได้อย่างเนียนๆ เพราะตามสัญชาติญาณของพวกเราเมื่อข้าศึกเหยียบหัวหาด แนวหลังก็จะพร้อมรบโดยอัตโนมัติ
นานๆทีจึงจะมีวิธีการที่สุดแสนจะโหดร้ายป่าเถื่อนในการตรวจสิ่งของผิดกฎระเบียบครับ เราเรียกการทารุณนั้นว่า ‘ล้างกองร้อย’
วิธีการก็คือการเรียกรวมแถวในเวลาปกติ 3 ทุ่ม แต่มันไม่ปล่อยเราขึ้นนอนตอนปกติ 4 ทุ่มครับ นายตำรวจมันจะชวนคุยไปเรื่อยๆ จนได้ฤกษ์ได้ยาม มันก็จะเรียกนักเรียนขึ้นไปบนกองร้อยทีละห้อง เปิดตู้ เปิดเตียงให้ดูกันจะจะทีละคน …
ผลก็คือ … เที่ยวเสม็ด เสร็จทุกราย
ผู้ที่ ‘รักษาความไม่ประมาทเสมอชีวิต’ ตามอุดมคติตำรวจข้อสุดท้ายเท่านั้นที่จะได้ไปต่อ…
การล้างกองร้อยที่ผมสะเทือนใจที่สุดเกิดขึ้นตอนเรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด…ไม่มีสัญญาณของความซวยใดๆ มีแต่การรวมแถว อบรมวินัย กันตามปกติ เพียงแต่เริ่มรู้สึกว่านักเรียนปกครองเหมือนพยายามที่จะสรรหาเรื่องราวมาพูด มาเล่าให้ฟังเพื่อรอ ‘อะไรบางอย่าง’
และแล้วเมื่อเวลา 4 ทุ่ม 15 นาที ไอ้รูนีย์(นายตำรวจปกครองท่านหนึ่งซึ่งหน้าเหมือนรูนีย์มาก)ก็เดินออกมาจากห้องพักนายตำรวจ นักเรียนปกครองกระจายกำลังกันเข้าปิดล้อมพวกเราเพื่อป้องกันการหลบหนี
“ตรวจกองร้อย”
สิ้นเสียงสั้นๆห้วนๆได้ใจความของไอ้รูนีย์วินาทีนั้นผมแทบช็อค เพราะสารพัดเครื่องมือสื่อสารต่างวางไว้ในลิ้นชักแบบง่ายๆโง่ๆ เรียกว่าถ้าตรวจกันก็ไม่รอดแน่นอน
การตรวจเริ่มจากหมวด 1 ไล่ไปทีละห้อง ห้องละ 4 คน … คิดดูสิครับ เมื่อไหร่จะได้นอน
เพื่อนร่วมห้องผมคนนึงชื่อ ‘บอล’ ค่อยๆกระเถิบเข้ามาหาผม
“เฮ้ย…เอาไงดี มือถือกู มือถือมึง ไอ้ติ้น ไอ้เบน … ครบเลย” ไอ้บอลรวบรวมข้อมูลของกลางของทุกคนในห้อง แล้วมาปรึกษา
ผมจนปัญญาจริงๆครับ ไม่รู้จะทำไง แววตาสิ้นหวังของผมปะทะเข้ากับแววตารุกรบของไอ้บอล
“เอางี้นะ เดี๋ยวกูไปเอง”
ไป?!? ไปไหนวะ?!? ผมงงกับคำพูดของมัน มันจะไปไหน ผมค่อยๆพูดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ“ไปได้ไงห้องเราอยู่ชั้นสาม”
“เอาน่า…เชื่อกู ของมึงมีไรมั่ง”
แม้ผมจะไม่ค่อยเชื่อมั่นว่าไอ้บอลจะทำสำเร็จ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่น่าจะมีอะไรดีไปกว่าการลองเสี่ยงดูสักครั้ง ผมส่งกุญแจลิ้นชักให้มัน พร้อมบอกรายชื่อของผิดระเบียบทั้งปวงที่มีในนั้น
ไม่ทันไรเพื่อนผมอาศัยจังหวะนักเรียนปกครองที่คุมพวกเราอยู่เผลอ รีบม้วนตัวฝ่าความมืดไปทางหลังกองร้อย… ผมได้แต่ภาวนาให้มันทำสำเร็จ
แม้บันไดด้านหน้าจะยั้วเยี้ยเต็มไปด้วยนักเรียนปกครอง แต่บันไดหลังกองร้อยตอนนี้คงปลอดคน ไอ้บอลคงอาศัยแสงและเงาจากความมืดแอบแทรกซึมขึ้นห้องไปได้
ไฟห้องนอนบนกองร้อยค่อยๆเปิดห้องแล้วห้องเล่า หมวดแล้วหมวดเล่า ของกลางถูกบรรจุถูกดำนำมาวางหน้าแถวชิ้นแล้วชิ้นเล่า นักเรียนปกครองขี้เล่นเดินไปหยิบแผ่นซีดีต้องห้ามออกมาโชว์ มือถือบ้าง บุหรี่บ้าง ไฟแชคบ้าง … ปากก็เยาะเย้ยถากถางสารพัด
ใจผมก็ได้แต่ห่วงไอ้บอล ภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็แสนทรมานใจ … มันเป็นช่วงเวลาที่แสนทรมาน
ทันใดไอ้บอลก็วิ่งฝ่าความมืดกลับออกมา ตามแขน ตามขาเปื้อนฝุ่นสีขาวเข้ม ท้องแขน หัวเข่าถลอกเลือกซิบๆ
ผมละความสงสัยในบาดแผลแห่งสงครามไว้ รีบถามไอ้บอลทันที “เป็นไง”
ไอ้บอลตอบกลับ “เออ…เอาใส่ไว้ในเป้หมดแล้ว ซ่อนไว้ในตู้หลังกองร้อย” ผมจินตนาการไปถึงกองซากตู้ไม้เก่าๆหลังกองร้อยซึ่งมีอยู่นับสิบใบ ตรงนั้นเป็นจุดอับสัญญาณที่นายตำรวจจะไม่นึกถึง เพราะมันเปรียบเสมือนกองขยะดีๆนี่เอง
ไอ้บอลเริ่มพลิกแขนพลิกขาดูร่องรอยที่เกิดขึ้นตามตัวของมัน “โดนไรมาวะ” ผมด้วยความสงสัย
“ท่ออ่ะดิ”
ท่อ?!? ท่ออะไรของมัน “หลังกองร้อยมีคนเฝ้า กูเลยปีนท่อน้ำขึ้นไป”
“ท่อน้ำ!! มึงปีนขึ้นปีนลงชั้นสามเนี่ยนะ! ”
“เปล่า…” ไอ้บอลปฏิเสธ “ไม่ได้ปีนลง กูรูดลง”
คืนนั้น…ไอ้บอลก็ได้ทำให้เราทั้งห้องซาบซึ้งกับบาดแผลของมัน ที่แลกมาซึ่ง ‘ความอยู่รอด’ ของพวกเรา
ท่านผู้อ่านโปรดปรบมือให้ ‘ไอ้บอล’ ครับ
แต่…ไอ้บอลจะเป็นวีรบุรุษตลอดกาลถ้ามันไม่ ‘พลาด’ เรื่องง่ายๆโง่ๆนี่ซะก่อน
เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่ไอ้บอลกำลังเดินหาเป้ใบเมื่อคืนที่มันใส่ของผิดระเบียบของเราทั้งห้องไว้ ‘วีซี่’นายตำรวจปกครองท่านหนึ่งก็เดินผ่านมาทางนั้นพอดี
และเมื่อการล้างกองร้อยเพิ่งผ่านพ้นไปสดๆร้อนๆ
และเมื่อมีนักเรียนนายร้อยตัวเล็กคนๆนึงกำลังค้นกองขยะ
และเมื่อตามเนื้อตัวแขนขาของเขาถลอกปอกเปิก
มันจึงไม่เป็นการยากจนเกินไปนักที่ ‘นายตำรวจ’คนนึงจะพอตั้งขอสงสัยในความผิดปกตินี้ได้
เย็นวันนั้นพวกเราทั้งหมดจึงถูกดำเนินคดีพร้อมของกลางที่มากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ…
คือนอกจากจะมีบรรดามือถือ บุหรี่ ไฟแชคตามปกติแล้ว … ยังมีเป้อีกใบ แถมด้วยรอยแผลจากการปีนป่ายของไอ้บอล
ท่านผู้อ่านโปรดปรบมือให้ ‘ไอ้บอล’ อีกครั้งครับ…
ความคิดเห็น